Samsara Bar (แซมซาร่า) ร้านแฮงก์เอาท์ที่ไม่หรูหราห้าดาว แต่ว้าวอย่าบอกใคร แถมสนุกตั้งแต่ทางเข้าที่อาจจะดูลึกลับ แต่รับรองว่าไม่หลง ตัวร้านเป็นบ้านไม้เก่า ลุคเดิมๆ ไม่ได้เติมแต่ง แต่เชื่อไหมว่ากลายเป็นจุดเช็คอินระดับอินเตอร์ไปแล้ว เพราะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตบเท้าเข้ากระชับพื้นที่กันอย่างคึกคัก ใครมาก่อนได้(วิวดี)ก่อน นั่งนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อ ยิ่งใกล้ช่วงทไวไลท์ที่แสงสีส้มจับขอบฟ้า สั่งไวน์หรือค็อกเทลมาชนแก้วกันกรุ๊งกริ๊ง โรแมนติกมาก!           ส่วนเมนูของร้านเน้นกินง่ายไซส์มินิ และฟิงเกอร์ฟู้ดเคี้ยวเล่นกรุบกริบ อาทิ รากบัวทอด ซิกเนเจอร์ที่แรกเห็นอยากบอกว่าธรรมดามาก แต่พอส่งเข้าปากได้สัมผัสความกรุบกรอบ รสชาติเค็มๆ มันๆ ก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิดและยกให้เป็นเมนูคู่โต๊ะที่ลองเพียงครั้งแรกแล้วต้องสั่งซ้ำอีกหลายครั้ง       หมึกทอดกรอบ อีกเมนูขายดีที่เห็นแล้วก็เฉยๆ แต่ลองแล้วชอบมาก ความพิเศษของหมึกชุบแป้งทอดจานนี้อยู่ที่ความกรอบบางของแป้ง ทอดไม่อมน้ำมัน เคี้ยวหนึบๆ กินเปล่าๆ ก็เข้าที หรือจะแตะมายองเนสเพิ่มความครีมมี่ก็เข้าท่า อย่าลืมบีบมะนาวช่วยตัดรสและเสริมดีกรีความว้าวอีกเท่าตัว       ยำผักบุ้งกุ้งกรอบ ผักบุ้งชุบแป้งทอดเสิร์ฟแยกกับน้ำยำ น้ำขลุกขลิกรสเข้มข้น ใส่หมูสับกับกุ้งสดลวกพอสุก  กินเป็นเมนูกับแกล้มก็ได้ หรือจะกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็ได้ใจ จากนั้นขาดไม่ได้กับเครื่องดื่มสุดชิลนานาชนิด เลือกสั่งมาจิบเพลินๆ ได้ทั้งคืน       ดินเนอร์ครั้งต่อไปปักหมุด “แซมซาร่า” ไว้ในใจได้เลย

ยกให้เป็นคาเฟ่น้องใหม่มาแรงแห่งเอกมัยในเวลานี้ สำหรับ Babyccino” ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารโฮมเมดสไตล์ All Day Breakfast ให้เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่แบบอิ่มอร่อยและสุขใจในบรรยากาศโปร่งสบายด้วยการตกแต่งแบบเรือนกระจกรับแสงแดดอุ่นๆ รอบร้านที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติแสนร่มรื่น     ทุกเมนูเด่นของที่นี่อาจดูธรรมดา แต่บอกเลยว่า (อร่อย) พิเศษไม่เหมือนใครในแบบ Simple But Unique รวมทั้งการบริการที่ใส่ใจและเป็นกันเองยิ่งทำให้ Babyccino กลายเป็นบ้านหลังที่สองของหลายๆ คนไปแล้ว       จานเด่นต้องลองมีทั้ง K-Bomb Fried Chicken ขนมปังบริยอชโฮมเมดสอดไส้อกไก่ทอดราดซอสสไปซีมายองเนสและชีส Pasta Aglio E Olio พาสต้าเส้นสดผัดพริกแห้งและเบคอน รสจัดจ้านถึงใจ และ Lemon Chicken with Quinoa Rice สะโพกไก่หมักเครื่องเทศอบจนหนังกรอบกำลังดี เสิร์ฟพร้อมข้าวจัสมิน บราวน์ ไรซ์ผสมควินัวและสลัดผัก         ส่วนสายสุขภาพต้องลอง Miso Glazed Cauliflower & Kale กะหล่ำดอกเกลซกับมิโสะ มาพร้อมผักเคล มะเขือเทศเชอร์รีและควินัว เพิ่มรสชาติด้วยพาสลีย์เดรสซิง     ใครอยากมานั่งละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ เราแนะนำซิกเนเจอร์อย่าง Babyccino เอสเพรสโซช็อตใส่นมสูตรพิเศษหอมสมุนไพร ทั้งอบเชย โรสแมรี และกระวาน (ก่อนดื่มแนะนำให้คนให้เข้ากันจะยิ่งอร่อย) และ Floral Soda รสเปรี้ยวหวานสดชื่น หอมกุหลาบและลาเวนเดอร์ กินคู่กับ Carrot Cake เนื้อเค้กสอดแทรกวอลนัท ท็อปด้วยครีมชีสหอมมัน หรือ Salted Caramel Banana Cake เค้กกล้วยหอมเนื้อแน่นราดครีมซอลต์คาราเมล โรยถั่วเคลือบคาราเมลกรุบกรอบ ยิ่งอร่อยเป็นสองเท่าเลยทีเดียว        

“บ้าน” สถานที่อบอุ่น เซฟโซนที่คุณอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ ต่อด้วย ๑000 เลขที่มีมูลค่ามากที่สุดในธนบัตรของบ้านเรา ส่งเสริมความเป็นสิริมงคล “ไม้” ต้นไม้เขียวชอุ่มให้ความร่มรื่น ปิดท้ายด้วย “Cafe & Farm” ซึ่งบ่งบอกถึงคาแร็คเตอร์ของที่แห่งนี้ รวมเป็น “บ้าน ๑,๐๐๐ ไม้ Cafe & Farm” คาเฟ่ให้ฟิลโคซี่ที่ตั้งอยู่ในย่านสามโคก จ.ปทุมธานี พื้นที่สีเขียวกว่า 3 ไร่ ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาชนิดซึ่งพิเศษเปิดเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์เท่านั้น     เนื่องจากวันจันทร์ – ศุกร์ สถานที่แห่งนี้คือบ้านและที่ทำงานของคุณโก้ พชรพล ทรงศรี อดีตครูสอนวิชาเกษตรที่ปัจจุบันเป็นนักจัดสวนมืออาชีพที่พร้อมน้อมนำ “เศรษฐกิจพอเพียง” ปรัชญาของรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการบริหารร้านอย่างเต็มตัว โดยจะแบ่งแอเรียเป็น 4 ส่วน อย่างแรกเลยคือ ขุดบ่อเก็บน้ำ 30%  ปลูกข้าว 30% พืชผักต่างๆ  30% ที่อยู่อาศัย (สำหรับคุณโก้นั้นคือ บ้าน ออฟฟิต) และสุดท้ายคือโรงเลี้ยงสัตว์กับคาเฟ่ 10%       บวกกับสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “การให้” ซึ่งเป็นคติประจำใจที่คุณโก้นั้นยึดถือและปฏิบัติมาตลอด โดยใครที่อยากมาเยือนบ้าน ๑,๐๐๐ ไม้ ก็สามารถมาได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ คุณสามารถพาลูกๆ มาเรียนรู้และทำกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ดำนา ทำไข่เค็ม พายเรือ ชมสัตว์ต่างๆ ปลูกผัก ปั้นดินเผาจิ๋ว ระบายสี เพนท์ผ้ามัดย้อม เป็นต้น ใครท้องร้องก็แวะหม่ำอาหารโฮมคุ้ก ขนมโฮมเมด ฝีมือคนในชุมชนที่รสชาติไม่ธรรมดา อย่าง       ข้าวหมูอบ กระดูกอ่อนกรึบกรับ อบจนเนื้อนุ่ม กินง่าย รสเค็มละมุนปนหวานเล็กๆ ราดน้ำจิ้ม ที่ทำมาจากน้ำส้มสายชูและพริก รสเปรี้ยวและเผ็ดพอดีกัน อิ่มอร่อยได้ในจานเดียว     มาถึงเมนูเฮลท์ตีกันบ้างกับ สลัดทูน่า ก็รสชาติดี ผักสด กร๊อบกรอบ ปลูกเองจากสวนนานาพันธุ์ ทั้งผักสลัด แครอต ข้าวโพด กระหล่ำปลีม่วง เป็นต้น มีทูน่าเนื้อแน่น เพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย ราดน้ำสลัดครีมรสกลมกล่อม     สายหวานเตรียมสั่ง ขนมปังสังขยา ขนมปังโฮมเมดเนื้อฟูๆ นุ่มนิ่มที่เราเลิฟ กินคู่กับสังขยาใบเตยหอมกรุ่น รสหวานพอดี     จิบกับ คาปูชิโน่ รสเข้มข้น ดื่มไม่ยาก ไม่ใช่คอกาแฟก็จิบได้ ชานม ชาไทยคุณภาพ หอมฟุ้ง รสเข้ม ผสานไปกับนมข้น และนมสด รวมกันเป็นรสที่หวานพอเหมาะ       และ สตรอว์เบอร์รีโซดามะนาว รสเปรี้ยว เพิ่มความสดชื่ดอีกขั้นด้วยน้ำโซดา ซาบซ่า     กระซิบ อีกหน่อยที่นี่จะมีเวิร์คชอปสำหรับผู้ใหญ่ด้วยนะ

ภาพจำเดิม ๆ ของอาหารไทยจะเปลี่ยนไปทันทีหากได้มาเยือน รอยัล โอชา (Royal Osha) ร้านอาหารไทยไฟน์ ไดนิ่งแห่งใหม่ บนถนนวิทยุ หัวมุมซอยร่วมฤดี ใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์ กรุงเทพฯ ในปี 2019 และ 2020 ติดต่อกัน และในคราวนี้ก็ถือโอกาสพิเศษเปิดตัว Executive Chef คนใหม่ “เชฟวิชิต มุกุระ” ดีกรีมิชลิน 1 ดาว ที่จะมารังสรรค์เมนูอาหารไทยรูปแบบใหม่จากแรงบันดาลใจที่ได้จากการเดินทางรอบโลกมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี พร้อมทั้งเปิดโซนใหม่คือ โซนกลาส เฮ้าส์ ไว้สำหรับให้บริการในรูปแบบ Chef’s Table อีกด้วย     การออกแบบตกแต่งภายในร้านก็เข้ากับแนวคิดของอาหารได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์ไทยวิจิตรโมเดิร์น เน้นโทนสีเข้มตัดกับสีทองจากทองคำแท้บริสุทธิ์ ได้กลิ่นอายพระราชวังสมัยโบราณ บนชั้นลอยจะเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวรามเกียรติ์ และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดนั้นเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากโคมแชนเดอร์เลียร์รูปชฎาขนาดใหญ่สีทองอร่าม     “ครอบครัวเราชอบสรรหาของกินและเดินทางไปทั่วโลก เพื่อไปชิมอาหารจากร้านอาหารชื่อดัง รวมถึงร้านที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ ทำให้มีโอกาสได้เข้าร้านอาหารที่เป็นไฟน์ ไดนิ่งบ่อยครั้ง  ซึ่งร้านประเภทนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ ไปพร้อมกัน จึงอยากนำพาอาหารไทย  ซึ่งเป็นอาหารที่มีเสน่ห์ รสชาติดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่จุดนั้นบ้าง” คุณจูน-ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล เจ้าของร้านรอยัล โอชา เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งร้านอาหารไทยแห่งนี้     รอยัล โอชาจึงเป็นร้านอาหารไทยแห่งแรกที่เป็นลักชัวรี่ ไทย ไฟน์ ไดนิ่ง นอกจากจะได้เชฟวิชิต มุกุระ ผู้มีความตั้งใจเดียวกันมาเสริมความละเมียดละไมและความพิถีพิถันในการรังสรรค์อาหารไทยไฟน์ ไดนิ่ง ให้เป็นรูปธรรมแล้ว ยังมีคุณพุธ-เกวลิน พิทยานุกุล น้องสาวของคุณจูน ผู้มีใจรักในด้านการทำอาหาร เรียนจบการโรงแรมจากสวิสเซอร์แลนด์และจบการทำอาหารจากอังกฤษมาร่วมมือด้วย ซึ่งเธอเผยถึงแนวคิดของเมนูอาหารทั้งหมดว่าเป็น  Classic Thai Elegance Reinvented สื่อถึงความสง่างามของอาหารไทยรสชาติดั้งเดิม คงไว้ทั้งรูป รส และกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เสิร์ฟใหม่ในสไตล์โมเดิร์น รวมทั้งสรรหาวัตถุดิบจากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย จึงมีเมนูที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาลและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ท้องถิ่น     ด้าน เชฟวิชิต มุกุระ เชฟดีกรี มิชลิน 1 ดาว ในฐานะ Executive Chef ร้าน รอยัล โอชา เผยว่า “ผมรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ร้านรอยัล โอชา ในการนำพาอาหารไทยไปสู่อีกระดับนึง นับเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะอยากให้คนทั่วโลกมองว่าอาหารไทยไม่ใช่เพียงสตรีทฟู้ด แต่เป็นอาหารที่มีความลึกซึ้ง แฝงไปด้วยวัฒนธรรม โดยเมนู Chef’s Table ของร้านสร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์การทำงานกว่า 40 ปี ของผม ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เป็นการนำของดีของเมืองไทย มาผสานกับวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า อาหารแต่ละจานจะครบรสแบบอาหารไทยดั้งเดิม และคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน”     ประเดิมเมนู Chef’s Table จานแรกด้วย หอยสังข์พล่า (ญี่ปุ่น) ก๋วยเตี๋ยวห่อผักสลัด (Japanese Conch shell with fresh herbs salad in rice noodle roll) เพื่อเรียกน้ำย่อย จานนี้เชฟวิชิตได้แรงบันดาลใจจากการได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยนำหอยสังข์มาปรุงรสแบบไทย ๆ ด้วยพริกยำ เมื่อรับประทานจะได้สัมผัสกรุบ ๆ ของเนื้อหอยเคล้ารสชาติเค็มเปรี้ยวหอมกลิ่นสมุนไพรไทยอย่าง หอมแดง และตะไคร้     เนื้อปูทาราบะกับชะครามทอด กับใบชะพลูไทย (Deep fried Taraba crab meat with seabrite and piper leaves) มีหน้าตาคล้ายเทมปุระ แต่รสชาติไทยมาก ๆ จากการนำใบชะครามของดีสมุทรสาครมายำเคล้ากับแป้งทอดกรอบ ส่วนเนื้อปูห่อด้วยใบชะพลูเอามาทอดสไตล์เทมปุระ     สำหรับใครที่ชอบปอเปี๊ยะห้ามพลาดเมนู ปอเปี๊ยะตับห่านปิรามิดกับซอสพริก (Triangular Foie Gras spring roll with chilli sauce) ปอเปี๊ยะแบบไทย ๆ แต่ถูกรังสรรค์ในรูปแบบ ซาโมซ่า ของว่างยอดนิยมจากอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศ ปรุงโดยการนำตับห่านมาเซียร์ ใส่วุ้นเส้น แล้วห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ ทานคู่กับซอสพริก     เข้าสู่จานหลักกับเมนู หอยเชลล์ทอดกับไข่ตุ๋นน้ำจิ้ม (Pan fry scallop with steamed egg and spicy chilli lime sauce mixed salad) เมนูที่เชฟวิชิตได้ไอเดียมาจากการไปทำงานที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดดเด่นด้วยการผสานความนุ่มละมุนของเนื้อไข่ตุ๋น เคล้ากับกลิ่นหอมและความสดของหอยเชลล์ เพิ่มความจัดจ้านด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษ ที่ให้รสชาติเผ็ดและเปรี้ยวผิดกับรูปลักษณ์ใสแจ๋ว     ถัดมาเป็นเมนูต้มโคล้งที่ฉีกรูปแบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เพราะดีไซน์เป็น ต้มโคล้งปลากรอบกับทูน่า (Clear smoked dried fish soup with seared yellowfin tuna and green pea) จานนี้ได้แรงบันดาลใจจากน้ำซุปกระดูกหมูราเมนของญี่ปุ่น โดยนำเครื่องต้มโคล้งมาบดกับเนื้อปลา ปรุงรสแล้วเคี่ยวในน้ำสต็อกปลานานกว่า 6 ชั่วโมง ก่อนจะกรองจนได้น้ำซุปใสรสชาติหอมของเครื่องต้มโคล้ง ทานคู่กับไชเท้าตุ๋น วิธีการกินนั้นต้องลองชิมน้ำซุปก่อนเพื่อสัมผัสรสชาติที่แท้จริง จากนั้นค่อยบีบมะนาวและใส่ปลาป่นลงไปแล้วจะได้อีกหนึ่งรสชาติที่แตกต่างและให้รสชาติแบบไทยอย่างน่าประทับใจ     อีกหนึ่งเมนูที่ร้านอาหารไทยขาดไม่ได้ นั่นคือ เมนูแกง โดยเชฟได้รังสรรค์ แกงกะหรี่ล็อบสเตอร์ทอดกับข้าวทอด แหนมเห็ด (Fried Lobster with yellow curry and deep fried rice, mushroom salad) โดยได้แรงบรรดาลใจจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยแกงกะหรี่รสจัดจ้าน เค็ม เปรี้ยว หวาน หอมเครื่องเทศแบบไทย ทานคู่กับ ล็อบสเตอร์ วัตถุดิบล้ำค่าแห่งท้องทะเล เคียงด้วย อาจาด ข้าวทอด แหนมเห็ด มันเทศ เพิ่มความสนุกในรสสัมผัสด้วย เกี๊ยวกุ้งแกงกะหรี่ และ ข้าวหอมมะลิแดง จาก บุรีรัมย์     สำหรับเมนูของหวานของร้านนั้นนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เมนู ดอกจอกใบเตยกับหวานเย็นข้าวหมากกับสาเก (Sweet fermented rice sorbet with crispy coconut and rice flour shell) เกิดเป็นความลงตัวของรสชาติเค็มๆ หวานๆ ของขนมดอกจอก ทานคู่กับหวานเย็นข้าวหมาก ราดด้วยสาเกยูสุ รองด้วยฝอยทอง และข้าวหมากที่นำไปแนบบนกระทะจนกรอบ เสิร์ฟมาในจานเดียวกับ สังขยาน้ำตาลไหม้กับเครื่องเคียง (Steamed coconut egg custard with condiments) สังขยาเนื้อเนียนหวานกำลังดี เคล้ากลิ่นหอมของน้ำตาลไหม้ เรียกว่าเป็นการเปิดประสบการณ์แห่งรสชาติอาหารไทย ในสไตล์ ไฟน์ ไดนิ่งที่น่าประทับใจจนต้องกลับมาเยือนอีกสักครั้ง     สำหรับใครที่อยากได้ประสบการณ์ Chef’s Table โดยเชฟวิชิต มุกุระ ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า 1 สัปดาห์

ใครอยากลองชิมอาหารเลบานีสแบบดั้งเดิม ห้ามพลาด Nadimos ร้านเรียบหรูในซอยสุขุมวิท 24 ที่เจ้าของร้านชาวเลบานีสบอกกับเราว่าอยากส่งต่อวัฒนธรรมการกินจากบ้านเกิดให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้นผ่านจานอาหาร ซึ่งหัวใจหลักอยู่ที่การได้อิ่มท้องแบบสุขภาพดี         มาถึงที่ร้าน อยากให้เริ่มต้นด้วย Lebanese Coffee กาแฟร้อนแบบเลบานีสเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า เสิร์ฟในถ้วยขนาดเล็กที่จิบแล้วพอดีริมฝีปากเพื่อรับรสเข้มและกลิ่นหอมของกาแฟได้อย่างเต็มที่ ตามด้วย Nadimos Hummus เครื่องจิ้มแบบเลบานีสที่มีพระเอกหลักเป็นถั่วชิกพีบดเนื้อเนียนปรุงรสด้วยน้ำมันงาเพิ่มความหอม ได้รสเปรี้ยวเล็กน้อยจากเลมอน ท้อปด้วยถั่วชิกพีเม็ดอวบให้เคี้ยวกันเพลินๆ จับคู่กับพิตาเบรดแล้วเข้ากันมาก (แต่หากอยากเพิ่มเนื้อสัตว์ แนะนำฮัมมุสเนื้อแกะสุดแสนจะเข้ากัน)       ต่อด้วยเมนูพิเศษ Fasolia with Tahini Sauce ถั่วขาวรสชาติเข้มข้นจากซอสทาฮินี่ ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอกและเลมอน ได้รสสดชื่นจากมะเขือเทศสดและหอมแดงซอยที่ต้องคลุกเคล้าให้ทั่วก่อนกิน หรือจะลอง Fasolia with Tomato Sauce ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศรสกลมกล่อม กินง่ายไม่เปรี้ยวเกินไป จะกินกับพิตาเบรดหรือข้าวแบบเลบานีสเม็ดเรียวก็เข้ากันทั้ง 2 แบบ       อีกจานห้ามพลาด Mujadara จานนี้ทำจากข้าวคลุกเคล้ากับถั่วเลนทิลต้ม โรยด้านบนด้วยหอมเจียวกรุบกรอบที่มีรสหวานเล็กน้อย ตามด้วย Falafel เชฟใช้ถั่วฟาวาและถั่วชิกพีบดเข้าด้วยกันปั้นเป็นก้อนกลมแล้วนำไปทอด เนื้อสัมผัสแน่นแต่นุ่ม ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศอวลอยู่ในปาก       จานหลักแนะนำ Mixed Grill รวมเมนูย่างที่มีทั้งเนื้อแกะและเนื้อไก่ที่หมักได้อย่างเข้มข้น เคียงด้วยผักย่าง วิธีกินฉีกแป้งเป็นคำเล็กๆ ห่อเนื้อแล้วกินกับซอสกระเทียมบดที่เข้ากันอย่างดี หากยังไม่อิ่มลอง Cheese and Sujuk Safiha ซาฟิฮาหรือแป้งขนมปังแบบเลบานอนออนท้อปด้วยชีสและไส้กรอกอบร้อนจากเตา ให้อารมณ์พิซซ่า แค่ชิ้นเดียวก็อยู่ท้องแล้ว    

แวะเวียนมาจังหวัดปทุมธานีแล้วทำทีผ่าน “คำเสน่ห์” ไปเฉยๆ ไม่ได้ ร้านอาหารไทยสูตรคุณแม่ของ คุณโจ วิรัช เปรมจิตต์ ที่เน้นเสิร์ฟรสชาติจัดจ้าน และอาหารตะวันตกที่อร่อยไม่น้อยหน้าร้านไหน ผสานไปกับบรรยากาศสไตล์อินดัสเทรียล ลอฟท์ โครงเหล็กกระจกใสถูกติดรอบผนัง มีพื้นและเคาน์เตอร์บาร์ปูนเปือย ที่ถูกเบรกด้วยต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ที่มองแล้วสบายตา         ออกไปโซนเอ้าท์ดอร์ด้านหลังนอกจากมีที่นั่งในสวนสวยสุดร่มรื่นในยามกลางวัน แต่พอตกเย็นนั้นคำเสน่ห์จะกลับกลายเป็นร้านนั่งชิลที่เต็มไปด้วยฟิลโรแมนติก มีมุมถ่ายรูปมากมายให้สายโซเชียลได้แชะภาพกันแบบรัวๆ ทั้งเปลญวนริมน้ำเก๋ไก๋ ชมวิวสวยๆ จากธรรมชาติรอบนอก และเชยชมความงดงามยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าสู่ผืนแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถนัดตา       จานแรกลองชิม ซี่โครงหมูอบคำเสน่ห์ ซี่โครงหมูชิ้นโตๆ หมักกับซอสสไปซี่สูตรพิเศษของทางร้าน รสเค็มกลมกล่ม เผ็ดกำลังดี ยิ่งเปล่าๆ ก็เพลิน หรือจะจิ้มรสมะเขือเทศก็เสริมชาติซี่โครงให้โดดเด่นไปอีกแบบ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอด และผักย่าง อาทิ หัวหอม พริกหวาน มะเขือเทศ และหน่อไม้ฝรั่ง     หันมาลิ้มลองอาหารไทยกันบ้างกับ ปูนิ่มทอดกระเทียม ปูนิ่มกินง่ายที่เรารัก เนื้อกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นกระเทียมพริกไทย ราดซอสพริกรสเปรี้ยว หรือซีฟู้ดรสจัดจ้านก็แสนจะเข้ากัน     หันไปซดน้ำซุปร้อนๆ จากเมนู ต้มยำปลาคัง ปลาคังเนื้อสดเด้ง อยู่ในน้ำต้มยำน้ำใสรสเปรี้ยวแซ่บสะใจ เสิร์ฟมาในหม้อไฟร้อนๆ กินกับข้าวสวยสักจานสุดอิ่มเอม     อย่าลืมสั่ง มะนาวอัญชันโซดา เครื่องดื่มสีม่วง นี้มีรสเปรี้ยวสดชื่นจากน้ำมะนาวสด ปนน้ำอัญชันที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ บวกกับความซาบซ่าจากน้ำโซดา ที่จิบกี่คราก็สดชื่น และ เสาวรสปั่น เสาวรสคุณภาพที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ผสานไซรัป และน้ำผึ้ง รวมกันเป็นรสเปรี้ยวอมหวาน จิบแล้วชื่นใจดี       บอกแล้วไงว่าใครไม่แวะร้านนี้ถือว่าพลาด

ย่านเอกมัยมีร้านอาหารหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่มีหนึ่งในร้านที่อยู่คู่กับถนนเส้นนี้มาเกือบสิบปี และเป็นขวัญใจของคนละแวกนี้ ต้องยกให้กับ Bourbon Street ทั้งผนังร้านอิฐเปลือยสีแดงและบาร์ไม้ยาว ที่ให้บรรยากาศราวกับถอดแบบมาจากร้านอาหารอเมริกันในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดสักเรื่อง คุณดักลาส บี แฮริสัน เล่าให้เราฟังว่า เขาเปิดร้านอาหาร Bourbon Street วันแรกเมื่อ 34 ปีก่อน ในย่านพร้อมพงษ์ จากนั้นจึงย้ายมาที่เอกมัยจนถึงปัจจุบัน       ชื่อของร้านนั้นมาจากถนนสายเก่าแก่แห่งหนึ่งในนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นถนนสายบันเทิง ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และเสียงบทเพลงแจ๊สเคล้าคลอตลอดตลอดทั้งคืน     Tex-Mex เป็นคำเรียกอาหารท้องถิ่นในรัฐเท็กซัส ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ย่อมาจาก Texas-Mexican อาหารท้องถิ่นทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากอาหารเม็กซิกัน ส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในอาหารแต่ละจานก็คือ “ถั่ว” เมนูอาหารหลาย ๆ อย่างที่ขายในร้านจึงได้แรงบันดาลใจมาจากความทรงจำในวันเก่ากับรสชาติอาหารฝีมือแม่       เริ่มต้นด้วย Red Beans & Rice ทำจากถั่วแดงนำมาต้มกับเครื่องเทศเม็กซิกัน พริกหยวก หัวหอม และขึ้นฉ่าย ซึ่งไฮไลต์ของจานนี้อยู่ที่ไส้กรอก Andouille ไส้กรอกหมูโฮมเมดสูตรลับเฉพาะของร้านนี้ จุดเด่นอยู่ที่เนื้อสัมผัสแน่น กรอบนอกนุ่มในจนยากจะหยุดกินได้ แถมยังมีขนมปังข้าวโพด หนึ่งในอาหารที่ชาวอเมริกันพื้นเมืองมักจะนำมากินกับทุกสิ่งทุกอย่างเสิร์ฟมาคู่กันให้ได้รสชาติต้นตำรับแท้ๆ     Enchilada & Taco Plate เป็นอีกเมนูที่ได้อิทธิพลมาจากอาหารเม็กซิกันอย่างชัดเจน ด้วยแผ่นแป้งตอร์ติยาไส้เนื้อสัตว์ ราดด้วยซอสรสเผ็ดชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟคู่มากับทาโก้สอดไส้เนื้อ ข้าวผัดเม็กซิกัน และที่ขาดไม่ได้คือ Refried Beans ซึ่งทำจากถั่วปินโตต้มแล้วนำมาบด จัดเป็นอีกเมนูถั่วที่อยู่คู่กับจานอาหารเม็กซิกันแทบทุกจาน     ปิดท้ายด้วย Mexican Chili Con Carne with Beans ที่ทำจากถั่วแดง ดูภายนอกอาจจะมีหน้าตาคล้ายๆ กับเมนูแรก แต่จริงๆ แล้วแตกต่างด้วยรสชาติของมะเขือเทศ พริก และเนื้อสันในตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ นิยมทานกับซาวครีมและเชดด้าชีสเพื่อเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น  

หากอยากมีโมเมนต์พิเศษเพื่อเก็บเป็นความทรงจำ การล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกไปตามลำน้ำเจ้าพระยาที่มีบ้านเรือนขนาบสองฝั่ง ประดับดวงไฟที่สะท้อนสายน้ำระยิบระยับ คงเป็นทริปที่หลายคนแอบลิสต์ไว้ในใจ เราจึงอยากชวนคุณและคนพิเศษมาเก็บช่วงเวลาดีๆ นี้บนเรือ Supatra Boat โดยเฉพาะไฮไลต์“พระบรมมหาราชวัง” สถานที่สำคัญซึ่งเราเชื่อว่าหลายคนจะไม่พลาดบันทึกภาพความงดงามอย่างแน่นอน     ระหว่างทางในเรือยังมีบริการค็อกเทล เสิร์ฟคานาเป้สไตล์ไทยจากห้องอาหาร Supatra River House เราเลือกเมนูที่ชอบได้ 3 เมนูทั้งคาวและหวาน อาทิ ไก่ห่อใบเตย เมี่ยงกุ้งเสวย เปาะเปี๊ยะไส้ผัก และขนมไทย รวมถึงซอฟต์ดริงก์ที่จิบแล้วเข้ากับบรรยากาศที่สุด อีกทั้งยังมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยเพราะกลุ่มสุภัทราให้บริการแบบมืออาชีพมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่กรุงเทพฯ ยังใช้เรือแจวข้ามฟากจนพัฒนามาเป็นเรือด่วนเจ้าพระยาและขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมากมายในปัจจุบัน       หลังจากได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศตลอด 1-1.30 ชั่วโมง แต่ยังอยากต่อมื้อค่ำแนะนำที่ Supatra River Houseร้านอาหารไทยที่เอาใจเหล่านักชิมด้วยเมนูสูตรลับให้เลือกสั่งมาเอนจอยได้ไม่ซ้ำ ก่อนร่ำลาคืนพิเศษด้วยเครื่องดื่มรสเลิศพร้อมชมวิวสุดโรแมนติกในมุมที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดมุมหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทำเอาหลายคนนั่งเพลินจนไม่อยากลุกกลับบ้านมาแล้ว     สนนราคาสำหรับผู้ใหญ่ 2,350 บาท ส่วนเด็กอายุ 4-12 ปีราคาเพียง 1,100 บาทเท่านั้น ราคานี้รวมล่องเรือ คานาเป้ และซอฟต์ดริงก์ รวมถึงประกันภัยให้ลูกค้าทุกคน ส่วนเรือที่ใช้ขึ้นอยู่กับจำนวนของลูกค้า ได้แก่ Water Limousine ไม่เกิน 10 ท่าน เรือสุภาพรรณ 20 ท่าน และเรือสุภัทรา 30 ท่านขึ้นไป นอกจากให้บริการแบบส่วนตัว หากต้องการจัดเลี้ยงหรือปาร์ตี้กรุ๊ปใหญ่สามารถสอบถามบริการเพิ่มเติมตามลายแทงด้านล่างนี้ได้เลย    

หากพูดถึงขนมไต้หวัน เชื่อว่าทุกคนคงพอจะนึกภาพออกว่าหน้าตาและรสชาติจะประมาณไหน และแน่นอนถ้าเป็นแบรนด์จากไต้หวันแท้ต้องมีวัตถุดิบอย่างธัญพืชจำพวก ถั่ว งา หรือแม้แต่เฉาก๊วยกับเต้าฮวย ซึ่งแบรนด์ ‘Meet Fresh’ ก็นำเสนอสิ่งเหล่านี้พร้อมความน่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่โด่งดังจากไต้หวันที่คนไต้หวันและใครไปเที่ยวก็อยากลิ้มลอง จนตอนนี้ขยายสาขาไปทั่วโลกกว่า 800 สาขาแล้ว     ส่วนเสน่ห์ที่มีมากกว่าแบรนด์ขนมเจ้าอื่นๆ คงเป็นสไตล์ของหวานที่เหมือนบ้านส่วนตัว ทำสดใหม่และไม่ใส่สารกันบูด แถมยังเป็นธุรกิจที่เติบโตจากรูปแบบดั้งเดิมในยุคแรกๆ จากสองพี่น้องตระกูล Fu แห่งเมืองไทจง (Taichung) ประเทศไต้หวัน จนพัฒนากลายเป็นร้านขนมหวานยอดนิยมระดับ 6 ดาว และเป็นแบรนด์ขนมไต้หวันต้นตำรับ   แต่ละเมนูมีอะไรบ้าง ? Icy Grass Jelly Signature (139.-) ทางร้านแนะนำว่านี่คือเมนูซิกเนเจอร์ที่มาแล้วต้องสั่ง ความโดดเด่นของเฉาก๊วยที่นุ่มให้ความรู้สึกเหมือนกินเยลลี่ มาจากกรรมวิธีตุ๋นกว่า 8 ชั่วโมง ที่สำคัญใบเฉาก๊วยยังมาจากแหล่งผลิตอย่างดีส่งตรงจากไต้หวัน ยิ่งเวลากินราดนมลงไปยิ่งเพิ่มอรรถรสในทุกคํา     Taro Ball #4 (139.-) สดชื่นสุดๆ ต้องยกให้เมนูนี้ ใครที่ชอบกินน้ำแข็งไสใส่เครื่องแน่นๆ ต้องลอง โดยเฉพาะเผือกที่คัดมาพิเศษ จึงหอมอร่อย ไม่เละ กินคู่กับถั่วแดง ไข่มุก และทาโร่บอลหนึบหนับยิ่งเคี้ยวเพลิน     Q mocha & Egg Pudding Combo (99.-) เป็นเมนูสแน็กที่มีทั้งพุดดิ้งท๊อปไข่มุก ตัวพุดดิ้งหอมน้ำตาลละมุนลิ้น พอกินพร้อมไข่มุกแล้วเข้ากันได้อย่างลงตัว ตัวคิวโมจิมีทั้งแบบออริจินอลราดคาราเมลและบราวชูการ์     Tofu Pudding (119.-) เมนูเสิร์ฟร้อนก็มีนะ อย่างเต้าฮวยสูตรเฉพาะของทางร้าน ที่ผลิตจากถั่วเหลืองปลูกด้วยวิธีธรรมชาติไม่ผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (Non-GMO) ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน     สุดท้ายเป็นชาไข่มุก เราสั่ง Fluffy Winter Melon Tea with Mini Taro Balls (99.-) รสชาติหวานหอม ตัวทาโรบอลยังคงเป็นซิกเนเจอร์ที่กินเข้ากับหลายเมนู     นอกจากการใส่ใจรายละเอียดในเรื่องวัตถุดิบแล้ว ทางร้านยังส่งพนักงานไปเทรนงานก่อนจะเปิดร้านด้วย เพื่อคงกรรมวิธีในการทำที่ถูกต้องและทำให้ได้รสชาติแบบตามต้นตำรับแท้ๆ

ย้อนเวลาไปรุ่นแม่กับร้านอาหารยุค 50s “V8 Diner Bangkok” พร้อมด้วยเหล่าอาหารแบบฉบับอเมริกันแท้ ที่จะทำให้คุณเหมือนย้อนวัยเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่หลายคนคิดถึงและหลายคนอาจไม่เคยสัมผัส     รูปแบบของร้านเป็นแบบดูเพล็กซ์ 2 ชั้นสไตล์ American Diner มีความย้อนยุคด้วยโปสเตอร์โฆษณายุค 50s สีสันฉูดฉาดที่ผนังทั่วทั้งร้าน โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์และโซฟาสีแดงสลับขาวสไตล์อเมริกัน พื้นที่ส่วนอื่นตกแต่งด้วยของคลาสสิก รวมไปถึงหลอดไฟนีออนที่ดัดเป็นชื่อร้าน พร้อมส่องแสงโดดเด่นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งหากใครมาช่วงค่ำจะได้บรรยากาศแบบ American Club & Restaurant เลยล่ะ         อาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์อเมริกันแท้ เริ่มต้นด้วย Chili Cheese Fries” เฟรนซ์ฟรายทอดกรอบ ราดด้วยชีสและซาวครีมหอมมัน เสิร์ฟพร้อมดิปซอส sour cream, salsa และ spicy habanero sauce รสชาติเข้มข้น       ต่อด้วยเมนูจานหลักยอดนิยมอย่าง Spaghetti Meatball” สปาเก็ตตี้โฮมเมด รสชาติจัดจ้าน เข้ากันกับมีทบอลชิ้นโต ชุ่มฉ่ำกำลังดี       มาที่เมนูพระเอกของร้านอย่าง The V8 Burger” จัมโบ้เบอร์เกอร์เนื้อ ประกอบด้วยเชสดาร์ชีส แตงกวาดอง มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และซอส V8 สูตรพิเศษของร้าน กินคู่กับเฟรนซ์ฟราย แม้จะเป็นเมนูเบสิกแต่แนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยจริงๆ     มาร้านสไตล์อเมริกันทั้งทีไม่สั่งเมนูมิลค์เชคคงไม่ได้ เราแนะนำ Caramel Milkshakes” มิลค์เชครสหวานสดชื่น หอมกลิ่นคาราเมล กินพร้อมกับวิปปิ้งครีมหวานมัน ปิดท้ายมื้ออาหารสไตล์อเมริกันยุคคลาสสิกได้อย่างลงตัว     

“Indus” ต้อนรับนักกินด้วยอาหารอินเดียสูตรดั้งเดิมที่ได้แรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำอินดัสซึ่งไหลผ่านตอนเหนือของอินเดียและหลายประเทศ หยิบมานำเสนอสไตล์โมเดิร์นทั้งการตกแต่งจานอาหารและบรรยากาศสบายๆ ให้ความรู้สึกเฟรนด์ลี่ แตกต่างจากร้านอินเดียแบบดั้งเดิมที่เคยสัมผัส และใครที่แอบกังวลเรื่องกลิ่นเครื่องเทศอาจต้องแปลกใจ เพราะร้านนี้มีเพียงความหอมกรุ่นที่กระตุ้นความหิวเท่านั้น         ระหว่างรอจานหลักทางร้านจะเสิร์ฟของว่าง ปาปาดัมกับซอส 3 รสชาติและหอมแดงให้เคี้ยวเล่นเพลินๆ     จานต่อมาแนะนำ Papdi Chaat เมนูเรียกน้ำย่อย ข้าวเกรียบทอดกรอบทำจากแป้งถั่วชิ้นพอดีคำ โรยด้วยถั่วชิกพี มันฝรั่ง โยเกิร์ต ชูรสด้วยซอสสะระแหน่และซอสมะขาม     ต่อด้วย Raan ขาแกะสูตรอินดัสหมักกับเครื่องเทศ 6 ชนิดนานถึง 24 ชั่วโมง และสโลว์คุกอีก 7 ชั่วโมง จากนั้นย่างในเตาทันดูร์เพิ่มกลิ่นหอมจากเตาดิน ยกให้เป็นเมนูคู่โต๊ะที่ควรสั่งมาลิ้มรสอย่างยิ่ง     ของย่างก็มีให้สั่งอย่างหลากหลาย แต่ถ้ายังลังเลใจแนะนำ Mixed Grill รวมมิตรเตาทันดูร์ นำทัพโดยไก่นุ่มหมักโยเกิร์ตย่าง ปลากระพงย่าง กุ้งกุลาย่าง และเคบับเนื้อแพะสับเสียบไม้ย่าง ทุกชิ้นหอมกลิ่นเครื่องปรุงรส เนื้อนุ่มไม่แห้งกระด้าง แม้วางไว้สักพักก็ยังนุ่มฉ่ำเหมือนเพิ่งเสิร์ฟใหม่ๆ     Butter Chicken ไก่รมควันเคี่ยวในน้ำเกรวี มะเขือเทศ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ราดเนยและครีมเพิ่มความหอมมัน กินคู่ Garlic Nan กรอบนอกนุ่มในหอมกลิ่นกระเทียม ถ้าไม่จุใจอยากให้ลอง Family Nan แผ่นใหญ่ไซส์ยักษ์ที่ฉีกกินได้จุใจทั้งครอบครัว         ส่วนชีสเลิฟเวอร์แนะนำ Palak Paneer ผักโขมสับใส่ครีม ผัดกับคอตเตจชีสหั่นสี่เหลี่ยมชิ้นโตเต็มคำ เป็นเมนูที่กินได้เต็มที่เพราะแคลอรี่ต่ำมาก     ปิดท้ายล้างปากด้วย Gulab Jamun Flambé ขนมหวานทำจากแป้งผสมนม ปั้นเป็นลูกกลมแล้วทอดในเนย ก่อนเสิร์ฟสมทบด้วยน้ำเชื่อมหอมหวาน ควรสั่งมากินคู่ Masala Tea ชานมร้อนสไตล์อินเดียที่เติมความหวานได้ตามชอบ     จิบเพลินๆ ฟีลกู้ดเหมือนนั่งอยู่ริมแม่น้ำอินดัส!

  Tuk Tuk คำสั้นๆ ที่สื่อถึงความเป็นเอเชียถูกนำมาตั้งเป็นชื่อร้าน รวมทั้งตกแต่งบรรยากาศให้อบอวลด้วยกลิ่นอายบนท้องถนนอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นสตรีทอาร์ทสีจัดจ้านที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หรืออาหารการกินที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างน่าสนใจและชวนหิวทีเดียว           ทางร้านนำจานเด็ดสไตล์สตรีทฟู้ดมาปรุงอย่างพิถีพิถัน เน้นวัตถุดิบสดใหม่และเครื่องเทศต้นตำรับเพื่อคงเอกลักษณ์ของอาหารอินเดียไว้ แต่ใช้วิธีปรับระดับให้เข้ากับลิ้นคนไทยมากขึ้นจนเราลืมกลิ่นและรสชาติที่ค้างคาใจไปเลย         อุ่นเครื่องเบาๆ กับ Okra Fries กระเจี๊ยบชุบแป้งที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศสีแดงช่วยเพิ่มสีสันชวนน้ำลายสอ ทอดกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมมายองเนสและน้ำพริกเผาไทย เป็นเมนูกินเล่นเพลินๆ เหมือนเฟรนฟรายส์       Chicken Lollipops ปีกไก่บนที่รูดเนื้อขึ้นคล้ายโลลิป๊อบ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศ ทอดในน้ำมันร้อนๆ จนเนื้อนุ่มหนังกรอบ หยิบกินได้แบบพอดีคำ รสชาติเผ็ดซ่านติดปลายลิ้น เสิร์ฟให้กินกับมินท์ชัตนีย์และน้ำจิ้มไก่       ขยับมาจานหลักจากเตาทันดูรี Chicken Tikka ไก่ย่างสไตล์อินเดีย หมักเครื่องเทศจนซึมซาบเข้าเนื้อ และย่างจนหอมกรุ่นได้ที่ เสิร์ฟให้กินคู่มินต์ชัตนีย์ ควรบีบมะนาวนิดหน่อยจะชูรสชาติความอร่อยยิ่งขึ้น       หรือจะเปลี่ยนจากไก่เป็นปลากระพงย่างหอมๆ ก็เข้าทีกับ Tawa Seabass เมนูเพื่อสุขภาพประจำร้าน เสิร์ฟกับซอสสับปะรด รสหวานอมเปรี้ยวเจือรสเผ็ดนิดๆ เพิ่มความสดชื่นและช่วยลดกลิ่นเครื่องเทศลงด้วย       มาร้านอาหารอินเดียทั้งทีเมนูต้องมีคือ Garlic Naan แป้งนานกรอบนุ่มหอมกลิ่นกระเทียม ทางร้านมีแกงให้เลือกสั่งมากินคู่หลายอย่าง อาทิ Coastal Prawn Curry แกงกุ้งกะทิ เครื่องแกงเข้มข้นหอมมันกุ้ง       หรือถ้าชอบความเนียนนุ่มละมุนลิ้นสั่ง Butter Chicken ที่ครบครันความหอมมันจากเนยนม       บางท่านที่ยังไม่คุ้นชินกับอาหารอินเดีย ที่นี่ก็มีทางเลือกไว้ให้อิ่มท้องแบบไม่น้อยหน้ากัน อาทิ Old School Pad Thai ไทยสตรีทฟู้ดรสชาติกลมกล่อมจากซอสสูตรลับฉบับตุ๊กตุ๊ก ลองแล้วจะติดใจ       ปิดท้ายด้วยขนมหวานล้างปาก Nutella Naan เปลี่ยนแป้งนานในเมนูของคาวมาเป็นของหวานราดนูเทลลา เคี้ยวหนึบหอมหวานคล้ายโรตีที่คุ้นเคย       และ Grilled Pineapple สับปะรดย่างเนย สับปะรดพันธุ์หอมสุวรรณ หวานฉ่ำอมรสเปรี้ยวเล็กน้อย หั่นเป็นชิ้นตามยาวเสียบไม้ย่าง เคลือบด้วยเนยหอมๆ กินคู่ไอศกรีมกะทิเนื้อเนียนหอมมันจากกะทิคั้นสด       ส่วนเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ Rani’s Kiss สลับสีสวยถึง 3 เลเยอร์ ชั้นล่างเป็นน้ำส้มสดผสมน้ำมะนาว ใส่ใบมินต์อินฟิวส์เพิ่มกลิ่นรส โรยน้ำแข็งและโซดา ตรงกลางเป็นแบล็กเคอแรนท์ไซรัปปราศจากน้ำตาล 100% ก่อนปิดจ๊อบด้วยโซดา     ยกให้เป็นเครื่องดื่มเปรี้ยวซ่าที่สั่งมาปิดท้ายมื้อได้สุดเปอร์เฟ็กต์

ความทรงจำระหว่างการท่องเที่ยวทั่วโลกของเจ้าของร้านถูกนำมาถ่ายทอดสู่อาหารเช้าเรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวีย ประเภทแซนวิช พาสต้า สลัด สปาเก็ตตี ที่เสิร์ฟให้กินได้ทั้งวัน รวมถึงเครื่องดื่มรสชาติดีที่มีให้เลือกมาก ที่นี่ยังเป็นร้านแรกๆ ที่ริเริ่มนำคาร์ฟคอฟฟี่เข้ามาสร้างสีสันจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของกลุ่มคนรักกาแฟในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาและยังต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน       เมนูเน้นปรุงจากวัตถุดิบออร์แกนิกในท้องถิ่นผสมผสานกับวัตถุดิบนำเข้าบางชนิดเพื่อคงกลิ่นและรสอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาหารสไตล์สแกนดิเนเวียไว้  แม้จะชูเมนูสไตล์ยุโรปเป็นหลักแต่เสริมทัพอาหารไทยที่ปรุงรสชาติได้อย่างน่าทึ่งเช่นเดียวกัน     เริ่มที่เมนูสุดคลาสสิก Benedict with Bacon or Smoked Salmon อิงลิชมัฟฟินโฮมเมด ท็อปด้วยเบคอนหรือแซลมอนรมควัน โพ้ชเอ้กนุ่มเนียนลิ้น อะโวคาโด และซอสฮอลแลนด์เดสรสกลมกล่อม เสิร์ฟ 2 ชิ้นให้กินได้อิ่มท้องกำลังดี     Nordic รวมทีเด็ดสไตล์นอร์ดิกไว้ในเซ็ตเดียว ได้แก่ แซลมอนรมควัน ลูกชิ้นสไตล์สวีเดน กุ้งในมายองเนส สลัดผัก และโทสต์     อีกหนึ่งเมนูขายดียกให้ Egg Fettuccine เส้นเฟตตูชินีในซอสสุดครีมมี่ เบคอน และพริกไทยดำ โรยชีสนมแกะเพิ่มรสเค็มมัน     ส่วนอาหารไทยห้ามพลาด ข้าวซอยกุ้ง เด่นทั้งน้ำซุปรสกลมกล่อมที่ใส่มาให้แบบขลุกขลิกและกุ้งสดเนื้อกรอบเด้ง กินแกล้มหัวหอมซอยและผักกาดดองช่วยตัดเลี่ยน  หากอยากเพิ่มรสเปรี้ยวจะบีบมะนาวอีกหน่อยก็ได้     อีกจานคือ ยำเนื้อ เลือกใช้เนื้อคุณภาพจากออสเตรเลียคลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด หอมกลิ่นมะนาวสด และปรุงรสเผ็ดเล็กน้อย เป็นเมนูที่คนไทยยกนิ้วให้ ในขณะที่คนต่างชาติก็กินได้สบายปาก     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Lychee Cold Brew Tonic กาแฟเอสเปรสโซผสมกับโทนิค ได้ความหวานซ่อนเปรี้ยวจากลิ้นจี่ ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รับมือกับอากาศร้อนได้สบาย     หรือจะลอง Orange Sprinkle กาแฟเอสเปรสโซ ผสมกับน้ำส้มคั้นและน้ำมะนาว ก็ได้ความสดใสไปอีกแบบ     แต่ถ้ายังลังเลก็มี Cappuccino กาแฟรสละมุนสูตรคุ้นเคย ที่สั่งมาดื่มเมื่อไหร่ก็ฟิน!  

ถ้าพูดถึงอาหารเม็กซิกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงร้านนี้ “La Monita Taqueria” ต้นตำรับอาหารเม็กซิกันที่หลายคนหลงรัก ซึ่งตอนนี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 สาขาคือที่ตึกมหาทุนพลาซ่า สยามพารากอน และเอ็มควอเทียร์ชั้น 7 โดยวันนี้เราจะพามาลิ้มลองความอร่อยกับสาขาแรกของร้านที่เปิดให้บริการมา 10 ปีแล้ว!     เมื่อเข้ามาในร้าน เราสัมผัสได้ถึงความสนุกสนานจากกำแพงสีสันจัดจ้าน พร้อมมุมรับประทานอาหารหลายโซนไม่ว่าจะเป็น โซนอินดอร์ โซนบาร์ และโซนยอดนิยมอย่าง Patio ที่มีความโปร่งโล่งสบายตารับแสงธรรมชาติ เหมาะสำหรับชมท้องฟ้าและบรรยากาศยามค่ำคืน         เราเริ่มที่เมนูยอดนิยมของคนรักอาหารเม็กซิกันอย่าง “Regular Nacho” แป้งตอร์ติญาชิพส์ราดด้วยชีสหอมๆ และซัลซ่าสดเพิ่มความสดชื่น เป็นเมนูออร์เดิร์ฟขายดีที่ห้ามพลาด       ตามด้วย “Tostada Ensalada (Tostada Salad)” สลัดอกไก่เม็กซิกันราดน้ำสลัดสูตรพิเศษของลาโมนิต้า และซัลซ่าสด เป็นเมนูที่ทานแล้วสดชื่น       จากนั้นต่อกันที่เมนู “Quesadillas” เกซาดิยา (แป้งตอร์ติญาห่อชีสปิ้ง) ใส่ถั่วปินโต ซัลซ่าสด กัวกาโมเล ซาวครีม และเนื้อสัตว์ตามชอบ รสชาติเข้มข้นตามฉบับอาหารเม็กซิกัน       มากันที่เมนูพระเอกของร้านอย่าง Tacos กันบ้าง ประเดิมที่จานแรก “Maxi-Tacos กุ้ง” แป้งข้าวโพดนิ่มใส่เนื้อกุ้ง โรยหน้าด้วยหอมใหญ่ และผักชีสับ เสิร์ฟพร้อมมะนาว เวลากินบีบมะนาวลงไปเพิ่มความสดชื่น ยิ่งทำให้จานนี้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น และ "Cali-Tacos เนื้อริบอายสเต๊ก" แป้งสาลีนิ่ม พร้อมด้วยซัลซ่าสด กัวกาโมเลและซาวครีม เนื้อริบอายนุ่มๆ เข้าคู่กับซอสด้านในได้เป็นอย่างดี       ต่อกันที่ “LA Fish-Tacos” แป้งข้าวโพดนิ่ม พร้อมด้วยเนื้อปลา โรยด้วยซัลซ่าสด และกัวกาโมเล เป็นเมนูแบบ non daily ที่ปิดท้ายมื้ออร่อยได้อย่างสมบูรณ์    

"ข้าวมันไก่" เมนูโปรดปรานของใครหลายๆ คน ถึงแม้จะไม่เลิศหรูอลังการ แต่ทุกครั้งที่กินก็ได้ความฟินมากมายเสมอ หากพูดถึง “ข้าวมันไก่รสเลิศ” หลายคนคงจะนึกถึงชื่อของ “โรงแรมมณเฑียร” เป็นแน่ ได้ยินแบบนี้แล้ว G&C จะรอช้าอยู่ใย รีบไปลิ้มลองตำนานความอร่อยให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลย       เพียงก้าวแรกที่เข้าร้านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่น สบายๆ เหมาะมากสำหรับใช้เวลากับครอบครัว แต่ถ้ามาคนเดียวก็ชิลดีอยู่เหมือนกัน       ทางห้องอาหารเรือนต้นเสิร์ฟ ข้าวมันไก่ มาเป็นเซ็ตแบบจุใจซึ่งประกอบไปด้วย ไก่สับเป็นชิ้นพอดีคำ ข้าวมัน น้ำจิ้ม 4 อย่าง และน้ำซุปไว้ซดให้คล่องคอ     ไก่ต้ม ไก่คัดพิเศษที่ผ่านการต้มแบบพิถีพิถันจนได้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เวลาจัดเสิร์ฟหั่นเป็นชิ้นพอดีคำจากนั้นราดด้วยน้ำมันงาสูตรพิเศษ ช่วยเพิ่มความหอมและเสริมให้ไก่มีรสชาติอันเค็มหวานเป็นเอกลักษณ์     กินพร้อมกับ ข้าวมัน ข้าวหอมมะลิชั้นดีที่หุงพร้อมน้ำมันเปลวไก่โดยตู้อบพิเศษ จึงทำให้ได้เมล็ดข้าวเรียงตัวสวย นุ่มร่วน ไม่มัน ราดด้วยน้ำจิ้มที่มีให้เลือกถึง 4 แบบตามความพอใจ ใครชอบกินเผ็ดเราแนะนำ น้ำจิ้มดั้งเดิม ทำจากซีอิ๊ว ขิง และพริกซอย รสชาติเค็มหวานและเผ็ดร้อน น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว รสชาติเปรี้ยวนำ เค็มปลายลิ้นและเผ็ดเล็กๆ จากพริก น้ำจิ้มขิง ใช้ขิงอ่อนสับหยาบผสมกับน้ำต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว รสชาติเผ็ดซ่า เค็มเบาๆ ได้กลิ่นหอมของขิงชัดเจน ตัวสุดท้าย น้ำจิ้มซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วขาวเกรดพรีเมี่ยมปรุงจนรสหวานเค็มได้ที่ จากนั้นหันไปซดน้ำซุปร้อนๆ ที่ได้จากน้ำสต๊อกไก่เคี้ยวจนหวานกลมกล่อม ตัดเลี่ยนพอดิบพอดี       ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มที่ชวนลิ้มลอง น้ำส้มโอปั่น ใช้ส้มโอพันธุ์ทองดีเนื้อแน่นจากนครชัยศรี เพิ่มความหวานด้วยไซรัป รวมเป็นรสชาติเปรี้ยวหวานที่ลงตัว สดชื่นอย่าบอกใคร  

ขอยกให้เป็นหนึ่งในคาเฟ่สุดฮอตแห่งย่านทองหล่อในตอนนี้ สำหรับ Skoop & Co.” ที่ต่อยอดจาก Skoop Beach Cafe ร้านไอศกรีมโฮมเมดชื่อดังแห่งพัทยาและหัวหินที่มาเปิดสาขาใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ไปชิมกันง่ายดายยิ่งขึ้น       นอกจากการดีไซน์กำแพงร้านสุดเก๋ด้วยกระจกรูปวงกลมและสามเหลี่ยมที่โดนใจทั้งสายชิม สายแชะ และสายแชร์ ผสานกับบรรยากาศคลีนๆ เน้นสีขาวดำเทาน่านั่งชิลแล้ว ที่นี่ยังเพิ่มเมนูอาหารและเครื่องดื่มสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดที่อร่อยและกินง่ายให้อิ่มท้องกันตลอดวัน       ใครแวะมาตอนสายๆ ลองสั่ง Healthy Benny เมนูบรันช์เอาใจสายสุขภาพ โทสต์หนานุ่มท็อปด้วยฟักทองย่าง อะโวคาโด และเอ้กเบเนดิกต์ หรืออยากอิ่มจริงจังในมื้อเที่ยง เราแนะนำ Japanese Curry Fried Rice ข้าวผัดคลุกเคล้าแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นรสเข้มข้นหอมเครื่องเทศ มาพร้อมไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในและไข่คนนุ่มลิ้น         คนรักของหวานก็ฟินได้ไม่แพ้กันกับ Salted Egg Yolk French Toast เฟรนช์โทสต์ชิ้นโตราดซอสไข่เค็มหอมมัน เพิ่มความอร่อยด้วยไอศกรีมโฮมเมดและวิปครีม และ Costa Bana วัฟเฟิลหนานุ่มราดซอสคาราเมลหอมหวาน มาพร้อมกล้วยหอมชิ้นโต วอลนัต และไอศกรีมรสวานิลลา       หรือถ้าแวะมาช่วงบ่าย อย่าลืมสั่ง Iced Bear Latte ลาเต้เย็นซิกเนเจอร์ที่เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งและเพิ่มความเข้มด้วยน้ำแข็งทำจากเอสเพรสโซชอตรูปหมีสุดน่ารักมาช่วยขจัดความง่วงสักแก้วก็ไม่เลวเลยทีเดียว  

อาหารจอร์เจียพอได้ยินชื่อก็ต้องใช้เวลาคิดสักนิดว่าประเทศนี้อยู่ในทวีปใด จอร์เจียเป็นประเทศเล็กๆ ซึ่งอยู่ทางใต้ของสาธารณรัฐโซเวียต ติดกับอาร์มีเนีย อาร์เซอร์ไบจาน ทิศตะวันออกติดกับทะเลดำ ถ้าเลยลงไปทางใต้ก็จะเจอประเทศตุรกี เรียกว่าประเทศนี้อยู่ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป ผู้คนแถบนี้หน้าตาก็ผสมผสานกันระหว่างเอเชียและยุโรป       ARGO ไม่ใชร้านอาหารจอร์เจียแห่งแรก แต่เป็นสาขา 2 ของร้าน AVRA ที่ซอยสุขุมวิท 33 ซึ่งเจ้าของร้านลูกผสมรัสเซียและกรีกบอกว่าตั้งใจจัดให้ร้านนี้มีบรรยากาศง่ายๆ แนวกินดื่ม ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 8 ที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยนัก       ส่วนอาหารจอร์เจียก็มีทั้งเอเชียและยุโรปผสมผสานกัน และแน่นอนว่าต้องมีขนมปัง ขนมปังจอร์เจียต่างจากที่เราเห็นทั่วไป เพราะชิ้นจะบาง เนื้อเหนียว ผิวกรอบ เค็ม ยิ่งกินยิ่งอร่อย เป็นขนมปังที่นักท่องเที่ยวไทยไปจอร์เจียโหวตให้เป็นของอร่อยอันดับหนึ่ง วิธีทำแบบดั้งเดิมจะใช้วิธีนาบกับโอ่งเพื่อให้สุก ที่ร้านนี้มีชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟมากับอาหาร แต่มีขนมปังที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Acharuli (อาจารูอิ) ขนมปังรูปเรือขอบหนาใส่ชีสและไข่แดง หน้าตาสะดุดตา เนื้อขนมปังนุ่มดีแต่ชีสท้องถิ่นรสเค็มไปหน่อย และ Megrulli (มิลกูลลิ) แผ่นแป้งกลมใส่ไส้ชีสทอดคล้ายพิซซา อร่อยดีแต่เค็ม       เมนูที่ชวนแปลกตาและน่าจะเป็นญาติกับจีนทางใดทางหนึ่ง คือ Khinkali (ฮินคาลิ) หน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปาแต่ชิ้นใหญ่กว่า แป้งห่อเนื้อหนากว่า วิธีกินก็คล้ายกันต้องคว่ำลง กัดแป้งเพื่อให้น้ำซุปไหลเข้าปากก่อน แต่ไส้เนื้อจะแน่นกว่าเสี่ยวหลงเปา มีกลิ่นหอมของสมุนไพรจอร์เจียที่มีอย่หลายชนิด และไม่มีน้ำจิ้ม     อาหารจานหลักมีทั้งเนื้อแกะ ไก่ เนื้อวัว เมนูที่น่าลองคือ Chakapuli สตูที่ต้มจนเละ แต่เนื้อที่เละนุ่มคือเนื้อแกะตุ๋น ใส่ Tarragon Mint และ Green Plum ที่มีรสเปรี้ยว ใส่ไวน์ขาว พาร์สลีย์ และผักชี  กลิ่นหอม รสเปรี้ยวกลมกล่อมอร่อยน่าจะถูกใจคนไทย ไก่อบสมุนไพรจอร์เจียซึ่งเจ้าของบอกว่ามีสมุนไพรอยู่หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเคบับทั้งไก่ หมู เนื้อ  อาหารกรีก เช่น มูสซาก้า และเครื่องจิ้มหรือดิปสไตล์กรีกอีกหลายจาน         เรียกว่าถ้าใครสนใจเรียนรู้และชอบชิมอาหารแปลกใหม่ อาหารจอร์เจียน่าสนใจอยู่ในรายการ

ใครที่ตามหารสชาติแซ่บนัวแบบครัวลาวแท้ เรามีพิกัดความแซ่บมาให้สายกินได้ลิ้มรสอาหารลาวที่คนลาวตัวจริงบินตรงจากสุวรรณเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเปิดครัวกลางกรุงเทพฯ ปรุงอาหารลาวรสเด็ดให้คนไทยได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุงและส่วนผสมจากท้องถิ่นเพื่อให้มีกลิ่นรสแบบลาวแท้ โดยเฉพาะที่ขาดไม่ได้คือน้ำปลาร้าต้มซึ่งคนลาวนิยมใช้แทนน้ำปลา ใครไม่ปลื้มปลาร้าอย่ากังวล เพราะปรับระดับลงเหลือเพียงความกลมกล่อมที่นำมาปรุงเมนูอะไรก็ถึงอกถึงใจทั้งนั้น         ซิกเนเจอร์ของร้านยกให้ตำสุวรรณเขต จุดเด่นคือเส้นมะละกอสดกรอบสไลซ์เป็นแผ่นบางเคลือบน้ำส้มตำฉ่ำๆ แนะนำให้ตักเส้นมะละกอแล้วหยิบขนมจีนวางก่อนส่งเข้าปาก สัมผัสความเข้มข้นนัวเค็มเต็มอัตราจากส่วนผสมของน้ำปลาร้าต้มผสานรสเปรี้ยวจากน้ำมะนาวและมะกอกลาวได้อย่างลงตัว     ยำโต่ง ทางร้านนำเนื้อหมูกับกะปิคลุกเคล้าจนเข้าเนื้อเข้าหนัง ปรุงกับสมุนไพรลาวหลายชนิด เสิร์ฟร้อนๆ หอมกลิ่นกระชายนำ ตามด้วยกลิ่นกะปิอ่อนๆ รสชาติเผ็ดร้อนพอประมาณ     ต่อด้วยไส้กรอกน้ำตกหมู ไส้กรอกหมูเนื้อแน่นหนังตึงกรอบ รสชาติเค็มนำเจือเผ็ดร้อนพอกระชุ่มกระชวยจากเครื่องเทศลาว ตัดเลี่ยนด้วยส้มผักดองทำจากต้นหอมและกะหล่ำปลี     เป็ดต้มน้ำยาเส้นข้าวเปียก เส้นข้าวเปียกหนึบๆ ราดน้ำยาเป็ดเข้มข้น โรยหอมเจียว เคียงด้วยไข่ต้มยางมะตูมช่วยลดดีกรีความร้อนแรงของพริกแกงลาว     อ่อมเป็ดพริกไทยสด เป็ดเนื้อแน่นเคี้ยวหนึบในน้ำแกงรสเผ็ดร้อนขึ้นจมูก ปรุงด้วยน้ำปลาร้าผสมข้าวเบือ น้ำย่านาง และผักแพว ทางร้านยังมีเครื่องดื่มเย็นชื่นใจอย่างน้ำกระเจี๊ยบ รสชาติไม่หวานมากเพื่อให้เข้ากับอาหารส่วนใหญ่ที่มีรสชาติจัดจ้าน ดื่มแล้วสดชื่นเข้ากัน     ที่นี่ยังเหมาะเป็นร้านนั่งดื่มเพราะมีค็อกเทลเก๋ๆ ให้จับคู่ได้กับทุกเมนู ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สั่งมานั่งชิลเอาท์เมาท์มอยกันได้อย่างเพลิดเพลิน  

ใครบินไปเที่ยวดินแดนเมอร์ไลออนบ่อยๆ เป็นอันรู้กันดีว่า ต้องมีสักมื้อที่ขอฝากท้องไว้กับบักกุ๊ดเต๋ร้อนๆ สักชามที่ร้านระดับตำนานอย่าง Song Fa ที่การันตีรสชาติด้วยการคว้ารางวัล Bib Gourmand – Michelin Guide Singapore มาครองหลายปี แต่ตอนนี้ ความอร่อยนั้นขยับเข้ามาใกล้แค่เอื้อมกับการเปิดตัวสาขาแรกในไทย ที่ชั้น 3 เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมเมนูซิกเนเจอร์ที่มีให้ชิมแบบจุใจ       กว่าจะมาเป็นร้านดังที่ขยายความอร่อยไปในหลายประเทศอย่างทุกวันนี้ ซงฟาเริ่มต้นจากรถเข็นคันเล็กบนถนน Johor ในปี 1969 แต่ด้วยความหอมและรสชาติเข้มข้นของน้ำซุป ทำให้หลายคนติดอกติดใจ จึงเริ่มเป็นที่รู้จักแบบปากต่อปาก และถ่ายทอดความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเราจะได้เห็นภาพจำลองนั้นผ่านภาพเพนต์บนผนังสีสดภายในร้าน     มาถึงซงฟาทั้งที ขอประเดิมด้วยซุปซี่โครงหมู ที่ซ่อนความพิถีพิถันไว้ในชามมากมาย ตั้งแต่การเคี่ยวน้ำซุปบนเตาร้อนแบบดั้งเดิม เผ็ดร้อนกำลังดีจากพริกไทยซาราวัค จนได้ “น้ำซุปขาว” สูตรเฉพาะ ส่วนซี่โครงหมูคัดไซส์พิเศษ เนื้อเยอะ ตุ้มจนนุ่มและร่อนออกจากกระดูกให้กินกันแบบฟินๆ ที่สำคัญก็คือซุปของทางร้านจะมีพนักงานคอยเติมให้เรื่อยๆ เพื่อให้เราได้ซดน้ำซุปที่ร้อนอยู่เสมอ     ส่วนสายเส้น แนะนำ หมี่ซั่วตับหมู เส้นหมี่ซั่วเหนียวนุ่มในน้ำซุปบักกุ๊ดเต๋รสเข้มข้นหอมกรุ่น  เพิ่มเติมความพิเศษด้วยตับหมูชิ้นโตที่นุ่มและไม่เหม็นคาว ต่อด้วยจานตุ๋นซึ่งมีทั้ง ขาหมูตุ๋น หมูสามชั้นตุ๋น ไส้ใหญ่ตุ๋น ไส้อ่อนตุ๋น ฟองเต้าหู้ตุ๋น ฯลฯ เราได้ชิม ตุ๋น 2 อย่าง คือหมูสามชั้นและไส้หมูที่นุ่มละลายในปาก รสหวานเค็มพอดี ทีเด็ดคือน้ำจิ๋มเปรี้ยวสูตรลับ และเครื่องเคียงอย่างผักดองและถั่วลิสงที่มาช่วยตัดเลี่ยน กินด้วยกันเพลินมาก         ปิดท้ายด้วยเมนูพิเศษที่มีให้ชิมเฉพาะที่ไทยอย่าง ข้าวต้มหมูซงฟา เมนูง่ายๆ แต่อร่อย กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นข้าวต้มหมูฝีมือคุณแม่ ด้วยน้ำซุปรสกลมกล่อมเป็นทุนเดิม ใส่หมูสับและข้าวสวยลงไปเคี่ยวอีกนิด     อย่าลืมสั่งปาท่องโก๋ มากินคู่ไปด้วย เข้ากันดีเชียวล่ะ  

หากจะหาคำจำกัดความที่ตอบโจทย์ความเป็นร้าน CORO Field Café ได้ดีที่สุดคงต้องยกให้ประโยคนี้ Everyday Farm Food อาหารจากความรักและความใส่ใจของเกษตรกรที่อยากเสิร์ฟให้ทุกคนได้กินง่ายๆ ในทุกวัน ภายในร้านจำลองบางส่วนของฟาร์ม CORO Field อำเภอสวนผึ้งมาให้ได้สัมผัสบรรยากาศอบอุ่นท่ามกลางธรรมชาติโดยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของต้นไม้ตามมุมต่างๆ จนอาจเผลอนึกไปว่ากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในฟาร์มจริงๆ         เริ่มที่เมนูกินเล่น มันมุราซากิทอดซอส 3 ฤดู มันม่วงหั่นชิ้นยาวทอดร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมซอสเคี่ยวจากมะม่วงพันธุ์มหาชนก รสเปรี้ยวอมหวานผสานรสเผ็ดนิดๆ พอซู่ซ่า     ต่อด้วยพล่ากุ้งย่างโทมิเมลอน กุ้งสดย่างพอสุกคลุกเคล้ากับซอสยำรสจัดจ้าน ตามด้วยสมุนไพรไทยหลากชนิดเพิ่มสีสันและกลิ่นรส ยกให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพจานหนึ่งเลยทีเดียว     ข้าวแซลมอนย่างซีอิ๊ว แซลมอนชิ้นโตปรุงรสกลมกล่อมจากซอสปรุงรสสูตรลับของร้านวางมาบนข้าวกล้องนุ่มๆ หอมๆ รายล้อมด้วยผักย่างหลากชนิด เป็นเมนูอุดมคุณค่าทางโภชนาการที่ใครได้ลองก็ติดใจ     หมูย่างสับปะรด หมูส่วนสันคอหมักซอสสูตรลับย่างไฟแรงปานกลางจนสุกทั่วถึง ราดด้วยซอสสับปะรดรสเปรี้ยวอมหวาน มีเนื้อสับปะรดและมะเขือเทศที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่มใส่มาให้เคี้ยวเล่นเพิ่มความสดชื่น     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำมันมุราซากิลาเต้ สัมผัสความเข้มข้นเนื้อเนียนละเอียดของมันมุราซากิปั่นที่ทางร้านใส่มาให้เยอะมาก ไม่เพียงเท่านั้นเพราะยังเพิ่มความฟินแบบยกกำลังด้วยเนื้อสัมผัสหนึบหนับของชิ้นมันมุราซากิที่ใส่มาให้เคี้ยวกินด้วย ส่วนรสชาติได้ความหวานแบบพอเหมาะพอดี ลืมเรื่องอ้วนไปได้เลย     ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มโดนๆ อีกสักแก้วโทมิเมลอนครีมชีส รสชาติหวานอมเปรี้ยว เหมาะกับคนรักสุขภาพที่ยังแอบมีใจให้ครีมชีสอยู่นิดๆ ได้กินแบบไม่รู้สึกผิดมากนัก (ฮา)