สายฟู้ดและคาเฟ่ฮอปเปอร์หลายคนน่าจะรู้จัก “SEOGA&COOK” ร้านอาหารสไตล์ฟิวชันอิตาเลียน-เกาหลี ที่ตั้งอยู่บนชั้น 7 ของห้างใหญ่ “เซ็นทรัลเวิลด์” เพราะที่นี่นอกจากจะมีอาหารรสชาติดีแล้ว บรรยากาศยังสวยงามเรียกได้ว่าแชะรูปลงโซเชียลได้ทุกมุมร้านเลยทีเดียว       มาทำความรู้จักกับร้านกันสักเล็กน้อย SEOGA&COOK เป็นร้านเลื่องชื่อในประเทศเกาหลี ที่มีสาขามากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศ ก่อนขยายความอร่อยมาที่เมืองไทย เสิร์ฟอาหารสไตล์ฟิวชันซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างอาหารอิตาเลียนและเกาหลี มีทั้งพาสตา ริซอสโต พิซซา และสเต๊ก ทีเด็ดเลยคือน้ำซอสทุกตัวนำเข้าจากโคเรีย ชิมแล้วอร่อยเหมือนบินไปกินที่เกาหลีแน่นอน       เรื่องบรรยากาศก็ไม่เป็นรองใคร เพราะอย่างที่บอกว่าร้านเขาคิวท์ถูกใจสายโซเชียล พื้นไม้สีน้ำตาลโฮมมี เข้ากันกับผนังสีขาวโพลนแลดูสะอาดและสบายตา แซมด้วยรูปภาพอาหารน่าหม่ำของทางร้าน เห็นแล้วพาลให้น้ำลายสอ เฟอร์นิเจอร์สีขาวช่วยตอกย้ำความเป็นสไตล์เกาหลี ที่ทำให้มู้ดแอนด์โทนของร้านทั้งคิวท์ (มาก) และอบอุ่นไปในเวลาเดียวกัน     ต้อนรับกันแบบจัดเต็มด้วย Pork Steak Salad สันคอหมูหมักกับเครื่องเทศจนหอม ย่างสุกกำลังดี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมผักสลัดกรุบกรอบ คอร์นสลัดรสหวานอร่อย มันฝรั่งทอดเนื้อแน่น (เราชอบมาก) และไข่ดาวสุดอิ่มเอม     ตามด้วย Cream Sweet Potato Pizza พิซซาโฮมเมดสไตล์ฟิวชันร้อนๆ หอมฟุ้งชวนหิวมาแต่ไกล แป้งบางกรอบกัดพร้อมซอสครีมมันหวานรสกลมกล่อม ที่ทำมาจากมันหวานคุณภาพ ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด     Hansung Set ชุดอาหารที่เราสามารถเลือกหม่ำอย่างจุใจ เพลิดเพลินไปกับ Shrimp Cheese Fondue เมนูชื่อดังของร้าน ชีสพรีเมียมรสหอมมันเยิ้มๆ ผสานไปกับกุ้งตัวโตเนื้อหวาน และเบคอนที่เรารัก ราดด้วยซอสมันเทศเข้มข้นเข้ากัน       ยังมี Crab Oyster Risotto ข้าวริซอตโตสัญชาติอิตาเลียน ผัดพร้อมซอสครีมปูสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้าน รสครีมมี่ และเนื้อปูสดอร่อย ออนท็อปด้วยไข่ดาว อย่าลืมกินสลัดข้าวโพดรสหวานอมเปรี้ยว เฟรนช์ฟรายส์โฮมเมด ขนมปังกระเทียมหอมๆ และผัดดองตัดเลี่ยนด้วยนะ     ตบท้ายด้วยเครื่องดื่มสดชื่นอย่าง Strawberry Soda รสหวานชื่นใจ Grape Soda น้ำสีเขียวนี้คือองุ่นโซดา รสเปรี้ยวเล็กๆ หวานหน่อยๆ และ Jeju Orange Soda น้ำส้มเจจูคั้นสดๆ ผสมกับน้ำโซดาซาบซ่า จิบคลายร้อนได้ดี       อิ่มเอมกันถ้วนหน้า

ชวนมาเคาะประตูก๊อกๆ ให้ดัง Knock Knock หย่อนใจไปกับความอบอุ่นเรียบง่ายเหมือนนั่งรอชิมเมนูโปรดที่บ้านเพื่อน       คุณเดียร์-วิชดา เจ้าของร้านเป็นอดีตแอร์โฮสเตสที่หลงใหลการเข้าครัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะเมนูพาสตาที่เจ้าตัวทำอร่อยจนเพื่อนๆ และคนรอบตัวเชียร์ให้เปิดร้าน จึงเป็นที่มาของร้านพาสตาแบบเดลิเวอรี่ซึ่งหลายคนอาจพอคุ้นตากันมาแล้ว ล่าสุดพร้อมแล้วกับการเปิดหน้าร้านอย่างเต็มรูปแบบ       เสน่ห์ของ Knock Knock คือความวินเทจย้อนยุคที่ส่งผ่านเฟอร์นิเจอร์ ภาพถ่าย เครื่องเล่นแผ่นเสียง โคมไฟ ซึ่งล้วนเป็นของสะสมสุดรัก ส่วนในช่วงค่ำคืนที่นี่จะแปลงโฉมเป็นบาร์เท่ๆ ให้มานั่งพักหลังจากการทำงานอันหนักหน่วงพร้อมด้วยเสียงดนตรีสดกล่อมใจในคืนวันศุกร์และเสาร์       มาถึงที่นี่แล้ว อย่าพลาด Capellini Aglio E Olio with Bacon & Clam พาสตาผัดพริกแห้งที่ขอใช้คำว่า ‘หนักเครื่อง’ เพราะใส่ทั้งเบคอน หอยลาย และไข่กุ้งที่กินด้วยกันแล้วเพลิดเพลินเจริญอาหาร       ถัดมาคือ Penne Salmon Pesto นอกจากจะให้แซลมอนชิ้นใหญ่ย่างมาได้กำลังดีแล้ว ซอสเพสโตของที่ร้านเป็นสูตรที่คุณเดียร์ลงมือทำด้วยตัวเอง และขาดไม่ได้ Classic Carbonara คาโบนาราแบบคลาสสิกไม่ใส่ครีม มีส่วนผสมเพียงแค่ไข่และชีสเน้นๆ หอมและเข้มข้นมาก         ใช่เพียงพาสตาที่โดดเด่น เมนูกาแฟก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะใช้เมล็ดกาแฟจากโรงคั่วที่สนิทสนม เราชอบ Dirty กาแฟเข้มๆ เจอกับครีมและนมสดเย็นเจี๊ยบ เหมาะสำหรับยามบ่าย และ Orange Tonic กาแฟส้มช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้เป็นอย่างดี     แวะมาเคาะประตูร้านกันได้เลย

ใครอยากเปิดประสบการณ์กินอาหารรูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับรสชาติอันสนุกสนาน G&C ขอให้คุณลิสต์ชื่อ “Chim Diner” เอาไว้เลย ร้านฟิวชั่น อิซากายะ ราเมน ของคุณปาร์ค ภัทรวิทย์ จันทร์ไทย เชฟรุ่นใหม่มากความสามารถจากวิทยาลัยดุสิตธานี โดยชื่อของร้านมีที่มาจากคำว่า Shrimp (ชริมพ์) ซึ่งหมายถึง ‘กุ้ง’ วัตถุดิบที่เชฟปาร์คใช้รังสรรค์เมนูซิกเนเจอร์อย่าง Chim’s Ramen ราเมนซุปกุ้งออร์แกนิคสไตล์ล็อบสเตอร์บิสค์รสเข้มข้น       นอกจากนั้น Chim Diner ยังอ่านออกเสียงเป็นประโยคภาษาไทยที่ว่า “ชิมได้เน้อ” เสมือนเสียงชักชวนให้ฟู้ดทุกกลุ่มให้แวะเวียนกันเข้ามา ด้วยบรรยากาศร้านมืดสลัวๆ สไตล์บาร์และอิซากายะ พื้นสีดำขลับตัดสลับกับสีแดงสด ผนังกระเบื้องสีเขียวมรกต ที่ติดหนังสือพิมพ์เก่าของนานาประเทศเอาไว้ ไฟนีออนสีแดงที่เขียนว่า ‘Experimental Culture Dining’ หมายถึง ‘การทดลองโดยผ่านวัฒนธรรม’ อย่าง ‘การกิน’ ซึ่งเข้ากับอาหารฟิวชั่น ที่ผสมผสานหลายสัญชาติ อาทิ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และไทย ผ่านการทดลองสูตรจนกลายมาเป็นเมนูที่รสชาติลงตัวเหล่านี้ในที่สุด ได้แก่       เต้าหู้ทอดหัวหอมคาราเมล (125 บาท) เต้าหู้สไตล์ญี่ปุ่นที่สั่งทำเป็นพิเศษ ทอดจนได้สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน กินพร้อมกับซอสหัวหอมคาราเมล รสหวานอมเปรี้ยว ครีมมี อร่อยติดใจ     ไข่ปลาหมึกย่างคัตสึโอะ (195 บาท) ละม้ายคล้ายกับ “ทาโกยากิ” แต่ไร้แป้ง! ไข่ปลาหมึกชิ้นโต ทาซอสสูตรพิเศษของทางร้าน ซึ่งทำมาจากน้ำซุปปลาแห้ง มิริน ผิวเลมอน ย่างให้หอม ซอสราดไข่ปลาหมึกรสครีมมี โรยหน้าด้วยปลาแห้ง และสาหร่าย     ต่อด้วย ปลาไทยตามใจคนจับดอง (180 บาท) ปลาตกเบ็ด ซึ่งแล้วแต่ว่าชาวประมงจะได้ปลาชนิดไหน แต่วันนี้เราได้ชิม “ปลาช่อนทะเล” นำไปดองกับโชยุ มิริน และเครื่องปรุงอื่นๆ อย่างพิถีพิถัน  จนได้รสชาติเค็มกลมกล่อม เข้ากันดีอย่างยิ่งกับวาซาบิดอง     คนรักเนื้อต้องเลิฟ ยูเกะเนื้อวัวพริกลาบ (180 บาท) เนื้อจัสมินวากิลคุณภาพจากจังหวัดสุรินทร์ สับละเอียด คลุกเคล้ากับเครื่องเทศต่างๆ สไตล์ภาคเหนือ ท็อปด้วยไข่แดงสด และใบมะกรูดหอมๆ กินคู่กับข้าวเกรียบทำเอง     ข้าวผัดพริกขี้หนูปูเยอะกว่าข้าว (280 บาท) ข้าวหอมมะลิหุงสวย ผัดพร้อมปูเนื้อหวานจากชาวประมงเจ้าประจำ ที่ส่งตรงจังหวัดตราด หรือสุราษฎร์ธานี พริกขี้หนูสวน รสเค็มกลมกล่อม แฝงไปด้วยความเผ็ดร้อน หอมกลิ่นกระเทียม ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด     และแล้วก็มาถึงเมนูดาวเด่นอย่าง Chim’s Ramen (250 หรือ 335 บาท) เส้นราเมนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำซุปกุ้งที่ทำมาจากหัวและเปลือกของกุ้ง เคี่ยวอย่างดีจนได้รสเข้มข้น กลมกล่อม ด้านบนมีกุ้งแม่น้ำย่างตัวโตเนื้อสดหวานถึง 2 ตัว และไข่ต้มยางมะตูมสุดอิ่มเอม     ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง ขนมปังสังขยาวาซาบิ (135 บาท) ขนมปังบริออชนุ่มๆ ชุ่มเนย เสิร์ฟพร้อมสังขยาใบเตยรสหอมหวานกำลังดี มีรสเผ็ดเล็กๆ ของวาซาบิอยู่ด้วย     อร่อยทุกอย่างเลย

เมื่อ 4 ปีก่อนเชฟแดน บาร์ก ได้การันตีฝีมือของเขาด้วยรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวจากร้าน Upstairs at Mikkeller แต่วันนี้เขาย้ายบ้านใหม่มาตั้งอยู่ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 25 กับ 2 ร้าน 2 สไตล์ ได้แก่ Cadence และ Caper       หาก Cadence เป็นดั่งสวรรค์สำหรับการละเลียดมื้ออาหารไฟน์ ไดนิ่งสุดปราณีต Caper ก็จะเป็นสวรรค์สำหรับการนั่งจิบเครื่องดื่ม ไปพร้อม ๆ กับรับประทานอาหารจานเดี่ยวสไตล์ Comfort Modern American Cuisine  ที่เหมาะสำหรับช่วงเวลาสุดพิเศษของครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน ภายใต้บรรยากาศหรูหราตามแบบฉบับยุคแกสบี้ แต่กลับให้ความรู้สึกสบาย ๆ สมกับชื่อ Caper ที่สื่อความหมายถึงการกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวา เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีแนวโซล อาร์ แอบด์ บี และโอลด์ สคูล ฟังค์ ตลอดเวลา       ในช่วงเวลาสาย ๆ ของวัน บาร์ของ Caper เสิร์ฟเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ซิกเนเจอร์มาให้เราจิบเล่น ๆ ในระหว่างรออาหาร แก้วแรกคือ Bright ที่ให้ความสดชื่นด้วย Champange Reduction เมื่อบวกกับความเปรี้ยวจากเสาวรสและมะนาว แทรกแซมความหวานนิด ๆ จากสับปะรดและมะม่วงก็เลยทำให้แก้วนี้มีความสดใสสมชื่อ ส่วนอีกแก้วนั้นชื่อว่า Sweet ที่มีความหวานละมุนออกมาตั้งแต่สีชมพู จากการผสมผสานของสตรอว์เบอร์รี มะเขือเทศ น้ำส้ม น้ำมะนาว และไข่ขาว หวานสมชื่ออีกเหมือนกัน       สำหรับอาหารสองจานแรกนั้นเป็น Snack เบา ๆ วอร์มกระเพาะอาหารก่อน เริ่มต้นด้วย Truffle Toast ขนมปังบริออชเนื้อกรอบนอกและนุ่มฉ่ำเนยด้านใน หั่นมาขนาดพอดีคำ ท็อปด้วยชีสทรัฟเฟิล ชีสพาเมซาน และเห็ดทรัฟเฟิล ต่อด้วย Chicken Liver Mouses มูสจากตับไก่รสชาติออกหวานด้วยซอสทรัฟเฟิลฮันนี่ ท็อปด้วยหัวหอมแดงดองเพิ่มรสชาติเปรี้ยวนิด ๆ กับเมล็ดธัญพืช จิ้มด้วยขนมปังชาวร์โดวจ์ กินได้เพลิน ๆ       จากนั้นเข้าสู่ Starter กับเมนูที่มีชื่อว่า Beef Tartare ที่น่าประทับใจไม่น้อยด้วยการหยิบเอาโกชูจัง น้ำพริกเกาหลีมาผสมผสานจนได้บีฟทาร์ทาร์รสชาติเผ็ดร้อนเบา ๆ เมื่อคลุกเคล้าไข่แดงดิบเข้าไปด้วยก็ยิ่งได้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้น จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมข้าวเกรียบบาง ๆ ที่ช่วยเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบระหว่างเคี้ยว     Hokkaido Scallops คือเมนู Main ในวันนี้ที่มาพร้อมกับหอยเชลล์เนื้อแน่น ๆ ตัวโต ๆ และรีซอตโต้บาร์เลย์ ดอกกะหล่ำย่างและซอสเคเปอร์สูตรพิเศษสีสันน่ารับประทาน     ปิดท้ายด้วยของหวาน Warm Bread Pudding ขนมปังเนื้อนุ่ม ราดด้วยนมข้าวย่างกลิ่นหอมหวาน ท็อปด้วยซอสยูซุ รับประทานคู่กับแครนเบอร์รีซอร์เบต เป็นความหวานและเปรี้ยวที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ  

ยกให้เป็นโอเอซิสน่านั่งย่านประชาชื่น พื้นที่อบอุ่นที่ใครเข้ามาแล้วจะต้องอารมณ์ดีตามคอนเซ็ปต์ “พื้นที่อารมณ์ดีแนวสุขนิยม” ความสุขที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้แบบง่ายๆ ผ่านรสชาติของอาหาร กาแฟ และเครื่องดื่มรสเลิศ ในบรรยากาศโปร่งโล่งนั่งเหยียดแขนขาสบาย ภายใต้โครงสร้างสไตล์อินดัสเตรียลลอฟต์ หลังคาทรงสูงและกระจกรอบด้านที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่และยังมีสีเขียวของต้นไม้ให้พักสายตา ฟีลกู้ดจริงๆ         สำหรับอาหารเน้นเสิร์ฟสไตล์ฟิวชั่น ผสมผสานทั้งอาหารไทย อิตาเลียน และญี่ปุ่น ปรุงแบบโฮมเมด พิถีพิถันเหมือนทำให้ครอบครัวกิน นอกจากนี้ยังเน้นความหลากหลายให้ลูกค้าเลือกสั่งมาเอ็นจอยได้ไม่ซ้ำ โดยเฉพาะสายสุขภาพจะยิ่งปลื้ม เพราะทุกเมนูไม่เพียงชูวัตถุดิบสด สะอาด แต่ยังคัดมาแบบคุณภาพเกินร้อย         ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ เนื้อ ปลาที่เลือกสรรมาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนชอบกินปลายิ่งไม่ควรพลาด เพราะทางร้านสั่งตรงวัตถุดิบจากแหล่งที่ดีที่สุดมาปรุงเป็นเมนูจานเด็ดหลากหลายเมนู แต่จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เมนูแรกเริ่มที่ GTH Alaska Sockeye Salmon Burger เบอร์เกอร์แซลมอนจากอลาสก้า เบอร์เกอร์ชิ้นโตเต็มปากเต็มคำ สอดไส้แซลมอนนุ่มๆ ฉ่ำซอสสูตรเด็ด เสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟรายทอด กรอบนอกนุ่มใน อร่อยเบอร์แรงแซงหน้าใครขอยกให้เมนูนี้       Seared Alaska Sole with Lemon Butter  สเต๊กปลาโซลราดซอสเลมอนบัตเตอร์สูตรพิเศษ เชฟย่างปลาพอให้ส่งกลิ่นหอมเพื่อถนอมรักษาความฉ่ำของเนื้อใน แล้วชูรสด้วยซอสเลมอนบัตเตอร์ หากอยากเพิ่มรสชาติสไตล์ญี่ปุ่นก็มีน้ำสลัดงาที่เสิร์ฟมาให้พร้อมกัน ในจานยังมีสลัดผักออร์แกนิก เรียกว่าครบรสความสดชื่น       อีกเมนูห้ามพลาดคือออลเดย์บรันช์ Poached Egg Alaska Salmon เทใจให้กับอิงลิชมัฟฟินโฮมเมดสุดนุ่ม ทาฮอตซอสเดรซซิ่งรสเปรี้ยวอมหวาน ไฮไลท์อยู่ที่แซลมอนจากอลาสก้าชิ้นโตที่มีเนื้อนุ่มแน่นเป็นเอกลักษณ์ วางไข่ดาวน้ำไว้ด้านบน ก่อนราดทับด้วยชีสเชดดาร์เยิ้มๆ อร่อยฟินแบบนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม       Sole Fried Rice with Mushroom ข้าวปลาโซลผัดซอสเห็ดรวม ข้าวญี่ปุ่นผัดกับซอสเห็ดสูตรของร้าน ที่ใช้เห็ดมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ เห็ดแชมปิญอง ออรินจิ และชิเมจิ ท็อปด้วยปลาโซลหมักซอสแล้วนำไปทอดจนกรอบหอม รสชาติกลมกล่อม อร่อยตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย       Tekka Don Salmon  ข้าวหน้าแซลมอน ทางร้านใส่แซลมอนให้เต็มจานแทบมองไม่เห็นข้าวด้านล่าง ส่วนทีเด็ดชูรสชาติต้องยกให้ซอสสูตรลับ สมทบด้วยไข่กุ้งและสาหร่าย รสชาติถูกลิ้นเหมือนนั่งกินอยู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น       ปิดท้ายด้วย Grilled Salmon Fillet สเต๊กปลาแซลมอน ความพิเศษของจานนี้นอกจากแซลมอนสีส้มสดชวนน้ำลายสอที่กริลล์มาหอมๆ ยังโอบล้อมด้วยสลัดผักสีสดใส เสิร์ฟให้กินกับน้ำสลัดงา หรือใครอยากเปลี่ยนรสชาติทางร้านยังมีน้ำสลัดให้เลือกมากถึง 12 สูตร ชนิดที่เลือกไม่ถูกเลยทีเดียว     แต่ละเมนูล้วนดีต่อใจ รักใครต้องชวนมากิน

ต้นหูกระจงต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วสร้างบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายให้สมกับชื่อร้าน Ivory Coast Almond ร้านคาเฟ่น้องใหม่ย่านเสนานิคม       คาเฟ่แสนสวยนี้มีบรรยากาศน่านั่ง แบ่งเป็นโซนห้องแอร์เย็นๆ ที่มีกระจกใสบานใหญ่เหมือนกรีนเฮ้าส์ นั่งชมบรรยากาศภายนอกได้อย่างเต็มตา หรือจะเลือกที่นั่งบริเวณสวนด้านนอกที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย นอกจากได้อิ่มตากับบรรยากาศสวยงามแล้วยังได้อิ่มท้องกับอาหารอร่อยเพราะที่นี่เสิร์ฟอาหารสไตล์เวสเทิร์นทวิสต์ ไทย-อินเตอร์ที่ใช้ส่วนผสมท้องถิ่นของไทยจากภาคใต้ทำให้อาหารมีลูกเล่นน่ากิน       เริ่มด้วยเมนูซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง ซีซาร์สลัดใบเหลียงสไตล์ไอวอรี่ (290 บาท) ที่โชว์สไตล์เวสเทิร์นทวิสต์ได้อย่างลงตัวกับเมนูสลัดซีซาร์ที่คุ้นเคยทั้งผักกาดคอส ไข่ต้มและขนมปังกรอบ เพิ่มความกรอบอร่อยด้วยใบเหลียงชุบแป้งทอด เบากรอบเหมือนเทมปุระ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำสลัดโฮมเมดรสเข้มข้น     เมนูพาสต้าก็มีให้เลือกหลายจาน แต่ที่โดดเด่นคือ โฮมเมดปาปาเดเล่ซอสเป็ดสไตล์ไอวอรี่ (320 บาท) เส้นพาสต้าปาปาเดเล่เส้นแบนใหญ่เหนียวนุ่มที่เชฟทำเอง ราดด้วยอกเป็ดรากูที่ตุ๋นนาน 4 ชั่วโมงจนนุ่ม เคี้ยวเพลิน เสิร์ฟกับผักคะน้าฮ่องกงสีเขียวสวยหวานกรอบ     อีกจานคือ โฮมเมดราวิโอลีต้มข่าไก่ปลาสลิดกรอบ (320 บาท) ราวิโอลีหรือเกี๊ยวอิตาลีไส้ต้มข่า ไส้ทำจากเนื้อไก่นุ่มชุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นต้มข่า ใส่ครีมสดและน้ำมันพริกเผา โรยปลาสลิดทอดกรอบ เป็นเอเชี่ยนทวิสต์ที่แปลกใหม่ลงตัว     ถ้ามากันหลายคนสั่งเมนูนี้เลย ไก่อบฟางกับมันฝรั่งอบสมุนไพร (550 บาท) อดใจรอประมาณ 20 นาทีก็ได้ลิ้มรสไก่อบฟางหอมๆ ที่ใช้ไก่ตัวเล็กขนาด 500 กรัม หมักกับเครื่องเทศออลสไปซ์หอมกรุ่น ไก่เนื้อนุ่มได้กลิ่นหอมของฟางเบาๆ เสิร์ฟกับซอสแจ่วและซอสเกรวี่เหล้าแจ็คแดเนียล     ใครชอบเมนูคลาสสิคห้ามพลาด ฟิชแอนด์ชิป (490 บาท) สูตรดั้งเดิมที่ใช้แป้งผสมกับเบียร์ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่กรอบนอกแป้งฟูเบา เนื้อปลาคอดนุ่มแน่นฉ่ำ เสิร์ฟกับซอสทาร์ทาร์โฮมเมดที่ใส่ทั้งหอมดองและแตงกวาดองที่เชฟทำเอง     ปิดท้ายกันด้วย พานนาคอตต้ามะพร้าวกะทิ (250 บาท) พานนาคอตต้าเนื้อนุ่มครีมมี่จากกะทิ โรยข้าวเม่ากรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำกะทิรสหวานหอมกลมกล่อม     อีกจานที่ล้างปากได้ดีคือ กระท้อนน้ำปลาหวานสูตรดั้งเดิม (250 บาท) กระท้อนดองน้ำปลาหวานรสหวานๆ เค็มๆ เสิร์ฟกับเชอเบตเลมอนรสเปรี้ยวอมหวาน โรยพริกเกลือและกุ้งจากชุมพร เป็นรสชาติที่เปรี้ยวหวานเค็มผสมกันลงตัว     ยังมีเครื่องดื่มอย่าง มะม่วงหาวมะนาวโห่โซดา เปรี้ยวหวานซ่าคลายร้อน และเอสเพรสโซ่ยูสุ ถูกใจสายคาเฟ่แน่นอน    

G&C เชื่อว่าสายกินหลายคนรู้จัก Fallabella เพราะเป็นร้านที่เสิร์ฟอาหารอร่อยๆ ต่อเนื่องกันมายาวนานถึง 10 ปี แต่ครั้งนี้เรากำลังพูดถึง “Fallabella River Front” สาขาที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 6 ชื่อ “ทัศนานคร เทอร์เรซ” ในห้างแห่งความภูมิใจของคนไทยอย่าง ICONSIAM     ตัวร้านเป็นเอาท์ดอร์เปิดโล่งรับลมทั้งหมด พื้นและเฟอร์นิเจอร์สีเทาพรีเซนท์ถึงความทันสมัย มีทั้งโต๊ะดินเนอร์แบบคู่รัก หรือโต๊ะใหญ่ๆ สไตล์ครอบครัว แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่มุมไหนก็จะสามารถชื่นใจไปกับวิวหลักล้านของท้องฟ้ากว้าง และความสงบงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถนัดตา และนั่นก็คือจุดเด่นของ Fallabella River Front นั่นเอง     ส่วนเรื่องของอาหาร Fallabella ยังคงยึดคอนเซปต์เสิร์ฟอาหารฟิวชั่นเฉกเช่นเคย มีให้คุณได้เลือกอิ่มเอมทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ญี่ปุ่น และเมื่อไม่นานทางร้านได้เพิ่มเมนูอาหารจีนขึ้นมา ด้วยความหลากหลายเช่นนี้เองที่ตอบโจทย์ได้ลูกค้าทุกกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับทุกโอกาสพิเศษ จนทำให้มีคิวจัดไพรเวทปาร์ตี้มากมายอย่างไม่ขาดสาย     ต้อนรับด้วย Orange and Prosciutto Aged Goat Cheese Salad (320 บาท) ผักต่างๆ อาทิ หัวหอม กะหล่ำม่วง ผักสลัด ส้มโอรสเปรี้ยวอมหวาน พาร์มาแฮมรสเค็ม ซีสนมแพะครีมมี คลุกเคล้ากับน้ำสลัดบัลซามิก ทำให้จานนี้กลายเป็นสลัดที่กินแล้วสดชื่น     หนักท้องขึ้นไปอีกกับ ซูชิพรีเมียม ที่ภายในเซ็ตประกอบไปด้วย Maguro Yuzu Kosho (240 บาท) ซูชิปลาทูน่าชั้นดี กินพร้อมกับซอสยูซุ สูตรลับฉบับของทางร้าน Maguro Truffle Sauce (240 บาท) ซูชิปลาทูน่าอีกเช่นเคย แต่คราวนี้พิเศษตรงที่ด้านบนออนท็อปด้วยซอสทรัฟเฟิลฟินๆ     Engawa Aburi Truffle Sauce (240 บาท) ซูชิครีบปลาตาเดียวเนื้อเด้ง ทาด้วยซอสทรัฟเฟิลจากนั้นก็เบิร์นไฟให้หอม และ Salmon Aburi Spicy Miso Sauce (240 บาท) ซูชิแซลมอน กินพร้อมกับซอสสไปซี่รสเผ็ดปลายลิ้น     หันมาลิ้มลอง  Big Show (580 บาท) ติ่มซำเซ็ตใหญ่กันบ้าง มีทั้ง Duck Foie Gras Suimai XO Sauce ขนมจีบตับห่านหอมมัน Crab Meat & Shrimp Suimai ขนมจีบปูและกุ้ง เนื้อแน่น     Chorizo and Shrimp Suimai Italian XO Sauce ขนมจีบกุ้งผสมกับโชริโซ (ไส้กรอกสไตล์สเปนที่โดดเด่นด้วยรสเผ็ดจากปาปริกา) Pork & Cheese Lava ขนมจีบหมูที่ภายในมีไส้ชีสเยิ้มๆ และ Shrimp, Pork, Parma Ham & Cheese ขนมจีบกุ้ง หมู พาร์มาแฮม และชีส จิ้มกับจิกโช่แสนเข้ากัน     ขวัญใจอาหารอิตาเลียนต้องยกให้ Fallabella Rustica (420 บาท) เป็นทีเด็ด พิซซ่าเตาถ่าน กรอบนอกนุ่มในหน้าชีสมอซซาเรลลา พาร์มาแฮม หอมกรุ่นกลิ่นน้ำมันทรัฟเฟิล       Pan Grilled Calamari Angel Hair Pasta with Truffle Garlic Chili (340 บาท) พาสตาเส้นเล็กผัดพร้อมกับซอสกระเทียมและพริกป่นร้อนแรง กินคู่ไปกับปลาหมึกหนึบหนับย่างตัวใหญ่     เครื่องดื่มเราแนะนำ Passiflore (180 บาท) เสาวรส สับปะรด ไซรัปวานิลลา น้ำมะนาวสด และพริกไทยดำ รวมให้ม็อกเทลแก้วนี้มีรสชาติเปรี้ยวหอมหวาน จิบแล้วรู้สึกสดชื่น ตบท้ายด้วย Oh Thai (180 บาท) ม็อกเทลอีกแก้วที่น่าสนใจ มีองค์ประกอบมาจาก น้ำลิ้นจี่ น้ำตะไคร้ น้ำมะนาว และไซรัปตะไคร้ รสหวานละมุน หอมฟุ้งกลิ่นสมุนไพร     คำเตือน อยากไปต้องบุ๊กกิ้งนะจ๊ะ ร้านนี้เขาคิวแน่น

อาหารที่ปรุงขึ้นจากความรักมักถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไมราวกับงานศิลปะ คนกินก็มีแต่ได้กำไรคือได้ทั้งอิ่มท้อง อิ่มใจ และยังได้ประสบการณ์แห่งรสชาติที่ยากจะลืม ดังเช่นที่ Goose Café ร้านเปิดใหม่ย่านสุขุมวิทที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้ทุกเมนู เจ้าของร้านคิดค้นสูตรด้วยตัวเองและนำเสนอในสไตล์ Asian Twisted หยิบยกเสน่ห์แบบเอเชียร่วมกับเทคนิคการปรุงที่ชูรสชาติและเอกลักษณ์ของอาหารได้โดดเด่นไม่เหมือนใคร     ภายในร้านตกแต่งในคอนเซ็ปต์ Unique Tropical Style คุมโทนด้วยสีเขียวสบายตา มีห่านเป็นมาสคอตสื่อถึงอิสระเสรี จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราถึงรู้สึกเพลิดเพลินและผ่อนคลายตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่       เมนูแรกเริ่มที่ Grilled Cesar Salad & Charred Prawn สลัดซีซาร์กุ้งย่างที่ใช้ผักคอสย่างทั้งต้น สัมผัสได้ถึงความสดกรอบผสานรสเข้มข้นของน้ำสลัดที่แทรกซึมทุกอณู กินกับกุ้งย่างและไข่ซูวีที่ช่วยเพิ่มความละมุนและตัดรสเค็มมันของชีสพาเมซานได้อย่างลงตัว     Goose's Poke Bowl เมนูสุดเฮลท์ตี้ที่รวมของอร่อยอย่างแซลมอน ทูน่า อิคุระ อะโวคาโด มะม่วงสุก ถั่วแระ กิมจิ และไข่ซูวี ราดด้วยซอสสไปซี่ เปรี้ยวเผ็ดเล็กน้อย     Cold Capellini with Tuna Yuzu พาสต้าแคปเปลลินีเสิร์ฟเย็น กินกับทูน่าหั่นเต๋าและแตงกวาดอง ราดด้วยซอสยูสุ เปรี้ยวๆ หอมๆ     Penne & Black Truffle Gorgonzola เส้นเพนเน่คลุกเคล้ากับชีสกอร์กอนโซล่าและชีสพาเมซาน ท็อปด้วยไส้กรอกอิตาเลียนที่มีเทกเจอร์เนื้อหมูหนึบหนับเต็มปากเต็มคำ     Slow Cooked Short Ribs Green Curry & Roti แกงเขียวหวานเนื้อที่ใช้เนื้อตุ๋นนาน 24 ชั่วโมงจนนุ่มนวล ปรุงรสเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องแกง ราดบนแป้งโรตีย่างให้หยิบเป็นชิ้นกินแบบพิซซา     Roasted Striploin & Truffle Potato Puree with Red Wine Jus เนื้อสตริปลอยด์ดรายเอจ 15 วัน นำมาย่างระดับกลางอวดสีชมพูสวย กินกับมันฝรั่งบดและเบบี้แครอทย่าง     ส่วนเครื่องดื่มห้ามพลาด Goose Forest น้ำเชอร์รี่ผสมน้ำแอปเปิ้ล ราดด้วยช็อตเอสเปรสโซอุ่นๆ ช่วยกระตุ้นกลิ่นหอมของซินนามอน     Hide & Peach ชาพีชผสมน้ำสตรอว์เบอร์รี น้ำผึ้งมะนาว น้ำเสาวรส และชิลลีออย รสเผ็ดร้อนนิดๆ     ปิดท้ายด้วย Tang-Mo-Ho-Ra-Pha น้ำแตงโมผสมน้ำมะนาว โซดา และเบซิล บนปากแก้ววางแตงโมเสียบไม้คล้ายไอติมให้กินเล่น     Goose Café ยิ่งเสิร์ฟ ยิ่งเซอร์ไพรส์จริงๆ

“ท่าอรุณ” ร้านอาหารไทยแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกลุ่มเพื่อนที่คลุกคลีในแวดวงร้านอาหารมายาวนาน พร้อมกับคอนเซ็ปต์ “เห่อฝรั่ง” ที่ฟังแล้วสะดุดหูยิ่งนัก เพราะในวันวานพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นท่าเรือสำหรับรับส่งสินค้าจากยุโรปมาก่อน ภายในร้านจึงเล่าเรื่องราวการรับวัฒนธรรมแบบฝรั่งผ่านการตกแต่งได้อย่างน่าสนใจ ระยิบระยับด้วยแสงไฟจากแชนเดอเรียเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุค แฝงกลิ่นอายความโอเรียนทอลด้วยตู้ยาจีนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีพื้นที่ด้านนอกให้นั่งชมวิวพระปรางค์วัดอรุณที่ตั้งโดดเด่นอยู่อีกฝั่งแม่น้ำ         ที่ร้านเสิร์ฟอาหารไทยสมัยคุณตาคุณยายแต่ประยุกต์ให้เก๋ไก๋มีลูกเล่น กลายเป็นอาหารไทยทวิสต์ที่ยังคงความเข้มข้นครบเครื่องเอาไว้ เริ่มต้นด้วยยำมังคุด ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นตั้งแต่คำแรก มังคุดผลเล็กรสหวานอมเปรี้ยวให้เคี้ยวได้แบบไม่ต้องคายเม็ด มาพร้อมกุ้งตัวโตและไข่เป็ดต้มยางมะตูม ส่วนน้ำยำรสจี๊ดจ๊าดได้จากน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูสวนซอย     ตามด้วยเสือใต้ ขนมจีนน้ำยาปูรสจัดจ้านถึงใจจากพริกแกงตำมือส่งตรงจากนครศรีธรรมราช กินกับผักพื้นบ้านหลากชนิด มีทีเด็ดเป็นปลาชิงชังรสหวานนิดเค็มหน่อยไว้แนมตัดรสเผ็ด ประดับด้วยใบชะพูทอดกรอบ     อีกหนึ่งเมนูเด่นประจำฤดูฝนของทางร้าน ต้มกะทิสายบัวปลาทู ปลาทูแม่กลองตัวเล็กเนื้อมัน สายบัวนุ่ม ส่วนน้ำแกงรสมีความข้นหอมจากกะปิ หอมแดง และพริกไทย ต่อด้วยผัดหมี่กระเฉด ที่หอมยั่วยวนใจเพราะใส่มันกุ้งลงไปผัดด้วย       ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยม็อกเทลสีสวยอย่างเยาวราช แก้วนี้โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวสดชื่นของส้มจี๊ด และพวงชมพู ที่ตั้งชื่อตามดอกไม้ ได้ความหอมหวานจากลิ้นจี่ เหมาะสำหรับนั่งจิบเคล้าเสียงเพลงเบาๆ       เข้ากับวิวสุดโรแมนติกยามเย็น

Abelle Bar & Bistro ร้านแฮงก์เอาต์สุดชิคแห่งนี้เป็นมากกว่าปลายทางสังสรรค์หลังเลิกงาน หิวเมื่อไรก็แวะมาฝากท้องได้ทุกเวลา เริ่มจากมื้อเช้ากับเมนูเบาๆ สบายท้อง ส่วนมื้อกลางวันที่ต้องการจานหลักก็มีไว้รองรับอย่างหลากหลาย จากนั้นส่งท้ายที่มื้อค่ำสุดคึกคัก เพราะเป็นจุดนัดพบของคนรักการดื่มกินไปแล้ว         เมนูคู่โต๊ะยกให้ทรัฟเฟิลฟรายส์ มันฝรั่งทอดในน้ำมันทรัฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นน้ำมันทรัฟเฟิลขึ้นจมูก โรยชีสพาร์เมซานเค็มๆ มันๆ เสิร์ฟพร้อมทาร์ทาร์ซอสและมายองเนสรสน้ำผึ้งมะนาว     ต่อด้วยผัดไทยสปิงโรล เปลี่ยนผัดไทยให้เป็นฟิงเกอร์ฟู้ดคำเล็กกินง่าย จับคู่กับกุ้งเทมปุระแป้งบางกรอบ เนื้อกุ้งเคี้ยวสู้ฟัน ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็กลมกล่อมทุกองค์ประกอบ     ถัดมาเป็นริกาโตนีน้ำพริกลงเรือกับปลาทูน่าฟู ริกาโตนีผัดกับน้ำพริกลงเรือรสจัดจ้านและปลาทูน่าฟู ท็อปด้วยไข่ดาวน้ำ วิธีกินที่ฟินยิ่งขึ้นให้เอาส้อมเจาะไข่แดงเยิ้มๆ คลุกเคล้าจนเข้ากันจะเพิ่มความหอมมันชวนกิน และยังช่วยลดระดับความเผ็ดร้อนสำหรับคนไม่กินรสจัดด้วย     ต่อด้วยข้าวผัดน้ำจิ้มแจ่วหมูหย็อง ข้าวผัดสไตล์อีสานเด่นที่น้ำจิ้มแจ่วรสจัดถึงใจ กินคู่หมูทอดเนื้อนุ่มรสเค็มนิดๆ กับหมูหย็องฟูรสหวาน     สปาเกตตีซุกกินีผัดหมูก้อน สัมผัสความกรุบกรอบและสดชื่นของซุกกินีที่สไลซ์เป็นเส้นแทนสปาเกตตีผัดกับซอสเข้มข้นสูตรลับ เพิ่มความหนึบหนับเต็มคำกับหมูก้อนไร้มันลูกกลมโต     สำหรับค็อกเทลไฮไลต์ Wildberry Sake Jelly เหล้าสาเกผสมกับโชจู ไวต์ฟรุตเบอร์รี และสปาร์กลิงไวน์ ให้ความรู้สึกซาบซ่ากระปรี้กระเปร่า     และที่สุดของคนรักค็อกเทล Bengal เสน่ห์ของความเรียบง่ายที่หยิบมะม่วงหาวมะนาวโห่มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพียงครั้งแรกที่ได้ลองก็ครองใจสายดื่มได้ไม่ยาก     ไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็อิ่มครบจบที่เดียว

“FOO Flavor” ร้านอาหารเอเชียนเซอร์ไพรส์น้องใหม่สุดสดใส ที่ภายในใช้ลวดลายของเลขาคณิตตกแต่งให้ดูทันสมัย ไม่ลายตา ผนังประดับด้วยรูปเพนท์ติ้งต่างๆ มองแล้วทำให้มีชีวิตชีวา พาให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น เพลิดเพลินไปกับเมนูอาหารมากมายเต็มไปด้วยรสชาติที่หลากหลาย บางจานหน้าตาแปลกแต่รสชาติคุ้น หรือบางอย่างรสชาติแปลก แต่หน้าตาคุ้น ใครอยากเปิดประสบการณ์การกินใหม่ๆ ขอเชิญชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ได้เลย       เริ่มต้นจานแรกที่ สลัดหลวงพระบาง ผักและสมุนไพรต่างๆ เพิ่มโปรตีนด้วยไข่ต้มและไก่ฉีก ราดซอสสูตรพิเศษรสหวานอมเปรี้ยว คลุกเคล้าให้เข้ากัน อร่อยแบบเบาๆ     ตามด้วย ข้าวโพดไข่เค็ม เมนูที่ใครๆ ต่างก็เทใจให้ เมล็ดข้าวโพดชุบแป้งทอดกรุบกรอบโรยด้วยผงไข่เค็ม หวานมัน กินกันเพลินๆ     มาถึงเมนูแซ่บๆ กันบ้างอย่าง หม่าล่ากิมจิ ที่รวมรสเผ็ดร้อนของหม่าล่าและรสเผ็ดเปรี้ยวของกิมจิเข้าไว้ด้วยกัน ใครชอบกินเผ็ดต้องเลิฟเมนูนี้     ผัดกะเพราคอหมูย่าง รสจัดถูกใจคนไทย ฟินไปกับคอหมูย่างเนื้อนุ่ม ไข่ต้มยางมะตูม และใบกะเพรากรอบ ถัดมาคือ ข้าวผัดปลาแซลมอนแจ่ว ปลาแซลมอนชิ้นโตทอดสุกกำลังดีวางมาบนข้าวผัดแจ่วหอมกรุ่น ชูโรงด้วยซอสแจ่วเข้มข้น เป็นอัน Perfect!     ส่วนเครื่องดื่มเราแนะนำ Foo Flavor Sunrise น้ำกระเจี๊ยบผสมน้ำเสาวรส เพิ่มความซาบซ่าด้วยโซดา รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มคลายร้อนได้ดี ปิดท้ายด้วย ชาหางกาแฟ ได้รสเข้มของกาแฟและกลิ่นหอมกรุ่นของชา อร่อยเข้ากั๊นเข้ากัน!    

"ทำทุกวันให้เป็นวันอาทิตย์" คือคำอธิบายตัวตนของร้าน Sundays ได้อย่างชัดเจนอย่างที่สุด แม้จะย้ายจากบ้านหลังเก่าย่านพระรามเก้ามาปักหลักที่ใจกลางทองหล่อ แต่เรายังคงสัมผัสได้ถึงความอาร์ตที่กระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่       คุณจ๋าเล่าถึงบ้านหลังใหม่ว่ายังคงความเป็น Art & Living เอาไว้คล้ายเดิม แต่สดใสและสนุกขึ้น ซึ่งทั้งหมดถูกสื่อสารผ่านงานศิลปะหลายต่อชิ้น ตั้งแต่บริเวณหน้าร้านครอบคลุมไปจนถึงชั้นลอย รวมไปถึงหน้าตาอาหารและขนมที่มีสีสันขึ้น แต่เมื่อชิมแล้วก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือเมนูสุดโฮมมี่ของซันเดยส์นั่นเอง       ซิกเนเจอร์ที่ยังหาเมนูอื่นมาโค่นจากตำแหน่งไม่ได้สักทียังคงเป็นแองเจิลแฮร์น้ำพริกนรกไข่กุ้ง เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกับน้ำพริกนรก ใส่เนื้อกุ้งและมันกุ้ง แล้วโรยไข่กุ้งลงไปแบบไม่ยั้งมือ (จนถูกแซวว่าเป็นเมนูไข่กุ้งหก) สาวเส้นเข้าปากแล้วเพลิดเพลินกับไข่กุ้งกรุบๆ รสเค็มๆ มันๆ ชนะใจเด็กอ้วนไปเต็มๆ     ต่อด้วย Festive Forest Salad สลัดผักตามฤดูกาลย่างเสิร์ฟจานใหญ่ที่เกิดจากอีเวนต์สนุกๆ ของสตาฟที่ร้าน ได้แรงบันดาลใจจากช่วงเวลาคริสต์มาสที่เด็กๆ จะออกไปเก็บผักมาให้คุณพ่อคุณแม่ทำให้กิน เกิดเป็นเมนูสีสวยเข้ากับตัวร้านทั้งข้าวโพด ซุกินี พริกหวาน เบบี้แครรอต มะเขือเทศ เห็ด แอปเปิล และสตรอว์เบอร์รี่ลูกอวบ มาพร้อมเกรวีครีมและบัลซามิกรีดักชั่น     สลับมาที่ของหวานกันบ้าง Strawberries & Cream Pancakes ไม่ใช่แค่หน้าตาน่ารักเท่านั้น แต่ยังกินเพลิน  (อยากกินอีก) ทางร้านอยากได้ขนมที่กินแล้วสดชื่นรื่นรมย์แต่ไม่หนักเกินไป กลายเป็นแพนเค้กนุ่มๆ ที่เสิร์ฟพร้อมครีมสดตีเอง รสนุ่มนวล หวานกำลังดี และผลสตรอว์เบอร์รี่สด ส่วนใครอยากจิบกาแฟ เราแนะนำ Salted Caramel Latte ความลงตัวระหว่างรสขมและหวาน ยกจิบแล้วได้ความเค็มติดที่ปลายลิ้นจากซอสคาราเมลทำเอง      

เรียกว่าสิ้นสุดการรอคอยสำหรับใครที่กำลังคิดถึง 2 เชฟสาวจากมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ซีซันแรก เพราะตอนนี้กระต่ายน้อยลูก้าแห่ง Le Lapin Bangkok” พร้อมจะพาทุกคนไปสัมผัสความอร่อยในแบบ Experience Dining ที่สร้างสรรค์จากจินตนาการและความหลงใหลในเทพนิยายของ เชฟแก้ว - ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร และ เชฟผึ้ง - ปุญญเนตร ธนัพประภัศร์ ที่บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นคนช่างฝันหรือช่างกินก็ฟินไม่แพ้กัน       โดยเทพนิยายเรื่องแรกที่ทั้ง 2 สาว หยิบยกมาเล่าผ่านเมนูหน้าตาแปลกใหม่คือ Journey in Wonderland ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ โดยแต่ละคอร์สจะเสิร์ฟไปพร้อมกับแอนิเมชันที่ฉายลงมาบนจานตรงหน้าประหนึ่งว่าเรากำลังร่วมผจญภัยอยู่ในวันเดอร์แลนด์แห่งนี้กับเจ้ากระต่ายลูก้า ซึ่งเป็นตัวเอกในครั้งนี้ไปด้วย       เริ่มต้นความสนุก (และอร่อย) ด้วย Amuse-bouche เรียกน้ำย่อยอย่าง เมี่ยงส้มโอดอกดาหลา ที่ผสมผสานรสชาติของส้มโอจากอัมพวา น้ำตาลโตนด กะปิย่าง และความหอมหอมมะนาวได้อย่างลงตัว     จากนั้นก็เข้าสู่เส้นทางการผจญภัยค้นหาความอร่อยกันด้วย Down the Rabbit Hole สลัดหอยเชลล์จากฮอกไกโดมาพร้อมกะหล่ำดอกรมควัน ผักร็อกเกต เบคอน อัลมอนด์ เจลลีเสาวรส ราดน้ำสลัดอิตาเลียนเดรสซิง เสิร์ฟในจานรูปหนังสือไม้แกะสลักสุดเก๋ ต่อด้วย The Pool of Tears ที่เสิร์ฟขวดน้ำ 2 สี ซึ่งก็คือซุปต่างกลิ่นและรสเอาไว้ให้ใส่ลงในเส้นบะหมี่เวียดนามและลอบสเตอร์เป็นก๋วยเตี๋ยวสูตรเด็ดของตัวเอง         มาถึงคอร์สที่ 3 อย่าง A Mad Tea Party ชุดน้ำชาสุดเซอร์ไพรส์ ซึ่งน้ำชาคือซุปใสกลมกล่อม กินกับสคอนสอดไส้เบคอนและมะเขือเทศ เป็ดรมควันเคลือบคาราเมลพริก แยมรสซอสมะเขือเทศ และคลอตครีมรสเบซิล ต่อด้วยจานหลัก Advice from a Caterpillar เนื้อวากิวจากนางาซากิเซียร์กำลังดี มาพร้อมเห็ดรมควัน เห็ดผัด กินคู่ซอสเห็ดเคี่ยวนานกว่า 72 ชั่วโมง         แล้วปิดท้ายด้วย The Queen’s Croquet Ground ที่ให้เราสนุกไปกับการระบายสีลูกแพร์รูปดอกกุหลาบด้วยแยม และอร่อยกับไอศกรีมนม กินคู่คอร์นเฟลกช็อกโกแลตและผลไม้สดไปพร้อมกัน    

Sippa House ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสันติสุข ซอยเพชรเกษม 69 บ้านสีขาวชั้นเดียวหลังงาม หน้าบ้านมีป้ายไม้สีน้ำตาลเขียนชื่อร้าน “Sippa” ไว้อย่างชัดเจน ก้าวเข้าไปข้างในคุณจะเห็นการตกแต่งที่โดดเด่นหลากสไตล์ มีทั้งรูปภาพ รูปเขียน เฟอร์นิเจอร์และของประดับต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าหายาก บรรยากาศสบายๆ สไตล์โฮมมี่มีจังหวะเพลงแจ๊สเพราะๆ คลอเบาๆ เข้าอาหารเลิศรสสุดครีเอทตามแบบฉบับ Chef's table ที่ใครชิมแล้วต่างก็ต้องตกหลุมรัก             เรียกน้ำย่อยด้วยเมนู ยำส้มซ่า หอยนางรมสด น้ำสลัดเย็นที่ปรุงรสมาจากน้ำส้มวาเลนเซีย น้ำพริกเผาและเกลือหิมาลายัน ราดลงไปในหอยนางรมตัวอวบๆ เนื้อสดจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนชิมให้บีบเลมอนเล็กน้อย รสเปรี้ยวตัดหวาน ปลุกต่อมลิ้มรสให้ตื่นในทันใด     ต่อด้วยจานที่หนักท้องขึ้นไป Hokkaido Shell Loaf With Salsa Mango ขนมปังฮอกไกโดโฮมเมดนุ่มๆ หอมกรุ่นกลิ่นนมไส้หอยเชลล์ทอด ราดน้ำสลัดไข่กุ้งเปรี้ยวอมหวาน และซอสซัลซ่ามะม่วงสดชื่น กัดพร้อมกันลงตัวทุกสัมผัส รสชาติดี     กุ้งแม่น้ำซอสครีมฉู่ฉี่ จานโปรดของใครหลายคน กุ้งแม่น้ำคิงไซส์เนื้อหวานวางอยู่บนเส้นสปาเก็ตตีหมึกดำเหนียวนุ่ม โอบล้อมไปด้วยซอสฉู่ฉี่ที่ใช้ครีมเข้มข้นแทนกะทิ ครีมมี่ หวานมัน เค็มนิดๆ ทุกคำที่ตักเข้าปากละมุนไปด้วยกลิ่นเครื่องแกง เทใจให้รัวๆ เลยสำหรับเมนูนี้     ยำส้มโอ หมูชาชูกะปิ หมูสามชั้นตุ๋นกับกะปิจนนุ่มเข้าเนื้อ รสหวานนวลๆ จากน้ำตาลมะพร้าว เค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นกะปิ กินพร้อมยำส้มโอสูตรโบราณ เปรี้ยวหวาน อร่อยครบรส     สายหวานต้องหลงรัก Deep Fried Ice Cream With Cotton Candy ไอศกรีมทอดสอดไส้ซอร์เบต์เบอร์รีเปรี้ยวสดชื่น เสิร์ฟพร้อมสายไหมสีชมพูสุดคิวท์ กินแล้วชื่นใจ     ปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์สีสันสดใส Passion Fruit Peach Tea ชาเสาวรสและพีช รสเปรี้ยวอมหวาน หอม จิบแล้วแฮปปี้     กระซิบอีกนิด Sippa House ต้องโทรจองก่อน โน Walk In นะจ๊ะ

ทุกเย็นที่ Groove เซ็นทรัลเวิลด์ จะคึกคักไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศที่ออกมาแฮ้งค์เอ้าท์หลังเลิกงาน หนึ่งในร้านที่ยังคงฮิตติดลมบนเข้าคิวรอโต๊ะหนีไม่พ้นไวน์บาร์สุดเท่อย่าง Wine I Love You     9 ปีที่แล้วคุณวิน สิงห์พัฒนากุล หนุ่มดีกรี เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต หลักสูตร Cuisine เปิดร้านนี้ก่อนที่จะเรียนจบเพื่อต่อยอดธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว โดยเปิดสาขา CDC เป็นเป้เปนเดดนที่แรก ก่อนจะขยับขยายไปอีกหลายสาขา     Wine I Love You  ด้วยโทนสีดำสุดเท่สไตล์ Bar & Bistro ขายอาหารคอมฟอร์ตฟู้ดกินง่ายทั้งไทยและตะวันตก มีเครื่องดื่มให้เลือกทั้งค็อกเทล เบียร์ และไวน์ เน้นที่ไวน์โลกใหม่พร้อมดื่มถูกใจชาวออฟฟิศใจกลางเมือง     อาหารแนะนำที่ทุกโต๊ะต้องสั่งคือ แซลมอนแซ่บ กับแกล้มรสเด็ดที่ใช้เนื้อปลาแซลมอนรมควันสไลด์บาง ท๊อปบนผักสลัดสดกรอบ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ กินแล้วสดชื่นตื่นเต็มตา     ส่วนสาวๆ ให้ลองสั่ง สลัดซีซาร์ สลัดสุดคลาสสิคที่ใช้ผักกาดคอสคลุกมากับน้ำสลัดซีซาร์สูตรลับของร้าน รสเค็มมัน หอมกลิ่นชีสพาร์เมซาน เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรูตองชิ้นใหญ่ กินอร่อยเข้ากัน     สันคอหมูซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิล เต็มอิ่มกับสันคอหมูคุโรบุตะชิ้นใหญ่ ย่างมาสุกแบบเนื้อนุ่มพอดี ราดซอสครีมที่ใส่เห็ดทรัฟเฟิลส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนกิน     สุดท้ายเป็นเมนูที่เหมาะกับทุกเครื่องดื่มทุกประเภทอย่าง ซี่โครงหมูใหญ่มาก ใช้ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่สมชื่อ หมักด้วยซอสสูตรเด็ดรสเผ็ดเปรี้ยว ย่างมากลิ่นหอมน่ากิน เนื้อหมูนุ่มร่อนออกจากกระดูกแทะเพลิน     นี่ถ้าอยู่ข้างออฟฟิศจะรีบไปทุกหลังเลิกงาน!

ท่ามกลางความคึกคักของย่านบางรัก “Casa Sapparod” ได้เปิดร้านเอาใจคนรักสับปะรดไว้ในซอยเจริญกรุง 44  โดยทางร้านนำสับปะรดซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก มาประยุกต์กับเมนูต่างๆ ทั้งคาว หวาน รวมไปถึงเมนูเครื่องดื่ม ไว้เอาใจคนรักสับปะรดโดยเฉพาะ       เมื่อเข้ามาภายในร้าน เราจะพบการตกแต่งสไตล์เรโทร มีวอลเปเปอร์พิมพ์ลายสับปะรดบนผนังทั่วทั้งร้าน นอกจากนี้ยังมีกระเบื้องโมโนโครมบนพื้นไปจนถึงเคาร์เตอร์บาร์ที่มีลวดลายเป็นรูปดาว พร้อมด้วยกระจกรอบร้าน ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี       มาเริ่มที่เมนูเรียกน้ำย่อยจานแรกของร้านอย่าง พล่าไก่ซอสพลัม ที่มีสับปะรดจากภูเก็ต เนื้อไก่ฉีก และผักต่างๆ ยำรวมกัน เสิร์ฟพร้อมกับพริกป่น มะนาว และส้มโอไซส์เล็ก ไว้ให้เติมความเผ็ด และเปรี้ยวกันตามชอบ     จากนั้นตามมาด้วย ปอเปี๊ยะสดเนื้อกุ้งกับเป็ด วางมาบนตะกร้าสานสวยงาม ทานคู่กับอาจาดสับปะรดสูตรเฉพาะของร้าน และซีอิ้วดำปรุงพิเศษ ได้ทั้งความเปรี้ยวและหวานที่เข้ากันเป็นอย่างดี     นอกจากนี้ยังมี หมูปิ้งราดพะแนง รสจัดจ้านถึงเครื่องพะแนงไทย แถมยังได้รสเปรี้ยวจากเนื้อสับปะรดที่คลุกเคล้าอยู่ในเครื่องแกงอีกด้วยติ่มซำทอดเนื้อหมูและกุ้ง เสิร์ฟบนผลของสับปะรดสุดเก๋ ทานคู่กับวินีการ์        ตามมาด้วย ข้าวโพดทอด จิ้มซอสสับปะรดสูตรเฉพาะของร้าน รสหวานอมเปรี้ยว และขนมจีนซาวน้ำ ที่ท็อปด้วยสับปะรดกรานิต้า ราดด้วยน้ำกะทิสูตรเข้มข้น แต่รสสัมผัสบางเบา พร้อมลุยกับอาหารจานหลักต่อไป       และก็มาถึงเมนูพระเอกของร้านอย่าง “ข้าวผัดสับปะรด” กันบ้าง ที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมู ไก่ และซีฟู้ด รวมถึงคนทานเจที่ร้านก็มีรองรับอีกด้วย ใช้ข้าวกล้องจากนครปฐม และสับปะรดจากศรีราชา เพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนด้วยเครื่องแกงกระหรี่ และกุนเชียงหั่นเต๋า     ในส่วนของหวานและเครื่องดื่มที่ร้านกันบ้าง เริ่มที่ เชอร์เบทสับปะรด ที่เสิร์ฟมาในสับปะรดทั้งลูกสุดเก๋ กินแล้วได้ความสดชื่น ตามมาด้วย พุดดิ้งสับปะรด ที่ได้ทั้งความหวานหอมจากพุดดิ้งและเปรี้ยวจากสับปะรดสดๆ       Pineapple juice of the day น้ำสับปะรดซิเนเจอร์ โดยจะสับเปลี่ยนสายพันธุ์ให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน มีทั้งภูเก็ต ตราดสีทอง ภูแล และเพชรบุรี และปิดท้ายด้วย Pineapple ginger chill ที่มีส่วนผสมของขิงไซรัป เลม่อน และน้ำสับปะรด เป็นอีกหนึ่งเมนูน้ำของร้านที่ดับร้อนได้เป็นอย่างดี    

ได้เวลาสัมผัสความเท่แบบดุดันกับ “Black Smith” ร้านคาเฟ่เปิดใหม่ย่านอารีย์ที่ผสมผสานความเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์และบรรยากาศโรงตีเหล็กเก่าได้อย่างลงตัว   เมื่อเดินเข้ามาในอารีย์ซอย 3 เราจะพบกับคาเฟ่สไตล์ Industrial Loft ที่มีประตูโค้งสีดำและป้ายร้านเหล็กสีทองแดงสะดุดตา เพิ่มความดุดันด้วยชุดพรมหนังสัตว์ แต่งพื้นด้วยหินกรวดสีน้ำตาลบริเวณกลางร้าน บรรยากาศคล้ายนั่งจิบเครื่องดื่มและทานอาหารท่ามกลางทะเลทราย ผสมผสานความหรูหราและความดิบเท่ออกมาได้อย่างลงตัว         ร้าน “Black Smith” เปิดให้บริการ 2 ช่วง โดยช่วงกลางวัน (11.00 – 18.00 น.) เปิดเป็นคาเฟ่ให้ทุกคนเข้ามาจิบกาแฟสูตรพิเศษและเค้กโฮมเมดที่เปลี่ยนรสชาติทุกเดือน ส่วนรอบค่ำ (19.00 – 00.00 น.) ที่นี่จะกลายเป็นร้านอาหารและค็อกเทลบาร์สุดชิค เสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารสไตล์ฟิวชั่นให้ทุกคนได้ลิ้มลอง       ประเดิมที่เมนูกาแฟสูตรพิเศษที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ “House Blend – White” ชุดกาแฟสูตรพิเศษที่ใส่ใจแนบที่มาของกาแฟมาให้ภายในเซต ซึ่งแก้วที่เราชิมนั้นประกอบด้วยเมล็ดกาแฟจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ดอยสะเก็ต ลาว และบราซิล ผ่านกรรมวิธี Washed Process จากนั้นนำไปคั่วแบบ Medium-Dark Roast ได้กลิ่นช็อคโกแลตและอัลมอนต์อบอวลอยู่ในจมูก โดยวิธีการดื่มกาแฟเซตนี้ ทางร้านให้เรา D.I.Y รสชาติเองโดยแยกนมและกาแฟมาให้เราเติมความเข้มเองตามชอบ ถือเป็นชุดกาแฟที่ใส่ใจในรสชาติของผู้ชิมได้ดีจริงๆ       จากนั้นเพิ่มความสดชื่นด้วย “Smith” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้านที่นำกาแฟ cold brew ไปผสมกับส้มแมนดาริน เลม่อน เพิ่มสีสันด้วยสตรอว์เบอร์รี่และราสพ์เบอร์รี่สีแดงสด เป็นเมนูกาแฟที่ดื่มง่ายเลยทีเดียว       ปิดท้ายด้วยม็อคเทลสูตรพิเศษ “Give” ที่มีส่วนผสมของราสพ์เบอร์รี่ สตอวร์เบอร์รี่ น้ำทับทิม และเลม่อน ตัดรสหวานหอมด้วยน้ำผึ้ง เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ช่วยสร้างความสดชื่นระหว่างวันได้เป็นอย่างดี     อย่างที่บอกว่าที่ร้าน “Black Smith” ยังมีเหล่าเค้กโฮมเมดหน้าตาดี ทำสดวันต่อวัน ซึ่งทางร้านจะเปลี่ยนหน้าเค้กทุกๆ เดือนตามฤดูของผลไม้ที่นำมาทำนั่นเอง      

หากมองจากภายนอก “Clay Bangkok” คือบ้านหลังใหญ่ที่ถูกรีโนเวทโดยยังคงรักษาโครงสร้างอายุ 60 ปีไว้ได้อย่างสวยงาม แต่เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน ที่นี่คือร้านอาหารสไตล์เวสเทิร์นคอมฟอร์ตไดนิงฟู้ดที่เน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากธรรมชาติ ด้วยแนวคิดว่าสรรพสิ่งที่เกิดจากดินสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะบนจานอาหารสมกับคำว่า Clay ชื่อร้านที่แปลว่า ดิน นั่นเอง       โดยไฮไลต์ความอร่อยของที่นี่คือเหล่าอาหารทะเลที่ส่งตรงจากเรือชาวประมงตลาดนาเกลือพัทยา เพื่อรสชาติและความสด นำมาปรุงแบบตะวันตกที่มีกลิ่นอายออสเตรเลียนที่ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ชีวิตที่ออสเตรเลียของ 2 เจ้าของร้านเพื่อนสนิท       เราแนะนำให้เริ่มด้วยเมนูกินเล่นเบาๆ อย่าง Battered Whole Baby Prawn with Wasabi Mayonnaise กุ้งขาวตัวเล็กทอดกรอบทั้งตัว เสิร์ฟพร้อมซอสวาซาบิมายองเนสสูตรเด็ด และ Chilled Sea Bite Salad สลัดสุดเก๋ที่นำปลาหมึกเนื้อสดเด้งย่างไฟพอสุกมาคลุกเคล้ากับใบชะครามที่ให้รสเค็มนิดๆ ใส่โชยุ มิริน และพริกแห้งซอยเพิ่มรสชาติ เสิร์ฟแบบเย็นบนจานใส่น้ำแข็ง       ต่อด้วยจานหลัก Blue Crab Tagliatelle พาสต้าเส้นแบนเหนียวนุ่มผัดกับซอสครีมเข้มข้นทำจากเปลือกปู (Bisque) ใส่ปูม้าเนื้อหวานสดและใบชะคราม และ Wellington Duck Leg น่องเป็ดกงฟีห่อแป้งพายสอดไส้เห็ดชิเมจิ วอลนัต และผักโขม มาพร้อมผักย่างและผักทอดนานาชนิด (แนะนำให้รีบสั่งเพราะเมนูนี้ใช้เวลาอบประมาณ 20 - 30 นาที)       อย่าลืมเพิ่มความสดชื่นให้มื้อนี้ด้วย Clay fresh Coconut มะพร้าวน้ำหอมสดที่คัดอย่างดีจากดำเนินสะดวก ส่วนสายสุขภาพลองสั่ง Clay Green น้ำผักสุดเฮลต์ตีที่นำผักโขม เฟนเนล แอปเปิลเขียว และสับปะรดมาสกัดแล้วปั่นได้อร่อยลงตัว หรือหากคอฟฟีเลิฟเวอร์อยากจิบกาแฟเบาๆ ที่นี่มีเมนูเด่นอย่าง Café Latte ลาเต้ร้อนรสนุ่มนวลที่ใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษจาก Pacamara ให้ดื่มเรียกพลังอีกด้วย      

นอกจากการตกแต่งที่สวยสะดุดตา เราคงต้องยกให้กับชื่อร้านที่ซ่อนนัยยะความหมายน่ารักๆ เอาไว้ เมื่อคำว่า “Holmes” แท้จริงแล้วมีที่มาจาก “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” (Sherlock Holmes) นักสืบคนดังจากปลายปากกาของ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle) และถ้าสังเกตให้ดีคำๆ นี้ยังพ้องเสียงคำว่า “Home” ที่แปลว่า “บ้าน” อีกด้วย       ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่บ้านหลังนี้จะคงคาแรกเตอร์ที่มีความเรียบเท่ห์ตามแบบฉบับยุโรปเอาไว้ให้สมกับเป็นบ้านของนักสืบ ขณะที่ความหมายแฝงก็สะท้อนออกมาผ่านตัวอาหารโฮมเมดสไตล์ Western Fusion ฝีมือ คุณบัว-บุฏกา โรจนัย หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ Master Chef ซีซั่นแรก ที่เราขอบอกว่าดีงามทั้งหน้าตาและรสชาติ         เริ่มกันด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง HOLMES Brekkie ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารมื้อสายของชาวอังกฤษแสนอร่อย ประกอบด้วยไข่ดาวสองฟอง ไส้กรอกอิตาเลี่ยนชิ้นโตเนื้อแน่น เบคอนหั่นชิ้นหนาๆ ถั่วอบ มะเขือเทศ และเห็ดผัด เสิร์ฟในกระทะใบย่อมส่งกลิ่นหอม เรียกว่าแค่จานเดียวก็แอบอิ่มแปล้     แต่ถ้าอยากอิ่มเบาๆ ก็ต้อง Winter Salad สลัดชามโตที่ขนความสดชื่นของผักโขม ก่อนจะเติมรสเปรี้ยวสดชื่นของทับทิมและชิ้นเนื้อส้ม เคี้ยวเพลินด้วยถั่วพีแคนและเบอร์รี่อบแห้งที่เข้าคู่กับน้ำสลัดบัลซามิควีนีแกรต์ได้อย่างลงตัว ร่วมด้วยชีสเฟต้าที่โรยข้างบนเหมือนกับหิมะสมชื่อ     ส่วนของหวานเราขอแนะนำ HOLMES Pain Perdu เฟรนช์โทสต์ชิ้นใหญ่สีเหลืองทองเสิร์ฟพร้อมผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และกีวี่มาเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น ก่อนจะราดด้วยน้ำผึ้งท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลารสละมุน หรือจะลอง Te Fiti เค้กสีเขียวสดที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในแอนิเมชั่นเรื่อง Moana (2016) โดดเด่นด้วยความนุ่มหอมของเค้กพิตาชิโอที่ภายในซ่อนความอร่อยของชั้นครีมและเยลลี่บลูเบอร์รี่เอาไว้       แล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มอย่าง Velvet Lychee โซดาสีสวยที่ได้ไซรัปลิ้นจี่โฮมเมดมาเติมสีสันกับน้ำอัญชัญ ส่วนคนรักกาแฟต้องลอง Salted Caramel Latte กาแฟไทยรสเข้มที่เติมความหอมหวานของคาราเมลและกลิ่นวานิลลาที่เรากล้ารับประกันความอร่อยเลยล่ะ    

ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตึกคิงพาวเวอร์ มหานคร แลนด์มาร์คสุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ได้เปิดตัวห้องอาหารสุดหรูหราทันสมัย ภายใต้ชื่อ “Mahanakhon Bangkok Skybar” เป็นที่เรียบร้อย     “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” ตั้งอยู่บนชั้น 76 และ 77 ได้รับการออกแบบโดยคุณ Tristan Auer แห่ง Wilson Associates โดยหยิบแรงบันดาลใจจากสายน้ำเจ้าพระยา ผสานเรื่องราวแห่งการเดินทาง พร้อมให้ทุกท่านได้หลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพ     ก้าวแรกจากลิฟต์สู่โค้งประตูไม้บริเวณโถงด้านหน้า เราสัมผัสได้ถึงความหรูหราสง่างามสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานความวิจิตรแบบไทย ภายในรายล้อมไปด้วยโคมไฟและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เห็นวิวมหานครได้อย่างเต็มตา อีกทั้งเนรมิตพื้นที่เอาท์ดอร์ให้ได้บรรยากาศป่าดงดิบ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในป่าบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น       นอกจาก “มหานคร แบงค็อก สกายบาร์” จะเป็นร้านอาหารและบาร์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่โดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแล้ว เมนูอาหารที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและเอเชียก็โดดเด่นไม่แพ้กัน  โดยได้เชฟ Joshua Cameron เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการและเคยสร้างสรรค์เมนูระดับมิชลินสตาร์ในนิวยอร์ค รับหน้าที่เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารนี้     เมนูที่เชฟ Joshua Cameron รังสรรค์ให้กลายมาเป็นเมนูเด่นของร้านเริ่มจาก พานาคอตต้าไข่หอยเม่น (Uni Panna Cotta) ที่เกิดจากการผสมผสานกันของวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และเทคนิคการทำอาหารของประเทศฝรั่งเศส ทำให้เป็นเมนูซิกเนเจอร์เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็น หอยนางรม จากแคว้นนอร์มังดี (Mr.Jean-Paul, Normandy Oysters) ที่มีให้เลือกทั้งแบบเสิร์ฟร้อน และเสิร์ฟเย็น เพิ่มความสดชื่นพร้อมเปิดต่อมรับรสได้อย่างเต็มที่       เชฟไม่รอช้า เสิร์ฟต่อกันที่เมนคอร์สอย่าง เนื้อซี่โครงออสเตรเลียตุ๋น 48 ชั่วโมง เสิร์ฟพร้อม คูสคูส องุ่น และมะเขือม่วง (48-Hours Australian Short Ribs) เนื้อออสเตรเลียแบบมีเดียมแรร์ที่ตุ๋นได้นุ่มละมุนลิ้น ทานคู่กับซอสและเครื่องเคียงภายในจาน รสชาติกลมกล่อม ตามมาด้วย ลาบเป็ด เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง และข้าวเกรียบ (Larb Ped – Spicy Grilled Duck Salad) ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การแยกเนื้อเป็ด เครื่องยำรสแซ่บสไตล์ไทย และข้าวเกรียบบางกรอบ เป็นคำๆ แล้วห่อทานคล้ายเมี่ยงคำ อร่อยและสนุกแบบไทยๆ       นอกจากนี้ เชฟยังมีเมนคอร์สทางเลือกใหม่ที่มาในรูปแบบ Charcoal Grilled สูตรเฉพาะของร้าน ที่นำอาหารไปอบ หรือย่างด้วยกลิ่นหอมจากเตาถ่าน ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของร้านอีกด้วย อาทิเช่น ปลากะพงพร้อมน้ำจิ้มสูตรเข้มข้น (Andaman Sea Bass*) เนื้อปลากะพงสดห่อใบตองกริลล์ด้วยเตาถ่าน เคียงคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านเกินไป เด็กๆ สามารถทานได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูเมนคอร์สสำหรับครอบครัวเลยทีเดียว     ส่งท้ายความอร่อยด้วยเมนูของหวานที่แม้ทางร้านจะมีให้เลือกไม่มาก แต่กลับครบทุกรสชาติ เริ่มกันที่ฝั่งสดชื่นอย่าง ชีสเค้กใบมะกรูด เสาวรส มะม่วง และมังคุด (Kaffir Lime Cheese Cake) ชีสเค้กรสนุ่มหอมกลิ่นใบมะกรูดของไทย ทานคู่กับซอสเสาวรสและซอสมะม่วงเพิ่มความสดชื่น ปิดท้ายคำด้วยมังคุดสดรสชาติหอมหวาน      ในส่วนของฝั่งเข้มข้น ร้านเลือกเสิร์ฟ ช็อคโกแลตทาร์ต คอฟฟี่กานาช และคาปูชิโนเจล (Chocolate Tart) ช็อคโกแลตแท้รสเข้มข้นทานคู่กับคอฟฟี่กานาชและคาปูชิโนเจลหอมกรุ่น ดึงรสชาติกลับด้วยไอศกรีมช็อคโกแลตรสหวานกลมกล่อม  ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์และเด็กๆ น่าจะหลงรักจานนี้ได้ไม่ยาก     ปิดท้ายมื้ออร่อยแสนหรูบนห้องอาหารวิวสวยที่สุดในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ