หลังจากประสบความสำเร็จที่ทรงวาด ถึงเวลาที่ ‘อี-กา’ จะพาทุกคนโบยบินต่อมาที่บ้านหลังที่ 2 ในซอยสาทร 12 โดยยังคงบอกเล่าเรื่องราวอาหารผ่านการเดินทางของ คุณแจะ ศิริวรรณ และรสชาติที่ลึกล้ำจากวัตถุดิบท้องถิ่นทั่วประเทศได้อย่างน่าประทับใจ ความพิเศษของอี-กา สาทร 12 คือที่นี่มี “อี_กา กินเช้า” อาหารเช้าที่ทั้งอร่อยและสนุกซึ่งคุณแจะเปรียบไว้ว่า ‘เหมือนเรามีเสื้ออยู่ 1 ตัวแล้วปักเลื่อมวิบวับ’ คุณพ่อและคุณแม่ของคุณแจะอยู่ที่อุดรธานีซึ่งมีเมนูเช้าแบบอุดร-เวียดนามอย่าง ไข่กระทะ ข้าวเกรียบปากหม้อ แต่ตัวเธอเติบโตที่ลำปลายมาศที่มีเมนูดังเป็น ผัดหมี่ลำปลายมาศ และ ขนมจีนแกงไก่ใส่เลือด มื้อเช้าของอี-กาจึงมาจากความทรงจำและการเดินทาง เราไม่อยากให้พลาด ข้าวผัดอเมริกัน จี_ไอ blues ข้าวผัดอเมริกันจากวัยเยาว์ที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานกับทหาร G.I. รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม แถมยังให้ลูกเกดจุใจแบบไม่หวง เคียงด้วยน่องไก่ทอด ไส้กรอกทอด และไข่ดาว หรือจะลอง Breakfast ทหารจี_ไอ ไข่ดาว 2 ฟองเยิ้มๆ จุ๊ด้วยแม็กกี้ กินกับไส้กรอกทอด และขนมปัง ต่อด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อญวณ แป้งนุ่มหนึบไส้แน่นตามแบบฉบับอุดรธานี กินกับน้ำจิ้มรสหวานนิดๆ ก็ถูกใจ พลาดไม่ได้กับ สตูว์ไก่ สไตล์กุ๊กช็อป น่องไก่ชิ้นใหญ่เพิ่มรสชาติด้วยซอสไก่งวง แนะนำให้สั่งกินคู่กับ ข้าวหมูยอทอด ช่างเป็นมื้อเช้าที่รื่นรมย์ ส่วนเมนูอื่นของอี-กาก็ยังมีตัวตนชัดเจน คุณแจะเล่าว่ามีหลายเมนูที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรจากต้นตำรับซึ่งทางร้านจะคงสัดส่วนและวัตถุดิบเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นน้ำวูดู พริกแกง กะปิ (ที่มี 7-8 ยี่ห้อแล้วแต่เมนูที่ทำ) อย่าพลาด ข้าวยำปักษ์ใต้ จากตำบลเจ๊ะเห ตากใบ นราธิวาส ข้าวหุงด้วยใบยอและใบย่านาง เคียงด้วยเครื่องเคราอย่างดอกดาหลา ส้มโอ แตงกวา ถั่ว ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแพว ผักชี ปลาทูคั่วจนแห้ง มะพร้าวคั่ว และน้ำวูดู นอกจากนี้ยังมี ไก่คั่วตะไคร้ขมิ้น ยำปลาฉิ้งฉ้าง ที่ได้สูตรเด็ดจากคุณปู อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ รวมถึง หมี่กรอบ ต้มส้มปลากระบอก สะตอผัดกุ้ง จากร้านกิมเล้ง สี่แยกคอกวัว   ก็ล้วนน่าลองเป็นอย่างยิ่ง

ท่ามกลางความคึกครื้นในยามราตรีบนถนนเยาวราช อาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นสูงตระหง่าน ณ หัวมุมที่ตัดระหว่างถนนเยาวราชและถนนมังกร ได้เปลี่ยนจากร้านขายทองเดิมเป็นอาคารโฉมใหม่พร้อมชื่อและป้ายเก๋ ๆ ว่า ‘โกลด์สมิท’ เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากป้ายโกลด์สมิทเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายไฟเขียนว่า Chop Chop Cook Shop เป็นตัวอักษรสีแดงเปล่งประกายแข่งกับแสงไฟทุกดวงบนนถนนเยาวราช ที่นี่คือร้านอาหารแห่งใหม่คอนเซปต์จัดจ้านภายใต้การสร้างสรรค์ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน ชวนย้อนเวลาหาอดีตกับร้านอาหารสไตล์กุ๊กช็อป เสิร์ฟอาหารทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก จีน หรือไทย ยุคทองของร้านกุ๊กช็อปนั้นเคยมีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงปี ค.ศ. 1930 – 1970 ของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะตามย่านชุมชนจีนเช่นเยาวราช คนทำอาหารมักจะเป็นคนจีนไหหลำ เอกลักษณ์ของกุ๊กช็อปเลยออกมาเป็นอาหารตะวันตกสไตล์จีนปนไทยตามใจคนกิน และจะเสิร์ฟเป็นคอร์สแบบตะวันตก แยกจานใครจานมัน ไม่ได้แชร์กันอย่างอาหารไทย กุ๊กช็อปในสไตล์ของ Chop Chop Cook Shop ถอดเอากลิ่นอายจีนของเยาวราชมาใส่ไว้ในร้านอย่างเต็มพิกัด ทั้งหลอดไฟนีออนตัวอักษรภาษาจีน รูปวาดมังกรบนบานกระจก ผนังที่เต็มไปด้วยสร้อยคอทองคำ แม้แต่พนักงานในร้านก็ยังใส่เครื่องประดับทองคำไปทั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศรอบ ๆ ก็ยังแฝงไปด้วยภาพของร้านไดเนอร์แบบอเมริกันและสีสันแบบป๊อบอาร์ตที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง ในเมื่อเชฟเดวิด ทอมป์สันเอาคอนเซปต์ของกุ๊กช็อปมาเล่นอย่างจริงจัง เมนูในร้านจึงให้กลิ่นอายของตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกส่วนผสมและวัตถุดิบบางอย่างที่กินแล้วถูกปากคนเอเชียแบบเรา ๆ สำหรับ Starters นั้นให้รสชาติออกไปทางตะวันตกเสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นด้วยเมนูที่ใช้ซอสแมรี่โรสสไตล์อังกฤษแท้ ๆ แบบดั้งเดิมเลยคือ Crab Marie Rose ซึ่งเป็นซอสที่มักจะเสิร์ฟกับกุ้ง แต่ที่ Chop Chop Cook Shop ปรับใหม่เป็นเนื้อปูม้า มาพร้อมกับจานเคียงเป็นขนมปังนมญี่ปุ่น เนื้อเหนียวนุ่มพร้อมกับเนย ต่อมาเป็นการจับคู่ระหว่าง Devil on Horseback และ Angel on Horseback ซึ่งเป็นจานรวมเมนูเก่าแก่ระกับร้อยปีจากอังกฤษเช่นกัน เมนูได้ชื่อว่า Devil นั้นมาในรูปลักษณ์ที่ดำทะมึนสมชื่อนั้นทำจากลูกพรุนพันเบค่อน ส่วนด้านในสอดไส้ด้วยตับไก่และอัลมอนด์ ส่วน Angel นั้นเป็นหอยนางรมพันโพรชุตโต้ย่างเนยสมุนไพร ฝั่งอาหารจานหลักนั้นค่อนข้างสร้างความแตกต่างไปจากจานเรียกน้ำย่อยไม่น้อย ด้วยส่วนผสมสไตล์เอเชียนหลาย ๆ อย่างที่ใส่มาในจานอย่างโดดเด่น เช่น Butter Prawn กุ้งแม่น้ำสดใหม่ราดซอสเนย เครื่องเทศ และพริกเสฉวน Debal Curried Sausage เป็นจานที่รวมทั้งอาหารอังกฤษดั้งเดิม อาหารโปรตุกีส และอาหารมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นไส้กรอกในซอสเกรวี่หัวหอมที่และเครื่องเทศ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงกะหรี่แบบมะละกา ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังจับคู่มากับ Side Dish อย่าง Chop Chop Mash มั่นฝรั่งบดสไตล์จีน ใส่หอมแดง หัวไชเท้า รวมทั้งเครื่องพะโล้ บดในครกจนเนื้อเหนียวก่อนจะนำไปผัดในกระทะอีกทีเพื่อให้กลิ่นหอม และอีกจานคือ Sugar Snap Pea Salad สลัดถั่วลันเตาหวาน คลุกเคล้ามาในน้ำสลัดบัตเตอร์มิลก์ เพิ่มความเผ็ดร้อนแบบไทยเข้าไปนิดหน่อยด้วยพริกหนุ่มย่าง ขนมหวานปิดท้ายมื้ออาหารนั้นน่าสนใจไม่แพ้ของคาว ไม่ว่าจะเป็น Beehive Sponge with Banana Custard สปอนจ์เค้กคาราเมลและกล้วยเนื้อหนึบ ราดซอสคัสตาร์ดรัมเรซิน หรือ Ginger Milk Curd with Macadamia Tuile ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเต้าฮวยน้ำขิง แต่ตัวคัสตาร์ดนั้นทำมาจากนมแพะสดและใส่น้ำขิง ท็อปบนแก้วด้วยตุอีล หรือขนมเบื้องแมคคาเดเมียบางกรอบ ส่วนเครื่องดื่ม Chop Chop Spiced Coffee & Tea ปิ๊งไอเดียมาจากเครื่องดื่มตามคาเฟ่ในฮ่องกง เป็นชาผสมกับกาแฟสดใส่นมในแบบฉบับหวานน้อย โดยใช้ชาและกาแฟที่คัดสรรส่งตรงมาจาก จ.เชียงใหม่ ส่วนชั้นที่ 2 ของอาคารโกลด์สมิทนั้นเป็นที่ตั้งของบาร์ชื่อเดียวกัน ประดับประดาสไตล์จีนเข้ากับย่านเยาวราช แต่ที่พิเศษสุด ๆ คือการจับมือกับแบรนด์ผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน ในการออกแบบลวดลายเบาะเก้าอี้ โซฟา ไปจนถึงลวดลายบนฝาผนัง ไปด้วยกันได้ดีกับโคมไฟสไตล์จีน สร้างบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มไปกับเครื่องดื่มอย่างไม่รู้เบื่อ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของโกลด์สมิทบาร์นั้นมีให้เลือกจากเมนูหลายหน้าเลยทีเดียว แต่ที่แนะนำว่าต้องลองก็คือแก้วที่ชื่อว่า Goldsmith ตามชื่อของอาคารและบาร์แห่งนี้  ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวอดก้าญี่ปุ่น เหล้าแบล็กเบอร์รี่ และเหล้าสมุนไพร ไซรัปปีโนต์ นัวร์-ชิตาเกะ บลูเบอร์รี่  และเลมอน ให้รสชาติของผลไม้และสมุนไพรชัดเจน แถมยังมีอูมามิด้วย High Tea In The High Tower เป็นแก้วที่มีปริมาณแอลกอฮอล์แบบเบา ๆ จากส่วนผสมของสาเก เหล้าบ๊วย ชาอู่หลง โรสแมรี ที่ให้รสชาติดื่มง่าย หอมกลิ่นดอกไม้ และให้ความสดชื่นได้ดีทีเดียว Kirb Stomp ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวอมหวานแบบผลไม้ทรอปิคัล จากมะม่วง ชบา เกรนาดีน โทนิค และน้ำเกลือ เป็นมุมใหม่ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศสนุกสนานและคึกครื้นของเยาวราช และในขณะเดียวกันก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยเมนูอาหารสไตล์กุ๊กช็อปที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว

หลังจากที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (The Emporium) ปรับโฉมใหม่อย่างไฉไล พร้อมเป็นเดสติเนชั่นชั้นนำด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลก นอกจากช็อปสินค้าแบรนด์เนมสุดหรูที่กำลังทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่องแล้ว หากช้อปปิ้งมาเหนื่อยๆ ที่นี่ก็มี Sava Modern THAI Flavour (ซาว่า โมเดิร์น ไทย เฟลเวอร์) ร้านอาหารไทยโมเดิร์นของแฟชั่นดีไซเนอร์แถวหน้าของเมืองไทย คุณหมู - พลพัฒน์ อัศวะประภา แห่ง ASAVA Group และหุ้นส่วน ซึ่งเป็นดั่งส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสายฟูดดี้และสายแฟชั่น ให้เหล่านักช้อปวางใจแวะมาฝากท้องได้ทุกเมื่อ และเพื่อให้ตอบรับนักช้อปได้ทุกเวลาตั้งแต่ห้างเปิดจนห้างปิด ทางร้านจึงเปิดตัว Supreme Dinner Menu รวมเมนูสุดอลังการในคอนเซ็ปต์ “Surf & Turf” ที่ชูความสดใหม่ของวัตถุดิบสุดพรีเมียมทั้งซีฟู้ดและเนื้อสัตว์แบบเน้นๆ มาในพอร์ชั่นใหญ่ที่เหมาะสำหรับให้แชร์กันได้อย่างเพลิดเพลิน คุณดวง - นีรนาท เผ่าสวัสดิ์ หนึ่งใน 4 หุ้นส่วนของร้าน Sava เล่าให้เราฟังถึงที่มาของเมนูดินเนอร์ชุดใหม่นี้ว่าเป็นการคิดออกแบบเมนูใหม่ขึ้นทั้งหมด เนื่องจากทางร้านเริ่มมีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาติก็เติบโตขึ้นมาก จึงคิดทำดินเนอร์เมนูซึ่งตอบโจทย์เทรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่นิยมกินอาหารที่มีสัดส่วนของโปรตีนที่มากขึ้นและลดคาร์บให้น้อยลง ด้านวัตถุดิบสำหรับดินเนอร์เมนูก็จะมีความพรีเมียมมากขึ้น ให้เหมาะกับช่วงเวลาเย็นที่ลูกค้าไม่ต้องเร่งรีบและสามารถผ่อนคลายอารมณ์ไปกับมื้ออาหารดีๆ ในรสชาติความเป็นไทยดั้งเดิมที่อร่อยถูกปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะยกระดับในการนำเสนอให้ละเมียดละไมยิ่งขึ้นในแบบของ Sava Supreme Dinner Menu ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัวมา ด้วยรสชาติที่ถึงเครื่องแบบอาหารไทยต้นตำรับ ผนวกกับภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยและน่ากิน อาทิ สเต็กเนื้อริบอายซอสพะแนง หรือ ซี่โครงแกะซอสพะแนง ไม่ว่าจะสั่งเนื้อหรือแกะก็จะได้เนื้อชิ้นใหญ่ เราแนะนำให้เลือกสั่งแบบแรร์ เมื่อเสิร์ฟมาบนจานร้อนที่จุดไฟเพื่อรักษาอุณหภูมิของอาหารแล้วจะสุกขึ้นมาอีกนิดหน่อย จานนี้เป็นเมนูยอดนิยมทั้งกับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอบรับกระแสของ “พะแนง” ที่กำลังมาแรงเพราะเพิ่งได้รับการจัดอันดับเป็นสตูที่ดีที่สุดในโลกโดยเว็บไซต์อาหาร TasteAtlas ในปี 2566 นี้ อีกหนึ่งจานยอดนิยมสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อแดงต้อง แซลมอนครีมซอสกระเทียม ซึ่งเสิร์ฟมาบนจานอุ่นร้อนเช่นกัน แซลมอนชิ้นหนาสวย ด้านนอกสุกกรอบกำลังดีส่วนด้านในห่อหุ้มเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำเอาไว้ เข้ากันกับครีมซอสเค็มๆ มันๆ เป็นจานที่ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว ตามด้วยอีกจานไฮไลต์ที่แค่เห็นไซส์ก็อลังการแล้ว ปาเอญ่ากุ้งแม่น้ำ เสิร์ฟมาบนถาดขนาดใหญ่ (เมนูนี้มีขนาดให้เลือก 2 ไซส์) เป็นจานที่มีแรงบันดาลใจมากจากเมนูขึ้นชื่อของสเปนแต่นำมาสอดแทรกรสชาติแบบไทยลงไป ตัวข้าวอบผสมผสานเนื้อกุ้งและหมึกชิ้นโต เพิ่มรสชาติด้วยมันกุ้งนำลงไปผัดเคลือบข้าวจนมันอร่อยในทุกคำ และพริกเพิ่มความเผ็ดร้อน ทอปด้วยกุ้งแม่น้ำอบตัวโตที่ไม่ได้ผ่านการแช่แข็ง มันกุ้งจึงฉ่ำเยิ้มชวนกิน ก่อนกินให้ตักมันกุ้งมาคลุกเคล้ากับข้าวอีกครั้ง ตามด้วยบีบน้ำเลมอนดึงรสสดชื่น ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ด เป็นจานที่อร่อยชวนฟินมาก หากยังไม่อิ่ม ต้องตบท้ายด้วยเมนูที่เรียกว่าเป็นจานอร่อยสามัญประจำทุกโต๊ะ ไข่เจียวปู ฟูๆ หนาๆ ทอปด้วยกรรเชียงปูเน้นๆ กินกับซอสพริก หรือ กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ ที่ใช้กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่สดใหม่เนื้อแน่น เสิร์ฟแบบเน้นทั้งปริมาณและคุณภาพเลยทีเดียว Supreme Dinner menu พร้อมให้บริการทุกวัน ในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 17:00น. เป็นต้นไป และวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอดทั้งวัน นอกจากเมนูมื้อเย็นที่จัดมาอย่างเต็มอิ่มแล้ว ในช่วงบ่ายทางร้านยังให้บริการชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษ SAVA Afternoon Tea with Noritake ที่ร่วมกับแบรนด์เครื่องพอร์ซเลนชั้นนำจากญี่ปุ่น เสิร์ฟอาหารว่างคาวและของหวานรสชาติไทยในชุดภาชนะคอลเล็คชั่นใหม่ “Carnivale” ที่สวยสดใสในโทนสีพาสเทลอีกด้วย ขอกระซิบว่าของหวานจานปิดท้ายชุดน้ำชาอย่าง โทสต์บริยอชราดซอสชาไทย และ มะพร้าวสาคูเมลอนพาร์เฟต์ เป็นทีเด็ดที่ไม่ควรพลาด (ราคา 1,250++ สำหรับ 2 ท่าน) ชุดน้ำชายามบ่ายให้บริการตั้งแต่เวลา 14:00-17:00น. อิ่มอร่อยเอาใจสายฟู้ดแล้ว ต้องพูดถึงดีไซน์ร้านที่น่าจะถูกใจสายแฟชั่นกันบ้าง กับการตกแต่งร้านในโทนสีขาวและน้ำเงินดึงดูดสายตา ผสานกับลวดลาย Chinoiserie (ชินัวเซอรี) ออกแบบโดยอิลลัสเตรเตอร์ชื่อดัง คุณโอ-ธีรวัฒน์ เฑียรฆประสิทธิ์ ที่ซ่อนกิมมิกเป็นเหล่าสัตว์ในปีนักษัตรของหุ้นส่วนทั้ง 4 เอาไว้ ภายในร้านยังแบ่งพื้นที่เป็นโซนที่นั่งด้านในที่ให้ความสงบเป็นส่วนตัว กับโซนด้านนอกที่ให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาในแบบคาเฟ่ ตอบโจทย์ความเป็น all-day dining ให้ลูกค้าแวะเวียนมาได้ตลอดทั้งวัน

ท่ามกลางทำเลดีๆ ที่พ่วงมาด้วยความมีชีวิตชีวาในย่านศาลาแดง Bitterman Restaurant ร้านอาหารสไตล์แคชชวลไดนิงสุดชิคที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น เป็นจุดพักพิงกายและอิ่มท้องได้ในเวลาเดียวกันของชาวศาลาแดงซอย 1 มาเป็นเวลากว่า 10 ปี พร้อมนำเสนอเมนูโฮมเมดเลิศรสที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันเหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน ร้านสวยแห่งนี้มาในคอนเซ็ปต์ Social Dining ที่อยากให้ทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศของบ้านเพื่อน ต้อนรับด้วยความเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย แต่ยังคงความเป็น Professional เสิร์ฟอาหารหลากสัญชาติ แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่ นำเสนอออกมาในรูปแบบโมเดิร์นเวสเทิร์นคอมฟอร์ตฟู้ด จับคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรดก็ฟินไม่น้อย และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ทางร้านได้รีโนเวตภายในใหม่ตกแต่งสไตล์ Industrial loft เน้นโชว์โครงสร้างสถาปัตยกรรมเดิม เพิ่มลูกเล่นด้วยสีสันจากงานอาร์ตและเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวให้ดูทันสมัยและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น เสริมความสดชื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมชายคาบ้านหลังนี้ไว้ได้อย่างร่มรื่น ทุกเมนูเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุดตามท้องถิ่นในแถบเอเชีย เสิร์ฟพอชชันใหญ่สามารถแชริงกันได้ เริ่มต้นมื้อนี้ด้วย Seasonal Burrata ชีสบูร์ราตาสดราดซอสเพสโตอัลมอนด์ ได้ความครีมมี่ตัดกับรสหวานขององุ่นไชน์มัสแคตย่างและลูกฟิกดอง กินกับขนมปัง อร่อยทีเดียว ต่อด้วย Spanish Clams & Chorizo หอยมะนิลาและหอยแมลงภู่ดัชต์นึ่ง คลุกเคล้าซอสโชริโซในไวน์ขาว ได้รสเค็มและเปรี้ยวเล็กน้อยจากเลมอน ช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี เมนูเส้นห้ามพลาดคือ Seared Tuna Tataki ทูน่าย่างคัตสึโอะมิริน หอมกลิ่นสโมก กินคู่ถั่วแระญี่ปุ่น แรดิช และหัวหอม เสริมรสด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยว ปิดท้ายด้วย Cinnamon Toast ขนมปังบริออชที่ร้านทำเอง เนื้อกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ตัดรสชาติด้วยเบอร์รีสดกับไอศกรีมวานิลลา หวานกำลังพอดี และ Heart of Glass เบสเป็นจิน ได้กลิ่นของขิงและใบโหระพา มีรสหวานของน้ำผึ้งตัดกับความเปรี้ยวของน้ำมะนาวสด อร่อยลงตัว พร้อมเพิ่มเติมความสนุกด้วยดนตรีสดทุกวันพฤหัสบดี – เสาร์ เวลา 19.00 – 22.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 15.00 น. สามารถติดตามวงดนตรีและข่าวสารอื่นๆ ได้ทางเพจ Facebook : Bitterman Restaurant

ร้านใดเล่าจะเท่า โจ๊กจักรพรรดิ ร้านโจ๊กสไตล์ฮ่องกงของ ภรรยาลุงอ้วน กินกะเที่ยว นักชิมวัยเก๋า ที่ยกระดับการกินโจ๊กให้พิเศษกว่าที่เคย ด้วยท็อปปิงระดับพรีเมียม เสิร์ฟไม่ยั้งทั้งเป๋าฮื้อ ปลากะพง ปลาเก๋า เนื้อหมู เนื้อไก่ และเห็ดหอม วัตถุดิบคุณภาพที่คัดสรรเป็นพิเศษเพื่อให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยในราคาที่จับต้องได้ ส่วนจุดเด่นที่ทำให้หลายคนติดใจก็คือข้าวเนื้อเนียนละเอียด จากการเคี่ยวอย่างพิถีพิถัน ให้สัมผัสเบา และนุ่มละมุน โดยทางร้านใช้ข้าวหอมเกรดส่งออกผนวกกับน้ำซุปรสกลมกล่อม มีความหวานหอมจากแฮมยูนนานฮ่องกง ที่นำมาต้มจนละลายในน้ำซุปก่อนนำไปผสมกับข้าว ไม่เพียงแต่รสสัมผัสที่ดีเท่านั้น เพราะบรรยากาศของร้านก็ให้อารมณ์เหมือนเราได้บินไปกินถึงฮ่องกง หากใครชอบถ่ายรูป บริเวณร้านมีมุมให้เลือกแชะภาพชิคๆ ได้ไม่ซ้ำ ทั้งในห้องแอร์และที่นั่งรับลมธรรมชาติ ไฮไลต์ห้ามพลาดเป็น โจ๊กเป๋าฮื้อ เสิร์ฟถ้วยใหญ่มาพร้อมเครื่องแน่นๆ อย่าง เป๋าฮื้อฮ่องกง เห็ดหอม หมูก้อนโต และไข่เยี่ยวม้า ตักหนึ่งคำพร้อมข้าวเนื้อเนียน ได้ความหอมของน้ำซุปที่แทรกอยู่ในโจ๊ก ช่วยชูรสให้บรรดาเครื่องเครากลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ถัดมาคือ โจ๊กหมู-ไก่ ข้าวเนื้อละเอียดสีขาวสวย ท็อปด้วยไข่ลวก ขิง และต้นหอมซอย ด้านในมีเนื้อหมู เนื้อไก่ที่ทางร้านให้มาแบบไม่หวง ต่อด้วย โจ๊กปลาเก๋า ทีเด็ดของถ้วยนี้อยู่ที่ข้าวรสเข้มข้น มีกลิ่นหอมของพริกไทยและไข่เยี่ยวม้าที่ผสมอยู่ในข้าว เสริมรสให้เนื้อปลาได้ดี อย่าลืมสั่ง ปาท่องโก๋ แป้งกรอบนอกนุ่มใน มากินคู่โจ๊ก อร่อยลงตัว ช่วงสายทางร้านมีเมนูเพิ่มเติมอย่าง กระเพาะปลากิมเล้ง เสิร์ฟในน้ำสต๊อกสุดเข้มข้นไม่คืนตัว ให้รสกลมกล่อม มาร้อนๆ ตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย และ ราดหน้าหมู จานใหญ่ยักษ์ รับประกันความอิ่มท้องด้วยเส้นใหญ่ผัดหอมกลิ่นกระทะ หมูหมักชิ้นเบิ้ม และคะน้าฮ่องกง เข้ากันดีกับน้ำราดรสเค็มๆ มันๆ ชวนกินจนหมดจาน ร้านอยู่แค่เมืองทองธานีนี่เอง อย่าลืมแวะไปชิมกันนะ

จะมีสักกี่ร้านที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้ปลาทะเลไทยได้เท่ากับ Fishmonger The House of Fish & Chips คิวยาวที่เปิดให้จองคิววันต่อวันเท่านั้น! โดยทางร้านได้หยิบยกวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยอย่าง "ปลาประมงพื้นบ้าน" ที่จับได้ภายในประเทศมารังสรรค์เป็นอาหารจานเด็ด เพียงเพราะต้องการบอกเล่าความอร่อยของปลาไทยผ่านเมนูอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดให้ชาวไทยได้ลิ้มรส ซึ่งทุกจานมีดีกรีอยู่ที่วิธีการปรุงเนื้อปลาอย่างเบามือ เพื่อโชว์รสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ให้ชัดเจนมากที่สุด เสิร์ฟในบรรยากาศการจำลองร้านอาหารริมสะพานปลาของเมืองนอก ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของบ้านชาวประมงไทย เพื่อให้ทุกคนที่มาเยือนรู้สึกถึงความอบอุ่นและเข้าถึงง่าย ความอร่อยของปลาไทยได้บอกต่อผ่านเมนูแนะนำ อย่าง Fish & Chips เมนูชูโรงของร้าน เชฟใช้ปลาน้ำดอกไม้มาเสิร์ฟในรูปแบบของฟิช แอนด์ ชิปส์ เนื้อปลาชิ้นใหญ่ชุบแป้งทอดจนเป็นสีเหลืองทอง เมื่อหั่นรู้สึกได้ถึงความกรอบ แต่เนื้อปลายังฉ่ำในและไม่อมน้ำมัน คนชอบกินผักต้องสั่ง Grilled Fish Salad With Italian Dressing สลัดปลาอังเกยย่าง ราดซอสอิตาเลียนรสเปรี้ยว หอมกลิ่นเลมอน ต่อด้วย Spicy Pomodoro Fish ปลาเสือซ่อนเล็บเนื้อแน่นผัดกับซอสแดง ได้กลิ่นและรสจากมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยวเผ็ด อร่อยลงตัว นอกจากปลาไทยที่เป็นวัตถุดิบหลักแล้ว ยังเสริมทัพด้วยโปรตีนจากอาหารทะเลอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Pesto Prawn ทาปาสซอสเพสโต ร้านให้กุ้งโอคักไซส์เบิ้มคลุกซอสโหระพา รสเค็มเล็กน้อย กินคู่ขนมปังกรอบ เข้ากันได้ดี ตามด้วย Louisiana Squid หมึกหอมย่างสมุนไพรในสไตล์ลุยเซียนา ปรุงรสอย่างเบามือด้วย เกลือ พริกไทย ก่อนกินให้บีบเลมอนเพิ่มความสดชื่น อร่อยได้โดยไม่พึ่งน้ำจิ้มซีฟู้ด รีบหาวันว่าง แล้วเริ่มจองคิวได้ตั้งแต่เวลา 11.00 น. (ณ วันที่ไป) ผ่านทาง LINE OA : @fishmonger เท่านั้น

มุมหนึ่งในบริเวณอาคารมหาทุนพลาซ่าคือที่ตั้งของ Hybrid Restaurant and Wine Bar ร้านอาหารไทยในสไตล์ผสมผสานที่สะดุดตาด้วยประตูไม้กรุกระจกบานใหญ่และผนังอิฐมอญสีส้ม อีกด้านหนึ่งของร้านเป็นครัวเปิดให้มองเห็นทีมเชฟตระเตรียมจานอาหารกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่พื้นที่ชั้น 2 ของร้านก็เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นไวน์บาร์ขนาดย่อม เชฟซาช่า - ยอดหญิง ภูมิเจริญ ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของร้านและเชฟประจำร้านตั้งใจคัดสรรเมนูอร่อยในความทรงจำ ทั้งที่เป็นเมนูประทับใจในวัยเด็กและเมนูที่เคยปรุงให้เพื่อนๆ รับประทานกันเมื่อครั้งทำงานอยู่อิตาลี โดยรังสรรค์ขึ้นใหม่ซึ่งแน่นอนว่าต้องพลิกแพลงให้เป็นสไตล์ Hybrid และเป็นเมนูลายเซ็นต์ที่อยากทุกคนได้ลิ้มลอง ในคอนเซ็ปต์ Modern Interpretation of Thai Cuisine with a Twist ทางร้านจะเสิร์ฟอาหารเป็นเซ็ตคอร์สซึ่งมีให้เลือก 3 เซ็ต เป็นเซ็ตเล็ก กลาง และใหญ่ ทุกเซ็ตสามารถเลือกเสิร์ฟพร้อมไวน์แพริ่งได้ อาทิ เซ็ตกลาง Day Dreaming ที่ประกอบด้วย Amuse-Bouche เรียกน้ำย่อยกันด้วยข้าวเกรียบมันฝรั่งที่มาพร้อมครีมซอสมันฝรั่งข้าวโพดหวานตกแต่งด้วยดอกไม้จิ๋วสีสวย อีกชิ้นเป็นปลาหมึกนึ่งมะนาวที่ทำมาในรูปเจลลี่ให้รสชาติจี๊ดจ๊าดกำลังดี และชิ้นที่ 3 เป็นทาร์ตน้ำพริกกะปิที่เพิ่มโยเกิร์ตเข้าไป ภายในตัวทาร์ตมีไข่เจียวและใบชะคราม ท็อปด้วยไข่เค็มชิ้นเล็กๆ และตูเล่อบกรอบๆ อร่อยลงตัวทุกคำ จากนั้นเสิร์ฟจานแรกเป็น Garden of Flavour ซึ่งเชฟซาช่าเผยว่าคือต้มข่าปูที่ปรับรสชาติใหม่ หน้าตาสวยงามชวนกิน เชฟใช้ดอกซูกินียัดไส้เนื้อปูผสมพริกเจลาเปโน่ ผิวมะกรูด ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยขาวนิดหน่อย ตกแต่งด้วยผักเกล็ดหิมะ วางมาบนน้ำซอสรสชาติชวนให้น่าค้นหาไม่เบา จานนี้เชฟเน้นให้อร่อยด้วยความสดของวัตถุดิบที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งรสชาติมากนัก และมีความเป็นอิตาเลียนในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนผสมผสานอยู่ จานถัดมา Bloody Buff หรือบีฟทาร์ทาร์ ซึ่งก็จะเป็นลาบก้อยของบ้านเรานั่นเอง เชฟเลือกใช้เนื้อเทนเดอร์ลอยน์อาร์เจนติเนียนซึ่งมีความนุ่ม และไม่คาว ปรุงให้เหมือนลาบก้อยสไตล์อีสาน ตัวซอสเป็นมะขามผสมวิสกี้และข้าวคั่ว เพิ่มความหอมด้วยแบล็กมินต์ ปิดหน้าด้วยบีตรูตเจลสีแดงสดเพิ่มความรู้สึก Bloody เต็มพิกัด ต่อด้วย Sunrise in Chiang Mai ซึ่งก็คือข้าวซอยไก่ แต่ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่ตัวเส้นซึ่งทำจากมันฝรั่ง ทั้งเส้นนิ่มและเส้นกรอบ น้ำแกงข้าวซอยรสชาติกลมกล่อม มีไก่หมักสมุนไพรซึ่งนำไปซูวีดกับแรดิชดอง ตักกินพร้อมกันในหนึ่งคำ อร่อยไม่เป็นรองจานไหนๆ มาถึง Palate Cleanser เมนูล้างปากที่เชฟเล่าขำๆ ว่าลูกค้ามักจะขอเพิ่ม เป็นซอร์เบต์ฝรั่งสีชมพู เสิร์ฟกับแผ่นคาราเมลน้ำปลาหวาน โรยผงบ๊วย แต่งด้วยช่อโหระพาอิตาเลียนสีม่วง ได้ความรู้สึกถึงการกินฝรั่งจิ้มน้ำปลาหวานที่หอมคาราเมล จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากความชอบกินฝรั่งแช่บ๊วยในวัยเด็ก ชามถัดไป Thailand to Japan เป็นแกงส้มไทยสไตล์ญี่ปุ่น ปรุงจากปลาหิมะ อาร์ติโชก ใบชะคราม ท็อปด้วยไข่ปลาเทราต์ น้ำซุปเป็นแกงส้มผสมกับผงดาชิและยูซุ ได้รสชาติของแกงส้มแต่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นผสมผสานอยู่ซึ่งเชฟซาช่าสามารถบาลานซ์รสชาติของเครื่องแกงส้มกับผงดาชิได้กลมกล่อมมาก ของหวาน My Favorite Colors เป็นเมนูข้าวเหนียวมะม่วงที่ทำออกมาในสไตล์ Hybrid คำแรกเป็นมูสกะทิ มูสมะม่วง และมูสเสาวรส ท็อปมาบนข้าวเหนียว โรยพิสตาชิโอครัมเบิ้ลรอบๆ มีเจลลี่เสาวรสและมะม่วงสุกวางเคียงข้างกันมา แนะนำให้กินไล่เรียงรสชาติไปตามลำดับสร้างความประทับใจได้ดีเยี่ยม ปิดท้ายด้วย Petits Fours ซึ่งเป็นช็อกโกแลตซีเล็กชั่น  รูปทรงปิรามิดสามเหลี่ยมเป็นมูสช็อกโกแลตน้ำผึ้งดอกลำไยกับอัลมอนด์ รูปครึ่งวงกลมสีเขียวเป็นเลมอนผสมเสจ ภายในเป็นไวต์ช็อกโกแลต และชิ้นสี่เหลี่ยมเป็นดาร์กช็อกโกแลตและเฮเซลนัต ใครเป็นแฟนคลับช็อกโกแลตต้องไม่พลาดทั้ง 3 รสชาติ จบมื้อให้ฟินด้วยชาเบลนด์สูตรพิเศษของทางร้านที่มีส่วนผสมของสับปะรดแห้ง ผิวส้ม ผิวเลมอน เก็กฮวย ไทม์ แซฟฟรอน และลาเวนเดอร์ อีกสักแก้ว Déjà vu Set Menu 1990 บาท Wine Pairing 1590 บาท Day Dreaming Set Menu 2990 บาท Wine Pairing 1790 บาท Travel Diaries Degustation Menu 4120 บาท Wine Pairing 2190 บาท

อัญชัน เทอเรส ร้านอาหารไทยสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ในย่านพุทธมณฑล สาย 2 ที่เกิดขึ้นจากความรักในอาหารไทยของ คุณกิ๊ฟ –วัชราภรณ์ ลิมป์วชิรคม ผู้เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งคลุกคลีกับการทำร้านอาหารไทยอีสานชื่อดังอย่าง “แสนแซบ” มานานนับ 10 ปี และต้องการขยายความอร่อยสู่ร้านอาหารไทยในรูปแบบที่เป็นความชื่นชอบส่วนตัว โดยตั้งต้นจากตำรับอาหารที่คุณแม่ทำให้ทุกคนในบ้านรับประทานกัน ตกผลึกคอนเซ็ปต์ความเป็นโฮมเมดสไตล์ไทยๆ ด้วยชื่อ “อัญชัน” ซึ่งเป็นดอกไม้ริมรั้วเติบโตง่ายที่สื่อถึงความเรียบง่ายและยังเป็นดอกไม้กินได้ด้วย เมนูในร้านอัญชันจึงเป็นรสชาติอาหารฝีมือคุณแม่คู่กับอาหารที่ทำจากดอกอัญชัน และเพิ่มเติมเมนูอาหารที่หากินได้ยากหรือหากินที่อื่นไม่ได้เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ หมูกรอบคั่วน้ำปลา ที่รับประกันความกรอบฟู ราดน้ำซอสเค็มหวานสูตรเฉพาะของร้านซึ่งมีวิธีผัดคั่วในแบบที่คุณแม่กำกับไว้ เป็นเมนูยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องสั่ง ผัดสามเหม็น จานขายดีที่รวมเอาสะตอ ชะอม กระเทียมโทน ผัดใส่วุ้นเส้นและไข่ไก่ ผัดเกรียมๆ รสชาติเข้มข้น ได้ความมันของสะตอข้าวอ่อนๆ หอมกลิ่นกระทะ อร่อยครบเครื่อง ไข่ตุ๋นหน้ากระเทียมฉ่า เมนูคอมฟอร์ตฟู้ดที่ทุกคนในบ้านชื่นชอบ ไข่ตุ๋นนุ่มๆ เนื้อเนียน โรยหน้าด้วยกระเทียมฉ่ากับน้ำปลากลิ่นหอมเป็นที่สุด ไข่พะโล้แก้มหมู สูตรน้ำพะโล้ตำรับคุณแม่ ซึ่งคุณกิ๊บเปลี่ยนจากหมูสามชั้นที่มันเยอะเป็นแก้มหมูที่ให้รสสัมผัสของเนื้อและมีมันแทรกน้อยๆ ต้มข้ามวันจนน้ำพะโล้รัดตัวไข่ และแก้มหมูนิ่มนุ่มกินอร่อย แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นสูตรเครื่องแกงที่คุณแม่ตำเอง ซึ่งสีจะไม่เขียวเหมือนแกงเขียวหวานทั่วไป แต่รสชาติถึงเครื่อง กินพร้อมเนื้อปลากรายเด้งๆ รับรองติดใจ เมนูเครื่องดื่มแนะนำ อัญชันกาแลกซี ชาไทยอัญชัน อัญชันลาเต้ มะพร้าวอัญชัน อัญชันลิ้นจี่ ที่ใช้ดอกอัญชันปลูกเอง ยังมีของหวานอย่าง บัวลอย 7 สี และ สาคูเปียกลำไย ให้ปิดมื้ออาหารอย่างอิ่มเอม อิ่มแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหน ภายในบริเวณร้านยังมีพื้นที่สนามให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น มีแปลงผักให้เดินชม รวมถึงพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่ และนกสวยงาม เป็นต้น และภายในพื้นที่เดียวกันนี้ ยังมี ร้านกินผักกัน และ Charcoal Steak & Home Made Pizza ทางเลือกสำหรับผู้ชื่นชอบเมนูสลัด สเต๊กและพิซซ่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมกิจกรรมในวันเสาร์-อาทิตย์  อาทิ จัดเป็นตลาดนัดเล็กๆ มีกิจกรรมปั้นดิน ถักกระเป๋า ร้านเซรามิก ร้านต้นไม้ ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละเดือน และหากท่านใดสนใจร่วมเป็นหนึ่งในร้านค้าก็สามารถติดต่อมาที่ร้านอัญชันเทอเรสได้เช่นกัน อีกหนึ่งไฮไลต์ที่มีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ คือ การเปิดสวนผีเสื้อให้เข้าชมและเพลิดเพลินความงามของผีเสื้อตัวน้อยที่ออกโบยบินรับแสงแดด และสามารถสั่งชุดเมนูน้ำชายามบ่ายมานั่งจิบภายในสวนผีเสื้อได้ ตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ขณะเดียวกัน บนชั้น 2 ของร้านยังเปิดเป็นโรงเรียน Montessori ซึ่งเป็นการเรียนการสอนจากฝั่งสแกนดิเนเวียที่สอนให้เด็กเลือกที่จะคิดจะทำด้วยตัวเอง โดยเปิดรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่าเป็นพื้นที่ที่ครบครัน รองรับคนทุกเจนในครอบครัวจริงๆ

Craftport ร้านอาหารและบาร์แห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ โดดเด่นด้วยวิวสวยของสะพานพระราม 8 และสะพานซังฮี้ยามพระอาทิตย์ตก ให้เราดื่มด่ำกับมื้อค่ำได้อย่างเพลินหัวใจ อย่างที่รู้กันว่าโรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ มีชื่อเสียงในเรื่องเรือสำราญ อาหารและเครื่องดื่มที่ Craftport จึงไว้ใจได้ ทางร้านนำเสนอเมนูนานาชาติที่มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน และอาหารยุโรป อีกทั้งมี Selection ของเครื่องดื่มค่อนข้างหลากหลาย ทั้งในบ้านเราและนำเข้าจากต่างประเทศ เขมรตีลาว ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารกัมพูชาและลาว เสิร์ฟในรูปแบบของเมี่ยงคำแต่ห่อด้วยใบคะน้าแทนใบชะพลู ในจานแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งลาวเด่นที่หน่อไม้ทอดและไก่สับ ส่วนฝั่งกัมพูชาเป็นกุ้งแห้ง ปลากรอบ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แนะนำให้กินพร้อมกันใน 1 คำจะได้ทั้งรสเค็ม เปรี้ยว หวาน เผ็ด แบบไม่ต้องราดน้ำจิ้ม กุ้งมรกต เมนูย้อนวัย กุ้งตัวโตชุบแป้งทอดกรอบเคล้าด้วยมายองเนส เสิร์ฟในกระทงเผือกทอดที่ทำใหม่ทุกออเดอร์ ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน ห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าวอ่อน รสชาติเข้มข้นและหอมมัน อย่าลืมขูดเนื้อมะพร้าวกินพร้อมห่อหมกด้วย นอกจากนี้ยังมี ปลาหมึกไข่นึ่งพริกมะนาว ที่เราขอยกนิ้วให้ในความจี๊ดจ๊าดจัดจ้าน รวมถึง สเต๊กเนื้อริบอาย เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วก็เข้ากันดี อิ่มแล้วนั่งฟังเพลงต่อได้อีกยาวๆ

สายสุขภาพโปรดทราบ! “SaladStop Thailand” ร้านอาหารสุขภาพจากเกาะสิงคโปร์บุกโลเคชั่นใหม่ที่ Marché Thonglor (BTS ทองหล่อ) เรียบร้อยแล้ว ให้ทุกคนได้เอ็นจอยกับพื้นที่ 2 ชั้นกว้างๆ ที่สามารถพาน้องหมาน้องแมวมาเช็คอินได้ (Pet Friendly) พร้อมอร่อยกับผักออร์แกนิกส์ที่ส่งตรงมาจากเมืองเชียงใหม่ และน้ำสลัดรสจัดจ้านถูกใจคนเอเชีย ที่รสชาติดีปราศจากผงชูรส จานแรกเราเลือกเป็นเมนูน้องใหม่แกะกล่อง Bibim Go สลัดชามใหญ่ที่ประกอบด้วยไก่ย่างโคชูจังรสเค็มกลมกล่อม เนื้อไก่ฉ่ำในไม่ด้าน ควินัวอุ่นๆ กิมจิโฮมเมด เห็ดย่าง แครอต แตงกวา และไข่ต้มยางมะตูมเยิ้มๆ กินคู่น้ำสลัดในแบบฉบับเกาหลีรสเผ็ดนิดๆ Tuna San โดดเด่นด้วยน้ำสลัดวาซาบิน้ำผึ้ง ได้รสหวานฉ่ำอมเปรี้ยวนิดๆ เผ็ดซ่าหน่อยๆ คลุกเคล้ากับผักสลัดกรุบกรอบ ส้มแมนดาริน มะเขือเทศเชอร์รี อะโวคาโด และเซียทูน่าสด Upstream อิ่มเอมกับคิวนัวไรซ์เบอร์รีหนึบๆ เสิร์ฟเคียงแซลมอนชิ้นโตย่างอย่างดี จนได้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ และผักย่างต่างๆ ราดน้ำสลัดผลไม้รสสดชื่น อย่าลืมสั่ง Hola Tago สลัดสไตล์เม็กซิกันรสเผ็ดร้อนพอดี อร่อยกับเนื้อหมูฉีกแน่นๆ แป้งตอร์ติญ่าทอด ชีส ถั่วดำ และผัดสดอย่าง แตงกวา มะเขือเทศ อะโวคาโดครีมมี สั่งสลัดมาเยอะแล้วเราลองแร็ปกันบ้างดีกว่า Kokoro ก็ดีงาม นิ่มๆ สอดไส้แซลมอนเนื้อหวาน ผักโขม ผักกะหล่ำ ข้าวโพดหวาน และไข่ขาว มิ๊กซ์น้ำสลัดงาเลมอน รสเข้มข้น หอมฟุ้ง เครื่องดื่มต้อง Berrylicious เครื่องดื่มสีม่วงสวยที่ทำจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี ปั่นพร้อมน้ำมะพร้าวหวานฉ่ำ ดริ้งก์สุขภาพสำหรับสายออกกำลังกาย Cheeky Monkey เพราะมีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต ผลไม้ตระกูลเบอร์รี กล้วย น้ำผึ้ง และนมถั่วเหลือง ยังมี Yellow Mellow สมูตตี้รสเปรี้ยวอมหวานที่ครีเอทจากเสาวรส มะม่วงสุก สับปะรดและน้ำมะพร้าว ปิดท้ายที่ Tropical Dream โดดเด่นด้วยรสชาติของเซเลรี ผสานผักเคล สับปะรด กล้วยและโยเกิร์ต รอเช็คอินสาขาต่อไปไม่ไหวแล้ว

เข้มข้นจัดจ้านไปตั้งแต่สีของร้านตลอดจนเมนูอาหารที่เสิร์ฟ สำหรับ Soso.bangkok ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งใหม่บนถนนบวรนิเวศน์ ที่รังสรรค์เมนูแนว Asian Twist ผสมผสานเมนูอาหารชื่อดังของไทย เกาหลี จีน ญี่ปุ่น อินโด รวมถึงฮ่องกง ไว้ด้วยกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทางร้านเป็นตึกแถว 4 ชั้น ที่มีกิมมิคเป็นบันไดวนโทนส้มแดงเชื่อมต่อชั้น 1 และ 2 สำหรับนั่งรับประทานอาหาร ซึ่งในอนาคตยังมีแพลนจะเนรมิตชั้นบนให้เป็นสตูดิโอ ห้อง workshop เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ เมนูแรก คิมโซบับทูน่ากิมจิเบอร์เกอร์ (135.-) ทางร้านใช้ข้าวญี่ปุ่นนำไปชุบไข่ปรุงรสและทอดจนด้านนอกกรอบเล็กน้อย สอดไส้ไข่ฝอย แตงกวาญี่ปุ่น ทูน่ามาโย กิมจิโฮมเมดและสาหร่ายญี่ปุ่น ผัดหมี่โกเรงหมาล่า (140.-) ผัดหมี่พื้นเมืองสไตล์อินโดรสกลมกล่อม โรยผงหมาล่าเพิ่มความเข้มข้น กินพร้อมข้าวเกรียบเคี้ยวเพลิน ซุปมิโซะเกี๊ยมบ๊วยหมูสับ (125.-) เมนูซุปลูกผสมที่จับรสเค็มของซุปมิโซะกับรสเปรี้ยวจากต้มเกี๊ยมบ๊วยให้มาอยู่ในชามเดียวกัน แต่อร่อยเข้ากันได้อย่างลงตัว สลัดแขกกาโดกาโด (155.-) สลัดสไตล์อินโดจานใหญ่กินได้จุใจ ประกอบไปด้วยผักสลัด เห็ดย่าง ไข่ต้ม ข้าวเกรียบและเต้าหู้ทอด เสิร์ฟคู่กับน้ำสลัดแขก หอมมันถั่ว ของหวานแนะนำให้ลอง เค้กกล้วยหอม สูตรโฮมเมดเนื้อสัมผัสนุ่มหนึบมีส่วนผสมของวอลนัต แครนเบอร์รีอบแห้ง และเมล็ดฟักทอง ท็อปด้วยวิปครีม โรยผงโกโก้  จับคู่กับ Signature Mango Milk เมนูนมปั่นที่ให้รสสัมผัสเหมือนกินข้าวเหนียวมะม่วง ด้านบนโรยถั่วทองเค็มมันให้เคี้ยวกรุบๆ

เป็นแฟนคลับ ร้านหมูกระทะคนรวย (Crazy Rich Thai BBQ)” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเขาเปิดสาขาใหม่ทั้งทีงานนี้เราไม่พลาดแน่นอน ครั้งนี้ทางร้านเลือกปักหมุด ‘ไอคอนสยาม’ จุดหมายปลายทางของฟู้ดดี้ชาวฝั่งธนฯ นอกจากจะได้ลิ้มรสหมูกระทะรสจัดจ้านแล้ว ยังได้ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มพิกัด โดยเฉพาะยามเย็นบรรยากาศดีงามมาก เรียกน้ำย่อยฉบับคนรักรสแซ่บด้วย ส้มตำด๊องแด๊ง อาหารพื้นถิ่นของเชียงคาน เส้นด๊องแด๊งนุ่มๆ ผสมเส้นขนมจีนเหนียวนุ่ม คลุกเคล้า เครื่องส้มตำรสจัดจ้าน ได้เค็มนัวจากปลาร้าคุณภาพ ตำข้าวโพด รสหวานพอเหมาะ ที่แฝงไปด้วยความแซ่บเป่าปาก ลาบหมู หมูเนื้อนุ่ม ผสมกับเครื่องลาบหอมๆ ได้กลิ่นข้าวคั่วชัดเจน ยำหมูยอ ก็อร่อย หมูยอเนื้อแน่น มิ๊กซ์น้ำยำรสเด็ด เผ็ดอย่าบอกใคร คนรักเนื้อต้องเลิฟ เนื้อออสซูวีส์สไตล์ไทย เนื้อสัญชาติออสเตรเลียนุ่มลิ้น ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเผ็ดเปรี้ยว คอหมูย่างน้ำผึ้ง ที่หลายคนชอบ คอหมูย่างเนื้อนุ่มสู้ฟัน ได้รสหวานจากน้ำผึ้ง ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำจิ้มแจ่ว สามชั้นทอดน้ำปลา ผิวนอกกรอบ ภายในเนื้อนุ่มได้ใจ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มแจ่วรสเผ็ดเปรี้ยว ข้าวผัดเบคอน ที่ทางร้านใช้ข้าวเหนียว ผัดกับเบคอนรสเค็มนุ่มนวล และแล้วก็ได้เวลาของพระเอกอย่างหมูกระทะสักที ที่คราวนี้เราจัดเต็มสั่ง ชุดอภิมหาเศรษฐี อลังการ ให้คุณอร่อยกับหมูสามชั้น หมูสันนอก เบคอน กุ้ง ปลาหมึกกรอบ ปลาหมึกสด และชุดผักสด จิ้มกับน้ำจิ้ม 4 สไตล์อย่าง น้ำจิ้มหวาน น้ำจิ้มเค็ม น้ำจิ้มปีศาจ และน้ำจิ้มสามรส ชุดจิ้มจุ่มคนรวย น้ำซุปจิ้มจุ่มร้อนๆ เสิร์ฟมาในหม้อดินเผาคลาสสิก พร้อมอร่อยกับหมูสันนอกหมักสูตรพิเศษ ทำให้เนื้อสัมผัสหมูนุ่มลิ้น กินกับน้ำจิ้มสูตรลับรสเข้มข้น เครื่องดื่มเราแนะนำ บ๊วยมะนาว รสจี๊ดจ๊าด ชื่นใจ และ ลิ้นจี่โซดา น้ำลิ้นจี่รสหวานฉ่ำ ผสมกับโซดาซาบซ่า สดชื่น

มีเรื่องให้แวดวงอาหารได้ตื่นเต้นกันอีกแล้ว เมื่อ Den Kushi Flori (เดน คูชิ ฟลูโลริ) ร้านอาหารระดับท็อปลิสต์ 1 ดาวมิชลินจากชิบูย่า โตเกียวมาเปิดที่กรุงเทพฯ แล้วที่ชั้น LG เอราวัณ แบงค็อก Den Kushi Flori เกิดจากการรวมตัวของ 2 เชฟเพื่อนซี้ เชฟ Zaiyu Hasegawa เชฟโอนเนอร์ร้าน Den ร้านไคเซกิชื่อดังจากโตเกียวที่คว้าอันดับ 1 จาก Asia’s 50 Best Restaurants for 2022 มาครอง และ Chef Hiroyasu Kawate เชฟโอนเนอร์แห่งร้าน Florilège ร้านอาหารฝรั่งเศสแนวโมเดิร์นเจ้าของรางวัลอันดับ 3 จาก Asia’s 50 Best Restaurants for 2022 โดยใช้คำว่า “Kushi” หมายถึงอาหารแบบเสียบไม้มาเชื่อมทั้ง 2 ร้านเข้าไว้ด้วยกัน อาหารของ Den Kushi Flori จึงเป็นการนำจุดเด่นของอาหารฝรั่งเศสมาเจอกับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นซึ่งเชฟนิยามว่าเป็น “Den Kushi Flori’s Style” สำหรับสาขากรุงเทพ เราจะยังได้เห็นบรรยากาศของร้านที่คล้ายคลึงกับร้านที่ชิบูย่า ทั้งโทนสีเข้มและเคาน์เตอร์บาร์รูปตัวยูกับที่นั่ง 18 ที่ โดยได้เชฟ Susumu Shimizu เชฟจากสาขาที่ญี่ปุ่นมารับหน้าที่รังสรรค์เมนูให้นักกินชาวไทยได้ลิ้มลอง อีกทั้งยังนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาใช้ได้อย่างสนุก   วันที่ได้พบกับเชฟทั้ง 3 คน เราได้ลอง 3 เมนูคือ Deep Fried Taro with Bisque Soup, Clay Pot Rice with Japanese Sweet Corn and Wagyu Beef และ Daifuku Mochi แต่ที่ประทับใจจนกลับไปนอนคิดถึงคือ Clay Pot Rice with Japanese Sweet Corn and Wagyu Beef ข้าวอบข้าวโพดหวานในหม้อดินที่ท็อปด้วยเนื้อวากิวนุ่มฉ่ำที่มาพร้อม “น้ำจิ้มแจ่ว” รสจี๊ดจ๊าด อร่อยจนเราอยากขอเพิ่มอีกชาม แว่วมาว่า Den Kushi Flori มีแพลนจะเปิดที่นิวยอร์กในปีหน้า เชฟเปรยว่าแม้จะมีความต่างกันในเรื่องทำเล แต่อาหารของที่ร้านจะยังเป็นไฮไลต์เช่นเคย   สำรองที่นั่งได้ที่ 0-2022-0200 หรือ Line OA : @denkushiflori หรือ https://www.tablecheck.com/en/denkushi-flori-bkk/reserve/message   เปิดบริการ มื้อกลางวัน 12.00-15.00 น. 5 คอร์ส 2,800 บาท++ มื้อค่ำ 18.00-21.30 น. 7 คอร์ส 3,500 บาท++ (หยุดทุกวันอังคาร)

ชวนไปเช็คอินชิมบรันช์แสนอร่อยที่ Dosan Dalmatians 달마시안 ร้านบรันช์สุดคิวท์ชื่อดังของเกาหลีที่ตอนนี้มาปักหมุด ใจกลางสยามสแควร์วัน โดยตกแต่งร้านออกมาได้เก๋ไก๋สอดแทรกความน่ารักของน้องหมาพันธุ์ดัลเมเชียลไว้ทั่วทุกมุมของร้าน ทาสสุนัขมาแล้วรับรองว่าใจละลาย ตัวร้านมาในรูปแบบตึก 4 ชั้นมองเห็นความคึกคักของวิวย่านสยามสแควร์จุดเช็คอินของหมู่วัยรุ่นได้แบบเต็มตา โดยมีไฮไลต์เป็น Rooftop โทนสีเหลืองครีมสดใส ที่มีน้ำพุลอยดอกไม้ตั้งอยู่กึ่งกลาง ออกแบบมาได้คล้ายบ้านในแถบชนบทของยุโรป ซึ่งเหมือนกับสาขาอัพกูจองที่ประเทศเกาหลีเลย นอกจากทางร้านจะเสิร์ฟ all day brunch สไตล์เกาหลีที่ผสานความเป็นตะวันตกไว้ด้วยเหมือนที่สาขาหลักแล้ว ยังมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่ครีเอตขึ้นเฉพาะในไทย รสชาติเข้มข้นน่าลิ้มลอง อย่าง สปาเกตตีพริกกระเทียมเบคอน (370.-) เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มฉ่ำมาด้วยซอสพริกแห้งรสเผ็ดร้อน หอมกลิ่นกระเทียม กินพร้อมเบคอนกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน Apple Bries Cheese Salad (420.-) สลัดแอปเปิลสดกรอบที่ได้ความมันนัวจากตัวบรีชีส เสิร์ฟพร้อมพาร์ม่าแฮมและผักสลัด ราดด้วยน้ำสลัดราส์ปเบอร์รีสีสวย เปรี้ยวหวานกินแล้วสดชื่น อิ่มท้องด้วยเมนู Korean Beef Steak (1490.-) เนื้อเกาหลีหั่นเต๋า ที่ย่างมาได้สุกกำลังดีนุ่มฉ่ำละลายในปาก เสิร์ฟพร้อมผักสลัดและเฟรนช์ฟรายส์ ของหวานต้องลอง Strawberry Pancake (420.-) ขนมหวานไซส์ใหญ่อลังการ สัมผัสนุ่มละมุนจากแพนเค้กและครีมสดหอมหวานสตรอว์เบอร์รี หรือจะเลือกเป็น Fruit Yogurt Crepe Cake (370 บาท) เครปเค้กที่สลับชั้นครีมและเนื้อผลไม้สดมาแบบไม่หวง ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ Damatian Horicks (160.-) เครื่องดื่มมอลต์หอมละมุนกลมกล่อม โรยผงโกโก้เป็นหน้าน้องสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน น่ารักจนขโมยใจเราไปเต็มๆ

ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคักในย่านไชน่าทาวน์ของกรุงเทพมหานคร ลึกเข้าไปในซอกซอยอันซับซ้อน ป้ายอักขระสีทองภาษาไทย-จีนบนบานประตูตึกแถวที่เขียนว่า ‘หวังขายยาโพทง เจ้าของยาปอคุนเอี๊ยะบ๊อ’ เป็นดั่งสัญลักษณ์ที่ทำให้เรารู้ว่าได้มาถึง POTONG (โพทง) หนึ่งในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่กำลังมาแรงที่สุดแห่งหนึ่งในตอนนี้ POTONG (โพทง) เป็นร้านอาหารภายใต้การนำของเชฟแพม-พิชญา สุนทรญาณกิจ ทายาทรุ่นปัจจุบันของร้านขายยาแห่งนี้ ที่ตัดสินใจนำอาคารแถวของตระกูลมาเนรมิตใหม่จนกลายเป็นร้านอาหารที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมแบบจีนตามทำเลที่ตั้ง ผสมผสานกลมกลืนไปกับความโมเดิร์นอย่างลงตัว บาร์เครื่องดื่มบริเวณชั้นแรกของร้านสร้างความประทับทันทีด้วยบรรดาโหลดองคอมบูชะ ไปจนถึงบรรดาชาและสมุนไพรจีนต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของ POTONG (โพทง) ในการหยิบเอากรรมวิธีหมักดองและอาหารการกินแบบไทย-จีน มาเป็นหัวใจสำคัญในเมนูต่าง ๆ ส่วนหนึ่งของคอร์สเมนู The New Experience อันน่าตื่นเต้นของ POTONG ประกอบไปด้วย 20+ เทสติ้งเมนู โดยมีจานที่โดดเด่นอย่าง Beautiful ขนมปังขนาดพอดีคำ ปาดด้วย Mud Crab Roe Emulsion อิมัลชันทำจากไข่ปู คู่กับ Black Pepper Jam แยมพริกไทยดำ จากนั้นโปะเนื้อปูลงไป พร้อมด้วยสาหร่ายพวงองุ่น ให้รสชาติเข้มข้นจากปูและความเผ็ดร้อนของพริกไทยดำอบอวลอยู่ในปาก แล้วซด Crab Broth ซุปสีน้ำตาลเข้มที่ให้รสชาติของปูอย่างกลมกล่อม ปิดท้ายจานนี้ อีกจานที่โดดเด่นไม่แพ้กันนั้นมีชื่อว่า Reincarnated ซึ่งหยิบเอาเมนูราดหน้ามาเป็นแรงบันดาลใจ ในชามนี้ประกอบไปด้วยเส้นบะหมี่ไข่ 2 สี ขาวและดำ จึงมีชื่อเล่นว่า ‘หยิน-หยาง’ มาพร้อมกับซอสมอเรลใส่น้ำมันงากับพริกไทยดำเสริมกลิ่นอายอาหารจีน ข้างบนเป็นเจลลีใสรสเปรี้ยวเสมือนการกินราดหน้าปรุงรสด้วยพริกน้ำส้มสายชู ท็อปด้วยคาร์เวียร์ โดยก่อนกินพนักงานจะฝนคัตสึโอะบูชิรูปแบบก้อนที่ได้จากการนำกุ้งแห้งมาหมักไข่จนเป็นไข่เค็ม ลงไปเพื่อเพิ่มอูมามิ ส่วนของเมนคอร์สที่เรียกว่า Family เป็นอาหารชุดใหญ่กินอิ่มทั้งโต๊ะ ตามแบบฉบับวัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทย-จีน ซึ่งประกอบไปด้วย ‘ข้าวผัด’ ที่ส่งกลิ่นหอมคั่วกระทะ คลุกเคล้าเข้ากับแปะก๊วย เห็ดหอมผัดซอส เผือกนึ่ง และต้นหอมผัด กินคู่กับ ‘อกเป็ด’ เนื้อนุ่ม หนังกรอบ ที่ผ่านการดรายเอจมาแล้ว 14 วัน พร้อมด้วย ‘หัวเป็ด’ พร้อมสมองที่ท็อปด้วย Herb Custard สมุนไพรไทยคล้ายเมนูหมกทางภาคเหนือ ‘เป็ดกรอบ’ เป็ดบดปรุงรสทำหน้าตาคล้ายหมูกรอบ และ ‘หัวใจเป็ด’ เสียบไม้ จิ้มกินกับซอสสูตรเฉพาะของ POTONG ที่มาทั้งหมด 3 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ บาร์บีคิว, ผักชี-ขิง และชิลลี่ออยล์ นอกเหนือจากสารพัดเมนูจากเป็ดแล้ว ในเมนูเดียวกันนี้ยังมี ‘ผัดผักแขนง’ ซึ่งเป็นการรวมตัวของอูมามิจากหลากหลายส่วนผสม ไม่ว่าจะเป็นซอสกระเทียมดอง เต้าเจี้ยว อูมามิครัมจากข้าวพอง รวมถึงเห็ดหอมแห้ง พริกไทยดำ ชาดำ และผงต้นหอม ข้าง ๆ กันคือ ‘หม่าผอโต้วฝุ (Mapo Tofu)’ ซึ่งด้านล่างเป็นไข่ชาวังมูชิ ด้านบนคือหม่าผอโต้วฝุทำจากขาเป็ดบดกับซอสเสฉวน แกล้มด้วย ‘กานาฉ่าย’ และแตงกวา เป็นร้านที่ให้กลิ่นอายของวัฒนธรรมไทย-จีน สอดแทรกอยู่ในทุก ๆ ประสบการณ์จริง ๆ

Grey89 Casual Bistro & Bar ร้านอาหารเปิดใหม่ย่านพุทธมณฑลสาย 3 เน้นเสิร์ฟเมนูแบบไทยๆ ในสไตล์อาหารใต้แท้ๆ จากรสมือคุณแม่ของเจ้าของร้าน และยูโรเปียนฟู้ดที่รังสรรค์โดยเชฟฝีมือดีจากร้านดัง ด้วยความที่มีอาหารหลากสไตล์นั้น ทำให้ Grey89 กลายเป็นหมุดหมายแห่งใหม่ของชาวพุทธมณฑลสาย 3 เพราะไม่ว่าจะนั่งรับประทานอาหารหรือดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ เสียงดนตรี และเครื่องดื่ม ก็สามารถทำให้ทุกคนอิ่มเอมใจทุกครั้งที่มาสังสรรค์ในพื้นที่แห่งนี้ ส่วนเสน่ห์ของแต่ละเมนูคือรสชาติอาหารแบบดั้งเดิม วัตถุดิบคัดสรรพิเศษ และปรุงอย่างบรรจง โดยเฉพาะอาหารพื้นเมืองจากภาคโต้บ้านเรา ที่ให้รสจัดจ้านถึงพริกถึงขิง ไม่ติดหวาน จากเครื่องแกงตำมือ รับประกันความอร่อย ถูกปากสายใต้อย่างแน่นอน พลาดไม่ได้กับเมนู โรตี มัสมั่นหมู เครื่องแกงเนื้อเนียนละเอียด หอมกลิ่นเครื่องเทศ เชฟใช้หมูที่เคี่ยวเป็นเวลา 6 ชั่วโมง มาเสิร์ฟ เนื้อนุ่มละลายในปาก กินกับอาจาดช่วยตัดเลี่ยนได้ดี ตามมาด้วย บักกุ๊ดเต๋ ซุปกระดูกหมูจากภาคใต้บ้านเรา จุดเด่นอยู่ที่กระดูกหมูต้มจนเปื่อยนุ่ม โดยใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 6 ชั่วโมง ส่วนเครื่องต่างๆ นำเข้าจากสิงคโปร์ ประกอบไปด้วย กระดูกหมู เห็ด และฟองเต้าหู้ ได้รสหวานของน้ำซุป และหอมกลิ่นเครื่องเทศ เผ็ดกากกากสลิดแดด เมนูข้าวผัดเครื่องแกงใต้กับกากหมู ท็อปด้วยปลาสลิด ได้รสเผ็ดและมันนัวจากกากหมู ตัดรสด้วยไข่ต้ม อร่อยทีเดียว ต่อด้วยเมนูแกงใต้อย่าง แกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อน ได้รสเปรี้ยวและเผ็ดปลาย หอมกลิ่นขมิ้น ซดร้อนๆ กับเนื้อปลากะพง และยอดมะพร้าวอ่อน อร่อยมาก เมี่ยงคำ มีให้เลือกทั้งกลีบดอกบัวและใบชะพลู เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของร้านที่เคี่ยวจนได้ที่ ให้รสหวานเล็กน้อย กินคู่เครื่องเครา อร่อยครบรส ใครอยากเปลี่ยนฟีล แนะนำเป็นอาหารสไตล์ยุโรป อย่าง เทนเดอร์ลอยน์ เนื้อสันในนำเข้าจากออสเตรเลีย เสิร์ฟคู่ผักย่าง มันบดเนื้อละมุน เสริมรสด้วยซอสเปเปอร์ สลัดบูร์ราตาชีส ผักสลัดสดจากฟาร์ม กินคู่ชีสบูร์ราตาก้อนโตที่ต้องสั่งจองหลายอาทิตย์ เพิ่มรสชาติด้วยบัลซามิก อร่อยกลมกล่อม ทาเลียเทลเลเส้นสดซอสทรัฟเฟิล เส้นพาสตาคลุกกเคล้าซอสทรัฟเฟิลรสชาติเข้มข้น ได้รสเค็มเล็กน้อย มีความหอมมัน และครีมมี่มาก ต่อด้วย ข้าวกะรีม่อน ข้าวผัดผงกะหรี่ผสมลูกเกด เข้ากันได้ดีกับแซลมอนเนื้อสุกกำลังดี เพิ่มรสชาติด้วยซัลซามะม่วง มะเขือเทศ หอมแดง และแตงกวา และ สเต๊กปลากะพง เราเลือกเป็นซอสเลมอนรสเปรี้ยวหวาน กินคู่ปลากะพงชิ้นใหญ่ เนื้อแน่นและขาวอวบ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย เคียงด้วยฟักทองญี่ปุ่นกับราตาตุย เข้ากันได้ดีทีเดียว ปิดท้ายด้วยขนมหวาน เราเลือก หอมนวล บัวลอยเผือกทำเอง เคียงด้วยไอศกรีมกะทิ รสหวานกำลังดี ในส่วนของเครื่องดื่มก็มีให้เลือกสรรมากมายอย่าง กาแฟมะพร้าว เอสเปรสโซ 2 ช็อต ได้รสเข้มข้นของกาแฟที่ตัดด้วยความหวานหอมและละมุนจากไอศกรีมกะทิ ภายในยังมีเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวกรุบอีกด้วย Pink Chamomile Tea ได้กลิ่นและรสจากชาคาโมมายล์ เสริมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ด้วยน้ำสตรอว์เบอร์รี และยูซุ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดี Waking Coffee ส้มจี๊ด กาแฟโคบูผสมส้มจี๊ด ได้รสเปรี้ยวสดชื่น นอกจากนี้ทางร้านกำลังจะขยับขยายเวลาทำการ เพื่อเสิร์ฟเมนูอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็น โจ๊ก ติ่มซำ ข้าวต้ม ไข่กระทะ และ Breakfast ตั้งแต่เวลา 07.00 - 12.00 น. (เฉพาะวันศุกร์ - อาทิตย์) รีบไปเช็กอินกันเลย

‘La Brace’ (ลา บาเช่) แห่งนี้คือ ร้านอาหารเปิดใหม่ในโครงการ Earth Ekamai (เอิร์ธ เอกมัย) ที่โดดเด่นเห็นมาแต่ไกลกับชื่อร้านบนหน้าจั่ว โดยมาในแนวคิดของกริลล์เฮาส์และไวน์บาร์ที่ตอบโจทย์ทั้งสายกินและสายดื่ม ท่ามกลางบรรยากาศร้านที่อบอุ่น โล่งโปร่งสบายด้วยบานกระจก เพดานสูง และพื้นที่สีเขียว La Brace เป็นคำในภาษาอิตาเลียนที่หมายถึง ‘ถ่านที่กำลังคุ’ เปรียบเสมือนภาพตัวแทนของเมนูอาหารซิกเนเจอร์ของร้าน นั่นก็คือเนื้อวัวพรีเมี่ยมที่ย่างโดยเชฟผู้มากประสบการณ์ โดยตัวเลือกเนื้อต่าง ๆ ล้วนคัดสรรมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัวจากออสเตรเลียแบรนด์เก่าแก่อย่าง Westholme และ Stockyards ซี่โครงแกะแบรนด์ Ambassador รวมไปถึงอาหารทะเลที่ส่งตรงมากจากทั่วโลก ทั้งยุโรป อเมริกา เอเชีย และออสเตรเลีย ไม่ใช่แค่เนื้อเท่านั้นที่เป็นไฮไลต์ของร้าน แต่เมื่อก้าวเข้ามาก็จะเห็นตู้โชว์ที่ชวนสะดุดตาทันที กับบรรดาโคลด์คัทและชีสนำเข้านานาชนิด รวมถึง “La Brace Homemade” Cured Duck Breast Pastrami อกเป็ดพาสตรามี ที่เป็นสูตรโฮมเมดเฉพาะของร้านลา บาเช่ ด้วย การรังสรรค์เมนูต่าง ๆ ภายในร้านลา บาเช่ นำทัพโดยเชฟมาร์ค เฮเก็นแบ็ค (Mark Hagenbach) เชฟชาวออสเตรเลียผู้พกพาประสบการณ์ทำอาหารมาแล้วมากกว่า 20 ปี ผู้รักในการทำอาหารสไตล์ ‘เฮฟวี่’ คือ ปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี อิ่ม อร่อย และสวย สำหรับไฮไลต์ของร้าน แน่นอนว่าต้องยกให้กับบรรยาเมนูย่าง โดยเฉพาะเนื้อวัว Wagyu+5 ที่ผ่านกรรมวิธีบ่มเปียก หรือ Wet Aged ที่ทำให้เนื้อนุ่มขึ้นและในขณะเดียวกันก็ไม่สูญเสียน้ำในตัวเนื้อไป โดยที่ร้านมีเนื้อวากิวให้เลือกหลากหลายส่วนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น สตริปลอยน์ ริบอาย เทนเดอร์ลอยน์ และโทมาฮอว์ก รวมทั้ง ซี่โครงลูกแกะ ที่ล้วนนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย และพิเศษขึ้นไปอีกขั้นเมื่อเสิร์ฟมาพร้อมเกลือทรัฟเฟิลที่ช่วยเพิ่มอรรถรสของเนื้อย่างได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนไม่กินเนื้อก็มี ปลากะพงฝรั่งเศสย่างซอสเคเปอร์มะนาว (Grilled French Seabass, Caper Lemon Sauce) ปลากะพงเนื้อนุ่ม มาพร้อมรสชาติเบา ๆ สดชื่นจากซอสเคเปอร์กับเลม่อน กินคู่กับบร็อกโคลี่และมันฝรั่ง นอกเหนือไปจากเมนูย่างแล้ว ที่นี่ยังมีอีกหลากหลายเมนูห้ามพลาด เช่น ทรัฟเฟิลชีสซูเฟล่ (Truffle Cheese Souffle) ชีสซูเฟล่ที่ขึ้นตัวสวยงามน่ากินเมื่อออกจากเตาพร้อมส่งกลิ่นหอม ๆ ของทรัฟเฟิลทันทีที่เข้าปาก จานนี้มาคู่กับสลัดผักใบเขียวสดกรอบ ส่วนของเมนูเส้นอันเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คนที่มาเยือนลา บาเช่ ต้องยกให้กับ สปาเกตตีซีฟู้ดอาราเบียตตา (Spaghetti Seafood Arrabbiata) ซอสมะเขือเทศเข้มข้นสอดแทรกด้วยความเผ็ด และที่ถูกใจสุด ๆ คือเขายกซีฟู้ดมาใส่ไว้เต็มจาน ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยของหวาน เครมบูเล่ เนื้อเนียนนุ่มละมุน ได้กลิ่นหอมและความกรุบกรอบของหน้าน้ำตาลไหม้ ในไวน์เซลลาของร้าน (และที่ไม่ได้เอาออกมาโชว์) นั้นมีไวน์ให้เลือกชิมมากกว่า 300 เลเบลจากทั่วโลก และไม่ได้จริงจังแค่เรื่องไวน์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะบริเวณบาร์ของร้านก็พร้อมรังสรรค์ค็อกเทลอีกหลากหลายเมนู โดยมีซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง La Brace Exotic เครื่องดื่มสีแดงที่ผสมผสานระหว่างวอดก้า ไซรัปสตรอว์เบอร์รี่ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม สับปะรด และไซรัปมะพร้าว Caballo เครื่องดื่มสีฟ้าแก้วนี้เป็นส่วนผสมของวอดก้า รัม น้ำสับปะรด ไซรัปมิ้นต์ และสุดท้ายคือ Caballo Orange ที่คล้ายกับแก้วก่อนหน้าแต่ว่าได้ความสดชื่นของส้มและเสาวรสเข้ามาเสริมด้วย ไม่ว่าจะเป็นสายกินหรือสายดื่ม รับรองว่าจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน

YEH Public House แค่ลุคเท่ๆ เข้มๆ ภายนอกก็มากเพียงพอแล้วที่จะดึงดูดให้เราสาวเท้าเข้ามาด้านใน และก็ทำให้ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเหมือนโลกอีกใบที่สว่างสดใสเต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งเป็นการผสมผสานมู้ดแอนด์โทนสไตล์เรโทรและโมเดิร์นเข้าด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนมาปาร์ตี้ที่มีกลิ่นอายสนุกๆ ของยุค 70’s ส่วนอาหารเป็นบรันช์ที่กินได้ทั้งวันรวมถึงเครื่องดื่มค็อกเทล ม็อกเทล และไวน์ที่คัดมาเป็นพิเศษ จานเด็ดห้ามพลาด อาทิ Burrata Truffle Salad จานโปรดของสายเฮลท์ตี้ที่มีชีสบรูราต้าและทรัฟเฟิลเป็นพระเอก ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกรสเปรี้ยวสดชื่น Pulled Pork Brioche ขนมปังบริยอชและซี่โครงหมูบาร์บีคิว โรยชีสพาร์เมซาน เสิร์ฟ 2 ชิ้นให้อิ่มจุกๆ กินเคียงกับพริกดองและแตงกวาดอง ช่วยตัดเลี่ยน อีกจานขายดียกให้ Rice with Crispy Pork Belly in Spicy Teriyaki Sauce ข้าวหมูกรอบคั่วพริกเกลือผัดซอสเทริยากิ ท็อปด้วยไข่ดาวเยิ้มๆ สาหร่าย และต้นหอมซอย ช่วยเพิ่มกิมมิกและรสชาติ ถ้าอยากชูรสเผ็ดแซ่บก็มีน้ำปลาพริกเสิร์ฟมาให้ด้วย Fried Rice with Spicy Black Ink and Seafood ข้าวผัดหมึกดำสไตล์สแปนิช ข้าวกรุบนิดๆ แต่งหน้าด้วยซีฟู้ด อิคุระ โรยกระเทียมเจียวหอมๆ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ปิดท้ายด้วยเมนู East Meet West อย่าง Linguine in Soba Sauce with Grilled Salmon ลิงกวินีผัดซอสปลาแห้งสไตล์ญี่ปุ่น ท็อปด้วยแซลมอนย่างเนื้อนุ่มฉ่ำและอิคุระ สำหรับเครื่องดื่มบริการทั้งแบบ Speed Bar, Slow Bar และ Cocktails & Wine ห้ามพลาด She Said !Yeh ยกให้เป็นตัวแทนหมู่บ้านที่ใครมาก็ต้องสั่ง รสชาติหวานอมเปรี้ยวจากส่วมผสมของวอดก้า แก้วมังกร ลิ้นจี่ เลมอน และเอลเดอร์ไซรัป แก้วนี้ยิ่งต้องลอง Honey Kiss หวานๆ เปรี้ยวๆ จากน้ำผึ้งและมะนาว ตามด้วยขมปลายลิ้นจากจิน แต่ถ้าไม่ดื่มแอลกอฮออล์แนะนำ Signature Coffee อย่าง Sun Lighting และ Lamoon Morning จากเมล็ดกาแฟเฮาส์เบลนด์ของร้าน จิบเพลินๆ ปลุกความสดชื่นได้ทั้งคู่ นอกจากนี้ยังมี DJs&Activities ที่เปลี่ยนมื้อธรรมดาให้เหมือนมางานปาร์ตี้สนุกๆได้ทุกวัน

การออกแบบร้านด้วยโทนสีดำ-แดง ยังไม่สามารถสู้ความร้อนแรงของไฟที่ลุกโชนจากห้องครัวของ LAVA Asian Fire Grill ได้ เพราะที่นี่ได้ยกเอาเทคนิคการย่างอาหารแบบเอเชียมาปรุงอาหารในแต่ละจานให้มีความพิเศษไม่เหมือนที่ใดจริง ๆ LAVA Asian Fire Grill เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง เชฟเจริโก แวน เดอ วูฟ (Jeriko Van der Wolf) ,ลูคัส โมลินา (Lucas Molina) และ เอเดรียน อัสตังโย (Adrien Astagneau) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการย่างอาหารด้วยฟางแบบญี่ปุ่น แต่นำมาปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ การย่างฟางจึงกลายเป็นการย่างไฟแบบ “โคโคยากิ (Kokoyaki)” หรือการย่างด้วยกาบมะพร้าวนั่นเอง ไม่ใช่แค่อาหารย่างเท่านั้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารเอเชีย ส่วนของจานเรียกน้ำย่อยก็ล้วนมีกลิ่นอายของความเอเชียสอดแทรกเข้ามาด้วย เช่น Ponzu Truffle Sashimi ซาชิมิที่เลือกได้ระหว่างแซลมอนดองกับหอยเชลล์ มาในซอสพอนสึที่ผสมผสานกับน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล ได้ทั้งความเค็มเปรี้ยวสดชื่นแบบญี่ปุ่น พร้อมกับกลิ่นหอมจากเห็ดทรัฟเฟิล ท็อปด้วยใบชิโสะเพิ่มกลิ่นฉุนที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดใจ Crab Avocado Salad ก็เป็นอีกจานเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับใครที่มองหารสชาติสดชื่นและละมุนในคำเดียว เพราะจานนี้เป็นการรวมตัวกันของความมันและความสดชื่นจากอะโวคาโดซัลซา มะม่วง และเนื้อปูแน่น ๆ เมื่อเรียกน้ำย่อยแล้ว มาอุ่นเครื่องกันต่อกับ Truffle Liver Toast ขนมปังบริออชชิ้นพอดีคำ ท็อปด้วยตับไก่บด และชีสทรัฟเฟิลพาร์เมซาน ที่ความกลมกล่อมของส่วนผสมนั้นช่างลงตัวกับขนมปังบริออชที่โทสต์มาอย่างดีจนได้เนื้อที่เหนียวนุ่มและมีความกรอบตรงผิวด้านนอก หรือถ้าใครชื่นชอบอูนิ หรือไข่หอยเม่น ก็มีอีกตัวเลือกในเมนู Hokkaido Uni Toast ให้ลิ้มลองด้วยเช่นกัน ส่วน Wagyu Katsu Sando จะเป็นเมนูอุ่นท้องที่ถูกใจสายเนื้ออย่างแน่นอน ด้วยเนื้อวากิวชิ้นหนาพอดีคำ ในความสุกแบบมีเดียมแรร์ ประกบด้วยขนมปังเป็นเหมือนแซนด์วิช มาพร้อมมัสตาร์ดและวาซาบิดองให้เพิ่มรสชาติได้ตามใจชอบ จานซิกเนเจอร์ของร้านที่พลาดไม่ได้ ต้องยกให้กับ Truffle Risotto & Ox Tongue รีซอตโตสไตล์อิตาเลียน แต่ที่นี่เลือกใช้ข้าวญี่ปุ่นมาปรุง จับคู่กับลิ้นวัวตุ๋น แล้วท็อปด้วยทรัฟเฟิลสดแบบแน่น ๆ ต่อด้วย Beef Tartar & Bone Marrow ที่น่าสนใจด้วยการหยิบทาร์ทาร์เนื้อเทนเดอร์ลอยน์กับไขกระดูกมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน พร้อมด้วยเครื่องปรุงรสสไตล์เอเชียและพาร์เมซาน กลายเป็นมิติใหม่ของเมนูทาร์ทาร์เนื้อที่มีความกลมกล่อมแฝงรสชาติของอาหารเอเชียเข้ามาด้วย เมื่อที่นี่ชูจุดเด่นเป็นอาหารย่าง LAVA Asian Fire Grill จึงนำเสนอทั้งเนื้อวากิวและเนื้อแบล็กแองกัส โดยมีตัวเลือกที่โดดเด่นในเมนูคือ Australian Wagyu Tomahawk เนื้อออสเตรเลียนวากิวโทมาฮอว์กที่มีความกรอบเกรียมจากพริกไทยบนผิวด้านนอก รวมถึงเมนู Chef’s Omakase Board สเต๊กบอร์ดไซส์ยักษ์จัดเต็มกับเนื้อแบล็กแองกัสแฮงเกอร์ เนื้อแบล็กแองกัสริบอาย เนื้อวากิวเทนเดอร์ลอยน์ และเนื้อวากิวสเกิร์ต ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่ยังคงได้รับแรงบันดาลใจมาจากขนมสไตล์เอเชียเช่นกันกับเมนู Fortune Cookies คุกกี้เสี่ยงทายชิ้นใหญ่อลังการ มาพร้อมกับกล้วยหอม อัลมอนด์สไลด์ ครัมเบิล ราดซอสช็อกโกแลต และขาดไม่ได้คือ คำทำนาย! ที่มาช่วยสร้างความสนุกสนานระหว่างมื้ออาหาร สำหรับเครื่องดื่ม ที่ LAVA Asian Fire Grill มีบริการตั้งแต่ไวน์คลาสสิกไปจนถึงไวน์หายาก รวมถึงค็อกเทลที่ผสมผสานความเป็นเอเชียเข้าไปด้วย โดยมีซิกเนเจอร์ยอดนิยมอย่างโคโค่นัท 2.0 (Coconut 2.0), อันเดล (Andale!), ซูชิ มี (Sushi me) และ พิงค์ สวอน (Pink Swan) สำหรับการเดินทางบทใหม่ของ LAVA Asian Fire Grill ในปี 2566 นี้ จะมีกิจกรรมพิเศษในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือกันกันระหว่างเชฟจากต่างร้าน ธีมอาหารในแต่ละสัปดาห์ และมื้อดินเนอร์ไวน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้ ร้าน LAVA ภูมิใจนำเสนอ “LAVA x TEPPEN Fusion of Flavors” การรวมตัวกันของสุดยอดเชฟทาคาโอะ (Chef Takao) จากร้านเท็ปเป็น (Teppen) และเชฟเจริโก (Chef Jeriko) จากร้าน LAVA มาร่วมกันปรุงเมนูอาหารระดับมาสเตอร์พีชด้วยการใช้เทคนิคการย่างไฟร่วมกับเทคนิคการทำอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ขณะที่เดือนกรกฎาคม ร้าน LAVA จะจัดงาน Sunday Brunch Edition เป็นครั้งแรก

จะมีสักกี่คนที่นำของรักของหวงมาอวดโฉมให้คนแปลกหน้าได้เชยชม แต่ไม่ใช่สำหรับ Frame Cafe & Restaurant ร้านอาหารไทย-อิตาเลียน ที่เป็นดั่ง 'มินิมิวเซียม' ให้เหล่าคนรักงานศิลป์ได้เข้าไปเสพงานอาร์ตระดับแรร์ไอเท็ม ซึ่งเป็นของสะสมของคุณแบงค์กับคุณอร สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน Frame และโรงแรม Frame Hotel ที่ตั้งอยู่ย่านงามวงศ์วาน 47 แม้ว่าตัวโรงแรมจะยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนที่มีความสนใจในงานศิลปะสามารถเข้ามานั่งรับประทานอาหารพร้อมแลกเปลี่ยนความสนใจกันได้ที่ร้าน Frame เพราะที่นี่เป็นพื้นที่คอมมูนิตีสำหรับคนรักงานศิลป์ตัวยง ภายใต้บรรยากาศโมเดิร์นลักซ์ชัวรี ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีดำตัดสลับสีทองให้ดูหรูแต่ยังเข้าถึงง่ายด้วยการซ่อนวัสดุที่ทำจากไม้เพื่อคงความอบอุ่น ภายในร้านยังมีงานศิลปะหลายแขนงตั้งตระหง่านเป็นอาหารตาทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ตุ๊กตา Bearbrick และของเล่น ที่ล้วนเป็นงานชิ้นเอกสุดลิมิเต็ดจากศิลปินชื่อดังระดับโลก ในส่วนของเมนูอาหารจะเน้นเสิร์ฟสไตล์ฟิวชัน ไทย-อิตาเลียน รังสรรค์ขึ้นจากความชอบเช่นเดียวกับงานอาร์ตทั้งหลาย ด้วยศิลปะการปรุงที่ผสมผสานรสชาติอย่างพิถีพิถัน ถูกปากทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแน่นอน เปิดต่อมรับรสด้วย Latte สูตรเฉพาะของร้านที่ใช้เมล็ดกาแฟไทย-บราซิล คั่วกลางค่อนไปทางเข้ม ไม่ใส่ไซรัป (แต่สามารถขอเพิ่มได้) ให้รสเข้มข้นตัดด้วยรสละมุน มีความหอมมันจากนมสด แก้วนี้ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี ส่วนเมนูคาวจานแรกเป็นของ แกงเผ็ดเป็ด The Frame เพียงวางลงบนโต๊ะก็ได้กลิ่นหอมของเครื่องแกงที่ร้านโขลกเอง น้ำแกงให้รสจัดจ้าน กินคู่เป็ดซูวีด ย่างจนหนังกรอบ แต่เนื้อในยังฉ่ำและนุ่ม อร่อยครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน และเผ็ด เมนูถัดมาคือ ปลาช่อนเกยตื้น ปลาช่อนทอดกรอบนอนเกยอยู่บนผัดมะเขือยาว ได้รสเค็มๆ หวานๆ ตัดรสชาติด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ต่อด้วย ต้มข่าไก่ย่าง น้ำแกงรสนุ่มนวล หอมกลิ่นสมุนไพรหลากชนิด มีรสเปรี้ยว เค็ม และได้ความหอมมันจากกะทิ จับคู่กับไก่ย่างหนังกรอบหอมกลิ่นสโมก กินคู่ข้าวสวยร้อนๆ อร่อยกลมกล่อม นอกเหนือไปจากเมนูอาหารไทยแล้ว Frame ยังมีเมนูอาหารอิตาเลียนอย่าง เบอร์เกอร์ปูนิ่ม ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ผักสดกับปูนิ่มตัวโต ไฮไลท์อยู่ที่ซอสพริก เป็นซอสพริกผสมมายองเนส ให้รสเผ็ดเล็กน้อย ชูรสชาติได้ดี และ Pink Sauce สปาเกตตีเส้นสุกกำลังดี คลุกเคล้าซอสครีมที่ผสมกับซอสมะเขือเทศ มีความครีมมี่ๆ ให้รสเปรี้ยวเล็กน้อย กินคู่กุ้งเนื้อเด้ง โรยด้วยผงปาปริกา ชีส และพาร์สลีย์ ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Honey Toast เมนูขนมหวานยอดฮิต เสิร์ฟคู่ไอศกรีมที่สั่งเป็นคุกกี้แอนด์ครีม รสชาติหวานเล็กน้อย เพิ่มรสหวานด้วยน้ำผึ้งแท้ ด้านข้างเคียงมาด้วยกล้วยฝานและสตรอว์เบอร์รีหั่นเต๋า กินคู่โทสต์หอมนุ่มชุ่มเนย แถมเมนูเครื่องดื่มที่ควรค่าแก่การสั่งให้อีกหนึ่งเมนูคือ Strawberry Smoothies สมูทตีสตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ต รสหวานเปรี้ยวกำลังดี ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด ท็อปด้วยเนื้อสตรอว์เบอร์รีสดให้เคี้ยวเพลิน สำหรับโรงแรม Frame Hotel จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในเดือนสิงหาคม แอบกระซิบว่านอกจากร้าน Frame แล้ว ทางโรงแรมจะเปิดห้องอาหารใหม่ และมีรูฟท็อปในบรรยากาศสบายๆ รอติดตามกันได้เลย