บอกต่อพื้นที่แห่งความสุขให้เหล่านักอ่านได้ตามไปเช็คอินที่ ‘Book Circle’ ซึ่งเป็นทั้งร้านหนังสือและคาเฟ่ ในย่านประดิพัทธ์ ภายในอัดแน่นไปด้วยบรรดาหนังสือเก่าและใหม่หลายหมวดหมู่ ให้เลือกซื้อและนั่งอ่านกันได้เพลินๆ โดยมาพร้อมกับสเปซสำหรับนั่งทำงานขนาดย่อม ที่สามารถสั่งอาหารจากร้าน Queen's Eatery คาเฟ่ที่เสิร์ฟสารพัดเมนูคาวหวานสไตล์โฮมมี่ ได้อารมณ์เหมือนกินอาหารฝีมือคุณแม่ มาเอ็นจอยระหว่างการอ่านได้ยาวๆ ตลอดวัน จานโปรดของเรายกให้ ข้าวผัดแกงส้มชะอมกุ้ง (129.-) เครื่องแกงส้มรสเข้มข้นจัดจ้านที่นำไปผัดคลุกเคล้ากับข้าวสวยจนสีสวยเข้ากัน เคียงมาด้วยกุ้งเนื้อเด้ง ไข่ชะอม และผักสด อร่อยกินแล้วอิ่มสบายท้อง ต่อด้วยของหวานอย่าง บลูเบอร์รีชีสพาย (99.-) แครกเกอร์บดกรุบกรอบฉ่ำเนยด้านล่างเข้ากับครีมชีสรสหวานนำเปรี้ยวตามและซอสบลูเบอร์รีด้านบนได้อย่างลงตัว จับคู่กับ สไปรท์บ๊วย (55.-) เครื่องดื่มสุดสดชื่น ซาบซ่าจากน้ำสไปรท์ ที่เพิ่มรสชาติเค็มนิดเปรี้ยวหน่อยจากบ๊วยลงไป กินแล้วชื่นใจเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่น นักเก็ตและเฟรนช์ฟรายส์ (99.-) ที่ทอดมาได้หอมกรอบ กินไปอ่านไป เพลินสุดๆเลยล่ะ

ปัจจุบันมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่เน้นเสิร์ฟเมนูบรันช์ทยอยเปิดกันอย่างมากมาย สำหรับ Brunch Paradiso ก็เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่สายบรันช์ไม่ควรพลาด ด้วยความครบครันตอบโจทย์ทุกคนด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย สามารถแวะมาพักผ่อนกับครอบครัว เพื่อน หรือจะนำสัตว์เลี้ยงมาก็ได้ เพราะที่นี่เป็น Pet Friendly ที่พร้อมมอบความสุขให้ทุกคนที่อยากใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน Brunch Paradiso เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Shama Yen-Akat Bangkok เดินทางสะดวกด้วย MRT ลงสถานีลุมพินี ทางออก 2 ต่อรถแดงหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาที่โรงแรม หากนำรถยนต์ส่วนตัวมาก็มีที่จอดได้เพียงพอ ตัวร้านใช้โทนสีเขียวอ่อนตัดกับสีขาวดูแล้วสบายตา เชื่อมโยงด้วยโทนสีเดียวกันบนผนังและกระเบื้องลายรังผึ้ง ได้บรรยากาศอบอุ่นจากแสงธรรมชาติผ่านกระจกบานใหญ่ เพิ่มความเป็นกันเองด้วยเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส และงานศิลปะอาร์ตเวิร์กบนผนัง เริ่มกันที่เมนูบรันช์จานแรกอย่าง Messy Eggs (320 บาท) ด้านล่างเป็นขนมปังซาวร์โด ท็อปด้วยไข่คนราดซอสฮอลลันเดส และกุ้งย่างตัวโต เคียงมาด้วยร็อกเก็ตสลัด ได้รสเปรี้ยวนิดๆ และเผ็ดหน่อยๆ จากผงปาปริกา เอาใจคนรักสุขภาพด้วย DIY Quinoa Salad (250 บาท) ซึ่งประกอบไปด้วยควินัวสีแดงและสีขาว มีเครื่องเคียงเป็นกรีนโอลีฟ แบล็กโอลีฟ ถั่ว อะโวคาโด มะเขือเทศ แตงกวา พริก และผักชี เสิร์ฟมาพร้อมซอสเลมอนออริกาโนสูตรเฉพาะของร้าน แนะนำให้บีบมะนาวก่อนรับประทาน เพื่อเพิ่มความสดชื่น ต่อกันที่ Spaghetti AOP (250 บาท) สปาเก็ตตีผัดพริกแห้ง เส้นเหนียวนุ่มผัดในน้ำมันจากพริกและกระเทียม ปรุงรสด้วยพริกไทยกับเกลือ กินคู่ไส้กรอกหมูคัมเบอร์แลนด์ แบล็กโอลีฟ และมะเขือเทศ มีรสเค็มนิดๆ ได้กลิ่นหอมจากพริกแห้งเต็มคำ อีกหนึ่งเมนูที่อยากแนะนำคือ Zaatar Chicken Bowl (260 บาท) ข้าวญี่ปุ่นท็อปด้วยไก่ย่างเนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมผักต่างๆ กับซอสที่ทำมาจากเนื้อและกระดูกไก่ ก่อนกินแนะนำให้ราดซอส รสจะออกหวานนิดๆ ตัดกับรสของไก่ย่างที่หมักเข้าเนื้อ พร้อมกลิ่นหอมจากเตาย่าง อย่าลืมใส่เกาลัดและข้าวโพดหวาน กินภายในคำเดียวอร่อยฟินสุดๆ ในส่วนของเครื่องดื่มเราชอบ Mocha Paradiso (140 บาท) เป็นกาแฟผสมช็อกโกแลต ที่เห็นสีชมพูด้านล่างคือไซรัปราสป์เบอร์รีผสมนม ส่วนด้านบนคือฟองนม โรยด้วยผงราสป์เบอร์รี แนะนำให้คนก่อนดื่ม จะได้รสเข้มข้นของมอคคาตัดกับรสเปรี้ยวนิดๆ ของราสป์เบอร์รีและได้ความนัวของนม อร่อยสุดๆ และเมนูซิกเนเจอร์แก้วนี้ Pink Moon (190 บาท) สมูทตีโยเกิร์ต ได้รสนัวๆ จากส่วนผสมทั้งสตรอว์เบอร์รี มะนาว อะโวคาโด และเมล็ดเจีย ได้รสหวานเล็กน้อยจากไซรัปสตรอว์เบอร์รี ตัดกับความเปรี้ยวของโยเกิร์ต มีความมันๆ นัวๆ ของอะโวคาโด อร่อยกลมกล่อม เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่บรันช์ที่ควรมีไว้ในลิสต์

เราจะคุ้นเคยกับ Greyhound Café ในรูปแบบที่เข้มขรึมด้วยโทนสีดำ สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์แฟชั่นออกมาอย่างโดดเด่น แต่ Greyhound Café สาขาใหม่ที่ MedPark Hospital กลับกลายเป็นอีกโฉมหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้นได้ไม่น้อย ด้วยโทนสีขาวสว่าง ดูสะอาดตาในทุกมุม พร้อมกับลูกเล่นการจัด Paper Art Craft ดอกไม้เป็นคำว่า GOOD HEALTH เข้ากับบรรยากาศภายในโรงพยาบาล ที่นี่นับเป็น Greyhound Café สาขาแรกที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาล บรรยากาศภายในร้านจึงอบอวลไปด้วยความอบอุ่นราวกับอยู่บ้าน และที่พิเศษไปกว่านั้นคือเมนูอาหารสุดพิเศษที่จัดมาเฉพาะสำหรับสาขานี้ที่เดียวเท่านั้น ด้วยการยกระดับอาหารในโรงพยาบาลให้มีหน้าตาชวนน้ำลายสอและไม่จืดชืดอีกต่อไป โดยมีเมนูซิกเนเจอร์คือ โจ๊กหมูทรงเครื่อง โจ๊กเนื้อเนียนกับเครื่องแน่น ทั้งหมูสับก้อน ไข่ดาวเยิ้ม ๆ ปาท่องโก๋กรอบ และไฮไลต์อยู่ที่หมูบะเต็ง ที่ร้านเลือกใช้เนื้อหมูสันนอกกับหมูสามชั้นมาเคี่ยวกับกุ้งแห้งและปลาหมึกแห้งในเวลากว่า 2 ชั่วโมงจนได้รสชาติที่เข้มข้น โรยหน้าด้วยขิงอ่อนซอยและต้อนหอมซอย                                                                                                                            จานต่อมา บั๋นหมี่โบลว์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสตรีทฟู้ดชื่อดังของเวียดนามอย่างบั๋นหมี่ แต่ที่ Greyhound Café ได้นำส่วนผสมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอกอิตาเลียน กุนเชียงหมูมันน้อย หมูยอสูตรโบราณ แตงกวาญี่ปุ่นดอง หอมแดงดอง แครอทดอง ผักสด ขนมปังบาแกตต์คลุกซอสครีมสไปซี่ มาจัดเรียงไว้ด้วยกันในชามใหญ่ ค่อย ๆ คลุกเคล้าส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันกับน้ำสลัดรสชาติเปรี้ยวอมหวานคล้ายอาจาด อีกหนึ่งเมนูสไตล์เวียดนามที่น่าลองไม่แพ้กันคือ ก๋วยจั๊บญวนแก๊งลูกหมู เส้นเด้งนุ่มสู้ฟันเพราะเป็นเส้นที่ทางร้านต้มเอง เสิร์ฟมาในน้ำซุปร้อน ๆ รสชาติกลมกล่อมหวานน้ำต้มกระดูก อัดแน่นมาด้วยหมู 3 แบบ คือ หมูบะช่อ หมูกระดูกอ่อนใบพาย และหมูยอสูตรโบราณ เติมเต็มความอิ่มด้วยไข่ดาวน้ำที่มาในชามเดียวกัน ก๋วยเตี๋ยวหมูสับทรงเครื่อง ราดซอสมะเขือเทศหมูสับและหัวหอม ให้รสชาติคล้ายพาสตาซอสมะเขือเทศ แต่โดดเด่นด้วยก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดกับไข่อย่างทั่วถึงได้รสชาติของไข่ในทุกอณู เสิร์ฟพร้อมผักกาดแก้วสดหวานกรอบ ชุดหมูปิ้งไก่ปิ้ง เมนูอาหารเช้าแบบไทย ๆ ใส่ความพิเศษเข้าไปด้วยเนื้อหมูและเนื้อไก่ที่ผ่านการหมักน้ำกะทิสดก่อนนำมาย่างด้วยไฟอ่อน ๆ เพิ่มความแซ่บด้วยน้ำจิ้มแจ่ว แถมมากับข้าวจี่สไตล์อีสานสอดไส้ด้วยปลาช่อนผัดแห้ง หอมทั้งกลิ่นไข่และกลิ่นปลาแห้งในคำเดียว ข้าวหน้าไก่ไข่เยิ้ม เป็นอีกจานซิกเนเจอร์ที่โดดเด่นด้วยน้ำสต็อกไก่ที่หอมกลิ่นของน้ำมันงาแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไก่นุ่ม ๆ ท็อปด้วยไข่เป็ดดาวเป็นยางมะตูม เคียงมากับกุนเชียงหมูมันน้อย พริกชี้ฟ้าเขียว พริกน้ำส้มเหลือง และน้ำซุปประจำวัน สำหรับเซ็ตใหญ่อย่าง เซ็ตปิ่นโตเถา ก็เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจ เพราะยกปิ่นโตทั้งเถามาให้พร้อมข้าวแกงสไตล์ไทยอย่างแกงกะหรี่สันคอหมูใส่ฟัก หมูหมักสมุนไพรสามเกลอทอดจนเป็นสีทองและเนื้อในนุ่มน่ารับประทาน คู่มากับกุนเชียงหมูมันน้อย ก่อนจะล้างปากด้วยฟรุ๊ตสลัดที่ด้านล่างเป็นมีทั้งเจลลี่ สับปะรด มะม่วง และส้มแมนดาริน ให้ความสดชื่นปิดท้ายมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นทั้งอีกมิติของ Greyhound Café อีกมิติของอาหารสตรีทฟู้ด และอีกมิติของอาหารในโรงพยาบาลอย่างแท้จริง

สายกินคนไหนเป็นแฟนคลับฟาสต์ฟู้ดตัวจริงต้องเคยมาชิม Quickie Burger” ร้านเบอร์เกอร์พรีเมียมเสิร์ฟความอร่อยตลอด 24 ชั่วโมง ครั้งนี้เราแวะมากินสาขาแรกในโครงการ Velaa Langsuan สะดุดตาด้วยร้านสีแดงสดสไตล์ดั้งเดิมของอเมริกันไดเนอร์ โซฟาหนังสีขาว-แดง เข้ากันดีกับโต๊ะสีขาว ผนังกราฟฟิตี้ลายการ์ตูนและกระเบื้องสีขาวดำสร้างมู้ดแอนด์โทนให้สนุกสนาน ใครพาเพื่อนมาแฮงก์เอาต์เป็นคณะไม่ต้องกลัวไม่มีที่นั่ง เพราะร้านนี้เขามีโซนห้องไพรเวทอยู่บนชั้น 2 อร่อยไปกับอาหารฟาสต์ฟู้ดที่รังสรรค์จากวัตถุดิบพรีเมี่ยม ได้แก่ เนื้อชั้นดีที่ส่งตรงมาจาก USA ไข่ ไก่ ผักและผลไม้ออร์แกนิก ขนมปังไม่ว่าจะเป็นตัวบัน หรือบริออชทางร้านก็ทำเอง นอกจากนี้ Quickie Burger ยังเป็นร้าน pet friendly ที่คุณสามารถพาน้องหมาและแมวมาร่วมอร่อยได้ด้วย (มีขนมหมาขาย) ท้องร้องแล้วสั่งของกินเล่นมาก่อน Sweet Potato Fries น่าสนใจ มันฝรั่งหวานทอดไม่อมน้ำมัน จิ้มซอสมะเขือเทศลงตัว Spicy Fries Chicken น่องไก่เนื้อแน่น เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน  คลุกเคล้าผงสไปซี่รสจัดจ้านเข้มข้น ตามด้วยเมนูพิเศษอย่าง Foie Gras Burger บันสไตล์โฮมเมดเนื้อนุ่มฟู ประกบเนื้อคุณภาพจาก USA ฉ่ำลิ้น ตับห่านทอดสุกกำลังดี ชีสอิดัม ผักร็อคเก็ต และซอสสูตรลับของทางร้าน ยังเอาใจคนรักเนื้อต่อเนื่องกับ Quickie Burger เมนูซิกเนเจอร์ เบอร์เกอร์ชิ้นโต ที่ให้คุณอร่อยไปกับเนื้อคุณภาพสัญชาติอเมริกา ร่วมไปกับซอสรสกลมกล่อม สดและขนมปังบันนุ่มนิ่ม Chic’kie Burger จะมีอะไรดีไปกว่าไก่ออร์แกนิคชิ้นใหญ่ๆ ทอดให้อย่างดีจนได้สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ผัดสดกรุบกรอบ มาโยสูตรลับ และขนมปังบันหนานุ่มทำเอง หรือใครชอบแซนด์วิชที่ควิกกี้ เบอร์เกอร์เขาก็มีนะ Beef Briket ขนมปังบริออชฟูๆ ชุ่มเนยทำเอง เข้ากันดีกับเนื้อเคลือบซอสสูตรเฉพาะรสเข้มข้น โรยหน้าด้วยต้นกระเทียมอบแห้ง Quickie Ham & Cheese ชีสนานาชนิดรสครีมมี ตัดรสด้วยความเค็มของแฮมอิตาเลียน กัดพร้อมไข่ดาวใบจิ๋วน่ารักและขนมปังบริออชสไตล์โฮมเมด ยังมีเมนูใหม่แกะกล่องอย่าง Crab Sandwich แซนด์วิชปูโดนใจสายซีฟู้ด ปูเนื้อหวานเข้ากันดีกับซอสมายองเนส ท็อปด้วยไข่กุ้งกินอร่อย จิบคู่ Float Drinks น้ำอัดลมจับคู่กับไอศกรีม ซึ่งครั้งนี้เราเลือกเป็นโค้กซาบซ่ากับไอศกรีมวานิลลาหวานมันStrawberry Milk Shake เครื่องดื่มคู่ใจคนรักของหวาน ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีทำเอง ปั่นกับนมสดหอมมัน ท็อปด้วยวิปครีมปุกปุย และ Fresh Orange Juice น้ำส้มคั้นสดรสเปรี้ยวอมหวานที่ได้จากส้มตามฤดูกาล      

ยกให้เป็นหนึ่งในของดีนครปฐมที่สายกินไม่ควรพลาด ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์ หรือร้านข้าวหลามบ๊ะจ่างในกระบอกไม้ไผ่ที่มีตำนานกว่า 100 ปี โดยเจ้าของคือ ป้าแป๊ว หรือ คุณสมิตรา ภู่พะเนียด ซึ่งปัจจุบันสืบทอดมาจนถึงรุ่นที่ 4 การันตีความอร่อยด้วยจำนวนลูกค้าที่แวะเข้ามาอุดหนุนกันไม่ขาดสาย ทำให้ขายหมดก่อนปิดร้านซะอีก จุดเด่นของร้านอยู่ที่ การใช้กรรมวิธีแบบโบราณในการเผาข้าวหลามด้วยเตาถ่านอิฐแดง ซึ่งจะเผาด้วยไฟรุมๆ ที่นอกจากจะทำให้ตัวข้าวสุกนิ่มทั้งกระบอก ยังทำให้หอมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไม้ไผ่และเตาถ่าน รวมไปถึงการกรอกกะทิใส่แบบไม่มีหวง รสชาติจึงหวานมันไม่เหมือนใคร โดยทีเด็ดของร้านต้องยกให้ ข้าวหลามบ๊ะจ่าง อัดแน่นมาด้วยเนื้อหมู ไข่แดงเค็ม กุ้งแห้งไซส์ใหญ่ แปะก๊วย เห็ดหอม และถั่วลิสง กินกับตัวข้าวเหนียวเนื้อนุ่มหอมกลิ่นพริกไทย รสเข้มข้นกลมกล่อม ส่วนรสชาติออริจินอลอย่าง ข้าวหลามดำและข้าวหลามขาว ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กินแล้วจะได้ความกรอบจากเยื่อไม้ไผ่ด้านนอก เข้ากับเนื้อข้าวเนียนนุ่มหวานมันฉ่ำกะทิภายในได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ที่ร้านยังมี ข้าวหลามสังขยาข้าวเหนียวดำ และ ข้าวหลามสังขยาข้าวเหนียวขาว ที่รับรองว่าอร่อยเด็ดไม่แพ้กัน

เสน่ห์เกินห้ามใจยกให้ร้านนี้ที่สร้างสรรค์บรรยากาศของชนเผ่า โดยยกเอาทุ่งหญ้าสะวันนามาไว้ที่ชลบุรี ร้านอยู่ริมถนนบางแสน-อ่างศิลา พื้นที่กว้างขวางสามารถจอดรถด้านหน้าร้านได้เลย ส่วนด้านในตกแต่งในธีมสีเอิร์ธโทน สื่อถึงทุ่งหญ้าและผืนทราย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่ทำจากท่อนไม้ ไม้ไผ่ และหญ้าแห้ง ช่วงบ่ายร่มลมตกใครอยากเปลี่ยนอารมณ์แบบคนละขั้ว ลุกมานั่งรับลม ชมป่าชายเลน พร้อมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบสักแก้วก็เพลินไปอีกแบบ เมนูเด่นๆ ท้าให้ลอง อาทิ พิซซาซองต์ หยิบครัวซองต์มาครีเอทคล้ายพิซซา ท็อปด้วยแฮมและชีส อบร้อนๆ กลิ่นหอมจรุงใจ จะกินเป็นของว่างก่อนจานหลัก หรือจะกินให้อยู่ท้องจับคู่กับเครื่องดื่มสักแก้วก็เข้าที เค้กยูสุ เอาใจสวีทเลิฟเวอร์ด้วยเค้กส้มยูสุ แต่งหน้าด้วยส้มฝานบางๆ และดอกไม้จิ๋ว รสหวานนิดเปรี้ยวหน่อย กินอร่อยแบบลืมอ้วน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ อเมริกาโนยูสุ สนุกกับการเทช็อตอเมริกาโนเข้มข้นลงในแก้วน้ำส้มยูสุ กลิ่นหอมทั้งของกาแฟและน้ำส้มจะอบอวลขึ้นมา ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้จิบ บางแสนแค่ปากซอย ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง

Kanissu Icecream คาเฟ่ไอศกรีมที่พร้อมซับความรู้สึกของผู้มาเยือน ด้วยการมอบความสุขให้ทุกคนผ่านความหวานเย็นแสนอร่อย ตามคอนเซ็ปต์ “Fulfill your happiness” ที่ชั้น 1 ของโครงการ One One Food Avenue ถนนสามัคคี จังหวัดนนทบุรี ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีเรียบง่าย ได้แรงบันดาลใจจากสีของไอศกรีมที่คุ้นเคยกันดีอย่างช็อกโกแลตกับวานิลลา เน้นสัดส่วนโค้งเว้าของขอบประตูหน้าต่างที่เข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ หากมองใกล้เข้าไปที่ผนังจะเห็นได้ชัดว่าผนังนั้นไม่เรียบ เปรียบเหมือนเท็กซ์เจอร์เนื้อไอศกรีมที่ถูกปั่น และยังใส่ดีเทลตัวโคนไอศกรีมไว้ที่ผนังเช่นกัน รับรองความอร่อยด้วยวัตถุดิบเกรดพรีเมียม มีหลากหลายรสชาติให้ลองชิม ทั้งรสที่คุ้นเคย หรือรสแปลกใหม่แหวกแนว ทุกคนสามารถเลือกรสได้อย่างที่ใจต้องการ เริ่มกันที่เมนูใหม่ในซีซั่นนี้อย่าง Cinderella ด้านในเป็นไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก ท็อปด้วยแครกเกอร์และสตรอว์เบอร์รีสด กินรวมกันทุกส่วนอร่อยมากๆ รสหวานกำลังดี หอมครีมชีส ยกให้เป็นเมนู สวยแต่รูปจูบก็หอมเลย ใครมาร้านนี้ต้องสั่งเมนูซิกเนเจอร์อย่างไอศกรีม Sea Salt สีฟ้าน้ำทะเลวางบนโคนช็อกโกแลตสีสวยตัดกันพอดี ให้รสเค็มนิดๆ ได้รสหวานหน่อยๆ จาก Honeycomb และเมนูขายดี Strawberry Cheesecake เสิร์ฟบนโคนวานิลลา เพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยเนื้อชีสเค้กให้เคี้ยวสนุก ได้รสนิ่มนวลของสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กแท้ๆ แต่อยู่ในรูปแบบไอศกรีม ต่อด้วยเมนูอิ่มท้อง Chili Paste with Flossy Pork and Croissant คือครัวซองต์ที่มีไอศกรีมพริกเผาหมูหยองด้านใน ได้กลิ่นและรสเผ็ดจากพริกเผาหมูหยองชัดเจน เป็นเมนูที่ผสมผสานอาหารคาวกับของหวานได้ลงตัวสุดๆ นอกเหนือจากไอศกรีมทางร้านยังมีเครื่องดื่มให้เลือกอีกมากมาย เริ่มด้วยเมนูแนะนำอย่าง Dirty Relief เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากคนไม่ชอบดื่มกาแฟ ปรับสูตรให้ดื่มง่าย เพิ่มความพิเศษด้วยนมสูตรพิเศษของร้าน ได้รสชาตินวลๆ จากนม หวานน้อยและไม่เข้มจนเกินไป มีกลิ่นขนมชั้นเบาๆ คนไม่ชอบกาแฟก็สามารถดื่มได้ ถัดมาเป็น Momo Ginger Bistre กาแฟพีชรสเข้มข้น มีความซ่าสดชื่นจากขิงนิดๆ ได้กลิ่นพีชและขิงชัดเจน ยิ่งกิน ยิ่งหอม ปิดท้ายด้วยความสดชื่นจาก Flower After Sunset ชาเอิร์ลเกรย์กับไซรัปราสป์เบอร์รี เมนูม็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากสีสันบนท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตก เหมือนได้ดื่มด่ำรสชาติที่ใช่และพร้อมเริ่มวันใหม่ไปกับแก้วนี้

คนรักน้ำเต้าหู้อย่าพลาดร้านนี้ Nam Dao Huu Café คาเฟ่น้ำเต้าหู้แห่งเยาวราชที่มีลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนกันแน่นตลอดทั้งวัน ภายในร้านตกแต่งอารมณ์เหมือนโรงเตี๊ยมจีนขนาดย่อม กำแพงร้านเต็มไปด้วยภาพวาดสีสันสดใสเล่าเรื่องชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับน้ำเต้าหู้ที่มองมุมไหนก็น่าถ่ายรูปไปหมด ขึ้นชื่อว่าเป็นคาเฟ่น้ำเต้าหู้ทั้งที ที่ร้านจึงมาพร้อมเมนูน้ำเต้าหู้ที่มีให้เลือกทั้งร้อน เย็น และแบบเกล็ดน้ำแข็ง! น้ำเต้าหู้ของร้านนี้มาพร้อมความเข้มข้น ได้รสชาติถั่วเหลืองแบบชัดเจน เราแนะนำน้ำเต้าหู้ทรงเครื่อง ถ้วยใหญ่เสิร์ฟแบบร้อน มาพร้อมเครื่องแน่นๆ อย่างรากบัว พุทราจีน แปะก้วย เฉาก๊วย ลูกเดือย ถั่วแดง สาคู อย่าลืมสั่งปาท่องโก๋กับซาลาเปาทอดมากินคู่กันเพลินดี ใครอยากแวะมานั่งพักจากแสงแดดร้อนแรง อยากให้ลองน้ำเต้าหู้อัญชันเกล็ดน้ำแข็ง นอกจากชื่นใจแล้ว ยังสีสวยจากดอกอัญชันและพลาดไม่ได้กับน้ำขิงเกล็ดหิมะน้ำขิงรสเข้มถึงใจแบบเกล็ดน้ำแข็งเย็นฉ่ำ นอกจากนี้ยังมีเมนูน่าลองอีกเพียบ อาทิ น้ำเต้าหู้ใส่ไข่ลวก บัวลอยน้ำขิง เต้าทึง เต้าฮวยมันม่วงน้ำขิง ฯลฯ คนรักน้ำเต้าหู้พลาดไม่ได้แล้วล่ะ

“หมูกระทะจะเยียวยาทุกสิ่ง” ถ้าคุณเป็นสายกินที่อินกับประโยคนี้ละก็เรามีร้านเด็ดๆ มาแนะนำ นี่เลย หมูกระทะคนรวย (Crazy Rich Thai BBQ) ร้านหมูกระทะน้องใหม่แห่งย่านสยามสแควร์ที่อยู่ฝั่งถนนอังรีดูนังต์ รองรับลูกค้าได้แบบจุใจเพราะมีหลายชั้น แถมยังมีวิวดาดฟ้าให้นั่งชมบรรยากาศแบบเก๋ๆ พร้อมสนุกไปกับเสียงดนตรีจากดีเจและดนตรีสด ในเรื่องของรสชาติก็เรียกได้ว่ารวย (ความอร่อย) สมชื่อ     โดดเด่นด้วยหมูหมักสูตรพิเศษ ที่มีให้เลือกทั้งหมูสามชั้นฟินๆ และหมูสันในนุ่มๆ ส่วนใครที่เป็นสายเนื้อทางร้านเขาก็มีเสือร้องไห้เสิร์ฟนะ มาพร้อมกับน้ำจิ้มสูตรเด็ด (มาก) ซึ่งมีให้คุณเลือกอร่อยถึง 4 สไตล์ เช่น น้ำจิ้มหวาน น้ำจิ้มเค็ม น้ำจิ้มปีศาจ รสจัดจ้าน ได้ความนัวของปลาร้าแบบเต็มๆ และน้ำจิ้มสามรส รสเปรี้ยวเผ็ด คล้ายๆ น้ำจิ้มซีฟู้ด ใครกลัวเผ็ดไม่ต้องหวั่น เพราะชั้นล่างของหมูกระทะคนรวย เป็น Pop-up ของร้านชานมเสือพ่นไฟจูเนียร์นี่เอง       สั่งของกินเล่นมาลิ้มลองดีกว่า ส้มตำทอด (120 บาท) ก็น่าสนใจ เส้นมะละกอทอดกรุบกรอบ ไม่อมน้ำมันกินเพลิน เสิร์ฟพร้อมน้ำส้มตำครบรส เผ็ดกำลังดี คอหมูย่างน้ำผึ้ง (160 บาท) ก็เข้าที เนื้อหมูนุ่ม (มาก) ชุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ เข้าคู่ไปกับน้ำจิ้มแจ่วรสเปรี้ยวเผ็ด       จานนี้เราเทใจให้รัวๆ ยำหมูยอ (150 บาท) หมูยอคุณภาพ เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นพริกไทย คลุกเคล้ากับน้ำจิ้มรสจัดจ้านถึงใจ ไส้อ่อนทอดกระเทียม (160 บาท) หนึบๆ กินอร่อยดี สั่ง ส้มตำไทย (100 บาท) อีกสักจานดีกว่า รสหวาน เปรี้ยว เผ็ดกำลังดี ข้าวผัดเบคอน (150 บาท) รสเค็มกลมกล่อม เลิฟมากตรงเบคอน กินร้อนๆ อร่อยมาก         มาถึงตาหมูกระทะกันบ้าง เราสั่ง ชุดอภิมหาเศรษฐี (699 บาท) ที่ประกอบไปด้วย หมูสามชั้น แสนอร่อย หมูสันนอก นุ่มๆ เบคอน แสนรัก กุ้ง กินอร่อย ปลาหมึกกรอบ ปลาหมึกสดหนึบหนับ และชุดผักสดคุณภาพ ก่อนปิ้งควรคลุกเคล้าไข่สดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้ดี ย่างจนสุกได้ที่ เข้ากันดีกับน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ทางร้านแนะนำ นั่นก็คือการรวมตัวกันของ 4 น้ำจิ้ม น้ำจิ้มหวาน น้ำจิ้มเค็ม น้ำจิ้มปีศาจ และน้ำจิ้มสามรส     เอาใจเด็กอ้วนไปกับ ชุดคนมีอันจะกิน (340 บาท)  เพราะเป็นการรวมตัวกันระหว่างหมูสามชั้นเนื้อนุ่ม และเบคอนรสเค็มละมุน จิ้มกับน้ำจิ้มสามรสถูกใจมาก     ชุด CEO เงินล้าน ก็ปังนะ มีทั้งหมูสามชั้นฟินๆ หมูสันนอกเคี้ยวเพลิน เบคอน ที่หลายคนชอบ และชุดผักที่คุ้มแสนคุ้ม     สุดท้ายนี้ขอเอาใจสายเนื้อด้วย  เสือร้องไห้ เนื้อฉ่ำนุ่มลิ้น ย่างบนเตาทองเหลืองร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ กินคู่น้ำจิ้มปีศาจ รสแซ่บผสมกับปลาร้า รสชาติดีสุดๆ     อร่อยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

มุกเต้าทึง” เป็นร้านเต้าทึงที่ครองใจเรามานานหลายปี ตั้งแต่สมัยที่ยังเปิดร้านขายในซอยสันติสุข หรือสุขุมวิท 38 อดีตย่านสตรีทฟู้ดชื่อดังที่สองฟากถนนจะเนืองแน่นไปด้วยร้านอร่อยริมทาง ซึ่งร้านหวานเย็นชื่นใจแห่งนี้เป็นอีกจุดเช็คอินที่สายกินทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจะไม่ยอมพลาดลิ้มรสชาติอย่างเด็ดขาด         วันนี้มุกเต้าทึงมี 3 สาขาให้หายคิดถึง ใกล้สาขาไหนก็แวะเวียนไปอุดหนุนได้ ขายดีที่สุดยกให้เต้าทึง เมนูดั้งเดิมตั้งแต่เริ่มเปิดร้านเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เน้นเครื่องเยอะ ของเชื่อมทั้งหมดทำสดใหม่วันต่อวัน กินกับน้ำเชื่อมน้ำลำไยที่เคี่ยวด้วยน้ำตาลทรายแดงกับเนื้อลำไยอย่างดี อีกเมนูคู่ซี้ที่ขายดีแบบไม่มียอมกันคือน้ำแข็งไส ลูกค้าเลือกเครื่องได้4 อย่าง จากที่มีทั้งหมดกว่า 30 อย่าง วางเรียงรายทำหน้าที่เรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน โดยเฉพาะพุทรากับแปะก๊วยเชื่อม ที่ผ่านการเชื่อมซ้ำหลายครั้งจนน้ำตาลรัดตัวขึ้นเงาสวย หวานฉ่ำ เคี้ยวหนึบถึงใจ ใครชอบรากบัวเชื่อมยิ่งห้ามพลาดเพราะหั่นชิ้นใหญ่ให้กินได้จุใจ ตามด้วยฟักทองเชื่อม มันเชื่อม แห้ว หน้าตาชวนกินทุกอย่าง จึงอาจเลือกยากสักหน่อย ต่อด้วยทับทิมกรอบมะพร้าวกะทิ ทับทิบกรอบสีส้มอมแดง เคี้ยวกรุบกรอบสมชื่อ จับคู่กับมะพร้าวกะทิเนื้อฟูหนึบหนับ ตามด้วยน้ำกะทิคั้นสดซึ่งขึ้นเตามาเรียบร้อย โปะน้ำแข็งเกล็ดตาม รสไม่หวานจัดจึงกินได้หมดถ้วยแบบไม่ต้องกลัวพุงยื่น     ยังมีไอติมไข่แข็งที่ฮอตจนต้องติดป้ายโตๆ ไว้ที่หน้าร้าน ไอศกรีมกะทิ รสชาติหวานมัน เคลือบไข่แข็งกรอบๆ มันๆ ไม่มีกลิ่นกวนใจ ถ้าอยากได้ท็อปปิงก็สั่งเพิ่มได้ตามชอบ อีกเมนูคือไอติมทอด ขนมปังห่อไอศกรีมทอดโรยท็อปปิง ปังเย็น ขนมปังหั่นชิ้น โปะน้ำแข็งป่น ราดนมเย็นสีชมพูแล้วโรยท็อปปิงหลากสีตาม เมนูนี้ไม่เพียงเด็กๆ จะชื่นชอบ ผู้ใหญ่อย่างเรายังปลื้มเพราะกินเป็นขนมก็ได้ หรือเสียบหลอดลงไปก็เปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายคลายร้อนได้เลย         ปิดท้ายด้วยบัวลอยไข่หวาน ที่เราจะไม่ยอมพลาดเมื่อมาร้านนี้ จะนั่งกินที่ร้าน หรือซื้อติดมือกลับบ้านก็ได้ เพราะทิ้งไว้นานแป้งก็ยังนุ่มฟิน อร่อยเหมือนนั่งกินที่ร้าน   สาขาพัฒนาการ เปิดบริการ 13.00-23.00 น. สาขาลาดกระบัง เปิดบริการ 14.00-22.00 น. สาขาอ่อนนุช ซอย 9 เปิดบริการ 17.00-23.00 น.

“Skinnylicious” ร้านขนมคลีนรสฟินๆ ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศ อาทิ แป้งข้าวกล้องออร์แกนิกส์ นมอัลมอนด์ สารให้ความหวานจากธรรมชาติอย่าง น้ำตาลหญ้าหวาน อิริทริทอล มอลทิทอล เป็นต้น ขนมส่วนใหญ่ของร้านจะปราศจากแป้งสาลี น้ำตาล เนยและนม บางเมนูจะ Low – Sugar รสหวานน้อยแต่อร่อย สมกับที่เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กของ Coffee Bean By Dao ร้านขนมหวานโฮมเมดสูตรประจำบ้านชื่อดัง     สายหวานคนไหนอยากสั่งมาชิมที่บ้านสบายๆ ก็สั่งออนไลน์ได้เลย แต่หากอยากมาฟินหน้าร้านก็ไม่ว่ากัน ครั้งนี้เรามาชิมที่สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว บริเวณชั้น 2 เห็นร้านสีแดงสดโดดเด่นมาแต่ไกลก็นั่นแหละ Skinnylicious นี่ไงล่ะ       ไปลองชิม Keto Strawberry Pie (100 บาท) ฟินมากมาย ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลกรุบกรอบที่ทำมาจากอัลมอนด์ กินพร้อมมูสสตรอว์เบอร์รีเนื้อนุ่ม รสหวานฉ่ำนี้ได้มาจากอิริทริทอล (สารให้ความหวานจากข้าวโพด) ท็อปด้วยวิปครีมสูตรคลีนอีกที     เค้กไมโลหนึบ (129 บาท) ขนมน้องใหม่มาแรง เนื้อเค้กนุ่มฟูนี้ทำมาจากข้าวกล้องออร์แกนิกส์ สลับชั้นกับซอสไมโลเหนียวหนึบ รสเข้มข้นหวานหอมนี้ได้มาจากมันหวานสัญชาติญี่ปุ่น กินพร้อมวิปครีมสูตรคลีน และโมจิเหนียวนุ่ม     ต่อด้วยเมนูดาวเด่นอย่าง Sugar-Free Dark Choc Almond Milk Pudding Cake (245 บาท) ได้รสชาติเข้มข้นของช็อกโกแลตเต็มๆ อย่างไม่รู้สึกผิด เพราะขนมชิ้นนี้ปราศจากเนย นม แป้งสาลี และน้ำตาล ตัวเค้กทำมาจากแป้งข้าวกล้องออร์แกนิกส์ เนื้อเบา กินพร้อมพุดดิ้งช็อกโกแลตที่ทำมาจากนมอัลมอนด์ และโมจิยักษ์หนึบๆ     Skinny Mochi Bomb (120 บาท) ตัวนี้ก็ขายดีแป้งโมจิเนื้อนุ่มนิ่ม กินเพลิน ห่อไส้ดาร์กช็อกโกแลต รสหวานที่ได้มาจากช็อกโกแลตแท้คุณภาพล้วนๆ     ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มแสนอร่อยอย่าง Sugar-Free Almond Milk Dark Choc Swirl (120 บาท) นมอัลมอนด์หอมมัน ผสมผสานกับดาร์กช็อกโกแลต โกโก้คุณภาพ น้ำตาลหญ้าหวาน ดูดพร้อมพุดดิ้งช็อกโกแลตที่ครีเอทมาจากนมอัลมอนด์ และโมจิสไตล์โฮมเมดหนึบหนับ  

หวานอร่อย เย็นใจไปกับ The Sweet Chaos ร้านไอศกรีมเจลาโตโฮมเมดพรีเมียม ที่ต้องการนำเสนอไอศกรีมเจลาโตออกเป็น 2 สไตล์ โดยแบ่งออกเป็น 7 รสชาติ ที่เหมาะรับประทานในช่วงกลางวัน และอีก 7 รสชาติ สำหรับยามกลางคืน อร่อยได้ทุกวัน ทุกวัยไม่มีเบื่อเลยล่ะ     สำหรับ รสชาติของเที่ยงวัน (Every Day Ice Cream) อัดแน่นไปด้วยคุณค่าของผัก ผลไม้ โดยเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่แต่งสีและกลิ่น รสชาตินุ่มนวล กลมกล่อม ใครที่ไม่ใช่สายกินผักก็ฟินได้ อาทิ     Fluffy Clouds ที่ผสมผสานดอกกะหล่ำและนมฮอกไกโดเข้าด้วยกัน หอมมันนัว ด้านบนโรยด้วยบัตเตอร์ครัมเบิล กรุบกรอบ Blancmange รสพุดดิ้งเต้าหู้ออร์แกนิกเนื้อสัมผัสเนียนละมุน รสหวานติดปลายลิ้นด้วยน้ำตาลดำโคคุโตะจากโอกินาว่า ท็อปด้วยผงถั่วคินาโกะหอมนวลจากฮอกไกโด Crazy Bunny แบ่งออกเป็น 2 รสชาติในถ้วยเดียว หวานมันด้วยส่วนผสมจากแครอต ครีมชีส และวอลนัต Strawberry Go Round สตรอว์เบอร์รีซอร์เบท ผสมมากับซอสเชอร์รี อมารีนา จากอิตาลี รสเปรี้ยวหวานสดชื่น       นอกจากนี้ยังมี Popeye Power รสผักโขม ที่เพิ่มความมันนัวด้วยเชดดาร์ชีส และเกาด้าชีส Golden Ticket รสดาร์คช็อกโกแลต หวานตัดขมกำลังดี และ Jack in The Box เจลาโตฟักทองบัตเตอร์นัตอบ รสหวานน้อย โดยจะได้สัมผัสกรุบๆ จากเมล็ดฟักทองอบดีต่อสุขภาพ       ส่วนรสชาติสำหรับกลางคืน (Every Night Ice Cream) เป็นค็อกเทลเจลาโต ที่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และอารมณ์ดีแบบเบาๆ ในทุกค่ำคืน เหมาะสำหรับสายชิล อาทิ Umeshu ความเปรี้ยวอมหวานของเหล้าบ๊วยญี่ปุ่นเข้ากันได้ดีกับแอปริคอต กินแล้วสดชื่น The Godfather สุดเข้มข้นจากดาร์คช็อกโกแลตและบรั่นดี หอมหวานติดปลายขมเล็กน้อย Rum Cherry Merlot ได้รสสัมผัสนุ่มนวลของไวน์แดง หอมกลิ่นแบล็ก เชอร์รี และพลัม อีกตัวที่ชอบ คือ Kahlúa Milk ทางร้านเลือกใช้เป็นเมล็ดกาแฟคั่วเข้มของ Starbucks ผสมผสานมากับนมและคาลัวร์ นวลละมุนลิ้น       หรือจะเลือกเป็น Lychee Rose ที่นำรัมสีขาว มาจับคู่กับความหวานฉ่ำของลิ้นจี่จักรพรรดิ์จากเชียงราย ตบท้ายด้วยการใส่ น้ำดอกกุหลาบ รสชาติสะอาด เบาลิ้น Lemon Gin เลมอนซอร์เบทผสมกับจิน  กินแล้วสดชื่น และ Screwdriver ส้มซอร์เบทและวอดก้า ที่จะได้กลิ่นและรสสัมผัสอันหอมหวานของน้ำส้มแบบเต็มๆ       ช่องทางสั่งซื้อ FB : The Sweet Chaos IG : the_sweet_chaos Line : @thesweetchaos Tel : 096-915-6429, 061-592-6544

ต้องออกตัวก่อนเลยว่าเจลาโต้ไม่ใช่ไอศกรีมและแน่นอนว่าไอศกรีมก็ไม่ใช่เจลาโต้ หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวอิตาลีที่กลายเป็นที่รักของคนทั่วโลก ชื่อเสียงของ Ghignoni (กิโยนี่) มีมาเนิ่นนานและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในเจลาโต้รสชาติดีที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก       ต้นกำเนิดของ Ghignoni (กิโยนี่) นั้นอยู่ในแคว้นทัสคานีก่อตั้งในปี ค.ศ. 1981  โดย Palmiro Bruschi อาจารย์สอนทำเจลาโต้ชาวอิตาเลียน และเป็นแชมป์อันดับหนึ่งของอิตาลีเจลาโต้ ในปี ค.ศ.1994     ถามว่าทำไมเจลาโต้ถึงเป็นความภาคภูมิใจของประเทศอิตาลี นั่นก็เพราะศาสตร์ในการทำที่ยกย่องให้เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ด้วยการผลิตจากนมสดแท้ นำไปตีจนได้ความเหนียว เนื้อแน่น แต่ก็นุ่มนวล โดยไม่พึ่งสารเคมีหรือแป้งใด ๆ จึงมีรสชาติความหวานตามธรรมชาติจากนมสด ผสมผสานด้วยรสชาติจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ และด้วยการทำสดใหม่วันต่อวัน ไร้สารกันบูด จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนรักสุขภาพ     Ghignoni (กิโยนี่) ยังเป็นร้านเจลาโต้ที่ใช้กรรมวิธีการทำแบบดั้งเดิมอย่างที่เล่าไปข้างต้น หรือที่เรียกว่า Artisan Gelato พร้อมกันนั้นยังคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี นำเข้าจากอิตาลีเพื่อให้ได้รสชาติและคุณภาพตามแบบฉบับเดิมของต้นตำรับ     สำหรับรสชาติเจลาโต้ซิกเนเจอร์ของ Ghignoni (กิโยนี่) ยกให้กับรส Hazelnut มีส่วนผสมจากถั่วเฮลเซนัทนำเข้าจากประเทศอิตาลี เมื่อเสิร์ฟจะโรยถั่วเฮลเซนัทอบเพิ่มความหอมและเนื้อสัมผัสความกรุบกรอบ เติมเต็มรสชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ     ถ้าอยากลิ้มลองรสชาติช็อกโกแลตไปพร้อม ๆ กับรสชาติความหอมของเฮเซลนัท ต้องลองรสชาติ Bacio (บาซิโอ้) ที่เป็นการรวมตัวกันระหว่างช็อกโกแลตกับเฮเซลนัท จึงมีรสชาติสุดเข้มข้นจากช็อกโกแลตผสมกับความกรุบกรอบของถั่วเฮเซลนัท     อีกรสชาติที่เป็นซิกเนเจอร์คือ Yuzu ใช้น้ำส้มยูซุนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนผสมหลัก จึงมีรสชาติสดชื่น หวานอมเปรี้ยว เหมาะสำหรับช่วงบ่ายของวันที่อากาศร้อน นับเป็นตัวเลือกเพิ่มความเย็นฉ่ำใจได้ดีทีเดียว     ที่ Ghignoni (กิโยนี่) ยังมีเจลาโต้อีกหลากหลายรสชาติให้ได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็น Passion Fruit & White Chocolate รสเสาวรสและไวท์ช็อกโกแลต Mascarpone Cheese รสมาสคาโปนชีส และใหม่ล่าสุดคือ Rum Raisin with Cannabis ซึ่งเป็นรสรัมเรซิ่นที่ผสมกัญชาเข้าไปด้วย       นอกจากหน้าร้านสาขา ถ.สีลม Ghignoni (กิโยนี่) ตั้งมีป๊อบอัพสโตร์สาขาสุขุมวิท 33 และสาขาเพลินจิต นอกจากนี้ยังสามารถสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น Lineman, Grab Food, Foodpanda และ Robinhood ได้ด้วยเช่นกัน

ใครที่เป็นนักกินตัวจริงไม่ควรพลาดร้านนี้ CDGRE ร้านอาหารยุโรปไลฟ์สไตล์เก๋กรุบที่มีคอนเซ็ปต์ “Eat  Drink Wear” ซึ่งเป็นการแทกทีมกันระหว่างกากั้น อนันต์ เชฟชาวอินเดียผู้มีเพชชั่นในเมล็ดกาแฟ เชฟคู่แฝดชาวเยอรมัน โทมัสและมาเทียส เจ้าของ Sühring ร้านอาหารเยอรมันสไตล์ Fine Dining ดีกรีมิชลิน 2 ดาวแห่งปี 2021 และ Carnival แบรนด์เสื้อผ้าไทยสไตล์สตรีทเท่ๆ ขวัญใจวัยทีนส์     ร้านตกแต่งโทนสีดำขลับผสมปูนเปลือย ให้ฟิลเหมือนบรรยากาศร้านกาแฟสเปเชียลตี้ ด้านหน้ามีตู้เบเกอรี่อบสดใหม่วันต่อวันละลานตา ถัดไปคือบาร์กาแฟของเชฟกากั้นและทีมบาริสต้า ที่รังสรรค์คอฟฟี่รสชาติดีจากเมล็ดกาแฟทั่วทุกมุมโลก และเครื่องดื่มชื่นใจ เดินขึ้นไปชั้นลอยจะพบกับบูธจำหน่ายแฟชั่นสตรีทสไตล์แบรนด์คาร์นิวาล ที่มีให้คุณช็อปปิ้งทั้งรองเท้า เสื้อผ้า และของใช้ทั่วไป     ชั้นสองก็บรรยากาศดีนะ ให้ความเป็นส่วนตัวเหมือนร้านอาหาร Fine Dining เหมาะจะเสิร์ฟอาหารสไตล์ยุโรปสูตรประจำบ้าน Sühring เสียนี่กระไร ใครอยากไปลิ้มลองปักหมุดมาที่ห้างพารากอน บริเวณชั้น G ได้เลย     เปิดด้วยเมนู The “Picnic Basket” (890 บาท) ตระกร้าปิกนิคใบใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยต่างๆ ได้แก่ สลัดผักกรุบกรอบ ราดบัลซามิกรสเปรี้ยว ขนมปังโฮมเมดหอมกรุ่น ชีสกูแยร์แผ่นบางๆ หอมมัน พาร์มาแฮมรสเค็มนุ่มนวล ซาลามี่ กินกับครีมสมุนไพรรสเปรี้ยวครีมมี เนยทำเองแสนอร่อย และหมูบดปรุงรส หอมกลิ่นเครื่องเทศ     Crispy Pork Knuckle (990 บาท) ขาหมูเยอรมันชิ้นโตๆ กรอบนอกฉ่ำใน ไม่อมน้ำมัน เข้าคู่ไปกับกะหล่ำดองรสเปรี้ยวเล็กๆ ตัดเลี่ยนได้ดี มันบดเนื้อเนียน ราดมาสตาร์ดรสเผ็ดนิดๆ หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดดวง (แซ่บเวอร์)     พลาดไม่ได้กับจานอร่อยอย่าง Carbonara Explosion (550 บาท) ราวีโอลี เกี๊ยวสไตล์อิตาเลียนทำเอง ที่อัดแน่นไปด้วยซอสคาโบนารา สูตรพิเศษของทางร้าน รสหอมมัน ได้ความเค็มฟินๆ ของเบคอนด้วย     ขนมหวานเราแนะนำ Mille feuille (290 บาท) ขนมอบสัญชาติฝรั่งเศสที่สายหวานชื่นชอบ แป้งเพสทรีกรุบกรอบ บางกำลังพอดี สลับชั้นกับคาราเมลโฮมเมดหวานฉ่ำ และครีมไวท์ช็อกโกแลตหอมหวาน เข้าปากพร้อมเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวนุ่มนวล และไอศกรีมวานิลาทำเอง     พร้อมจิบ London Fog (190 บาท) ชาเอิร์ลเกรย์หอมฟุ้ง รวมไปกับน้ำผึ้ง น้ำมะนาว น้ำโซดา ท็อปด้วยฟองนมลาเวนเดอร์สีฟ้าอมม่วงสวยแปลกตา รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ซาบซ่าสดชื่น     สายฟู้ดต้องแวะมาจริงๆ นะร้านนี้

นอกจากท้องทะเล และข้าวหลาม ที่เป็นของขึ้นชื่อประจำท้องถิ่นแล้ว วันนี้เราขอมาเยือนร้านไอศกรีมกะทิเจ้าดังประจำเมืองชลบุรี ที่มาพร้อมกับสูตรลับเฉพาะส่งตรงจากไอศกรีมรถเข็นของรุ่นคุณปู่ มาสู่รุ่นแม่ และปัจจุบันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของทายาทรุ่นที่ 3 คุณไอติม ชวินโรจน์ สุทธิธรรมชนะ ที่เริ่มหยิบจับเอาวัตถุดิบท้องถิ่นในไทยมาผสมผสานกับไอศกรีมสูตรเด็ดประจำตระกูล         ร้านเมฆไอศครีมในวันที่เราไปเยือนนั้น ยังตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างสุดของตึกแถวไม้เก่าแก่บนถนนเจตน์จำนง ตัวร้านที่ออกแบบโดยใช้ไม้เป็นหลัก ให้บรรยากาศสุดแสนคลาสสิคเข้ากับเอกลักษณ์ของไอศกรีมกะทิแบบไทย ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่อีกไม่นานร้านเมฆไอศครีมจะย้ายไปยังที่ตั้งแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพิกัดเดิมเท่าไรนัก เพียงแค่ข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ถึงแล้ว         สูตรดั้งเดิมของไอศกรีมกะทิที่นี่คือการใช้กะทิเข้มข้นที่ได้จากมะพร้าวพันธุ์ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผสมผสานความหวานของน้ำตาลอ้อยจาก จ.สระบุรี สำหรับกะทิรสต้นตำรับ 50 ปีนั้นก็ยังคงรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิมเอาไว้ไม่มีเปลี่ยน       ส่วนรสชาติอื่น ๆ ก็ชวนประทับใจและน่าลิ้มลองไปด้วยวัตถุดิบที่หาได้จากท้องถิ่นและทั่วประเทศไทย เช่น รสข้าวหลามหนองมน รสกะทิไข่แข็ง รสขนมตาล รสช็อกโกแลตชุมพร รสกาแฟโครงการหลวง รสฝอยทอง รสอัญชันมะนาว รวมถึงรสผลไม้อย่าง กล้วยตาก ทุเรียน บ๊วย และมะม่วงกะทิสด           บอกเลยว่าเมฆไอศครีมดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้ดีมาก ชิมที่รสก็อดตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ นอกจากจะไปนั่งกินที่ร้านแล้ว ยังสามารถสั่งไอศกรีมมากินที่บ้านในไซส์ 1 ควอท ผ่านช่องทาง Mekicecream บนแอปพลิเคชั่น Shopee ได้อีกทางนะ  

ร้อนนักต้องพักร้อนด้วยไอศกรีมเย็นฉ่ำชื่นใจสักถ้วยที่ “ทิพย์รส” ร้านไอศกรีมระดับตำนานแห่งย่านเตาปูนที่เปิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แม้ตอนนี้จะส่งไม้ต่อมาถึงรุ่นทายาทแต่ยังคงบรรยากาศแบบคลาสสิกย้อนยุคเอาไว้ได้เป็นอย่างดี           นอกจาก “ทิพย์รส” จะโดดเด่นที่ไอศกรีมทำเองแล้ว ยังเพิ่มความน่าสนใจให้แต่ละเมนูด้วยการนำไอศกรีมมาจัดเสิร์ฟกับขนมไทยอย่างสวยงามน่ากิน รวมถึงตั้งชื่อได้ติดหู เริ่มด้วยทิพย์รสไข่แข็ง ๒๕๖๓ นำเมนูตำนานของร้านมาตีความใหม่ ไอศกรีมกะทิรวมมิตรเคลือบด้วยไข่แข็ง เสิร์ฟพร้อมซุปข้าวโพดเบิร์นไฟ ตามด้วย เค้กกล้วยหอมโบราณ ไอศกรีมวานิลลาชิปเสิร์ฟพร้อมเค้กกล้วยหอมเนื้อหนึบผสมกล้วยตาก เติมความหวานด้วยซอสกล้วยปิ้ง         เมนูที่น่ากินไม่แพ้กันคือถังทอง ไอศกรีม 3 รสชาติ รวมมิตร งาดำ เผือก มาพร้อมขนมถังแตกชิ้นโต ประดับด้วยดอกอัญชัน และ ทุเรียนสยาม เมนูเพื่อคนรักทุเรียนโดยเฉพาะ ไอศกรีมทุเรียนหมอนทองเนื้อแน่นหนึบ ได้รสทุเรียนชัดเจน เคียงคู่ด้วยข้าวเหนียวหน้าทุเรียนและซอสทุเรียน           หากยังไม่จุใจ แนะนำ กระยาคูมรกต ไอศกรีมกะทิรวมมิตร เผือก แมงลัก งาดำ กินกับข้าวกระยาคู ขนมไทยโบราณสีสวยรสละมุน ส่วนใครยังติดใจไอศกรีมแบบดั้งเดิมอย่าพลาดเจลลีแดงวันวาน ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีกับเจลลีรสสละน่ารักน่ากิน             ใครติดใจอยากซื้อกลับไปฝากคนทางบ้าน ที่ร้านก็มีแบบถ้วยเล็กๆ หลากรสชาติให้เลือกกันได้เลย คนรักไอศกรีมอย่าพลาดเชียว

Azabu Sabo ร้านไอศกรีมเจลาโตโฮมเมด ที่โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ส่วนผสมนมฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น สีและกลิ่นได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ สีเขียวในไอศกรีมชาเขียว ที่ได้จากผงมัทฉะคุณภาพจากเมืองชิซุโอกะซึ่งเป็นแหล่งผลิตชาชั้นดีที่สุดแห่งหนึ่งในดินแดนอาทิตย์อุทัย ส่วนไอศกรีมรสผลไม้ ทางอาซาบุ ซาโบะ ก็ใช้สีและกลิ่นจากเนื้อผลไม้แท้ๆ เช่นกัน     สิ่งที่สวีตเลิฟเวอร์จะเมินเฉยไปไม่ได้เลยนั้นคือ “ไอศกรีมเจลาโต” ที่ทางร้านคิดค้นสูตรลับเฉพาะทำให้ไอศกรีมมีความเหนียวหนึบ ละลายช้า ตั้งยอดอยู่บนโคนกรุบกรอบที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น สูตร Sugar Free (เก๋ๆ) เพื่อรองรับน้ำหนักไอศกรีมได้โดยเฉพาะอีกด้วย สาวกของหวานคนไหนไหนอยากลิ้มลองไอศกรีมเจลาโต ที่มีให้เลือกกว่า 40 รสชาติ ก็ตรงดิ่งมาที่ Azabu Sabo ณ ชั้น G ของห้างสยามพารากอนได้เลย คุณสามารถ Take-Away ก็ได้ หรือจะนั่งกินชิวๆ ก็ดี       ประเดิมที่เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Gelato Double Cone ที่คุณสามารถเลือกละเอียดไอศกรีมเจลาโตได้ถึง 2 รส ครั้งนี้เราเลือก รสนมฮอกไกโด หอมมัน และรสมัทฉะที่ทำมาจากชาเขียวสายพันธุ์พิเศษ จากเมืองไซตามะ รสเข้มข้น หวานพอดี     Soft Cream Mix Flavor ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเนื้อนุ่มที่เราคุ้นเคย รสนมฮอกไกโด หอมหวาน ซิกเนเจอร์ประจำร้าน ผสานไปกับรสชาเขียว หอมกรุ่น     สุดท้ายเป็นเมนูที่เหมาะกับยุคปัจจุบัน นั่นก็คือ Hokkaido Snow Drink บิงซูแช่แข็งในรูปแบบซื้อกลับบ้าน มีทั้งหมด 2 รส ได้แก่ Hokkaido Milk หวานพอเหมาะ และ Matcha ชาเขียวคุณภาพหอมฟุ้ง วิธีกินก็ง่ายนิดเดียว เพียงวางไว้นอกช่องฟรีซสัก 20 -25 นาที หลังจากนั้นใช้ช้อนขูด แค่นี้คุณก็สามารถอร่อยไปกับน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลีได้แล้ว    

Karmakamet Conveyance ร้านอาหาร Fine Dining ในซอยสุขุมวิท 49 ที่สัมผัสได้ถึงความหรูหราและความสบายเพียงแค่ย่างก้าวเข้ามาภายใน พื้นไม้สีน้ำตาลเข้มเข้ากันดีกับผนังสีขาวสะอาดตา มีผนังอิฐปูนเปลือยล้อมรอบห้องสีขาวเอาไว้ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสตรีทเท่ๆ ร่วมไปกับผนังบล็อกแก้วใสที่ช่วยนำแสงจากธรรมชาติเข้ามาสู่ภายในทำให้ร้านดูกว้างขวาง ปลอดโปร่งไม่แออัดแม้จะสามารถจุลูกค้าได้เพียง 24 ที่นั่ง       เรื่องการตกแต่งบนโต๊ะอาหารก็โดดเด่น น่าสนใจจนเรียกว่าได้เป็นอีกหนึ่งกิมมิก อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นมีดไม่คม ช้อนที่เป็นรูตรงกลาง หรือส้อมที่หักไปบางส่วน นั้นถูกสั่งทำขึ้นมาพิเศษ (ไม่ได้ใช้กินจริง) เพื่อสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า “ความไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีดีและสวยงามไม่แพ้กัน”     ซึ่งแน่นอนว่า ร้านอาหารสุดอาร์ตแห่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดผู้ก่อตั้งอย่าง คุณเอท ณัทธร รักษ์ชนะ ผู้เป็นเจ้าของ Karmakamet แบรนด์เครื่องหอมในดวงใจของใครหลายคน และ เชฟส้ม จุฑามาศ เทียนแท้ เชฟหญิงที่มากประสบการณ์ ทั้งสองร่วมกันครีเอทมื้ออาหารค่ำ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไร้ขอบเขต  โดยใช้วัตถุดิบของไทย จีน อินเดีย นำมาผสมกันในแบบของ Karmakamet Conveyance หรือที่ฟังแล้วเข้าใจง่ายๆ ก็คือสไตล์ Modern Asian Cuisine นั่นเอง     จนเกิดเป็น “Appreciation” อาหาร 10 คอร์ส ที่เปรียบเสมือนการฟังดนตรีเพราะๆ ที่ปราศจากคนร้อง หรือภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ ที่อาร์ตเลิฟเวอร์สามารถชื่นชมและอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเอง แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องราวของอาหารแต่ละจานที่เสิร์ฟ (มีเฉลยตอนท้าย) แต่นั่นก็ทำให้เราเพลิดเพลินในการกินไม่น้อยไปกว่าเดิมเลย เพราะงั้นก็ Allow Things To Happen The Way They Are. ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแนวทางของตัวเองเถอะ     เริ่มด้วย Pradu Village เมนูแรกที่เราแสนจะประทับใจ ซูชิปลาค็อดรมควัน เนื้อหวานสด ให้สัมผัสนุ่มนวล หอมกลิ่นสโมคเบาๆ เคล้าไปกับข้าวที่ผสมผสานสมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ รสเผ็ดร้อน อร่อยจนอยากกินอีกคำ     ต่อด้วย Kopai River ขนมปังไส้สับปะรด ของหวานวันเด็กในความทรงจำของใครหลายๆ คน แต่ชิ้นนี้พิเศษมากกว่าที่เคยลิ้มลอง ขนมปังกรุบกรอบ ประกบไส้สับปะรดรสเปรี้ยวหวาน ผสานไปกับเครื่องเทศรสเค็ม ที่แซมไปด้วยความเผ็ดเล็กๆ ของพริกไทย     Gangtok น้ำซุปต้มกระดูกหมู เคี่ยวกับเครื่องตุ๋นยาจีนนานาชนิด จนได้รสชาติที่กลมกล่อม ราดลงบนกระเพาะปลาชิ้นพอดีคำ Keawkaika กุยช่ายทอดที่เราคุ้นเคย กลิ่นหอมฟุ้งชวนหิว แป้งบางๆ กรอบนอกนุ่มใน อัดแน่นไปด้วยผัก เข้ากันดีแล้วพริกน้ำส้มรสเปรี้ยวเผ็ด       Home สลัดผักกรุบกรอบ สดใหม่ นานาพันธุ์ และใช้คลอโรฟิลล์ สารสกัดจากพืชแทนน้ำสลัดทั่วไป ถูกใจสายเฮลท์ตีแน่นอน     อิ่มเอมไปกับ Truck Stop หรือที่แปลว่า “จุดพักรถบรรทุก” ข้าวหมกบริยานี หอมกลิ่นเฮิร์บ ราดด้วยเครื่องแกงต่างๆ รสเผ็ด ตัดรสด้วยพริกน้ำส้มรสเปรี้ยว ยังมีไข่ตุ๋นเนื้อนุ่ม ปลาทอด และกระเจี๊ยบทอดเอาไว้กินด้วยกัน     Noodles เส้นหมี่โฮมเมดเหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำซุปสไตล์แกงใต้รสจัดจ้าน เข้มข้นถึงใจ กินคู่ไปกับไข่ดาว และส้มโอรสเปรี้ยวอมหวาน America ชีสเบอร์เกอร์แบบแยกส่วน ภายในจานประกอบไปด้วย ไก่ทอดเนื้อแน่น กรอบนอกฉ่ำใน ไม่อมน้ำมัน ขนมปังชีสครีมมี ขนมปังกรอบ และมันฝรั่งทอด     เติมความสดชื่นกันด้วย Refreshment โยเกิร์ตคุณภาพ เกล็ดหิมะ รสหอมมัน จิบกี่คราก็ชื่นใจ ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Appreciation ไอศกรีมทำเองรสน้ำผึ้งและดอกเกลือ ตักกินพร้อมกับขนมปังบริยอชเนื้อนุ่ม สังขยาใบเตยหอมหวาน ถั่วต่างๆ และนมสด    

จะให้เรียก The Kitchen by Monika ว่าเป็นร้านอาหารอย่างจริงจังก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะบรรยากาศข้างในเหมือนเป็นการเปิดบ้านให้แขกได้เข้ามาปาร์ตี้รับประทานอาหารเสียมากกว่า ตัวร้านเลยมีแค่โต๊ะขนาดใหญ่ 1 โต๊ะที่รองรับคนได้ 6-12 คน แถมยังไม่มีป้ายหน้าร้าน ที่นี่จึงเป็นเสมือน Hidden Place ในย่านเอกมัยอย่างแท้จริง       เพียงแค่ก้าวไปด้านในก็จะต้องตกตะลึงไปกับคอลเลกชันภาพวาดที่แขวนอยู่บนฝนผนังนับสิบ รวมถึงบรรดาของสะสมและของตกแต่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้เหมือนอยู่บ้านเพื่อนจริง ๆ แต่เป็นบ้านที่มาพร้อมเมนูอาหารเมดิเตอร์เรเนียนจานใหญ่มาเสิร์ฟให้กินถึงโต๊ะ       เริ่มต้นเมนูแรกด้วย Smoke Paprika Butter King Prawn with Fattoush Salad กุ้งตัวใหญ่ทอดด้วยกระทะแห้ง คลุกเคล้าด้วยพริกปาปริก้ารมควันผสมผสานกับเนย กัดแล้วได้เนื้อกุ้งที่กรอบ หวานฉ่ำ จานนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวอิตาเลียนตอนใต้ เสิร์ฟมาพร้อมกับสลัดสไตล์เลบานอน ราดด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำทับทิมและน้ำส้ม รสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่น โรยหน้าด้วยเม็ดทับทิม กินพร้อมกันแล้วช่างเข้ากันได้ดี     จานต่อมาคือ Ricotta Meatball with Harissa Sauce มีตบอลจานนี้เลือกใช้เนื้อหมูส่วนหัวไหล่ และใช้กรรมวิธีการทำตามแบบฉบับอาหารอิตาเลียน แต่สร้างสรรค์ใหม่โดยใช้ซอสพริกสไตล์โมร็อกกันราดจนชุ่มฉ่ำ โรยด้วยชีสพาเมซาน ได้รสชาติที่กลมกล่อมแถมด้วยกลิ่นเครื่องเทศหอม ๆ เพิ่มอรรถรสระหว่างเคี้ยว     จานสุดท้ายคือ Jumbo Crab with Spaghetti พาสต้าเส้นสปาเกตตีที่เลือกใช้เนื้อกรรเชียงปูล้วน ๆ ผสมผสานอยู่ในน้ำซอสที่ได้ความหวานอมเปรี้ยวจากมะเขือเทศเชอร์รี่นำเข้า เมื่อกินแล้วจะได้รสชาติเผ็ดนิด ๆ จากพริกแห้งที่เสริมเข้าไป โรยหน้าด้วยพาร์สลีย์ใบแบนเพื่อเพิ่มกลิ่นให้หอมรัญจวน เป็นการปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างเต็มอิ่มและสมบูรณ์แบบ     อยากลิ้มลองก็ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าก่อนเท่านั้นนะ

แม้อาหารเม็กซิกันจะไม่ได้มีเยอะจนหาได้ทุกมุมถนน แต่ในกรุงเทพฯ ก็มีร้านอาหารแนวนี้อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ The Missing Burro ร้านอาการเม็กซิกันสไตล์กันเอง ตั้งอยู่บนลานหญ้าและในตู้คอนเทนเนอร์หลากสี หลบหลีกความวุ่นวายอยู่ด้านในสุดของซอยทองหล่อ 7       อิทซ์โก เป็นเจ้าของร้านอารมณ์ดี เขาร่วมมือกับน้องชายสร้างร้านอาหารเม็กซิกันที่กินเข้าไปแล้วจะทำให้คิดถึงบ้านเกิด เขาบอกว่าอาหารเม็กซิกันมีหลากหลายมาก หากได้ไปเยือนในแต่ละท้องที่ก็จะได้เห็นอาหารท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป (คล้าย ๆ เมืองไทยกับบ้านเรา) ส่วนใหญ่จะขายแยกประเภทอย่างชัดเจน ร้านทาโก้ก็จะขายแต่ทาโก้เท่านั้น “เหมือนกับร้านผัดไทยที่ขายแค่ผัดไทย” แต่ที่ The Missing Burro ก็จะเป็นการรวบรวมเมนูเด็ด ๆ เหล่านั้นเอาไว้ด้วยกันให้คนกรุงเทพได้ลิ้มลองรสชาติที่แท้จริงของอาหารเม็กซิกัน       ฉะนั้น วัตถุดิบที่ร้านใช้จะพยายามหาให้ได้เหมือนของดั้งเดิมมากที่สุด ในระหว่างที่รออาหารจานหลัก ก็มี กัวคาโมเลกับคอร์นชิปส์ เสิร์ฟเป็นของว่างให้กินเล่น ๆ พร้อมกับเมนูเครื่องดื่มจากรัม Black Tears รัมรสหวานปนขมสไตล์คิวบามาให้ลิ้มลอง แก้วแรกคือ  One Man's Trash รสหวานอมเปรี้ยวจากน้ำส้มและซีตรัส อีกแก้วคือ Cosmos & Cauldrons ที่ได้เหล่าเชอร์รี่ เวอร์มุธ บิทเทอร์ออเรนจ์ และโทนิคเกรปฟรุ๊ต ที่ให้ความสดชื่นได้ไม่แพ้กัน เหมาะสำหรับดื่มเบา ๆ ก่อนเริ่มมื้ออาหาร       เริ่มเมนูหลักจานแรกกันที่ Gringas เป็นทาโก้ชนิดหนึ่งที่สอดไส้ด้วยเนื้อและชีส เวลากินจะได้สัมผัสยืด ๆ หนึบ ๆ จากชีสและแป้งตอร์ติญ่าไปพร้อม ๆ กับรสชาติสุดเข้มข้นของเนื้อกับเครื่องเทศแสนจะเข้ากัน เมนูนี้มาพร้อมกับซัลซ่า และเป็นหนึ่งในไม่กี่เมนูเม็กซิกันที่เสิร์ฟพร้อมกับซาวครีม     Panuchos de cochinita เป็นอาหารท้องถิ่นของคาบสมุทรยูกาตัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก เป็นส่วนผสมที่แสนลงตัวระหว่างหมูตุ๋นกับ Achiote เครื่องเทศท้องถิ่นแถบละตินอเมริกา น้ำส้มรสเปรี้ยว และพริกเม็กซิกัน กรรมวิธีสุดพิเศษนั้นต้องนำไปห่อใบตองแล้วตุ๋นเป็นเวลา 5 ชั่วโมงเต็ม จนได้เนื้อนุ่มละเอียด เสิร์ฟพร้อมถั่ว Refried หอมแดงดอง และพริก จานนี้จึงมีรสเผ็ด แต่ถ้ายังเผ็ดไม่พอสำหรับลิ้นคนไทย ก็มีสโมคกี้ชิลลี่ซัลซ่าให้จิ้มเพิ่มดีกรีความเผ็ดได้     จานสุดท้ายคือ Tacos de Camarones เป็นทาโก้อีกเช่นกัน แต่ว่าร้านดีไซน์ออกมาให้จัดจ้านเข้าปากคนไทยมากขึ้น  ด้วยการนำกุ้ง เบคอน พริกหวาน และหัวหอมมาปรุงรสร่วมกับซัลซ่าสูตรพิเศษของร้าน จนได้ไส้ทาโก้ที่ครบรสและได้สัมผัสกรอบ ๆ จากผักสด และเนื้อกุ้งนุ่ม ๆ มื้ออาหารเม็กซิกันจะขาดเครื่องดื่มนี้ไปไม่ได้ “แซงเกรีย” ไวน์แดงผสมน้ำผลไม้ ที่พบเห็นได้ในวัฒนธรรมการกินของสเปน ซึ่งเม็กซิโกก็เคยเป็นหนึ่งในประเทศอาณานิคมมาก่อนจึงไม่แปลกที่จะมีเครื่องดื่มนี้อยู่บนโต๊ะอาหาร จุดเด่นคือดื่มง่าย รสชาติไม่เข้มมาก ช่วยเสริมรสชาติอาหารได้ดี       อีกเมนูค็อกเทลที่น่าสนใจคือ มาร์การิต้า ว่ากันว่าค็อกเทลชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นในบาร์ท้องถิ่นในเม็กซิโก เครื่องดื่มแก้วนี้เลยกลายเป็นอีกหนึ่งต้นตำรับที่เหมาะกับมื้ออาหารสไตล์เม็กซิกันขนานแท้แบบนี้ หรือถ้าไม่อยู่ในอารมณ์อยากดื่มแอลกอฮอล์ ลองสั่ง Horchata แบบม็อกเทลมาลองก็ดีไม่แพ้กัน เพราะเป็นเครื่องดื่มท้องถิ่นที่ทำจากข้าว เพิ่มกลิ่นหอมด้วยอบเชย แก้วนี้เลยมีรสหอมหวานดื่มง่ายสุดๆ       มาที่ร้านนี้แล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเม็กซิโกจริง ๆ เพราะมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มต้นตำรับที่ชาวเม็กซิโกตัวจริงเสียงจริงแนะนำ