หากใครมองหาร้านคาเฟ่บรรยากาศเรียบหรู พร้อมชาดีๆ และอาหารอร่อยสักที่ เราขอแนะนำ “Maison d’olivia”  ร้านอาหารบรรยากาศสุดหวาน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมด้วยหมู่มวลดอกไม้โทนชมพูที่จะมาเพิ่มดีกรีความน่ารักให้สาวกคาเฟ่ได้ประทับใจ พร้อมปักหมุดเป็นแหล่งแฮงเอาต์ใหม่ได้ไม่ยาก       เมื่อเข้ามาในร้าน เราจะพบกับผนัง  โซฟา และเก้าอี้โทนชมพูขาว พร้อมด้วยโต๊ะไม้หินอ่อน สร้างความหวานตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งดอกไม้หลากสีปักสลับกันตามแนวผนังให้ร้านมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น ในส่วนของเคาน์เตอร์บาร์ ร้านเลือกนำแก้วและกาน้ำชาลายดอกกุหลาบวางเรียงสวยสะดุดตา คุมโทนคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสแบบหวานๆ ได้เป็นอย่างดี         เมื่อเมนูซิกเนเจอร์ของร้านคือชา  ร้านจึงต้อนรับเราด้วยชุดน้ำชา “Olivia Tea Set” เราเลือก Rose Tea และเค้ก Red Velvet Cream Cheese Cake ชากุหลาบหอมๆ ทานคู่กับชีสเค้กเรดเวลเวตเนื้อนุ่มหวานกำลังดี  เป็นเมนูจิบน้ำชายามบ่ายที่สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด         ต่อด้วยเมนูซุปขายดีที่สาวกทรัฟเฟิลไม่ควรพลาด “Mushroom Truffle Cream” ซุปเห็ดทรัฟเฟิลชั้นดี ที่นำเอาน้ำมันทรัฟเฟิลผสมผสานกับเนื้อเห็ดทรัฟเฟิลบด กลายเป็นซุปครีมข้นๆ ที่หอมกรุ่นทรัลเฟิลทุกคำ       ในส่วนของอาหารจานหลักเป็น “Wagyu Steak” สเต็กวากิวเนื้อนุ่มแบบมีเดียมแรร์ เสิร์ฟเคียงข้างสปาเก็ตตี้ผัดพริกแห้งรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย       ปิดท้ายด้วยเมนูสุดเก๋ของร้านอย่าง “Signature Mocktail” ม็อคเทลสูตรพิเศษที่มีกลิ่นหอมของลิ้นจี่ กุหลาบ และเชอร์รีบลอสซั่ม เติมความสดชื่นปิดท้ายมื้ออาหารด้วยความประทับใจ  

Brioche from heaven บ้านอิฐสีแดงข้างบันไดรถไฟฟ้าช่องนนทรีประตูทางออกหมายเลข 4 นี้เองที่ทำให้ย่านสาทรดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ร้านขนมปังออริจินัลจากแคว้นนอร์มังดีแห่งนี้เกิดจากความตั้งใจของ เชฟไก่ ธนัญญา ไข่แก้ว เชฟกระทะเหล็กอาหารหวาน ที่อยากให้ลูกค้ามีความสุขจากสิ่งที่เสิร์ฟ โดยเลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเยี่ยม อาทิ แป้ง กาแฟ นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เนยผลิตจากแคว้นนอร์มังดี ที่ใช้เสิร์ฟในราชสำนัก เพื่อเก็บรสชาติขนมต้นตำรับไว้ไม่ให้เลือนหาย         ภายในร้านตกแต่งด้วยก้อนอิฐสีแดง และท่อนไม้ฟืน ให้กลิ่นอายราวกับคาเฟ่สมัยก่อนในฝรั่งเศสอย่างไรอย่างนั้น  มีขนมปังอบสดจากเตาเรียงรายไว้เป็นระเบียบ เพียงก้าวแรกที่เข้ามาจะได้กลิ่นขนมปังอบสดใหม่ หอมกรุ่นชวนให้ท้องร้อง ชวนอยากลิ้มลองสักคำ           เริ่มต้นที่ซิกเนเจอร์ Brioche from heaven เมนูดาวเด่น บริยอชเนื้อนุ่มชุ่มเนย เพิ่มรสชาติหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลทรายแดง และซินนามอน บวกกับความกรุบกรอบของพีแคน และความหวานจากคาราเมล เป็นรสชาติที่ฟินไม่รู้ลืม         ไอศกรีมเลิฟเวอร์ต้องลอง Affogato from heaven เมนูฮอตฮิตซิกเนเจอร์อีกหนึ่งเมนู ไอศกรีมแมคคาเดเมีย ท็อปด้วยแมคคาเดเมียเคลือบคาราเมล ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน กินคู่กับขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ให้ความกรุบกรอบ และกาแฟเอสเพรสโซร้อน เวลากินให้ราดกาแฟลงบนไอศกรีม รสเข้มตัดหวาน หอมกรุ่นละมุนอยู่ในปาก ลงตัวทุกสัมผัส     Strawberry milkshake สตรอว์เบอร์รีสด ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี นมสด และน้ำเชื่อมเล็กน้อย ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อนวลเนียน ท็อปด้วยวิปครีมนุ่มละมุนลิ้น ได้มิลค์เชครสเปรี้ยวหวาน เข้มข้น สดชื่นถูกใจสายหวาน บอกเลยแก้วนี้อร่อยหมดจนหยดสุดท้าย    

“เดอะ บราซเซอรี” ห้องอาหารหลักประจำโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ เสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศสต้นตำรับ เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยมของท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิม กลายเป็นรสชาติอาหารสุดอร่อยที่ใครได้มากินแล้วประทับใจไปตามๆ กัน     ถึงแม้จะเป็นห้องอาหารภายในโรงแรม แต่การตกแต่งสวยงามก็ไม่แพ้ใคร ซึ่งที่นี้ได้รับการออกแบบโดยมัณฑนากรชื่อดังชาวฮ่องกง คุณอังเดร ฟู ด้วยการออกแบบให้ห้องอาหารมีทางเข้าสองด้านมาบรรจบกันเป็นวงกลม ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบผ่านผนังกระจก ทางเข้าด้านขวามีอุโมงค์สูงกว่า 4 เมตรประดับด้วยหินอ่อนเชื่อมทั้งสองด้านเข้าหากัน ซึ่งอุโมงค์หินอ่อนนี้มีความคล้ายกับพื้นที่บางส่วนของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ก สาขาแรกแรกในโลกที่เป็นต้นแบบของแบรนด์อีกด้วย       บริเวณด้านหน้าเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นหรูหราสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งด้วยกระจก หินอ่อน โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์สีควันบุหรี่ตัดขอบทองเหลือง ส่วนภายในห้องอาหารถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนเช่นกัน ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา โต๊ะอาหารไม้สีเข้มเข้ากันได้ดีกับเก้าอี้ และโซฟาหนัง พร้อมครัวเคาน์เตอร์บาร์แบบเปิด ให้เราได้เห็นเชฟรังสรรค์อาหารในมุมต่างๆ อีกด้วย         ห้องอาหาร “เดอะ บราซเซอรี” อยู่ภายใต้การดูแลของ เชฟ ชลิต กอบัวแก้ว หรือเชฟท๊อดดี้ เชฟมากประสบการณ์ผู้เคยมีโอกาสร่วมงานกับเชฟชื่อดังจากทั่วโลกมาแล้วมากมาย เราเริ่มต้นมื้อนี้ด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย Baked Camembert ขนมปังกริลล์จนกรอบกำลังดี กินคู่กับชีส ตัดรสชาติด้วยแยมและน้ำผึ้งหอมๆ     ต่อกันด้วยเมนูไซส์ใหญ่ที่สามารถกินได้ทั้งครอบครัวอย่าง Seafood Plateau อาหารทะเลสดๆ เสิร์ฟแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น หอยเชลล์ฮอกไกโด, หอยนางรม, กุ้งแม่น้ำ,  เนื้อปูอลาสก้า, ล้อบสเตอร์, ปลาหมึกยักษ์ และแซลมอน ทาร์ทาร์ เคียงคู่มากับน้ำจิ้ม 3 แบบ อาหารทะเลสด รสหวาน ทานแล้วสดชื่น       เข้าสู่เมนคอร์สสไตล์ฝรั่งเศสจานแรกด้วย Seared Foie Gras ฟัวกราส์ย่างมานุ่มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมแอปเปิ้ลบด และซอสบัลซามิคหอมกลิ่นองุ่น ตามมาด้วย Pan-seared Halibut Provençale ปลาฮาลิบัตรเนื้อเนียน นำไปเซียจนได้ที่ เคียงคู่มากับกราแตงมันฝรั่งอบด้วยชีสเนื้อเนียน กินกับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน        ปิดท้ายของคาวด้วย Grilled Australian Rack of Lamb แกะเนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ เสิร์ฟมาบนกะหล่ำปลีแดง ทานคู่กับแบล็คการ์ลิคและซอสบัลซามิค ชูรสชาติเนื้อแกะให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น     นอกจากจะโดดเด่นเรื่องอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีบาร์เล็กๆ ไว้สำหรับสั่งดริงค์มาดื่มแบบเก๋ๆ เริ่มจาก Homemade Lemonade น้ำมะนาวรสชาติเข้มข้น คั้นแบบสดๆ ทานแล้วสดชื่น และ Pickwick club น้ำเสาวรสรสชาติจี๊ดจ๊าด หอมกลิ่นสมุนไพร ปิดท้ายมื้ออร่อยสุดประทับใจได้อย่างลงตัว        

หากกำลังมองหามุมพักผ่อนที่ตอบโจทย์ทั้งบรรยากาศและขนมอร่อย แนะนำ The Tea House กลาสเฮาส์ขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมเก่าหายากสไตล์วินเทจ ประดับโคมไฟเหล็กดัดห้อยระย้ารูปทรงแปลกตาและสัตว์สตัฟฟ์น้อยใหญ่ เหมาะกับการแวะมานั่งชิลถ่ายรูปเก๋ๆ ภายในร้านยังหอมอบอวลไปด้วยเบเกอรี่อบใหม่สไตล์ฝรั่งเศสและชาแบรนด์ดังอย่าง Mariage Freres           แนะนำ The High Tea Set ชุดน้ำชาที่มาพร้อมขนมชวนกินหลากชนิด อาทิ เค้ก มาการอง พาย มินิพาร์มิเย่ ครัวซองต์ ชุดนี้ชวนเพื่อนมานั่งชิล 3-4 คนกำลังดี             หากร่างกายต้องการของคาวที่ไม่หนักท้องจนเกินไปแนะนำ Serrano Ham Salad with Balsamic Sauce ผักสลัดสีเขียวตัดกับมะเขือเทศแดงเหลืองคลุกเคล้ากับแฮมรสชาติเค็มมัน ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ  อิ่มเบาๆ สบายท้อง       นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูบรันช์แนวอิตาเลียนให้เลือกอีกมากมาย เรียกว่าคาวหวานครบจบในที่เดียว  

ช่วงนี้สวีตเลิฟเวอร์คงได้คึกคักกันเป็นพิเศษ เพราะมีขนมหวานหลายร้านที่พาเหรดกันมาให้เลือกชิม เช่นเดียวกับ Chez Shibata 365 สาขาล่าสุดของร้านดัง Chez Shibata จากเมืองทาจิมะที่ขยายสาขาความอร่อยทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง จนมาถึงบ้านเราก็ที่ประจำการเป็นโรงแรมน้องใหม่อย่าง Hotel Nikko Bangkok     สำหรับสาขาแรกที่กรุงเทพฯ แน่นอนว่ายังคงความอร่อยตามต้นตำรับ เชฟทาเคชิ ชิบาตะ ที่ต้องการนำเสนอขนมหวานซึ่งสวยงามตามตำรับฝรั่งเศส แต่ได้เพิ่มความประณีตและเสน่ห์ของรสชาติตามแบบฉบับญี่ปุ่นลงไป และถ้าสังเกตให้ดีสาขานี้เราจะเจอกับเลข 365 เพื่อเป็นการสื่อว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับความอร่อยในทุกๆ วัน อันเกิดจากการพัฒนาสูตรให้ถูกปากคนไทย ร่วมด้วยบรรยากาศที่ทำให้เราตกหลุมรัก       เริ่มด้วย Chocolate Signature (265 บาท) เค้กช็อกโกแลตสูตรซิกเนเจอร์เนื้อแวววับที่แฝงนุ่มหนึบหอมหวานแถมยังซ่อนเปรี้ยวจากการซุกซ่อนรายละเอียดส่วนผสมไว้ข้างในกว่า 10 อย่าง อาทิ ช็อกโกแลตมูส เค้กวานิลลา พิสตาชิโอครีม แยมราสป์เบอร์รี พราลีนเฮเซลนัต และครัมเบิลกรุบกรอบ     ต่อด้วย Caramel High (135 บาท) เอแคลร์คาราเมลสูตรเด็ดซึ่งเหมือนที่ญี่ปุ่นเป๊ะๆ ชูโรงด้วยความอร่อยของแป้งบางๆ สอดไส้คาราเมลคัสตาร์ดครีมนุ่มๆ บนหน้ามีเนยฝรั่งเศสที่เติมรสชาติความหอมมัน ก่อนตัดรสด้วยเกลือหิมาลายัน     สำหรับคนรักชาเขียวก็ต้อง Matcha Opera (245 บาท) ซึ่งดัดแปลงโอเปราเค้กที่คุ้นเคยกันให้เต็มปากเต็มคำด้วยรสชาติของมัตฉะ โดยมีเจลลีส้มและดาร์กช็อกโกแลตกานาจมาตัดรส หรือจะลอง Mont Blanc (240 บาท) เค้กภูเขาเกาลัดสุดโด่งดังที่หวานละมุนด้วยครีมเกาลัดเนื้อเนียนผสมกับวิปครีมช็อกโกแลตขาวที่อยู่ข้างใน ส่วนฐานด้านล่างยังมีมูสและเค้กช็อกโกแลตร่วมด้วยอัลมอนด์ครีมมาเติมความหอมอีกด้วย       แต่ถ้าชอบรสชาติสดชื่นต้องห้ามพลาด Yuzu Tart (190 บาท) เมนูใหม่ขวัญใจคนไทยที่จัดเต็มความเปรี้ยวหอมของส้มยูซุเน้นๆ ทั้งในรูปแบบเจลลี ครีม และเนื้อส้มที่เข้าคู่กับเปลือกทาร์ตกรอบๆ ได้ลงตัวอย่างที่สุด  

ถ้าถามว่าในช่วงครึ่งปีแรกร้านขนมร้านไหนที่มาแรงที่สุด คงต้องยกตำแหน่งให้กับ ICI (อ่านว่า อิซิ) อย่างไม่มีข้อแม้ เพราะถึงตอนนี้เราก็ยังขอแนะนำว่าให้ยกหูหรือส่งข้อความมาจองล่วงหน้ากันก่อน     ยิ่งพอได้รู้ว่า เชฟเปเปอร์ อริสรา จงพาณิช เชฟขนมหวานคนเก่งแห่ง Issaya Siamese Club คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความอร่อยเราก็หายสงสัย แต่ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ อีกด้านหนึ่งของเชฟคนเก่งยังเป็นศิลปินที่ชื่นชอบความน่ารักของสีสันและลวดลาย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้สะท้อนผ่านลายกราฟฟิครอบๆ ร้าน และหน้าตาขนมที่ชวนให้หยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพประทับใจ       เริ่มกันด้วย Monsieur Religieux ขนมตัวเอกที่แม้แต่โมนาลิซ่าประจำร้านยังต้องถือไว้ในมือ ซึ่งความน่ารักเกิดจากการนำชูว์ครีม 2 ชิ้น 2 ขนาดเรียงต่อกัน ก่อนจะสวมด้วยหมวกช็อกโกแลตปีกกว้างจนเหมือนซินญอร์ที่ภายในมีความอร่อยของครีมคาราเมลมาสคาโปน วานิลลา และซอสบัตเตอร์สกอตช์     ตามด้วย Blue Berry Balloon ชีสเค้กเนื้อนุ่มที่ถูกปรุงแต่งให้เหมือนลูกโป่งสีม่วงแวบวับที่ซุกซ่อนครีมเลมอนเนื้อเนียนและบลูเบอร์รี่ปั่นละเอียดรสหวานอมเปรี้ยวไว้ภายใน แถมข้างใต้ยังมีบิสกิตกรุบกรอบให้เคี้ยวเพลินๆ อีกด้วย     ส่วนจานเด็ดยกขอยกให้ Star Fish โดดเด่นด้วยมูสมาสคาโปนรสวานิลลาและกาแฟทำเป็นรูปดาวที่สอดแทรกความหวานอมเปรี้ยวของสับปะรดภูเก็ตกวนมาตัดรส ตกแต่งด้วยมะม่วงหิมพานต์บดละเอียดอีกนิด โฟมขิงพ่วงด้วยเจลลี่มะพร้าวอีกหน่อย พอกินรวมกันจะได้รสสัมผัสใหม่ที่เข้ากันและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ     สำหรับคนรักมาการองก็ห้ามพลาดเลย เพราะที่นี่มีมาการรองหลากสีและรสชาติให้เลือกชิม รสที่เรารักขอยกให้กับ Salted Egg รสครีมไข่เค็มที่แฝงความเข้มข้นของไข่แดงได้อย่างเหมาะเจาะ เช่นเดียวกับหน้าตาที่เหมือนกับไข่เค็มผ่าครึ่งซีก หรือจะเป็น Raspberry Cheesecake มาการองแป้งบางกรอบนุ่มที่โดดเด่นด้วยครีมชีสรสนวลๆ และเปรี้ยวด้วยแยมราสป์เบอร์รี่ และ Peanut Butter มาการองรสเนยถั่วที่แอบน่ารักด้วยเพรซเซลรสเค็มชิ้นเล็กๆ มาให้ตัดรส     แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Butterscotch Milk นมบัตเตอร์สกอตช์รสละมุนที่ได้ไอศกรีมข้าวโพดที่หน้าตาและรสชาติเหมือนข้าวโพดอย่างกับจับวาง ห้ามพลาดเชียวล่ะ!  

ใครชอบกินเนื้อไม่ว่าร้านเนื้อเด็ดๆ จะอยู่ที่ไหนจะต้องตามไปเช็คอินแน่นอน หากพูดถึงร้านสเต็กเฮ้าส์ในโรงแรม แน่นอนว่าต้องมีชื่อ “New york Steakhouse” ของโรงแรมเจดับบลิวแมริออท กรุงเทพ รวมอยู่ด้วย     กว่า 16 ปีที่เปิดให้บริการ ร้านนี้ยังคงครองใจคนที่ชื่นชอบสเต็กอยู่เสมอ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อการเสิร์ฟเมนูสไตล์คลาสสิค เนื้อสเต็กชิ้นใหญ่ๆ ซอสรสชาติที่คุ้นลิ้น และการบริการที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มีลูกค้าทั้งครอบครัว กลุ่มเพื่อนและนักธุรกิจเป็นลูกค้าขาประจำ     ภายในร้านบรรยากาศสุดคลาสสิค ผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาด เก้าอี้หนังตัวใหญ่นั่งสบาย พร้อมการตกแต่งภาพของเมืองนิวยอร์คแขวนอยู่เต็มไปหมด G&C ไปเยือนที่นี่เมื่อนานมาแล้วยังคงจดจำเนื้อสเต็กชิ้นหนาที่ย่างมาสุกแบบกำลังดีได้แบบติดลิ้น ครั้งนี้เราของลองชิมเมนูไฮไลท์ที่เรียกยอดไลค์ของที่นี่ คือ Spice Rubbed Wagyu Tomahawk ออสเตรเลียวากิวโทมาฮอว์คเนื้อติดซี่โครงชิ้นโตหนักกว่า 1.5 กิโลกรัม ย่างสุกแบบปานกลางและมาหั่นเสิร์ฟที่โต๊ะ เนื้อมีกลิ่นหอม นุ่ม เคี้ยวเพลิน เหมาะสำหรับคนที่ชอบเนื้อย่างหอมๆ เต็มปากเต็มคำ แชร์กันหลายคนได้อร่อย       ใครชอบสเต็กจากอเมริกาอย่าง U.S. Prime Beef ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ก็มีให้เลือกสั่งหรือจะลองเมนูคลาสสิคอื่นๆ อย่าง Escargots อบเนยกระเทียม Snow Fish Black Pepper Crusted ปลาหิมะอบเนื้อนุ่มหวาน French Onion Soup ซุปหอมหัวใหญ่         และสุดท้ายก่อนกลับบ้านต้องสั่ง The Chocolate Dream เค้กช็อคโกแลตลาวาอุ่นๆ นุ่มๆ กับเบอร์รีคอมโพตไวน์แดงรสเปรี้ยวหวาน ท๊อปด้วยไอศกรีมวนิลาเย็นๆ แสนจะเข้ากัน     จบมื้อแล้วเก็บไปฝันหวานต่อได้

หรูหราอีกระดับกับคาเฟ่บรรยากาศสวนสวยสไตล์อังกฤษที่หลายคนที่นิยมมานั่งพักผ่อน เพราะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยบวกกับเมนูขนมสไตล์ฝรั่งเศสและเครื่องดื่มรสชาติดีที่ทางร้านครีเอทมาเป็นพิเศษก็ยิ่งดึงดูดสายหวานให้โคจรมาพบกันอย่างคึกคัก แม้ขนมจะเน้นสไตล์ฝรั่งเศสแต่ปรับสูตรให้เข้ากับลิ้นของคนไทย รสชาติไม่หวานมากและทำสดใหม่ทุกวัน         ฮอตสุดยกให้ Signature Chocolate Drink ช็อกโกแลตเข้มข้นผสานนมสดแท้ เติมไซรัปเล็กน้อยรสชาติไม่หวานมากดื่มแล้วสดชื่นเหมาะกับฤดูร้อนทีเดียว         อีกเมนูมาแรงของร้าน Matcha Bomb ดื่มด่ำกับครีมชาเขียวเข้มข้นลูกโตที่ละลายในนมสดอย่างช้าๆ เปลี่ยนความขมติดปลายลิ้นสู่ความหวานฉ่ำและหอมมัน ดื่มละมุนลิ้นจนหยดสุดท้าย       สำหรับเมนูของหวานห้ามพลาด Maracuja เค้กรูปโดมสีเหลืองสดใสได้รสเปรี้ยวอมหวานจากเสาวรสและมูสมะม่วง สัมผัสเนื้อนุ่มละมุนจาก Financier และความหวานกรุบกรอบจากแครกเกอร์อัลมอนด์ แนะนำให้กัดพร้อมกันเพื่อสัมผัสรสชาติที่หลากหลายในคำเดียว  

หลังจากสร้างความอร่อยฉบับแรกที่ร้าน 4 Garcons ไปแล้ว ถึงเวลาที่เชฟแวน อายุษกร จะพาเราไปตีความเรื่องราวแห่งรสชาติในฉบับที่ 2 กับ Second Edition ร้านอาหารแห่งใหม่ในซอยสุขุมวิท 31 ที่เชฟแวนบอกกับเราให้เห็นภาพในทันทีว่าเป็น “โฟกาซงส์ที่ลดอายุลง” และมีบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ด้วยการดึงสเน่ห์ของยุค Mid-Century ทั้งสีสัน รูปทรงเลขาคณิต ลายเส้น มาใช้เป็นกิมมิกในร้าน รวมถึงวอลเปเปอร์ที่บอกเล่าถึงแฟชั่นในสมัยนั้น       ส่วนเมนูอาหาร ยังเป็นแนวโฮมคุ้กกิ้ง กินง่าย  ซึ่งล้วนได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปในที่ต่างๆ ของเชฟแวน โดยเฉพาะเมนูย่างที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ ใช้เตาถ่านให้มีกลิ่นหอม ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและผักออร์แกนิก เสิร์ฟจานใหญ่เพื่อให้แชร์กันได้       มาถึงแล้วต้องลองให้ได้ Grilled Flat Bread with Tomato,Parma ham,feta cheese and eggs ทีมองเผินๆ หน้าตาเหมือนพิซซ่าถาดโต แต่ที่จริงแล้วคือแป้งขนมปัง รีดให้แบน แล้วนำไปย่าง ท็อปด้วยมะเขือเทศ พาร์มาแฮม เฟตาชีส และไข่เยิ้มๆ แป้งบางกรอบกว่าพิซซ่า กินเพลินๆ ได้หลายชิ้นเลยทีเดียว Grilled Figs in Bacon with Mascapone ลูกฟิกจากราชบุรีห่อด้วยเบคอนย่างจนหอม ด้านล่างเป็นมาสคาโปนครีมชีสราดด้วยซอสเอจบัลซามิกเข้มข้น กินแล้วได้ความหวานอมเปรี้ยวที่เวียนอยู่ในปาก คั่นด้วยด้วย Fennel Salad with Lemon Vinaigrette สลัดผักเฟนเนลกับเลมอนวินิเกรตต์ที่กินแล้วสดชื่นดี       ต่อด้วย Bacon Wrapped Grilled Squid ปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ห่อด้วยเบคอนแล้วนำมาย่าง น้ำมันจากเบคอนจะทำให้ปลาหมึกไม่แห้ง และนุ่ม และมีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้น จากนั้นเอาไปผัดกับซอสเบคอนและเวลเปปเปอร์ และอีกเมนูไฮไลต์ Grilled Whole Seabass in Fig Leaves with Chimichurry sauce ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล จานนี้เชฟทำออกมาดีมาก เนื้อปลาหวาน เบา สุกกำลังดี มีกลิ่นหอมที่ได้จากใบฟิก ส่วนคนรักเนื้ออย่าพลาด Striploin Steak เสต็กเนื้อวากิวไทยดรายเอจ 60 วัน นุ่มชุ่มฉ่ำ และได้รสชาติของเนื้อเต็มคำ         ปิดท้ายมื้อด้วยของหวาน Grilled Pineapple with Vanilla and Caramel Sauce สับปะรดย่างราดซอสคาราเมล เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลา โรยอัลมอนด์บด สับปะรดย่างหวานอมเปรี้ยว เนื้อฉ่ำ อร่อยมาก และ Grilled Peaches with Fresh Raspberry Sauce ลูกพีชย่างซอสราสป์เบอร์รี่ที่ขโมยใจเราไปเต็มๆ  

ใครเป็นแฟนตัวยงของ “Gontran Cherrier” (กงทรอง เชอคีเยร์) ร้านเบเกอรีเลื่องชื่อจากฝรั่งเศสไม่ต้องบินข้ามประเทศกันอีกต่อไป เพราะสาขาแรกในเมืองไทยมาเปิดให้ชิมกันแล้วที่ ชั้น G Singha Complex ในสไตล์ร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่บรรยากาศสบายน่านั่ง ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเด่น ทั้งอาหารออลเดย์บรันช์ เบเกอรีสไตล์ฝรั่งเศส และเครื่องดื่มนานาชนิด         นอกจากเมนูสุดฮิตอย่าง “ครัวซองต์” โฮมเมดกรอบนอกนุ่มในสูตรเด็ดของเชฟกงทรอง เชอคีเยร์ ที่ใช้เนยสดแท้จากฝรั่งเศส อบสดใหม่ทุกวันและมีให้เลือกชิมหลากรสชาติ อาทิ เพลน, ช็อกโกแลต, ชา, เมเปิลไซรัป, มัตฉะถั่วแดง และอัลมอนด์ช็อกโกแลต จะห้ามพลาดเป็นอันขาดแล้ว       เราแนะนำให้ลองเมนูคอมฟอร์ตฟู้ด ทั้ง Smoked Duck Breast Salad สลัดอกเป็ดรมควันเนื้อนุ่มราดสตรอว์เบอร์รีวินิแกรต มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสด Spaghetti SAI-OUA รสเผ็ดจัดจ้าน กินแกล้มกับแคปหมูกรอบๆ เข้ากันสุดๆ และ Wagyu Beef Burger Black Bun เบอร์เกอร์เนื้อที่มีทีเด็ดอยู่ที่ครีมชีสพาร์เมซานเยิ้มๆ ที่เข้ากับเนื้อวากิวย่างได้อย่างลงตัว         หากยังพอเหลือพิ้นที่ในกระเพาะ อย่าลืมลองสั่งของหวานอย่าง Fresh Lime Cheesecake มูสชีสเข้มข้น ตัดรสชาติด้วยผิวมะนาวสด หรือ Strawberry Cheesecake ที่มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสดลูกโต แล้วปิดท้ายด้วย Strawberry Frappe รสเปรี้ยวหวานเย็นชื่นใจสักแก้วเป็นอันอิ่มพอดีๆ    

ไม่เพียงแค่ความอร่อยของเมนูอาหารนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ยูโรเปียน และซีฟู้ดที่มีให้เลือกชิมกันละลานตาทั้งแบบบุฟเฟต์และอาลาคาร์ต แต่โซนของหวานและเบเกอรีของห้องอาหาร “Elements” และ “Deli Coffee Shop” โรงแรมพูลแมน ภูเก็ต อาร์คาเดีย หาดในทอน ที่ดูแลโดย “เชฟกิตติศักดิ์” Pastry Chef มากฝีมือยังโดนใจเหล่าเบเกอรีเลิฟเวอร์อีกด้วย       เมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมที่มาแล้วต้องชิมคือ Croissants สไตล์ฝรั่งเศส เนื้อเบาฟู กรอบนอกนุ่มใน ที่ใช้เนยคุณภาพดีให้ความหอมมันกลมกล่อม         หากใครชอบของหวานแบบ Plated Desserts เราแนะนำ Chocolate Mousse เข้มข้น ไม่หวานมาก Panna Cotta เนื้อเนียนละมุนลิ้น และ Crème Brulee หวานมันกำลังดี ที่ทุกเมนูมีส่วนผสมของวิปปิงครีมหอมมันที่ทำเอาเรากินเพลินจนหมดแบบไม่รู้ตัว       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

ขอแอบเทใจให้ The Bar Upstairs ไวน์บาร์น้องใหม่ที่อิงแอบอยู่บนชั้น 3 และ 4 (ต้องปีนบันไดขึ้นไป)ของร้านอาหารฝรั่งเศสสุดฮิต Brasserie Cordonnier ในซอยสุขุมวิท 11 กลายเป็นสถานที่นั่งชิลยามเย็นที่น่านั่งที่สุดในเวลานี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหาร บรรยากาศ ไปจนถึงเครื่องดื่มก็ถูกใจเราไปเสียหมด         เชฟเคลมองต์ เฮอร์นานเดซ (Clement Hernandez) เชฟใหญ่ผู้ประจำการความอร่อยของทั้งชั้นบนและล่างเล่าให้เราฟังว่า เมื่อนึกถึงอาหารฝรั่งเศสหลายคนคงนึกถึงความเป็นทางการ อาหารที่มีปริมาณน้อยๆ เรื่อยไปจนถึงขั้นตอนที่ยุ่งยากวุ่นวาย แต่สำหรับที่นี่อาหารฝรั่งเศสจะถูกนำเสนอออกมาให้เข้าใจง่ายขึ้น กินง่ายขึ้น เฉกเช่นกับบรรยากาศที่จำลองความสวยงามของบ้านร้างในโพร์วองซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ขึ้นเรียงราย (ขนาดห้องน้ำยังมีเสียงจิ้งหรีดคลอเบาๆเลย) ที่มาพร้อมไวน์จากทั่วทุกมุมโลกให้เลือกลองจิบกันอย่างไม่รู้เบื่อ       เริ่มเมนูแรกกันด้วย Burgundy Snail (290 บาท) หรือที่เรามักเรียกกันว่า Escargot เมนูตำรับแคว้นเบอร์กันดีที่นำหอยทากมาอบในอุณหภูมิต่ำเป็นเวลา 1 คืนเพื่อให้ได้ความนุ่มและหนึบ แถมยังหอมละมุนไปด้วยส่วนผสมของเนยกระเทียมและพาสลีย์สับ     ก่อนจะเติมความสดชื่นด้วย Beef Tartare (230 บาท) บีฟทาร์ทาร์ที่นำเอาความอร่อยของเนื้อวากิวจากออสเตรเลียมาปรุงรสชาติด้วยเครื่องเทศนานาชนิด เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรุบกรอบให้มากินคู่กัน     ต่อด้วยเมนูชื่อเรียกยาก Croque Minsieur (290 บาท) แต่ความจริงแล้วนี่คือกริลล์แซนวิชแฮมชีสแสนอร่อยชิ้นโตเต็มปากเต็มคำฉ่ำชีสและเข้มข้นเปรี้ยวอมหวานด้วยซอสมอร์เนย์     แต่ถ้ายังไม่จุใจเราก็ขอท้าให้ลอง The Chef’s Picnic (1,700 บาท) ชุดเซ็ตปิกนิกที่ให้คุณได้เลือกของลงตะกร้าตามความพอใจ โดยเริ่มตั้งแต่ โคล์ดคัต ขนมปัง สลัด ผักดอง ชีส เทอร์รีน และของหวาน ซึ่งของเราได้เลือกลอง Dry Sausage ที่ให้รสเค็มๆ มันๆ ตามด้วยขนมปังบาแกตต์ที่มาพร้อมเนยสดสุดอร่อยและแยมส้มผสมแอปเปิลเขียว ส่วนเทอร์รีนประจำวันก็เป็นเทอร์รีนเนื้อเป็ดบดปรุงรสที่ทำให้เราหลงรักจนหมดใจ     แล้วอย่าลืมจิบ Floral Sour (240 บาท) ค็อกเทลที่ได้รสเข้มของเหล้าเบอร์เบินก่อนจะเติมแต่งด้วยความหวานหอมไซรัปคาโมมายด์และรสเปรี้ยวๆ จากส้ม กันด้วยล่ะ  

หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาแบรนด์เบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศสที่อบขนมปังสดใหม่หอมกรุ่นไปทั่วโลกอย่าง “อีริค เคย์เซอร์ (Eric Kayser)” กันดีอยู่แล้ว จากฝรั่งเศสสู่สาขาแรกที่ทองหล่อ ล่าสุด “อีริค เคย์เซอร์” ขยับมาให้ชาวสยามกลางเมืองได้ชิมเบเกอรี่สดใหม่หอมกรุ่นจากเตากับสาขาใหม่ที่สยามดิสคัฟเวอรี่       “อีริค เคย์เซอร์” สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น M มาพร้อมกับรูปโฉมใหม่ในสไตล์ Art Nouveau Colonial ดึงดูดเราด้วยบาร์ที่มีขนมปังฝรั่งเศสละลานตาให้เลือกชิม พร้อมเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่ผสมผสานระหว่างเมนูตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว อาทิ “สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง” และ “ครัวซองต์วากิวเบอร์เกอร์” รวมไปถึงเมนูใหม่ที่มีให้ชิมไม่ซ้ำกันทุกเดือน         มาถึงที่นี่จะพลาดเมนูขึ้นชื่ออย่าง ซิกเนเจอร์ครัวซองต์ (Signature Croissant) ได้อย่างไร เคล็ดลับความอร่อยของอีริค เคย์เซอร์ คือการใช้ยีสและหัวเชื้อออร์แกนิคที่อยู่ในเครื่องเลี้ยงของร้านเท่านั้น รวมไปถึงเนยชั้นดีที่นำเข้าจากต่างประเทศ และแป้งที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ ทำให้ได้ครัวซองต์ที่มีชั้นเลเยอร์สวยงาม กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนยในทุกๆ คำที่กัด       อีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดสำหรับคนรักขนมปังสไตล์ปาริเซียงแท้ๆ นั่นก็คือ บาแกตต์ มงต์ (Baguette Monge) ขนมปังทรงยาวรีปลายแหลมแต่ป่องตรงกลางอันเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน เปลือกนอกหอมกรอบ แต่เนื้อด้านในนุ่มอร่อยเป็นโพรงอากาศตรงกลาง สามารถคืนตัวกลับได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกกดหรือบีบอัด บอกได้คำเดียวว่า นี่แหละ! บาแกตต์ของชาวปาริเซียงแท้ๆ     นอกจากขนมปังและเบเกอรี่ที่มีให้ชิมอย่างจุใจแล้ว สาขานี้ยังหลอกล่อเราด้วยเค้กมูสหน้าตาสวยหวาน (ที่เหมาะกับสาวหวานอย่างเราเป็นที่สุด) กับเมนูใหม่ประจำเดือนกรกฎาคมอย่าง “Bouchée de Roses” (บูเช เดอ โรส) เค้กเนื้อมูสทรงโดมสีชมพูสวยที่ประกอบด้วย 3 ชั้นรสชาติคือ ลิ้นจี่ ราสป์เบอร์รี่ และกลิ่นกุหลาบ โดยจัดวางกลิ่นและรสสัมผัสตามลำดับการรับกลิ่นและรส ทำให้ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งอร่อยยิ่งเพลิน รู้ตัวอีกที...เกลี้ยง     ส่วน Tea Lover อย่าลืมมาดื่มด่ำความสุขกับชุด Afternoon Tea ที่รวมความอร่อยจากเบเกอรี่ชั้นเยี่ยมไว้ในเซ็ตเดียว อาทิเช่น Mini Crab Cake Croissant, Tom Yam Goong Vol au Vent, Passion Fruit Panna Cotta, Mini Mont Blanc ทานคู่กับ Mariage Frères Tea เหมาะสำหรับผ่อนคลายเติมความสดชื่นยามบ่ายเป็นที่สุด     นอกจาก Flagship Store ที่สาขาทองหล่อ และสยามดิสคัฟเวอรี่แล้ว อีริค เคย์เซอร์ยังส่งขนมปังอบสดใหม่ในรูปแบบ Grab and Go ที่สาขาเกสรวิลเลจ และบลูพอร์ต หัวหินอีกด้วย แว่วมาว่าในปีนี้ทางร้านมีโครงการขยายสาขาไปตามคอนโดมิเนียม คอมมิวนิตี้มอลล์ และออฟฟิศใจกลางเมืองเพิ่มเติม เตรียมรับความอร่อยกันได้เลย

เมื่อห้องอาหารฝรั่งเศสสไตล์โมเดิร์นอย่างเดอะ รีเฟล็กซ์ชั่นส์ ทำเมนูมื้อสายวันเสาร์ ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน “Social Saturday Brunch” เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เสิร์ฟเมนูอาหารฝรั่งเศสแบบสั่งทีละจานได้แบบไม่อั้น! มีให้เลือกชิมถึง 27 เมนู   โดยเชฟสาวคนเก่ง “ร็อกซาน แรงจ์” เป็นผู้ปรุงและจัดตกแต่งแบบสวยงามจานต่อจาน G&C ไปชิมมาแล้วอร่อยหลากหลาย มากมายจนเลือกไม่ถูก       กางเมนูแล้วลองเลือกตามประเภทอาหาร เริ่มจาก Amuse Bouche มีทั้งโคนอันเล็กไส้ปูอลาสก้ากับกัวกาโมเล่รสเข้มข้น นอกจากนั้นยังมีอกเป็ดรมควันกับซอสฮอยซิน และทูน่ากับซอสพอนสึ ให้เลือกสั่ง     จากนั้นมาเรียกน้ำย่อยกันต่อด้วย Appetizer หอยเชลล์กับถั่วลันเตาและเพสโต ปลาอามาจิเซียกับแอปเปิ้ลและผักที่ตกแต่งมาได้สวยงาม ซุปเย็นมะเขือเทศกับแฮมไอเบอริโอวางบนขนมปังกรอบที่เมื่อกินด้วยกันแล้วได้รสสดชื่นจนต้องอยากสั่งเพิ่ม ใครที่ชอบหอยนางรมให้ดูที่เมนู Oyster ก่อนเลยเพราะเชฟเสิร์ฟทั้งแบบมาตรฐานพร้อมเครื่องเคียงอย่างเลมอน และกับซอสต่างๆ ให้เลือกชิม     ยังมีเมนูตับห่านซอสเบอร์รี่และล็อบสเตอร์ในซอสเนยหอมๆ ให้สั่งแบบไม่อั้น รวมทั้งปลาแซลมอนและปลาเทอร์บอท แต่ทีเด็ดก็คือ เสต็กเนื้อกวาง นุ่มๆ เสิร์ฟกับแบล็คเบอร์รี่ กะหล่ำปลีสีม่วงและมันฝรั่งยอคคี และยังมีชีส และของหวานให้เลือกอีกหลายชนิด           ลองสั่งทีละเมนูแบบไม่ซ้ำกันมาชิม ได้เห็นการตกแต่งจานอันสวยงามและปราณีต ทำให้มื้อนี้เป็นบรั้นช์ที่พิเศษกว่าเคย

ปีนี้เป็นปีแรกที่บ้านเรามีคู่มือนักกิน มิชลิน ไกด์ กรุงเทพฯ และแน่นอนว่าห้องอาหาร เลอร์ นอร์มังดี   ห้องอาหารฝรั่งเศสที่แรกของกรุงเทพฯ ซึ่งมีอายุ 60 ปี ในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เคยได้รับรางวัลโรงแรมดีเด่นระดับต้นๆ ของโลกต้องไม่พลาดได้ดาวมิชลิน 2 ดาว ซึ่งเป็นดาวที่ได้รับสูงสุดในครั้งนี้ด้วย     ภายในบรรยากาศยังหรูหราเหมือนเดิม เก้าอี้ ผ้าม่าน พรมสีเหลืองและสีทอง เห็นสายน้ำและวิวทิวทัศน์ 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านกระจก ช่วยให้ทั้งสดชื่นและผ่อนคลาย เชฟอาโน ดูนัง โซทีเอร์ หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารชาวฝรั่งเศสผู้ทำให้ห้องอาหารนี้คว้ารางวัลมาจากฝรั่งเศสโดยตรง เคยผ่านงานกับห้องอาหารซึ่งได้รับรางวัลมิชลินและมีชื่อเสียงหลายแห่งก่อนจะมาทำงานที่นี่เพียง 5 ปี     เชฟอาโนพูดคุยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเป็นกันเองว่าอาหารของที่นี่เป็นอาหารฝรั่งเศสคลาสสิก ซึ่งยังรักษาวิธีการทำแบบดั้งเดิม เช่น เคี่ยวซอสกันเป็นวัน และใช้อุปกรณเทคนิคสมัยใหม่น้อยมาก แต่ก็เป็นสไตล์ฝรั่งเศสร่วมสมัยหรือ French Contemporary ที่มีการปรับให้เข้ายุคเข้าสมัย แน่นอนว่าวัตถุดิบเลือกอย่างดีที่สุดและสั่งตรงมาจากฝรั่งเศสตามฤดูกาล   เริ่มต้นด้วยขนมปังที่น่าสนใจคือ ขนมปังซาวด์โดซึ่งใช้ยีสต์หมักตามธรรมชาติอายุ 9 ปี มาทำ กลิ่นหอม เนื้อขนมปังนุ่มกำลังอร่อยกับเนยผสมสาหร่ายที่มีไขมันเนยนุ่ม อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรก Tataki of Choutoro Tuna, Mushroom and Red Onion เนื้อทูน่าหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กจัดวางมาอย่างสวยงาม เนื้อสดนุ่ม กับเห็ดรสหวานตามธรรมชาติ     จานต่อมาเป็นจานซิกเนเจอร์ของเชฟ Sea Urchin and Potato Foam, Champagne Sauce เนื้อหอยเม่นทะเลสดจากฮอกไกโด เนื้อสดนุ่มหวาน ราดครีมรสละมุน โรยคาเวียร์ออสซีตรา รสเค็มมันของคาร์เวียช่วยเสริมรสชาติให้โดดเด่น เมื่อไปสัมผัสกับโฟมมันฝรั่ง เนื้อนุ่มเบา และราดซอสแชมเปญที่ทำจากล็อบเสตอร์ รสครีมมัน จานนี้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติละเอียดอ่อนกลมกล่อมสไตล์คลาสสิกฝรั่งเศสได้อย่างดีเยี่ยม     อาหารจานหลัก Roasted Pigeon, Endive, Pear and Cocoa เนื้อนกพิราบมาจากเมือง Breast ที่มีชื่อเสียง นำมาย่างเสิร์ฟกับผักอองไดฟ์ที่มีรสขมนิดๆ และลูกแพร์หั่นชิ้นบางได้รสหวาน ราดซอสช็อกโกแลตที่มีรสขมนิดๆ จานนี้ส่วนผสมดูขัดแย้งกันแต่อร่อยอย่างเข้ากัน     ของหวาน Lemon Tart Meringue, Citrus Coulis and Confit Zest ไม่หวือหวาแต่อร่อยสไตล์คลาสสิค มีเมอร์แรงค์อยู่บนหน้าและขูดผิวส้มสดนานาชนิดโรยหน้าหอมกรุ่น เนื้อเลมอน ทาร์ตรสเปรี้ยวอมหวาน   จบมื้อมิชลินในบรรยากาศการบริการอย่างอิ่มเอมและประทับใจ   ข้อมูลเพิ่มเติม เปิดบริการ : ทุกวัน (ยกเว้นวันอาทิตย์) 12:00 – 14:00 น. มื้อกลางวัน   ราคา 1,800++ บาท ต่อท่าน (3 คอร์ส) ราคา 2,250++ บาท ต่อท่าน (4 คอร์ส) 19:00 – 22:00 น. มื้อค่ำ พร้อมโชว์บรรเลงเพลงเปียโน ราคา 5,200++ บาท ต่อท่าน (5 คอร์ส) ราคา 6,200++ บาท ต่อท่าน (7 คอร์ส)

แม้จะเปิดมานานกว่า 14 ปี แต่เหล่าคนรักของหวานก็ยังคงแวะเวียนมาชิมความอร่อยที่ “Souffle House” ร้านเบเกอรีสีเหลืองสะดุดตาท้ายซอยตรอกซุงกันไม่ขาดสาย เพราะติดใจ “ซูเฟล่” ขนมสไตล์ฝรั่งเศสสูตรเด็ดที่ทั้งฟู นุ่ม เบา และละลายในปาก ฝีมือเจ้าของร้านที่เรียนจบหลักสูตรทำขนมจากโรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) ซึ่งใช้การอบที่เต็มไปด้วยเทคนิคและเคล็ดลับไม่เหมือนใคร     ด้วยความรักในการทำขนม ซูเฟล่เฮาส์จึงมีเมนูของหวานทีเด็ดอีกมากมาย โดยเฉพาะเค้กนานาชนิดที่เน้นรสชาติหวานน้อย แถมบางเมนูยังไม่มีส่วนผสมของแป้ง จึงเหมาะกับคนรักสุขภาพและสาวๆ ที่กังวลเรื่องน้ำหนัก     สำหรับเมนูยอดนิยมที่เราอยากให้ลองคือ Raspberry Yoghurt Cheese Cake ซอฟต์ชีสเค้กหอมหวานเข้ากับมูสราสพ์เบอร์รีและโยเกิร์ตรสเปรี้ยวที่ทำจากวิปครีมคุณภาพดีกลมกล่อมหอมมัน และ Whitechoc Cheese Cake ซอฟต์ชีสเค้กหน้ามูสไวต์ช็อกโกแลตรสนุ่มนวลที่มีส่วนผสมของวิปครีมชนิดเดียวกัน เพิ่มความกรุบกรอบด้วยโอรีโอ้บดด้านล่างได้อย่างลงตัว        สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

น่าอิจฉาคนไทยที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงปารีสก็มีร้านต้นตำรับทรัฟเฟิลจากฝรั่งเศสมาเปิดอยู่ใจกลางทองหล่อให้ได้ลิ้มชิมกัน     คุณก้อง-กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี พร้อมหุ้นส่วนได้นำร้านอาหารฝรั่งเศส Maison de la Truffe (เมซอง เดอ ลา ทรูฟ) ซึ่งเลื่องชื่อมากว่า 84 ปีมาเปิดสาขาใหม่ในย่านทองหล่อ โดยตกแต่งร้านให้หรูหราสวยงามในบรรยากาศเดียวกับร้านต้นตำรับที่ฝรั่งเศส พร้อมคัดสรรเมนูซิกเนเจอร์ทั้งหมดมาไว้ในเมืองไทย ขณะเดียวกันเชฟโมนาฮา เพรส (Mr. Monara Pres) เชฟใหญ่จากฝรั่งเศสก็บินมากำกับงานครัวด้วยตนเอง พร้อมพัฒนาตำรับพิเศษสำหรับสาขาในเมืองไทยอีกมากมาย     มื้อนี้เชฟจัดอาหารเรียกน้ำย่อยด้วย Beef Carpaccio เนื้อดิบสไลซ์บาง ราดด้วยน้ำซอสรสเปรี้ยวตัดกับรสเค็มของชีสพาร์มิจิอาโน (Parmigiano Cheese) กลมกล่อมด้วยทรัฟเฟิลสไลซ์สดๆ     ตามด้วย Truffled Brie Restaurant บรีชีสจากฝรั่งเศสหอมนุ่มรสละมุน มีไส้เป็นทรัฟเฟิลสดสับหยาบผสมชีสมาสคาร์โปน คลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุงสูตรลับคั่นกลาง ขอบอกว่าเป็นจานที่คนรักชีสห้ามพลาดเด็ดขาด      จานหลักนำเสนอ Risotto with Scampi and Truffle ใช้ข้าวรีซอตโตนำเข้าจากอิตาลีเคี่ยวในชีสหลายชนิดจนนุ่มหอม เสิร์ฟพร้อมกุ้งสด โรยหน้าด้วยทรัฟเฟิล     อีกจาน The Black Melanosporum Truffle Pizza, with Mozzarella Cheese and Rocket Salad พิซซาแป้งบางกรอบเคล้ากับชีสพาร์มิจิอาโน เพิ่มกลิ่นหอมด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล โรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ตและทรัฟเฟิลสด     ของหวานมื้อนี้เชฟภูมิใจเสนอ Vanilla & White Truffle Ice Cream ไอศกรีมโฮมเมดรสวานิลลาทรัฟเฟิล รสหวานมัน หอมกลิ่นวานิลลาและทรัฟเฟิลอบอวลในปาก     อาหารทุกจานสามารถสั่งแบบปกติหรือเพิ่มทรัฟเฟิลสไลซ์ราคาตามน้ำหนักได้ตาม

หลังจากส่งมาการองมาครองหัวใจคนไทยนานกว่า 2 ปี ในที่สุดตำนานของฝรั่งเศสอย่าง Ladurée Salon de Thé (ลาดูเร่ ซาลอง เดอ เต) ต้นตำรับมาการอง เพสตรี และอาหารฝรั่งเศสชื่อดังก็ได้เปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบกลางชั้น M ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้คอนเซ็ปต์และบรรยากาศที่คงความเป็นฝรั่งเศสอย่างเต็มขั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรายละเอียดของการตกแต่งก็ทำให้ที่นี่ไม่ต่างจากร้านชาสุดหรูบนถนนช็องเซลีเซ     เช่นเดียวกับเรื่องของความอร่อยที่ได้ฌ็อง ฟิลลิปป์ ฮาเมลล์ ปาติชิเย่มากฝีมือชาวฝรั่งเศสมารับหน้าที่เป็น Executive Patisserie Chef พร้อมกับนำทีมเชฟสุดแกร่งมาร่วมกันสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษที่แม้หน้าตาจะดูเรียบง่าย แต่ภายในกลับเปี่ยมไปด้วยรายละเอียดของความอร่อย     เริ่มกันด้วย Tuna Tartar ที่ทำรสชาติออกมาได้ตรงใจกับความชอบของคนไทยอย่างที่สุด โดดเด่นด้วยเนื้อทูน่าที่ผ่านการคลุกเคล้าในพริกฝรั่งเศสให้รสเผ็ดปลายลิ้น ก่อนจะเพิ่มความซับซ้อนด้วยรสสดชื่นของเนื้อแตงกวาสับและรสเปรี้ยวนิดๆ จากเนื้อส้มและส้มโอ     ตามด้วย Foie Gras de Canard ตับเป็ดเทอร์รีนเนื้อเนียนนุ่มหอมที่เติมรสหวานละมุนด้วยพิสตาชิโอ 3 สไตล์ ซอส พูเร และมาการอง เสิร์ฟพร้อมชัตเนย์มะม่วงให้รสเปรี้ยวนิดๆ     ส่วนจานหลักเราขอแนะนำ Saumo เมนูยอดนิยมขวัญใจคนไทยกับแซลมอนย่างชิ้นโตหนังกรอบ ที่ผ่านการคลุกเคล้ากับเครื่องเทศของอินเดีย ส่งกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมแครอตรสหวานเคี้ยวกรุบกรอบ     หรือจะมาอร่อยจานโตกับ Vol au Vent เมนูคลาสสิกที่พกพารสชาติอร่อยล้ำของพัฟเพสตรีไส้ไก่ชิ้นใหญ่เห็นเป็นชั้นสวย แถมยังอร่อยเด็ดด้วยซอสเห็ดรสเข้มข้นที่มาราดเสิร์ฟกันถึงโต๊ะ     สำหรับของหวานห้ามพลาด Pain Perdu Laduree เฟรนช์โทสต์สูตรต้นตำรับที่ถึงแม้หน้าตาจะดูเรียบๆ แต่ความอร่อยก็ทำให้เราตกหลุมรัก เพราะขนมปังทั้งนุ่มทั้งหอมเนย...                  ที่สำคัญวิปครีมที่เสิร์ฟมาพร้อมกันก็นุ่มละมุนสุดๆ จนอยากควักหัวใจให้เลย

Soufflé and Me ร้านน่ารักของเชฟสาวหนึ่งเดียวในรายการเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ไก่-ธนัญญา ไข่แก้ว บ้านสีขาว 2 ชั้นตกแต่งสไตล์ชนบทของฝรั่งเศส ล้อมรอบด้วยสวนสวยบรรยากาศร่มรื่น มีห้องกระจกประดับด้วยผ้าลายสวยและงานฝีมือจุ๋มจิ๋มที่น่าจะถูกใจสาวๆ     เชฟไก่ตั้งใจทำร้านของหวานบรรยากาศโรแมนติก โดยได้ “ซูเฟล่” เป็นของหวานเด่นของร้าน ซูเฟล่เป็นของหวานฝรั่งเศสทำจากไข่ขาวตีจนฟูเบาแล้วอบ โดยใช้เวลานานประมาณ 20 นาทีเนื้อจึงจะขึ้นฟูสวย เมื่อเราสั่งเมนูนี้จึงมีเวลาเพลินๆ อยู่กับคนรักได้นานขึ้น พออบซูเฟล่เสร็จแล้วก็ต้องทะนุถนอมเพราะบอบบาง จึงตรงกับคอนเซ็ปต์หวานๆ ของร้านนี้     แม้ว่าในครัวจะยุ่งแค่ไหน แต่เราก็เห็นเชฟไก่ออกมาต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นแฟนรายการที่อยากลองชิมอาหารฝีมือเชฟ เราจึงเริ่มด้วยเมนูเบาๆ เรียกน้ำย่อยอย่าง Onsen Egg and Ebiko Salad สลัดไข่ออนเซนที่ต้มไข่ด้วยการซูสวิดที่อุณหภูมิ 62 องศาเซลเซียส เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดโฮมเมดสไตล์ญี่ปุ่น มีท็อปปิงให้ใส่ได้ตามชอบทั้งไข่กุ้ง คาเวียร์ มะกอก และยำสาหร่ายญี่ปุ่น     ต่อด้วยอาหารจานพิเศษของร้านอย่าง Chef Gais Filet Mignon เนื้อสันในห่อเบคอนย่างหรือฟิเลต์มิยอง ใช้เนื้อวัวออสเตรเลียห่อด้วยเบคอนแล้วซูสวิด จากนั้นย่างด้วยถ่านจนหอม เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อนุ่มและซอสรสเข้มข้นที่เคี่ยวจากกระดูกวัว     มาถึงเมนูเด่นของร้านอย่างซูเฟล่ที่มีให้เลือกทั้งคาวและหวาน ที่เราชิมแล้วถูกใจคือ Truffle Soufflé with Mushroom Cream Sauce ซูเฟล่เห็ดทรัฟเฟิลกับครีมซอส เสิร์ฟพร้อมเห็ดรวมผัด เนื้อซูเฟล่นุ่มเบาแต่มีรสเข้มข้นของเห็ดทรัฟเฟิล กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วร้าน     สุดท้ายสาวหวานห้ามพลาดเมนู Chocolate Guanaja Soufflé with Vanilla Ice Cream ซูเฟล่ช็อกโกแลตรสเข้มข้นที่ใช้ช็อกโกแลตแท้ 70 % จากฝรั่งเศส แนะนำให้เจาะซูเฟล่ด้วยช้อนแล้วราดซอส ซูเฟล่อุ่นๆ กินกับไอศกรีมวานิลลาเย็นๆ ฟินอย่าบอกใคร  

จากทำเลที่ตั้งบนชั้นดาดฟ้าของ Mercury Ville ชิดลมก็ทำให้ Roof 409 มีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้จะมีความสูงไม่เท่าที่อื่น แต่วิวของที่นี่ก็ทำให้เห็นถึงความจอแจของผู้คนในย่านธุรกิจ  ขณะเดียวกันก็แฝงความสงบร่มรื่นของถนนหลังสวนเอาไว้ ภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลับแดงวับวาวของรถราตอนช่วงค่ำให้ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับการตกแต่งที่เน้นความเนี้ยบเท่ของโครงเหล็กสีดำตัดกับกระเบื้องสีขาวที่วาดลวดลายของหอไอเฟลให้ดูต่างหน้า ราวกับสื่อว่าอารมณ์ชิวชิวสไตล์บิสโทรฝรั่งเศสเป็นเช่นไร     แม้จะออกตัวว่าเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส แต่เมนูส่วนใหญ่ล้วนคิดค้นขึ้นใหม่ผสมผสานรสชาติตำรับต่างๆ ให้กินง่ายขึ้น จึงอร่อยคุ้นลิ้นกันอย่างแน่นอน     ขอเริ่มต้นด้วยค็อกเทลสูตรซิกเนเจอร์ชื่อน่ารัก Drink Me, I’m Famous เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานจากส่วนผสมของจิน น้ำราสป์เบอร์รี และน้ำมะนาว ได้กลิ่นหอมเย็นจากแตงกวาและผักชี     ตามด้วย Cold Capellini, Konbu & Lumpfish Caviar โคลด์พาสตาเส้นบางเล็กขมวดเป็นคำปรุงในสไตล์ญี่ปุ่นหอมกลิ่นเครื่องเทศและสาหร่ายบางเบา แต่งหน้าด้วยคาเวียร์ชุดใหญ่ให้รสเค็มแบบพอดีๆ     แล้วมาอิ่มไม่ยั้งกับ Pork Cutlet, Parmigiana, Tagliatelles เนื้อหมูสันนอกชิ้นโตชุบเกล็ดขนมปังทอด ท็อปปิงด้วยชีสและมะเขือเทศก่อนอบอีกครั้ง จานนี้เรียกว่าฉ่ำเยิ้มแบบสุดๆ พอหั่นลงไปเห็นชีสยืดๆ สลับชั้นกับความฉ่ำของมะเขือเทศก็ยิ่งรัก แถมยังมาพร้อมกับพาสตาเส้นแบนผัดน้ำมันมะกอกให้กินคู่กันแบบเพลินๆ     ก่อนปิดท้ายมื้ออร่อยด้วย “Paris-Brest”, Choux Pastry and Praline Cream ชูซ์ครีมที่พกพาความหวานตามฉบับฝรั่งเศสมาอย่างเต็มพิกัด จากเนื้อชูซ์ฟูนุ่มที่ซุกซ่อนความหอมหวานของครีมเฮเซลนัตนุ่มละลายในปากพร้อมกับละลายใจในเวลาเดียวกัน