ใครเป็นแฟนคลับอาหารอิตาเลียนเตรียมยิ้มแป้น เพราะ G&C มีร้านอร่อยมาแนะนำ นั่นก็คือ “Emilia Ristorante Italiano” ร้านอาหารอิตาเลียนใจกลางเมืองย่านราชประสงค์ ซึ่งอยู่ในตึก Gaysorn Tower (Bts ชิดลม) งานนี้ทางร้านได้ ‘Crocetta Fabrizio’ เชฟสัญชาติอิตาเลียนฝีมือดี ที่มีประสบการณ์กับร้านมิชลินสตาร์ และฝึกปรือการทำอาหารอิตาเลียนมานานถึง 25 ปี มาเป็นหัวหน้าพ่อครัว และยังครีเอท ปรับปรุงและพัฒนาสูตรอาหารจนเป็นจานที่เพอร์เฟคที่สุด     มาทำความรู้จักกับร้านกันหน่อย ‘เอมิเลีย (Emilia)’ ชื่อนี้มีที่มาจาก ‘เอมีเลีย-โรมานยา (Emilia – Romagna)’ เป็นแคว้นหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเชฟ Crocetta Fabrizio และเป็นพื้นที่การเกษตรตั้งแต่สมัยโรมัน ที่มีความอุดสมบูรณ์ ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennine Mountains) และแม่น้ำโป (Po River) ทั้งยัง เป็นศูนย์รวมวัตถุดิบชั้นยอด อาทิ น้ำส้มสายชูหมัก ชีสพาเมซาน พาร์ม่าแฮม ซอสโบโลเนส ที่ทางร้าน Emilia Ristorante Italiano ใช้รังสรรค์อาหารสุดพิถีพิถัน ที่อร่อยและเรียบง่าย       ถ่ายทอดผ่านบรรยากาศร้านหรูหรา แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยความสบาย กระเบื้องผืนใหญ่สีขาวและดำ เข้ากันดีกับเคาน์เตอร์กว้างที่เบื้องหน้าเป็นครัวขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น และบาร์น้ำขนาดใหญ่สีดำสนิท โต๊ะหินอ่อนสีขาวสะอาด และโซฟากำมะหยี่สีชมพูแชมเปญน่านั่ง ผสานไปกับแสงสีนวลวอร์มที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างโค้งมนสวยงาม และโคมไฟสีส้มยิ่งทำให้ได้ฟิลลิ่งอบอุ่น       ต้อนรับด้วย Pesto Focaccia ขนมปังเพสโตโฮมเมดชิ้นโตๆ เนื้อนุ่มฟู ผิวนอกกรอบเกรียม หอมกลิ่นใบเบซิล อร่อยกินเพลิน เสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอกคุณภาพ หอมกรุ่น และเครื่องปรุงรสยอดนิยมของประเทศอิตาลีอย่าง น้ำส้มสายชูหมัก บัลซามิก รสเปรี้ยวสดชื่น     พร้อมเรียกน้ำย่อยด้วย Burrata Con Pomodorini (260 บาท) ชีสบูราต้า เนยแข็งสดลูกโตๆ ที่ทำมาจากนมวัวคุณภาพ รสครีมมีได้ใจ ล้อมรอบด้วยมะเขือเทศแฮร์ลูม (Heirloom) ที่แช่กับน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น ชุ่มฉ่ำ เหยาะด้วยบัลซามิก ที่หมักมานาน 12 ปี รสเปรี้ยวกลมกล่อมลงไปเล็กน้อยก็อร่อยถูกใจ     Frittura Di Sardine (220 บาท) ปลาซาร์ดีนชั้นดี ทอดอย่างพิถีพิถัน ไม่อมน้ำมันแต่อย่างใด จิ้มกับซอสทาร์ทาร์ รสเปรี้ยวครีมมี Lasagna Al Forno (360 บาท) ลาซานญาหอมกรุ่นน่าลิ้มลอง จานนี้เป็นการรวมตัวระหว่างแผ่นพาสต้าโฮมเมด ไส้กรอกหมูจากประเทศอิตาลี และชีสการ์น่า พาดาโน (Grana Padano) รสเค็มกลมกล่อม และหอมมัน       Tagliolini Al Ragu’ Di Calamari (400 บาท) เส้นตัลยาเตลเลโฮมเมด ผัดพร้อมสตูปลาหมึกรสเข้มข้น ที่ทำมาจากเนื้อปลาหมึกสด ที่ส่งตรงมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหมึกดำ Capelli D’ Angelo Aglio Olio Peperoncino (360 บาท) เส้นสดคาเปลลินีเหนียวนุ่ม เคล้าไปกับ Aop Sauce รสเค็มเล็กๆ เผ็ดจางๆ จากพริกแห้ง หอมกลิ่นกระเทียม       อาหารจานหลักเราเลือกเป็น Branzino Arrostito Con Salsa Al Vino Bianco (580 บาท) ปลากระพงเนื้อสดหวาน ย่างให้หอม ตักกินพร้อมซอสเคเปอร์ ที่มีส่วนผสมของไวน์ขาวชั้นเลิศรสนุ่มนวล ไปด้วยกันได้ดีกับ Funghi Sabbiati (140 บาท) เห็ดกรุบๆ ผัดกับเกล็ดขนมปังกลิ่นแบล็คทรัฟเฟิล     เอาใจสายหวานด้วย Gelato Al’ Tiramisu (200 บาท) ไอศกรีมเจลลาโตโฮมเมดรสกาแฟเข้มข้นกำลังดี ผสานไปกับมูสครีมเนียนนุ่ม รสหอมมัน และขนมปังแผ่นบางๆ Budino Al Caramello (200 บาท) พุดดิ้งเนื้อนุ่มเด้งรสคาราเมลหวานหอม ท็อปด้วยมูสฮาเซนัทเข้มข้น ถูกใจสวีตเลิฟเวอร์เป็นที่สุด เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูงแลดูหรูหราน่าแชะรูปรัวๆ       เครื่องดื่มต้อง Rose Berry (260 บาท) ม็อกเทลสีชมพูแสนสวยนี้ประกอบไปด้วย ชากุหลาบหอมฟุ้ง ไวท์ช็อกโกแลต และไซรัปสตรอว์เบอร์รี และ Mojito Black Tea (260 บาท) ชาดำกลิ่นวานิลลา มิ๊กซ์กับแตงกวาดอง และน้ำตาลอ้อย จิบแล้วชื่นใจ       ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแวะมาซ้ำอีกครั้ง

อิ่มหน่ำสำราญกับอาหารอิตาเลียนท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิกที่ Contento ร้านอาหารอิตาเลียนภายใน โรงสำราญ ที่รีโนเวทตึกเก่าบนถนนไมตรีจิตต์ จนกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ ให้ได้ดื่มด่ำกับความอร่อยในรูปแบบที่หลากหลาย   คุณ อู้-นพปฎล พหลโยธิน ผู้เป็นเจ้าของร้าน  เลือกใช้โทนสีอบอุ่นอย่างสีน้ำตาลเข้มและสีเหลืองนวล รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมแนววินเทจจากทั่วโลกนำมาตกแต่งร้าน เสริมความคลาสสิกยิ่งขึ้นด้วยโคมไฟโทนสีส้มสลัว ทำให้บรรยากาศภายในดูลึกลับน่าค้นหาและโรแมนติกไปในคราวเดียวกัน       เมนูแรก Naked Tomato (320.-) มะเขือเทศราชินีปอกเปลือกนำไปหมักซอสพอนซึของญี่ปุ่น เสริมความหอมมันด้วยชีสสด ยอดผักมิซูนา และขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ได้รสชาติหวานกลมกล่อม กินแล้วสดชื่น หรือเลือกเป็น Mizuna (280.-) ผักมิซูนา ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอก เกลือ กระเทียม ท็อปด้วยแอนโชวี่ แนะนำให้คลุกเคล้ากันก่อนรับประทาน จะได้รสชาติเค็มมัน กินเพลิน       ต่อด้วย Carabineros (56.-) พาสต้าเส้นแบนเหนียวนุ่มกับซอสซีฟู้ดสุดเข้มข้น กินพร้อมเนื้อกุ้งคาราบิเนโร และกุ้งแดงตัวโตจากทะเลน้ำลึกแถบเมดิเตอร์เรเนียน อร่อยลงตัวเป็นที่สุด   Orecchiette (320.-) เส้นพาสต้าคลุกเคล้ากับซอสเพสโต้ ที่มีส่วนผสมของ อิตาเลียนเบซิล น้ำมันมะกอก กระเทียม และพาร์เมซานชีส เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยปลาหมึก และถั่วฝักยาว   Chicken Milanese (520.-) อกไก่ทอดสไตล์มิลานชุบแป้งทอด เนื้อแน่นหนังกรอบ ท็อปด้วยแอนโชวี่ผัดเนยเสิร์ฟมาพร้อมเลมอนและซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน   เมนูเครื่องดื่ม เราแนะนำ Ramon (180.-) เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนมเปรี้ยว น้ำส้มสดและไข่ขาวนำไปปั่นจนขึ้นโฟม ได้รสชาติเบาๆ นวลละมุนลิ้น หอมเตะจมูก และ Butterfly Honey Lemon (160.-) แก้วนี้ได้ความหอมหวานจากน้ำผึ้งผสมผสานมากับความเปรี้ยวจากมะนาว เพิ่มสีสันด้วยน้ำอัญชัญ ดื่มง่ายได้ความสดชื่น  

เป็นเวลากว่า 5 ปีที่ “AKART Bistro & Bar” ร้านอาหารไทย – อิตาเลียนโฮมเมด บนถนนเย็นอากาศ ใจกลางสาทรได้เสิร์ฟความอร่อยต่อเนื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คุณเก๋ - ญาณี องค์วัฒนกุล นักธุรกิจหญิงปราดเปรื่องผู้เป็นเจ้าของ  แถมยังเป็นนักชิมของอร่อยตัวยง เธอมีความตั้งใจอยากเปิดร้านอาหารที่รวมระหว่างอาหารอิตาเลียนที่เธอรัก และอาหารไทยรสเด็ดสูตรลับของคุณยาย โดยเลือกคำว่า “อากาศ” มาตั้งเป็นชื่อร้าน เหตุเพราะเป็นคำที่จำง่าย ทั้งยังสื่อความหมายถึง ‘สิ่งจำเป็นในทุกๆ วันของการดำรงชีวิต’       เสมือนร้าน AKART Bistro & Bar ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ บรรยากาศด้านในอบอุ่น เข้าถึงง่าย พร้อมให้คุณเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยๆ ได้ใน ‘ทุกๆ วัน’ ตัวร้านเป็นบ้านไม้เก่าแก่ 2 ชั้นอายุ 45 ปี ชั้นล่างปรับแต่งเป็นสไตล์ลอฟท์เรียบง่าย พื้นปูนเปลือยไปในธีมเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ไม้คลาสสิก รอบๆ ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สดสวยงาม แลดูมีชีวิตชีวา     ชั้นสองก็น่านั่งใช่ย่อย พื้นไม้สีน้ำตาลเข้ม ผนังไม้สีครีมนวล และสีน้ำเงินสดเข้ากันดี หน้าต่างโดยรอบเป็นกระจกใส มองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น รำไรไปด้วยแสงธรรมชาติที่สาดเข้ามาภายใน ทำให้ร้านสว่างไสวตลอดวัน นอกจากบรรยากาศจะดีแล้วรสชาติเมนูของร้าน ‘อากาศ’ ก็ดีงามไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยรสเลิศสูตรคุณยาย อิตาเลียนฟู้ด ขนมหวานโฮมเมด และเครื่องดื่มสุดสดชื่นที่ทำมาจากวัตถุดิบออร์แกนิก ซึ่งรังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพ       เรียกน้ำย่อยด้วย ยำวุ้นเส้นอากาศอัญชันทะเล (260 บาท) วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม สีม่วงแกมฟ้านี้ได้มาจากดอกอัญชันปลูกเอง คลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้านกำลังดี พร้อมเพลิดเพลินไปกับซีฟู้ดสดเด้งจากมหาชัย อาทิ กุ้งตัวโต ปลาหมึกชิ้นใหญ่ และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวอ้วน     ต่อด้วย ผัดไทยหอยทอดอากาศ (290 บาท) หนึ่งในจานซิกเนเจอร์ของร้าน ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างอาหารสุดป็อปของเมืองไทยอย่าง หอยทอด และผัดไทย เครื่องแน่นๆ จุใจ กินคู่กับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสเปรี้ยวอมหวาน แกมเผ็ดเล็กๆ     หันมาทางฝั่งอาหารอิตาเลียนกันบ้าง ลองชิมเมนูนี้ White Wine Steamed Mussels & French Fries with Truffle Sauce (550 บาท) หอยแมลงภู่สัญชาติฝรั่งเศสเนื้อเด้ง อบพร้อมไวน์ขาว เนยชั้นดี และสมุนไพรต่างๆ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอด และซอสทรัลเฟิล รสครีมมี หอมกรุ่น     Homemade Butterfly Pea Tagliatelle Bacon with A.O.P. (355 บาท) เส้นตัลยาเตลเลโฮมเมดผสมกับสีฟ้าของดอกอัญชัน เข้ากันดีกับซอส A.O.P. หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า ‘Aglio Olio pepper’ ซึ่งทำมาจากน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกแห้ง และเครื่องเทศต่างๆ โรยเบคอนทอดกรอบลงไปด้วย     Akart Pizza Creamy Fettuccine Ham & Mushroom (430 บาท) พิซซาโฮมเมดสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ แป้งบางกรอบ ท็อปด้วยเส้นเฟตตูชินีครีมซอสแฮมเห็ด รสหอมมัน ราดซอสมะเขือเทศเข้ากันดี     Australia’s Roast Rack of Lamb Served with Mixed Grilled Vegetable & Gravy Sauce (1,550 บาท) ซี่โครงแกะชั้นเลิศจากประเทศออสเตรเลีย หมักกับสมุนไพรนานาพันธุ์ จากนั้นย่างจนได้ความสุกกำลังกิน เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น ราดซอสเกรวี่รสเค็มละมุน และเจลลีมิ้นท์รสเปรี้ยวสดชื่น เสิร์ฟพร้อมผักย่าง และมันม่วงบดเนื้อเนียน     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Marian Plum Panna Cotta (250 บาท) พานนาคอตตามะยงชิด รสหอมมันผสานไปกับรสเปรี้ยวอมหวาน บิงซูบัวลอย 5 สี (220 บาท) น้ำแข็งไสสไตล์เกาหลีรสกะทิ เข้าปากพร้อมแป้งบัวลอยปั้นมือเนื้อนุ่มหนึบ กินเพลิน สีสันสดใส ราดน้ำกะทิเพื่อเพิ่มรสหวานมันอีกที       เครื่องดื่มต้อง น้ำมะพร้าวอัญชัน (100 บาท) น้ำมะพร้าวสดชื่น ผสมกับน้ำอัญชันสีสวย ตกแต่งด้วยสายไหมสีชมพูคิวท์ๆ น่าแชะรูปเป็นที่สุด  

ณ โครงการ Yarden ถนนเย็นอากาศ มีบ้านเก่าหลังงามที่มีอายุกว่า 90 ปีชื่อ  “Akart Day” เป็นร้านกาแฟที่เสิร์ฟบรัชน์สไตล์โฮมเมดเคียงข้าง AKART Bistro & Bar ร้านอาหารไทย และอิตาเลียน ซึ่งทั้ง 2 ก่อตั้งโดย ‘คุณเก๋ - ญาณี องค์วัฒนกุล ฟู้ดดี้นักชิมของอร่อยตัวจริง     จุดเริ่มต้นของ ‘อากาศ เดย์’ มาจากการที่คุณเก๋ถูกใจบ้านเก่าหลังนี้ ซึ่งเดิมทีเป็นที่พักของหม่อมเจ้าหญิงโอภาสจรัสพักตร์พิมล นันทวัน บรรยากาศคลาสสิกทำให้เธอเกิดปิ๊งไอเดียในการเปิดร้านกาแฟขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “Akart Day” ซึ่งคุณเก๋ให้ความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ‘Everyday’ ที่คุณสามารถกินมื้อสายแสนอร่อย จิบคู่ไปกับกาแฟแก้วโปรดในฟิลอบอุ่นสไตล์บ้านเพื่อน ‘ทุกๆ วัน’ในร้านแห่งนี้     บ้านเก่าแก่สไตล์วิคตอเรียนหลังน้อยที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี คุณเก๋คงโครงสร้างอันสวยงามเอาไว้ และรีโนเวทให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พื้นบ้านสีน้ำตาลอบอุ่น เข้ากันกับผนังไม้สีเขียวสบายตา ตกด้วยเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจและโมเดิร์ล ที่ผสานสองสไตล์ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว บรรยากาศสบายๆ พร้อมให้ลิ้มลองบรันช์รสชาติดีทำมาจากวัตถุดิบออร์แกนิก ขนมโฮมเมด จากเชฟมืออาชีพ และที่โดดเด่นไปกว่านั้นคือเรื่อง ‘กาแฟ’       กาแฟของ Akart Day ใช้เมล็ดคุณภาพจาก 2 ประเทศ ได้แก่ เมล็ดคั่วเข้มจากเมือง Fazenda Da Lagoa ประเทศบราซิล ซึ่งเป็น Specialty Grade มาเบลนด์กับเมล็ดคั่วอ่อนจากรัฐชาน (Shan State) จนได้เมล็ดกาแฟสูตรลับเฉพาะที่ทางร้านใช้ชื่อว่า ‘Cloudy’ เป็นเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม โดนใจ และ ‘Sunny’ เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่เต็มไปด้วยกลิ่นฟรุตตี้สดชื่น     ประเดิมด้วย Tornado (130 บาท) ครัวซองต์สไตล์ฝรั่งเศส กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ผ่าครึ่งแล้วประกบกับไข่ดาวสุกกำลังดี แฮมฮันนี่รมควันรสเค็มละมุน เมนทอลชีสสไลซ์ครีมมี และผักร็อกเก็ต     Star War (350 บาท) แซนด์วิชชิ้นโตๆ น่ากินเป็นที่สุด ขนมปังฝรั่งเศสโฮมเมด กินพร้อมกับแฮม เบคอนที่เรารัก ชีสคุณภาพ ไข่ดาวยางมะตูม และไข่ดาวน้ำ เสิร์ฟพร้อมซูเปอร์ฟู้ดอย่าง อะโวคาโดราดด้วยซอสมะเขือเทศซัลซาร์รสเปรี้ยวกลมกล่อม     ยังไม่อิ่มสั่ง Burger Barbeque Sauce (320 บาท) ขนมปังบันทำเอง เนื้อนุ่ม เข้ากันดีกับเนื้อแองกัสออสเตรเลียชั้นดี เบคอน และผักสดต่างๆ อาทิ ผักสลัดและมะเขือเทศ เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยซอสบาบีคิวรสเข้มข้น     หรือใครชอบขนมหวานควรลอง Lemon Tart (95 บาท) แป้งทาร์ตกรุบกรอบ ตักกินพร้อมซอสเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวสดชื่น ท็อปด้วยวิปครีมเนื้อนุ่มละมุน     จิบคู่กับ Seven Days (220 บาท) กาแฟเย็นรสกลมกล่อมชื่นใจ ที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มสายพันธุ์พรีเมี่ยมจากเมือง Fazenda Da Lagoa ประเทศบราซิล เบลนด์กับเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจากประเทศพม่า และกะทิอบควันเทียนหอมฟุ้ง กินคู่กับคุกกี้พีแคนกรุบกรอบ     และ Cappuccino (130 บาท) คาปูชิโนร้อนแก้วนี้นุ่มนวลด้วยรสชาติเของเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจาก Shan States ประเทศพม่า  

Beluga Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียน Casual Fine Dining ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยอาหารอิตาเลียนรสชาติเข้มข้น ในบรรยากาศแสนอบอุ่นผสมผสานมากับความอาร์ตสไตล์โมเดิร์น จากภาพวาดบนผนังในร้านที่เขียนโดยศิลปินชื่อดัง       ทางร้านมีเมนูให้เลือกตั้งแต่แบบอะลาคาร์ต คอร์สเมนู และ Chef Table ซึ่งตัวอาหารจะเป็นสูตรอิตาเลียนแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเลือกใช้วัตถุดิบหลากหลายเชื้อชาติมาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นรสชาติเฉพาะของ Beluga รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟมากฝีมืออย่าง Matteo Verini จากเมือง Genoa ประเทศอิตาลี     เริ่มด้วย เมนูเรียกน้ำย่อย Arancini ข้าวริซอตโต้ทอดกรอบสอดไส้แบล็คทรัฟเฟิลและชีส หอมมันกลมกล่อม ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ Seared Hokkaido Scallop  แครอตเพียวเร่เนื้อเนียนกินคู่กับหอยเชลล์ฮอกไกโด ที่ท็อปด้วยเบลูก้าคาเวียร์และเซเลอรีฝอยกรุบกรอบ เพิ่มรสชาติด้วยซอสเพสโต้และซอสเลมอนไทม์       Matteo’s Prawns กุ้งทะเลกับหอมทอดกรอบที่เพิ่มรสชาติด้วยดิปรสจัดจ้าน และ Black Ink Tortelli ทีเด็ดอยู่ที่พาสต้าโฮมเมดทำสดใหม่ สอดไส้เนื้อปลากระพงบด ราดด้วยครีมนมและซอสเพสโต้ รสชาตินุ่มนวลชวนอร่อย       จานหลักที่ไม่ควรพลาด Roasted Pork Tenderloin เนื้อหมูป่าซูวีนุ่มแน่น คลุกเคล้ามาด้วยถั่วพิสตาชิโอกินพร้อมซอสคาราเมลสูตรพิเศษ อร่อยกลมกล่อม     ใครชอบรสจัดจ้านต้องลอง Baked Monkfish เนื้อปลามังค์ฟิชและหอยลายอบ เสิร์ฟมาบนโพเลนต้าปรุงรสด้วยซอสสูตรชาวเมดิเตอร์เรเนียน เข้มข้นได้รสเผ็ดกำลังดี     ตบท้ายด้วย La Cupola มูสกาแฟรสละมุนครอบด้วยโดมช็อกโกแลตสุดเข้มข้น ท็อปด้วยไวน์ช็อกโกแลตมูส กินคู่กับคาราเมลซอลท์เท็ดรสหวานนำ เค็มอ่อนๆ ตัดหวานด้วยเมล็ดกาแฟอิตาเลียน ถูกใจคนรักช็อกโกแลตและกาแฟแน่นอน  

ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด “Mozza by Cocotte” ขยายสาขาที่ 3 มาเอาใจคออาหารอิตาเลียน ณ ชั้น G สยามพารากอนเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสาขานี้เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของทีมงาน Cocotte Farm Roast & Winery สเต๊กเฮ้าส์เลื่องชื่อ และร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียน Pesca Mar & Terra Bistro โดยครั้งนี้มอซซา บาย โคค็อตต์ ได้ เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เชฟมากฝีมือที่ชื่นชอบการปรุงอาหารโดยผสมผสานเทคนิคแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวและรังสรรค์เมนู       ขณะเดียวกันก็มี เชฟซามูเอเล อัลวิซี (Samuele Alvisi) เชฟชาวอิตาเลียน ซึ่งมีประสบการณ์การทำอาหารมานานกว่า 10 ปี ผ่านการทำงานในภัตตาคารระดับ 5 ดาว มาทั่วทั้งตะวันออกกลางและเอเชีย ได้ร่วมกันสร้างสรรค์จานอร่อยสไตล์ชาวอิตาเลียนแท้ๆ ภายใต้แนวคิด "Come La Faceva la Nonna" หรือ “รสมือคุณยาย”  โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่ จากฟาร์มต่าง ๆ ในเครือโครงการหลวง  และผลิตภัณฑ์ที่นําเข้าจากประเทศอิตาลีโดยเฉพาะ อาทิ เนื้อ ชีส หรือ โคล์ดคัท       นอกจากนั้น Mozza by Cocotte ยังมีจุดเด่นเรื่องการใช้ชีสมอสซาเรลลาเป็นส่วนประกอบในเมนูส่วนใหญ่ของร้าน ทั้งสลัด พิซซา หรือพาสตา จึงไม่แปลกที่ชื่อร้านขึ้นต้นด้วยคำว่า “Mozza” ซึ่งเป็นคําย่อของ "มอสซาเรลลา" ชีสยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบนั่นเอง     ประเดิมความอร่อยด้วย Tomato Confit & Balsamic Caramel มะเขือเทศหั่นเป็นแว่นๆ พอดีคำ กงฟีต์จนเนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ ไม่เหม็นเขียวแต่อย่างใด กินกับชีสบูรัตต้าซึ่งผลิตจากน้ำนมควาย และที่มีต้นกำเนิดจากทางใต้ของประเทศอิตาลี และซอสบัลซามิกคาราเมล ได้หอมกลิ่นอ่อนๆ ของคาราเมล รวมแล้วเป็นรสชาติที่ลงตัว มีทั้งความครีมมี และรสเปรี้ยวอมหวาน     สาวกทรัฟเฟิลต้องเทใจให้กับเมนูนี้ Truffle Bruschetta แซนวิชหน้าเปิด ที่ใช้ขนมปังซาวเออร์โดโฮมเมด ซึ่งทำจากข้าวคาร์นาโรลีในแคว้นแวร์เชลลี ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศอิตาลี เนื้อเหนียวนุ่ม เข้ากันได้ดีกับพาร์มาแฮม ที่ทางร้านใช้เวลาหมักอย่างพิถีพิถันนาน 2 ปี ได้รสเค็มกลมกล่อม ท็อปด้วยทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ชนิดที่เรียกว่าเยอะถูกใจ     Seafood Spaghetti สปาเกตตีจานโตๆ ที่ให้คุณสาวเส้นยาวๆ กันไปเพลินๆ พร้อมฟินไปกับซีฟู้ดเนื้อสดเด้ง อาทิ หอยเชลล์ตัวใหญ่ กุ้งย่างเนื้อหวาน และหอยแมลงภู่ตัวอวบอ้วน ปรุงรสด้วยไวน์ขาว และน้ำมันพาร์สลีย์หอมกรุ่น รสเค็มน้อยๆ อร่อยโดนใจ     ไปต่อกันที่ Carpi Salerno พิซซาทำเองสไตล์อิตาเลียนแท้ ร้อนๆ จากเตา แป้งบางกรอบที่ปาดด้วยซอสมะเขือเทศซานมาซาโน่ รสเปรี้ยว ผสานไปกับพาร์มาแฮมโฮมเมด ชีสต่างๆ อาทิ สตราชาเทลลา มอซซาเรลลา ที่ให้ความหอมมัน เข้มข้น มะเขือเทศราชินี และใบเบซิล     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Mozza Lava Cake เค้กช็อกโกแลตลาวา รสเข้มนี้ได้มาจากดาร์กช็อกโกแลต 70% กินคู่กับไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด รสชาติหวานหอม และสลัดผลไม้     อย่ามัวกินเพลินจนลืมเสพบรรยากาศสบายๆ ล่ะ มีชั้นลอยที่เห็นทั้งร้านด้วยนะจะบอกให้

OO PASTA (ดับเบิลโอ พาสต้า) ร้านพาสต้าเส้นสดขนาดกะทัดรัดบนถนนสามเสนที่ตอนนี้กลายเป็น 1 ในร้านพาสต้าคิวแน่นที่ใครๆ ก็อยากมาลองชิมให้ได้สักครั้ง           เชฟผู้อยู่เบื้องหลังร้านนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น เชฟโมน ธีระธาดา เชฟหนุ่มฝีมือดี (เชฟหน้ากากแดงจาก The Next Iron chef season 2) ที่อยากให้ร้านนี้เป็นเหมือนห้องทดลองขนาดเล็ก ที่นี่เราจะได้เห็นทีมเชฟลงมือทำเส้นพาสต้าหลากหลายรูปทรงกันใกล้ๆ ตั้งแต่สปาเกตตีไปจนถึงพาสต้าแบบยัดไส้ เหมือนได้ชมงานคราฟต์ในอีกรูปแบบหนึ่ง         ไม่ใช่แค่เส้นพาสต้าเท่านั้นที่โดดเด่น แต่ซอสทั้ง 12 ชนิดยังออกแบบมาให้จับคู่กันได้ทั้งหมด รองท้องด้วย Grilled Prawn Garlic Butter กุ้งย่างราดซอสการ์ลิคบัตเตอร์สูตรเชฟโมนที่ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล เนื้อกุ้งสดหวานเข้ากับซอสได้ดี ต่อด้วย Gnocchi ญอกกีเนื้อแน่นและหนึบจับคู่กับซอส Rosa ญอกกีเนื้อแน่นและหนึบจับคู่กับซอส Rosa ซอสสีส้มพาสเทลจากมะเขือเทศและปาปริก้า ใส่แซลมอนลงไปด้วย รสเข้มข้นครีมมี่ถูกปาก         ส่วนใครไม่โปรดปรานซอสครีม ลองสั่ง Farfalle พาสต้ารูปโบจับคู่กับซอส Tomato Reduction ที่หลายคนติดใจ โดดเด่นที่รสเปรี้ยวสดชื่นจากมะเขือเทศสด ใส่ไส้กรอกอิตาเลียน จบด้วยกลิ่นหอมจากโหระพา         ปิดท้ายด้วยเส้น Spaghetti ผัดกับซอส Squid ink หรือซอสหมึกดำเสิร์ฟพร้อมกุ้งย่างสีส้มตัดกัน ได้ทั้งกลิ่นหอมและรสทะเลเข้มข้นเต็มคำ       กระซิบอีกนิดว่า ทางร้านรับจองผ่านโทรศัพท์อาทิตย์ต่ออาทิตย์ (หรือ walk-in หน้าร้าน) ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการโทร.จองคือ 14.00 -17.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ทางร้านพักครัวก่อนเข้าสู่มื้อเย็น       จะได้ไม่พลาดความอร่อย

เมื่อร้าน Tables Grill ร้านเก่าแก่ประจำโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ได้โบกมือลาไป ตอนนี้มีร้านน้องใหม่อย่าง Salvia (ซาลเวีย) ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์ออสเตอเรีย (Osteria) แบบอิตาเลียนดั้งเดิมมาให้บริการแทน       ซาลเวีย ในภาษาอิตาเลียนแปลว่าใบเสจ (พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง) ร้านบรรยากาศสบายเสิร์ฟเมนูอิตาเลียนดั้งเดิมรสชาติถูกปากชาวไทย โดยมีหัวหน้าเชฟ โรแบร์โต ปาเรนเตล่า เชฟหนุ่มจากแคว้นปิเยมอนเตเป็นผู้กำกับรสชาติ     Insalata Cesare (250 บาท) สลัดผักโรเมนหรือผักกาดคอสสดกรอบ ราดเดรสซิ่งแองโชวีรสเค็มมัน และชีส Grana Padano รสเค็มมัน     Burrata e pomodori (390 บาท) สลัดชีสบูราต้าจากหัวหิน เนื้อนุ่มครีมมี่ กับมะเขือเทศเชอร์รี่สดๆ จากเชียงใหม่รสหวาน เติมรสเค็มมันลงตัวด้วยมะกอกดำ     พิซซ่าที่นี่ขนาดกำลังดีและราคาก็น่ารัก ต้องลองสั่ง Salsiccia e broccolini (230 บาท) แป้งนุ่มหอมกลิ่นเตาถ่านสไตล์นโปเลียน ใส่บรอกโคลี เบคอน ชีสมอสซาเรลล่าและกอร์กอนโซล่ารสเข้ม     พาสต้าก็เด็ดเพราะเชฟทำเส้นสดเอง ที่แนะนำคือ Spaghetti vongole e acciughe (460 บาท) สปาเก็ตตี้หอยตลับกับไวน์ขาว พริกป่นและเนยแองโชวี ถ้าชอบเส้นเกลียวเคี้ยวหนุบๆ ต้อง Fusilli caserecci al ragù d’ agnello (330 บาท) พาสต้าเส้นเกลียวเหมือนเชือกที่เชฟทำเอง ผัดกับซอสรากูเนื้อแกะที่ตุ๋นช้าๆ จนนุ่มและรสเข้มข้น       ส่วนจานเนื้อ Tagliata di Angus 350 g (1,380 บาท) เสิร์ฟมาบนเตาย่างเล็กๆ ได้กลิ่นหอมของควันจากใบองุ่น เนื้อริบอายแองกัสออสเตรเลียนย่างมาสุกแบบปานกลาง เมื่อสไลด์แล้วเนื้อสีชมพูสวย นุ่ม กินคู่กับผักร็อกเก็ตและมะเขือเทศเชอร์รี่       ของหวานเราก็ไม่อยากให้ข้าม Tiramisu (220 บาท) เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นกาแฟและเหล้าอัลมอนด์อะมาเรตโต (Amaretto) ได้รสชีสมาสคาร์โปนครีมมี่ โรยผงโกโก้และช็อกบอลเม็ดเล็กกรุบกรอบ Crostata di fichi (220 บาท) ทาร์ตลูกฟิก คาราเมลหอมหวาน ลูกฟิกเนื้อนุ่ม เข้ากับอัลมอนด์ครีมและไอศกรีม     เป็นเมนูอิตาเลียนที่อร่อยและคุ้นเคยจนอยากกลับไปกินบ่อยๆ

หากมาถึงเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างพัทยาและมองหาห้องอาหารรสชาติดีที่มีบรรยากาศสุดหรูในราคาที่เข้าถึงได้ แนะนำ Marini Gastrobar ห้องอาหารอิตาเลียนและซีฟู้ดที่ซ่อนตัวอยู่ใน Hotel Vista Pattaya ด้วยจุดเด่นของรสชาติที่ปรุงแบบต้นตำรับจากวัตถุดิบสดใหม่ โดยฝีมือเชฟเปี๊ยกหนุ่มร่างเล็กที่รอบรู้และเปี่ยมด้วยประสบการณ์ด้านอาหารอิตาเลียนมานานหลายปี จะสั่งเมนูไหนรับรองว่าถูกปากถูกใจทั้งนั้น         เริ่มที่ Parmaham Pizza พิซซ่าหน้าตาเรียบง่ายแต่ครองแชมป์ยอดขายในสายพิซซาของร้าน แป้งไม่หนามากกินแล้วไม่หนักท้องเกินไป ปกติพิซซาต้องกินร้อนๆจะฟินมาก แต่ถาดนี้วางทิ้งไว้สักพักก็ไม่เสียรส แป้งยังคงกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งได้ซอสโฮมเมดรสเปรี้ยวตัดรสเค็มนิดๆ ของพาร์มาแฮมก็ยิ่งลงตัว แต่ถ้าชอบความเปรี้ยวสดชื่นอีกระดับก็หยิบจุ่มซอสมะเขือเทศได้เลย       ต่อด้วยจานเด็ดขายดีไม่น้อยหน้าสปาเก็ตตีซอสปู เส้นสปาเก็ตตี้ลวกได้สุดนุ่ม เคี้ยวลื่นคอ ผัดกับซอสปรุงจากน้ำสต๊อกที่เคี่ยวจากเนื้อปูม้าเน้นๆ รสชาติเข้มข้นและหอมมันจากวิปครีม เป็นเมนูที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสดชื่นจากท้องทะเล       ส่วนสายเนื้อห้ามพลาด เนื้อออสโซบูโกเสิร์ฟกับมันบด (Osso Buco) เชฟเลือกใช้เนื้อน่องมาตุ๋น เนื้อไม่เปื่อยมากทำให้เคี้ยวสนุก เพราะทั้งนุ่มและหนึบสู้ฟัน ราดด้วยซอสเกรวีสูตรต้นตำรับอิตาเลียน เสิร์ฟคู่กับมันบดเนื้อเนียน อร่อยเข้ากันที่สุด       ปลาพ็อกล็อคซอสต้มข่า เมนูพิเศษที่อาจไม่มีให้กินทุกวัน แต่ถ้าอยากลองจะร้องขอเชฟดูก็ได้ เชฟใช้ปลาพ็อกล็อค (Alaska Pollock) ซึ่งเป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาค็อด (Cod)  กริลล์พอให้ผิวกรอบแต่รักษาความฉ่ำนุ่มของเนื้อใน จากนั้นราดด้วยซอสเคี่ยวในอุณหภูมิที่พอเหมาะจนได้กลิ่นและรสชาติที่กลมกล่อม มีความครีมมี่นิดๆ ละมุนลิ้น       ถึงคิวของไฮไลท์ห้ามพลาดเพราะเป็นเมนูโปรโมชั่นที่ขายดีจนต้องมีต่อโปรฯ กันยาวๆ ได้แก่ พล่าเนื้อปลา จานนี้เชฟเลือกใช้ปลา Pacific Ocean Perch ส่งตรงจากทะเลอลาสก้า แหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นำมาย่างให้เหลืองหอมคลุกเคล้ากับน้ำพล่ารสจัดจ้าน ตักเข้าปากคำแรกก็แทบหยุดมือไม่ได้       อย่าลืมของหวานทีรามิสุ รสหวานนุ่มละมุนลิ้น ตัดความเลี่ยนด้วยผลไม้รสเปรี้ยวได้อย่างเข้ากัน       หรือจะล้างปากด้วยผลไม้สดหลากชนิดที่เสิร์ฟเป็นชิ้นพอดีคำในผลแก้วมังกรผ่าซีกก็ได้ทั้งความกรอบอร่อยและสดชื่น ถือเป็นการปิดท้ายมื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด       ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวก็แวะมาฟินกับอาหารจานเด็ดแบบนี้ได้ทุกวันที่ Marini Gastrobar

About Eatery ร้านอาหารอิตาเลียนภายในตึกโอเชี่ยน ทาวเวอร์ 2 ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนในย่านอโศก ทั้งหนุ่ม-สาวออฟฟิต และนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี เมื่อมองผ่านกระจกใสหน้าร้านเข้าไปเห็นพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง ซึ่งจัดวางทุกอย่างเป็นสัดส่วน กำแพงอิฐสไตล์ยุโรปเข้าคู่กันกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูแล้วช่างอบอุ่น มีบาร์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยไวน์ละลานตา สเตชั่นทำพาสต้า และครัวเปิดที่ให้คุณได้มองเชฟปรุงอาหารได้อย่างเพลิดเพลิน     เห็นไวน์เยอะแบบนี้ แน่นอนว่าที่นี่เขาโดดเด่นเรื่องไวน์ About Eatery เป็น “ไวน์บาร์ธรรมชาติแห่งแรกในประเทศไทย” เสิร์ฟไวน์ธรรมชาติ (Natural Wines) ทั้งสัญชาติไทยและเทศ ที่ใช้กระบวนการผลิตตามวิถีธรรมชาติแท้ๆ อันได้แก่ เก็บองุ่นด้วยมือ ไม่เติมน้ำตาลสังเคราะห์ ไม่ใช้กรดเปรี้ยว ใช้ยีสต์ธรรมชาติ ทั้งหมดก็เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของไวน์ ซึ่งสะท้อนไปถึงแหล่งที่ปลูกนั้นๆ     แพร์ริ่งไปกับ “พาสต้าเส้นสด” ที่ใครๆ ก็เรียกหา รังสรรค์โดย Gabriele Tozzo Luna เชฟชาวอิตาเลียนมากฝีมือ ผู้ซึ่งฝึกปรือทำพาสต้ามาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ใครต้องการชิมพาสต้าโฮมเมดประเภทไหน ก็สามารถเลือกแล้วรอดูเชฟสร้างสรรค์ได้อย่างถนัดตา หรือหากต้องการไอเดียเรื่องซอสชนิดต่างๆ ทางเชฟ Gabriele ก็สามารถแนะนำได้เช่นกัน       นอกจากนั้น About Eatery ยังมีความพิเศษที่เสิร์ฟ “เมนูตามฤดูกาล” ต่างๆ อีกด้วย โดยร้านจะใช้วัตถุดิบสดใหม่ที่หาได้ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ซีฟู้ด ผักและผลไม้ ผสมผสานไปกับวัตถุดิบหลักจากประเทศอิตาลี อาทิ แป้ง ชีส ไส้กรอก แฮม หรือเนื้อบด ปรุงให้ออกมาเป็นจานที่ดีที่สุด เสิร์ฟให้ลูกค้าประทับใจ เฉกเช่นเมนูคริสมาสต์เหล่านี้     Sauteed Mussels (980++ บาท) ชามนี้สำหรับคนรักหอยโดยเฉพาะ เพราะมีทั้งหอยแมลงภู่ตัวอวบ หอยแครงเนื้อหวาน และหอยเสียบที่ส่งตรงมาจากฮอลแลนด์ ผัดกับกระเทียม พริก น้ำมันมะกอก และผักชีฝรั่ง จนได้รสเค็มหน่อยๆ เผ็ดเล็กๆ หอมกรุ่นกลิ่นสมุนไพร     ไปต่อกันที่ Cotechino with Lentils (980++ บาท)  โกเตชิโน่ หรือที่เรียกกันว่า ไส้กรอกหมูหมักสไตล์อิตาเลียน ทำมาจากหมูบดซึ่งห่อหุ้มด้วยขาหมู เสิร์ฟพร้อมกับถั่วเลนทิลที่ทางร้านนำไปตุ๋นกับเครื่องเทศต่างๆ จนหอมฟุ้ง เมนูนี้ชาวอิตาเลียนนิยมรับประทานกันในช่วงวันขึ้นปีใหม่ เพราะเชื่อว่าหากใครได้ลิ้มลองชีวิตจะมีแต่ความโชคดี     Risotto (790++ บาท) ข้าวริซอตโตเรียงเม็ดสวย เคล้าไปกับฟัวกราส์รสครีมมี และเห็ดมอเรล วัตถุดิบสุดล้ำค่าของเชฟชาวฝรั่งเศส ใครเลิฟเมนูเส้นเราแนะนำ Beetroot Lorighittas Pasta (690++ บาท) พาสตาเส้นสด สีแดงเลือดหมูธรรมชาตินี้ได้มาจากบีตรูต เข้ากันได้ดีกับหอยลายตัวอ้วน และสมุนไพรนานาพันธุ์ รสชาติเผ็ดเล็กๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเฮิร์บส์       ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Panettone (290++ บาท) ขนมปังที่ชาวอิตาเลียนมักรับประทานในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ ภายในเนื้อนุ่มๆ หอมกรุ่นกลิ่นเนยผสานไปกับผิวส้มสดชื่นนั้นเต็มไปด้วยธัญพืชต่างๆ อาทิ อัลมอนด์ ลูกเกด และผลไม้แห้ง กินคู่ไปกับไอศกรีมวานิลลาทำเองรสหวานหอม วิปครีมนุ่มละมุน ซอสช็อกโกแลตรสเข้ม และแอปเปิ้ล     จิบคู่ไปกับ Orange Wine (1,250++ บาท) ไวน์ส้มรสชาตินุ่มนวลจิบเพลิน ฟุ้งไปด้วยกลิ่นของผิวส้ม ลูกพีชแห้ง และแอปริคอท     ฟินทุกเมนูจริงๆ นะขอบอก

L'OLIVA Ristorante Italiano & Wine Bar ร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่ภายในซอยนภาศัพท์ 2 ย่านทองหล่อ ของคุณจูน และ คุณนีน่า แทกทีมกับ Nicolino Pasquini เชฟชาวอิตาลีมากฝีมือ ที่ได้นำสูตรลับแสนอร่อยประจำครอบครัวมารังสรรค์เป็นอาหารอิตาเลียนสไตล์รัสติก ให้ถูกปากคนไทย จับคู่ไปกับไวน์ชั้นดีจากแคว้นอาบรุซโซ ที่เสิร์ฟมาในบรรยากาศเรียบง่ายอบอุ่น เสมือนคุณอยู่ในหมู่บ้านชนบทของประเทศอิตาลีก็ไม่ปาน     บ้านเก่าขนาดใหญ่ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยตึกสูง ด้านหน้าของร้านมี “ต้นมะกอก” สวยงามขนาบข้างทางเข้าไว้คอยต้อนรับ ที่เชฟ Nicolino นำมาปลูกไว้เพื่อระลึกถึงหมู่บ้านผลิตไวน์ในภาคอาบรุซโซที่เขาเติบโตมา ซึ่งมันถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ชนิดนี้ และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อร้าน L'OLIVA อ่านว่า “โลลิวา” แปลว่า ต้นมะกอกนั่นเอง     ผนังนอกบ้านติดด้วยบานกระจกใสแสดงถึงความทันสมัย เมื่อเดินเข้ามาด้านในกลับให้ฟิลลิ่งถึงความโฮมมี ผนังไม้ผสมผสานไปกับปูนเปลือยและอิฐ ถูกแซมด้วยภาพวาดศิลปะเก๋ๆ เสริมด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ซุ้มประตูโค้ง และต้นไม้กระถางในการตกแต่ง ทำให้บรรยากาศปลอดโปร่ง แถมยังมีหลากหลายโซนให้เลือกนั่ง  ทั้งในส่วนของคาเฟ่ Caffe Olive โซนไพรเวทปาร์ตี้ที่บริเวณชั้น 2 และโซนเอ้าท์ดอร์ที่เป็นสวนสวยเขียวขจี       ประเดิมด้วยเมนูคอมฟอร์ดฟู้ดของประเทศอิตาลี อย่าง TIMBALLO ABRUZESSE (420 บาท) ลาซัญญาสูตรดั้งเดิมของแคว้นอาบรุซโซ เส้นพาสตาสี่เหลี่ยมสไตล์โฮมเมด สลับชั้นกับหมูสับ เนื้อสับ มะเขือเทศ และ Scamorza ชีสที่มาจากทางตอนใต้ของชาวอิตาเลียน ทั้งหมดรวมเป็นรสเปรี้ยว ผสานความครีมมีที่เข้มข้น     จานต่อไปเป็น IMPEPATA DI COZZE ALL'ARRABBIATA (550 บาท) หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ตัวอวบอ้วน เนื้อหวาน ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี นำมาผัดกับซอสสไปซีสูตรพิเศษของทางร้าน ได้รสเปรี้ยวสดชื่นจากมะเขือเทศ หอมกรุ่นกลิ่นไวน์ขาว และใบเบซิล     ต่อด้วยเมนูจิกเนเจอร์ MORTADELLA E PISTACCHIO (520 บาท) พิซซาเตาถ่านทำเองหอมๆ ร้อนๆ แป้งบางกรอบที่ถูกทาด้วยซอสครีมซูกีนี และพิททาชิโอ้บด ให้รสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพร โรยหน้าด้วย Mortadella ไส้กรอกอิตาลีสไลซ์บาง และชีสต่างๆ อาทิ ชีสนม Fior di Latte และ ชีสมาสคาร์โปน     ล้างปากด้วย PROFITTEROLE (250 บาท) ครีมพัฟสอดไส้ไอศกรีมวานิลลาทำเอง หอมหวาน ราดซอสช็อกโกแล็ตรสเข้มอุ่นๆ กินคู่ไปกับผลไม้สดตระกูเบอร์รีต่างๆ ได้แก่ สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และราส์ปเบอร์รี รสเปรี้ยวอมหวาน และวิปครีมนุ่มละมุน     กระซิบ อยากมาชิมร้านนี้ต้องบุ๊คก่อน เพราะคิวทองมาก!

ร้านอาหารสำหรับครอบครัวร้านดังที่มีมากกว่า 90 สาขาทั่วเกาหลี สำหรับสาขานี้นอกจากจะเป็นสาขาแรกของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นสาขาแรกในต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งความพิเศษของร้านนี้ที่สามารถครองใจชาวเกาหลีมาอย่างเหนียวแน่นนั้นคงไม่พ้นคอนเซปต์ของอาหารที่เน้นปริมาณให้เหมาะสำหรับอิ่มอร่อยกันทั้งครอบครัว หรือเหมาะกับกลุ่มเพื่อนที่จะมาแชร์ความอร่อยระหว่างกัน       ส่วนบรรยากาศร้านจะมาในโทนสีขาวสะอาดตาคล้ายกับที่เกาหลี พร้อมด้วยเครื่องหมาย & ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการร่วมแบ่งปันรสชาติแสนอร่อยที่ทำกันสดใหม่ในครัว ส่วนสไตล์อาหารก็เป็นอาหารอิตาเลียนในสไตล์ที่ชาวเกาหลีกินกัน และที่สำคัญทุกเมนูจะมีไข่ดาวพ่วงมาด้วย เพื่อรับประกันความอิ่มหนำ     เริ่มกันด้วยชุด HANSANG ที่แปลว่า “ชุดของขวัญ” เซ็ตอาหารจานใหญ่ที่ให้เราเลือกจานหลักอย่างสเต็ก พิซซ่า และฟองดูกุ้งชีส ก่อนจะมาจับคู่ Side Dish อย่าง พาสต้า ริซอตโต และพิลาฟ ที่เราเลือกลองเป็น Shrimp Cheese Fondue ฟองดูชีสกุ้งกระทะร้อนที่อัดแน่นความอร่อยด้วยเบคอน มันฝรั่งปรุงรสหั่นเต๋า และชีส นำไปอบจนได้ที่ ก่อนจะนำกุ้งตัวโตเนื้อแน่นมาผัดซอสรสเผ็ดนิดๆ โรยหน้าอีกครั้งให้ส่งควันฉุย สำหรับวิธีการกินนั้นก็ให้ตักกุ้งพร้อมชีสยืดๆ มาจิ้มกับซอสมะเขือเทศบาร์บีคิว อร่อยเต็มคำ     อีกจานเป็น Bacon Carbonara สปาเก็ตตี้เส้นเหนียวนุ่มในซอสคาร์โบนาราสุดชุ่มฉ่ำที่ทำจากวิปปิงครีมและนม กรุบกรอบหอมมันด้วยเบคอนมาพร้อมกับไข่ดาวยางมะตูมเยิ้มๆ แต่ถ้าใครชอบของทอดเราขอแนะนำ Platter ที่รวมของอร่อยไว้ในจานเดียว อาทิ ปีกไก่บาร์บีคิว กุ้งชุบแป้งทอด ชีสบอล เฟรนซ์ฟราย ขนมปังกระเทียม เสิร์ฟพร้อมคอร์นสลัด ที่เราขอบอกว่าอร่อยทุกอย่าง!       แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วย Jeju Soda น้ำส้มหวานหอมส่งตรงจากเกาะเจจู ประเทศเกาหลีที่นำมาผสมโซดาสุดซาบซ่า ดื่มเพลินอย่างที่สุด  

ภายในชั้นใต้ดินของโรงแรมโฮเทล มิวส์ กรุงเทพฯ แห่งถนนหลังสวน เป็นที่ตั้งของ Medici Kitchen & Bar ร้านอาหารอิตาเลียนขนานแท้ ที่เพิ่งรีแบรนด์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม เพิ่มความสว่างให้ร้านแต่ยังคงบรรยากาศโรแมนติก มีไฟสลัวๆ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ตัวร้านตกแต่งผสมผสานระหว่างความหรูหราสไตล์ยุโรปกับความงามของเอเชียในสมัยรัชกาลที่ 5 มีบาร์เครื่องดื่มโดดเด่นพร้อมเสิร์ฟตลอดค่ำคืน        เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร Medici Kitchen & Bar คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากประเทศอิตาลี ผ่านกรรมวิธีที่พิถีพิถันทำให้ได้รสชาติอาหารที่ถูกปากทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ       เริ่มเรียกน้ำย่อยกันเบาๆ ด้วยเมนูสุดคลาสสิค Affettati Formaggi แฮมอิตาเลียน ชีสหลากชนิดชั้นดี ลูกมะกอกและผักดองแบบโฮมเมด เสิร์ฟมาบนถาดไม้ในสไตล์ดั้งเดิมของคนอิตาเลียน รสเค็มมันกินกับขนมปังอุ่นๆ หอมกรุ่น อร่อยถูกใจ     ต่อด้วยจานที่เราโปรดปราน Fritto Misto พาสต้าเส้นสดและกองทัพซีฟู้ด อาทิ กุ้งลายเสือ ปลาหมึก ปูนิ่ม ทอดจนเป็นสีเหลืองทองกรุบกรอบ หอมน่ารับประทาน จิ้มกับซอสทาร์ทาร์โฮมเมด รสหอมมัน เข้ากันลงตัว     Pizza Tartufata พิซซาร้อนๆ จากเตา แป้งหนานุ่มกำลังดีโรยหน้าด้วยชีสคุณภาพ อาทิ ชีสมาสกาโปน ชีสอาสิอาโกมันกลมกล่อม เห็ดพอร์ชินีสดเนื้อหวาน และวัตถุดิบเลอค่าอย่างทรัฟเฟิลหอมกรุ่น อร่อยเต็มคำ     เอาใจคนรักเมนูเส้นด้วย Spaghetti Di Mare เส้นสปาเก็ตตีโฮมเมดผัดพร้อมกุ้งลายเสือ ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยกาบ และซอสมะเขือเทศสดรสเปรี้ยวกำลังดี หอมกลิ่นออริกาโนสุดฟิน กินเพลินๆ     RisottoE Capesante ข้าวรีซอตโตเคี่ยวกับครีม ไวน์และน้ำสต๊อกจากหอยเชลล์จนได้รสเค็มกำลังดี ครีมมี่ๆ ด้านบนวางด้วยหอยเชลล์ย่างสุกได้ที่ เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เพิ่มความหอมกรุ่นด้วยเห็ดทรัฟเฟิล เป็นอัน Perfect!     จานนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน Ravioli Foie Gras ราวิโอลีสอดไส้ฟัวกราส์นุ่มละมุน ราดด้วยซอสครีมเห็ดทรัฟเฟิลครีมมีสุดๆ แถมมีรสเปรี้ยวอมหวานจากลูกมะเดื่อมาช่วยแก้เลี่ยนด้วย     จบมื้อนี้ด้วยของหวานไฮไลท์ Medici Tiramisu ชีสมาสกาโปนหอมมันสลับชั้นกับเลดี้ฟิงเกอร์เนื้อนุ่มชุ่มกาแฟ  ด้านล่างมีซอสช็อกโกแล็ตเข้มข้น ตักกินพร้อมกันทุกเลเยอร์ ถูกใจสวีตเลิฟเวอร์เป็นที่สุด     กระซิบสักนิด วันอังคาร-เสาร์ ค่ำๆ คุณจะได้ดื่มด่ำกับวงโอเปร่าแสนไพเราะฟังแล้วพาให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น!

นอกจากจะมีเบกกิงสตูดิโอสอนทำขนมและเบเกอรีนานาชนิดแล้ว Salon de Ka.Lim” (ซาลง เดอ คาลิม) ยังแบ่งพื้นที่ขนาด 2 คูหาให้กลายเป็นร้านอาหารโฮมเมดสไตล์ยุโรปหรูหราน่านั่งประดับประดาด้วยต้นไม้และดอกไม้สวยงามที่พร้อมต้อนรับเหล่านักชิมที่ผ่านมาเยี่ยมเยือนจังหวัดจันทบุรีด้วยหลากหลายเมนูเด็ดสไตล์ตะวันตกผสานกลิ่นอายเอเชียนที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์         จานเด่นห้ามพลาดของที่นี่มีทั้ง Pasta Old Rose Sauce สปาเกตตีเส้นเหนียวนุ่มคลุกเคล้าครีมซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะของเชฟที่ทำจากคุกกิงครีมคุณภาพดีและกุ้งสดเนื้อเด้ง และ Pizza Set พิซซาหน้าข้าวโพดและชีสมอสซาเรลลาหอมมัน กินกับซอสปลาหมึกผัดเผ็ดสไตล์เกาหลีที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ       ส่วนใครอยากมานั่งชิลละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ เราแนะนำ Iced Chocolate ช็อกโกแลตเย็นเข้มข้นที่มีส่วนผสมของเหรียญ Chocolate Couverture นมสด และวิปปิงครีมรสกลมกล่อม กินคู่ครัวซองต์กรอบนอกนุ่มในสักชิ้นเป็นอันอิ่มกำลังดี  

ในช่วงเย็นที่อากาศและการจราจรไม่เป็นใจแบบนี้ เราอยากชวนทุกคนมาหลบฝนตกรถติด (หนัก) พร้อมนั่งชิลละเลียดมื้อค่ำรสเลิศในสไตล์เฟรนช์-อิตาเลียนที่ Blend Bistro & Wine Bar” ที่ขยับขยายมาปักหลักร้านใหม่ที่ชั้นล่างของ Somerset Maison Asoke ซอยสุขุมวิท 23 พร้อมบรรยากาศเป็นส่วนตัวในพื้นที่กว้างขวางนั่งสบายยิ่งขึ้น         นอกจากโซนบาร์ที่พร้อมเสิร์ฟคอกเทลและไวน์ระดับคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว หลากหลายเมนูเด่นที่รังสรรค์โดยเชฟ Laurent Scire ยังอร่อยห้ามพลาดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจานกินเล่น (แต่อิ่มเพลิน) อย่าง Wild Burgundy Snails หอยทากอบกระเทียมและเนยหอมพาสลีย์ และ Fried Soft Shell Crab Salad สลัดปูนิ่มทอดกรอบราดน้ำสลัดคอกเทลสูตรเด็ด       สำหรับคนรักพาสต้า เราแนะนำ Fettuccine Black Truffle & Spicy Italian Sausage เส้นเฟตตูชินีเหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้าซอสแบล็กทรัฟเฟิลและไส้กรอกอิตาเลียน ส่วนสาวๆ ที่อยากอิ่มแบบเฮลต์ตียิ่งขึ้นต้องลอง Tasmanian Salmon แซลมอนย่างกับเคเฟอร์ มะเขือเทศเชอร์รี และซอสลอบสเตอร์สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียนนุ่มลิ้น       ที่สำคัญ Blend Bistro & Wine Bar รูปโฉมใหม่นี้มาพร้อมเมนูเด็ดอย่างพิซซาหลากหลายชนิด เราชอบ Cheese Passion พิซซาซิกเนเจอร์หน้ารวมชีส 4 ชนิด ทั้งมอสซาเรลลา กอร์กอนโซลา บรี และพาร์เมซาน (แถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชันพิซซาทุกหน้า ลด 30 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันจันทร์ เวลา 16.00 – 23.00 น.อีกด้วย)     แล้วอย่าลืมปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยของหวานอย่าง Warm Apple Tart ทาร์ตแอปเปิลเสิร์ฟอุ่นๆ พร้อมไอศกรีมวานิลลามาดากัสการ์ที่บอกเลยว่าควรค่าแก่การเก็บพื้นที่ในท้องไว้รออย่างแน่นอน  

สำหรับคนที่หลงรักรสชาติอาหารแบบอิตาเลียนแท้คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านเก่าแก่อย่าง Rossano’s Italian Cuisine ที่แรกเริ่มเดิมทีเป็นที่รู้จักในชื่อ L’Opera ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่เก่าแก่ที่สุดในบ้านเราแห่งหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาเปิดบ้านหลังใหม่ในซอยสุขุมวิท 21/3 ในชื่อโรซาโน (Rossano’s) ที่ปัจจุบันดูแลโดยคุณ Giorgio Lattuille       เสน่ห์ของที่นี่คงต้องยกให้ความเก่าแต่คลาสสิกตั้งแต่หน้าร้าน ซึ่งแทบเดาไม่ออกเลยว่าเมื่อก้าวพ้นประตูบานใหญ่เราจะถูกดึงเข้าไปในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนอยู่ในคฤหาสน์หลังงามที่โดดเด่นด้วยรายละเอียดด้านในที่ชวนให้นึกถึงเมืองทัสคานี ไม่ว่าจะเป็นโทนสี ปูนเปลือย ซุ้มโค้งและการนำอิฐบล็อกมาใช้ มีบาร์เอาใจคนรักไวน์ และแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว       เมนูทั้งหมดของร้านคิดค้นและการันตีคุณภาพโดยเชฟ Matteo Verini ชาวอิตาเลียน ความพิเศษยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะทุกสองสัปดาห์ยังมีการคิดเมนูพิเศษ (Chef Special) เพิ่มขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้าอีกด้วย อย่างเมนู Rossano’s Selection from Delicious Appetizers Warm and Cold ของเรียกน้ำย่อยที่จัดเสิร์ฟมาเป็นแพลตเตอร์ให้แชร์กันได้เพลินๆ โดยเฉพาะชีสและโคลด์คัตนำเข้า     ตามด้วย Mixed Cheese ชีสสุดพิเศษที่เชฟเลือกให้ 3 ชนิดคือ“Sottocenere al Tartufo”ชีสสัญชาติอิตาเลียนที่โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสนุ่มนวลที่สำคัญหอมจรุงไปด้วยกลิ่นทรัฟเฟิล “Fior d’ Arancio”บลูชีสที่เซอร์ไพรส์เราด้วยกลิ่นหอมจากส้มและ “Testun al Barolo” ชีสที่ผ่านการหมักบ่มในชั้นใต้ดิน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแทรกด้วยเนื้อสัมผัสขององุ่นเคียงมาพร้อมผลไม้สด แครกเกอร์และSpicy Onion Jam     ขยับความจริงจังขึ้นมาอีกนิดกับ Fresh Imported Mussel Sauteed in White Wine and Garlicหอยแมลงภู่อิมพอร์ตตัวโตผัดกับไวน์ขาวและกระเทียม เรียบง่ายแต่รสชาติดี ส่วนคอพาสตารับรองไม่ผิดหวัง ที่นี่มี Special No.4 ราวิโอลีสอดไส้ปลาซีบาสและแซลมอน ผัดกับหอยตลับมะนิลาและหน่อไม้ฝรั่ง ตัวแป้งพาสตาเนื้อหนากำลังดี ไส้แน่นจุใจ ได้กลิ่นอายของท้องทะเลแบบเต็มๆ       ส่วนใครเป็นแฟนคลับของหมูดำแสนอร่อยอยากให้ลอง Special No.5จานนี้เข้มข้นตั้งแต่ตอร์เตลลีนี พาสตาโฮมเมดที่มาพร้อม Patanegra หรือแฮมหมูดำแสนอร่อย เข้ากันกับซอสสุดครีมมี่และกลิ่นหอมจากแบล็กทรัฟเฟิลที่เชฟมาสไลซ์ให้ถึงโต๊ะ ต่อด้วยเมนคอร์ส Lamb Chop - Grilled Australian Lamb Cutlets สเต๊กเนื้อแกะส่วนซี่โครงนาบบนหินร้อนภูเขาไฟที่ทั้งนุ่มและไม่มีกลิ่นสาบกวนใจ       ทิ้งท้ายด้วยของหวานสุดคลาสสิกอย่าง Tiramisu ที่หอมนุ่มชุ่มลิ้น และ Dark Chocolate Demi Sphere คนรักช็อกโกแลตต้องกรี๊ดสุดใจ เพราะนอกจากรสเข้มด้านนอก เมื่อใช้ช้อนตีให้แตกจะพบความละมุนของมูสช็อกโกแลตที่ซุกซ่อนอยู่ กินกับสตรอว์เบอร์รีสดและซอสคาราเมลหอมหวาน       ได้รสชาติอิตาเลียนแบบครบถ้วน

คนรักการกินอาหารอิตาเลียนและงานศิลปะได้ฟินเพราะ มีโอฟู้ดแอนด์อาร์ต Mio Food & Art ร้านใหม่ย่านทองหล่อในซอยสุขุมวิท 53 นี้ จับทั้ง 2 อย่างมารวมไว้ด้วยกัน ด้วยพื้นที่ของร้านแบ่งเป็น 2 ชั้นเหมือนเป็นโชว์รูมขนาดย่อมๆ ที่มีทั้งชิ้นงานศิลปะ ของประดับตกแต่ง โคมไฟและเฟอร์นิเจอร์สวย ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนเรื่อยๆ เลือกสรรโดยคุณอันโตนิโอ มาร์เชลลี เจ้าของร้านชาวอิตาเลียน           ส่วนอาหารได้เชฟมากประสบการณ์อย่างอันโตนิโอ แฟคชิเนติ ชาวเมือง Ponte di Legno (Bescia) ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี มาดูแลความอร่อย จานแรกที่เชฟแนะนำคือ Imported Burrata, Vine Tomatoes, Balsamic Reduction ชีสบูราต้าจากอิตาลีของดีประจำถิ่น ชีสสีขาวก้อนกลมเนื้อนุ่มครีมมี่กินกับมะเขือเทศสดรสหวานสดชื่น ราดด้วยน้ำมันมะกอกอย่างดี รสเปรี้ยวหวานหอมลงตัว     ร้านนี้ใช้โคลคัทสูตรออร์แกนิคส่งตรงจากอิตาลี อย่าง Salame Toscano al Coltello รสเค็มมัน หรือเลือกชนิดที่ชอบก็ได้เชฟจะสไลด์บางๆ จัดใส่ถาดมาให้อย่างสวยงาม แกล้มแตงดองกินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหรือคู่กับไวน์ก็เหมาะ     ส่วนพาสต้าลองสั่งเมนู Paccheri Squid Ink, Garlic, Chili Roasted Octopus พาสต้าทรงกระบอกสีออกดำเพราะผสมน้ำหมึกของปลาหมึกลงไปในแป้ง ผัดกับน้ำมันมะกอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใส่หนวดปลาหมึกยักษ์ที่เชฟนำไปต้มจนนุ่มเคี้ยวมันสะใจ และมะเขือเทศเชอร์รีเพิ่มให้มีรสสดชื่นลงตัว     อีกเมนูที่สายเนื้อห้ามพลาดคือ Costata (Prime Rib 500 gr.) โดยทางร้านได้จับมือกับฟาร์มปศุสัตว์ในภาคอีสานของประเทศไทยสร้างสายพันธุ์พิเศษสำหรับเนื้อ ‘แบล็คแองกัส’ และ ‘ชาร์โรเล่สบีฟสเตียร’ เอจตามแบบฉบับอิตาลีต้นตำรับ ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ เนื้อย่างมาแบบมีเดียมสุกกำลังดี หอมกลิ่นเนื้อชัดเจน เสิร์ฟพร้อมกระเทียมอบและซอสพาร์สลีย์ซัลซาเวร์เด (Salsa Verde)     สุดท้าย Tiramisu ของหวานที่แฟนพันธุ์อาหารอิตาเลียนห้ามพลาด เชฟใช้ชีสมารสคาร์โปนแท้ไม่ผสมครีม ตีกับไข่แดงและน้ำตาลทรายเท่านั้น ฟิงเกอร์เลดี้ชุบด้วยกาแฟผสมกับไวน์มาซาล่าทำให้ได้รสชาติเข้มข้นหวานมันแบบคลาสสิค     ทั้งศิลปะและอาหารทำให้เราได้เจริญตาและเพลิดเพลินเจริญพุงจริงๆ

ขอยกให้เป็นการร่วมงานที่โดนใจคนรักกาแฟและคนรักงานศิลป์อย่างแท้จริง สำหรับ “Craftsman X บ้านอาจารย์ฝรั่ง” คาเฟ่แห่งใหม่ในฝั่งธนฯ ที่ผสานความหอมกรุ่นของกาแฟจาก Craftsman ขวัญใจเหล่าฮิปสเตอร์กับบรรยากาศแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ในบ้านพักอาศัยเมื่อครั้งอดีตของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้อย่างกลมกลืนและลงตัว     แม้จะเริ่มต้นจากความต้องการเปิดแกลเลอรีศิลปะบนชั้น 2 ของศิษย์เก่าชาวศิลปากร แต่เมื่อต้องการปลุกชีวิตและสีสันให้กับอาคารอนุรักษ์ของกรมศิลปากรแห่งนี้ คาเฟ่ในชั้นล่างจึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความร่วมมือของคุณแวว แห่ง Craftsman ที่ตั้งใจพารสชาติละมุนของเมล็ดกาแฟบ้านห้วยห้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากร้านเก่าที่เย็นอากาศมาเติมเต็มความอร่อย       โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ที่หลายคนติดใจอย่าง Hot Honey Latte ลาเต้ร้อนที่ใช้น้ำผึ้งป่าออร์แกนิกเพิ่มความหวานละมุน มาพร้อมรังผึ้งหอมหวาน และ Iced Lemongrass Latte ลาเต้เย็นชื่นใจหอมตะไคร้อ่อนๆ ที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากงาน I+D Style Cafe 2018 มาครองได้อีกด้วย และ Black Coffee Mojito กาแฟโคลด์บริวที่ผสมผสานความหวานของน้ำตาลทรายแดงและความเปรี้ยวจากไซรัปผลไม้ได้อย่างลงตัว         ส่วนคนรักผลไม้ต้องลอง Passion Honey on the Rock เมนูโปรดของครอบครัวเจ้าของร้านที่รวมความอร่อยของเสาวรสสด น้ำผึ้งป่า เกลือซีซอลต์ และเกล็ดน้ำแข็งบด (ตักเข้าปากคพำแรกก็รู้สึกเหมือนกินน้ำแข็งไสหวานเย็นสดชื่นสุดๆ) และ Sparkling Tamarind for Baan Ajarn Farang น้ำมะขามผสมน้ำผึ้งป่าออร์แกนิก เพิ่มความสดชื่นด้วยสปาร์กลิงวอเตอร์ ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้ำมะขามซึ่งเป็นเมนูโปรดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี นั่นเอง       ที่สำคัญที่นี่ยังเพิ่มเมนูอาหารสไตล์อิตาเลียนตอนใต้ (ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์) ให้เราอิ่มยิ่งขึ้น อาทิ Italian Sausage Salad สลัดไส้กรอกอิตาเลียน ที่ปรุงรสง่ายๆ แต่อร่อยไม่ธรรมดาด้วยเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก Seafood Arrabbiata Pasta เส้นลิงกวินีเหนียวนุ่มผัดกับซอสอาราเบียตาเผ็ดนิดๆ หอมออริกาโน มาพร้อมเหล่าอาหารทะเล ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ Grill Lamb Chop with Italian Herb ซี่โครงแกะย่างสมุนไพร เสิร์ฟคู่มันบดที่ทำสดจานต่อจาน และ Aus. Wagyu Steak with Red Wine Sauce สเต๊กวากิวเนื้อนุ่มสุกกำลังดี กินคู่ซอสไวน์แดงสูตรเด็ด           รวมทั้งของหวานที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น Flourless Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง มาพร้อมซอสเบอร์รี และ Apple Strudel ไส้แอปเปิลอัดแน่น เสิร์ฟคู่ไอศกรีมกาแฟ Artisan Blend ที่มีรสชาติไม่ผิดเพี้ยนจากกาแฟจากฝีมือบาริสต้าประจำร้านเลยทีเดียว    

โลล่า บาย โคคอต (LOLA by Cocotte) ร้านอาหารน้องใหม่บรรยากาศสดใสด้วยเรือนกระจกสูงโปร่ง ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจเฟมินีนถูกใจสาวๆ แต่ยังคงความโคซี่และเทรนดี้แบบร้านบิสโทรในเมืองหลวง         อาหารของที่นี่เป็นอิตาเลียนสไตล์นิวยอร์คเราอยากให้คุณเรียกน้ำย่อยด้วยเมนู Fresh Burrata with Tomato Confit & Pesto เมนูดั้งเดิมของอิตาลีที่เสิร์ฟชีสบูราต้าสดกับมะเขือเทศกงฟีในน้ำมันกระเทียมและโรสแมรี่ ราดด้วยซอสเพสโต้และใบโหระพา รสชาติที่เข้มข้นขึ้นของมะเขือเทศทำให้เรารู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที หรือจะลอง Cobb Salad สลัดคลาสสิคอเมริกันใส่ไก่ซูวีเนื้อนุ่ม ชีสกอร์กอนโซล่า เบคอน ข้าวโพด มะเขือเทศ ไข่ต้มและอโวคาโด       ต่อด้วย Truffle Heaven พาสต้าเส้นแบน Tagliatelle ผัดกับเห็ดชิเมจิ ออรินจิและทรัฟเฟิลครีมซอสรสครีมมี่เข้มข้น ราดด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล และโรยทรัฟเฟิลสไลด์ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง     ตามด้วยพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ ส่งตรงมาจากเตาหน้าร้านมีหลายหน้าให้เลือก เราแนะนำ Pizza Ricotta & Mortadella พิซซ่าอบร้อนๆ แป้งหอมกรอบ ซอสรสอร่อยทำจากมะเขือเทศ San Marzano ลูกเรียวยาว ใส่มะเขือเทศกงฟีเพิ่มรสเข้มข้น โรยชีสมอสซาเรลล่าและริคอตต้านุ่มๆ และแฮมมอร์ทาเดลล่าสไลด์ชิ้นใหญ่เต็มคำ หรือถ้าชอบแบบคลาสสิคลองสั่ง Pizza Pepperoni พิซซ่าเปปเปโรนีมาลองดูก็ได้     หากยังไม่อิ่มลองสั่งเมนูสไตล์อเมริกันอย่าง Double “B-C-B” เบอร์เกอร์เนื้อวากิวไส้ดับเบิ้ล สลับชั้นด้วยชีสเชดด้าและเบคอนกรอบ ใส่แยมหอมหัวใหญ่รสหวาน ประกบด้วยเบอร์เกอร์บันเนื้อนุ่มสไตล์โฮมเมด เสิร์ฟกับเฟรนช์ฟรายที่ทอดในน้ำมันเป็ดกรอบนอกนุ่มใน อร่อยแบบไม่เกรงใจแคลอรี่กันไปเลย     มีทเลิฟเวอร์ลองสั่ง Flank Steak ที่มช้เนื้อวากิวย่างมาหอมๆ เสิร์ฟกับสตูว์ผักสไตล์อิตาเลียน ร็อกเก็ตสลัดโรยชีสพาร์เมซาน     ห้ามพลาดของหวานอย่าง Dark Chocolate Mousse รสเข้มข้นโรยช็อกโกแลตครัมเบิล พิตาชิโอคาราเมล และเมนู Lemon Pie ที่เชฟใส่ส้มยูสุลงไปด้วยให้กลิ่นหอมและรสอร่อย           สุดท้ายสั่งค็อกเทลสีสวยหวานมาจิบคู่กับอาหาร สนุกสนานเหมือนอยู่บ้านเพื่อนสาวเลยล่ะ  

ร้านน่ารักตกแต่งสไตล์โฮมมีที่เหมาะนั่งชิล กินอาหาร และจิบเครื่องดื่มเย็นๆ โดยเฉพาะค็อกเทลสุดจี๊ดที่ถือเป็นไฮไลท์ของร้านแถมมีให้เลือกเยอะมากจนอยากแวะกลับมาซ้ำอีกหลายครั้ง ด้านเมนูอาหารปรุงโดยเชฟหนุ่มชาวไทยที่หลงใหลในอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด         เริ่มที่เมนูขายดีพิซซ่าซีฟู้ด พิซซาหน้าเต็มฉ่ำซอสมะเขือเทศเยิ้มๆ ทอปด้วยซีฟู้ดชิ้นโตเต็มคำ พริกยักษ์ย่าง และชีสมอสซาเรลลาอย่างหนา     ซีซาร์สลัด เสิร์ฟความสดของผักสลัด มะเขือเทศ มะกอกดำ โรยขนมปังกรอบ ชีสพาเมซาน เบคอนทอด คลุกเคล้าจนเข้ากันด้วยน้ำสลัดสูตรลับ     สปาเก็ตตีผัดพริกแห้ง สปาเกตตีผัดแห้งไร้ความมันส่วนเกิน ปรุงรสชาติเค็มมันผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวกับส่วนผสมต่างๆ เพิ่มดีกรีความอร่อยคูณสองด้วยไส้กรอกเนื้อแน่นสูตรเฉพาะของร้าน     ช่วงไฮไลท์ของสายดริงค์ยกให้เหล่าค็อกเทลที่คิดค้นโดยมิกซ์โซโลจิสต์ประจำร้าน ตัวเด่น Summer Scent สีส้มสดใสได้รสเปรี้ยวอมหวานจากน้ำเสาวรส สับปะรด และส้ม     Blue Lagoon ซาบซ่าถึงใจด้วยไซรัป Blue Curacao, น้ำมะนาว และโซดา     และที่สุดของคนรักค็อกเทล Margarita สเน่ห์ของความเรียบง่ายที่ครองใจสายดื่มอย่างเรามายาวนานด้วยส่วนผสมของ Tequila, Cointreau และน้ำมะนาว     ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดก็ปักหมุดได้ที่ Margarita