ระเบียงที่เปิดกว้างเห็นชายหาดและผืนน้ำทอดไกลสุดสายตา สะท้อนแสงแดดสีส้มทอประกายในยามเย็น ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับ LUNAR Italian Restaurant ร้านอาหารอิตาเลียนบนชั้น 8 ของโรงแรม Bayphere Hotel Pattaya (เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา) ในเครือ Habitat Hospitality (ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้) เป็นหนึ่งในร้านอาหารอิตาเลียนที่มีบรรยากาศโรแมนติกสุด ๆ ในย่านนี้ บทเพลงบรรเลงเคล้าคลอมา เข้ากับภาพขาวดำสุดคลาสสิกที่ประดับประดาอยู่ทั่วร้าน รวมไปถึงไวน์เซลลาร์ที่อวดโฉมเครื่องดื่มหลากหลายเลเบล ส่วนอีกมุมหนึ่งนั้นเป็นบาร์เครื่องดื่ม คอยให้บริการทั้งซิกเนเจอร์ค็อกเทลและคลาสสิกค็อกเทล เพราะว่าที่นี่ต้องการนำเสนอเมนูอาหารอิตาเลียนขนานแท้ จึงเริ่มต้นด้วยการเสิร์ฟฟอกาเซียที่ร้านอบเอง เนื้อนุ่มส่งกลิ่นหอม เปลี่ยนหน้าขนมปังไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน อย่างเช่นในครั้งนี้ที่ได้ลองหน้ากระเทียมและโรสแมรี มาพร้อมกับน้ำมันมะกอกและบัลซามิก รองท้องพลาง ๆ ก่อนจัดเต็มกับอาหารมื้อหลักอีกหลายอย่าง เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อยกับ Crispy Fried Calamari ปลาหมึกชุบแป้งทอดกรอบ กับผงซีซั่นนิงสูตรลับเฉพาะที่ผสมผสานไปด้วยเครื่องเทศนับสิบชนิด เช่น ผงหอม ผงกระเทียม ผงหอม และผงปาปริก้า กินคู่กับซอสการ์ลิกอัลยอลี Bruschetta ชีสบูราต้าจับคู่มากับสลัดมะเขือเทศและหอมแดง พาเมซานกรอบ ราดซอสบัลซามิก และท็อปด้วยคาร์เวียร์บัลซามิก Cured Meats โคลด์คัทสไตล์อิตาเลียนที่ประกอบไปด้วย พาร์มาแฮม สไปซี่ซาลามี และคอปป้าแฮมซึ่งทำจากสันคอหมู กินคู่กับผักดองและซาวร์โด ต่อกับอาหารเส้นด้วยเมนู Tortellini Spinach & Ricotta เมนูแพนเซตต้าหรือเบคอนรมควันในครีมซอสที่ใกล้เคียงกับคาโบนารา หอมกลิ่นรมควันของตัวแพนเซตต้าทันทีที่เข้าปาก ส่วนตัวเส้นสีเขียวทำจากแป้งผักโขมสอดไส้ชีสรีคอตต้าที่เพิ่มความนุ่มนวลให้กับจานนี้อย่างทวีคูณ จานต่อมาเป็น Salmon Steak สเต๊กปลาแซลมอนเสิร์ฟคู่กับผักโขมซอเต้ และซอสมะเขือเทศซัลซา ให้รสหวานอมเปรี้ยว แฝงด้วยความสดชื่นที่ช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างสมดุล Grilled Pork Chop พอร์กช็อปชิ้นใหญ่ ที่ร้านนำไปแช่น้ำเกลือและสมุนไพรราว ๆ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะนำไปย่างแล้วเข้าเตาอบอีกรอบ ทำให้เนื้อมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง ที่เคียงกันมาคือเห็ดพอเทอร์เบลโลสอดไส้ด้วยผักโขมอมชีส แพนเซตต้าซอสครีมกระเทียม หน่อไม้ฝรั่งและมะเขือเทศเชอร์รี่ ของหวานจานแรกเริ่มต้นด้วย Profiteroles หวานละมุนด้วยแป้งชูส์สอดไส้ไอศกรีมวานิลลา ราดช็อกโกแลตซอสและฮาเซลนัทคารามาไลซ์ แล้วปิดท้ายด้วยขนมสัญชาติอิตาเลียนแท้ ๆ อย่าง Italian Tiramisu ในแก้วเซรามิก ด้านล่างเป็นเลดี้ฟิงเกอร์ราดด้วยช็อตกาแฟและโปะด้วยชั้นครีมก่อนจะโรยผงโกโก้และช็อกโกแลตสุดเข้มข้นไว้ด้านบน ปิดท้ายมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ

ภายในซอยสุขุมวิท 27 Enoteca Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียนรุ่นบุกเบิกของเมืองกรุง การันตีความอร่อยด้วยดาวมิชลิน พร้อมต้อนรับเราอีกครั้งกับบรรยากาศโฮมมีๆ ในบ้านหลังเก่าสุดคลาสสิกที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของความอร่อยอีกเช่นเคย และเพื่อยกระดับประสบการณ์การกินอาหารมื้อนี้ให้เพิ่มไปอีกขั้น แนะนำให้สั่งไวน์มาแพริงควบคู่ไปในแต่ละคอร์ส เนื่องจากคำว่า Enoteca มีความหมายว่า Wine Library หรือหอสมุดไวน์ ทำให้ที่นี่มีไวน์เลิศรสหลากสไตล์วางเรียงรายทั่วทุกมุมห้อง เพื่อรอรินให้ทุกคนได้ดื่มด่ำไปพร้อมอาหารค่ำได้ตลอดคืน การที่เข้ามานั่งในร้านนี้ทำให้เราลืมชีวิตที่วุ่นวายในเมืองด้วยการปล่อยให้ตัวเองประหลาดใจไปกับ 5 คอร์สเมนูสุดสร้างสรรค์จากเชฟ Stefano ที่มอบประสบการณ์การกินอาหารอิตาเลียนแท้ๆ แบบประทับใจไม่รู้จบ เริ่มมื้อนี้ด้วย Langustine กุ้งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนย่างซอสสูตรพิเศษ หอมกลิ่นสโมก ท็อปด้วยปลาหมึกสไลด์บาง มะเขือเทศย่าง และใบยี่หร่า ต่อด้วย Trotelloni Macarpone ทอร์เทลลินีสอดไส้ชีสมาสคาร์โปเน แนะนำให้กินในคำเดียว จะได้ความครีมมี่ที่ระเบิดออกมาพร้อมความหอมมันจากชีส Ravioli Faraona e Foie Gras ราวิโอลีไส้ฟัวกราส์และไก่ต๊อกจากอิตาลี ราดด้วยซอสที่ทำจากชีสผสมทรัฟเฟิลดำ ให้รสเค็มนัว จานหลักห้ามพลาดคือ Wagyu Lamb Striploin แกะเนื้อนุ่มราดซอสรากูต์รสเข้มข้น จบท้ายด้วยของหวานอย่าง Coffee Crème Brûlée ได้รสหวานละมุนลิ้น หอมกลิ่นกาแฟ และ Fondenta al Cioccolato con Croccante alle Nocciole ช็อกโกแลตเข้มข้น ปิดมื้อนี้ได้อย่างประทับใจ

ใครเป็นแฟนคลับ Station เส้นสด ร้านพาสตาเส้นสดออนไลน์ต้องชอบใจ เมื่อรู้ว่าเชฟเปิดหน้าร้านให้สายฟู้ดอย่างเราได้ตามไปเช็คอินกันถึงที่ ตัวร้านตั้งอยู่ในซอยเพชรเกษม 4 (ชาวฝั่งธนฯ กดไลค์) เพลิดเพลินกับบรรยากาศเรียบง่ายให้ความเป็นส่วนตัว ผนังด้านหลังเป็นภาพวิวเพนท์มือของเมืองเวนิสสีสดใส เข้ากันดีกับเฟอร์นิเจอร์โทนสีขาว-เทาสบายตา ในด้านอาหารทุกจานรังสรรค์โดยเชฟต้นหอม – เชฟต็อน ศิษย์เก่าคนเก่งแห่งวิทยาลัยดุสิตธานี ที่ผ่านการทำงานจากโรงแรม 5 ดาวชื่อดังมากมาย ก่อนสานฝันมาเปิดร้านพาสตาโฮมเมดเป็นของตนเอง จุดเด่นของร้านแน่นอนว่าต้องเป็นเส้นพาสตาโฮมเมดที่ให้สัมผัสเหนียวนุ่ม ร่วมกับวัตถุดิบคุณภาพที่ทางร้านคัดสรรมาจากชาวเลจังหวัดสมุทรสาคร สั่งของเรียกน้ำย่อยกันก่อน Chicken Lollipop with Ebiko Mayo ปีกไก่ขนาดกลางเลาะกระดูกให้กินง่าย ทอดหอมๆ ร้อนจี๋จนได้หนังกรอบๆ ภายในยังคงนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมซอสครีมไข่กุ้งรสนุ่มนวล ตามด้วย Squid Ink Mare with Sourdough สลัดซีฟู้ดสดเด้งที่ประกอบด้วยกุ้งตัวโต หอยแมลงภู่เนื้อหวาน ปลาหมึกเนื้อหนึบหนับ เคล้าน้ำซอสรสจัดจ้านที่ทำจากหมึกดำ กินคู่ขนมปังซาวโดวจ์เกรียมๆ Aquapazza Seafood Soup ซุปรสกลมกล่อมที่เป็นการรวมตัวกันของน้ำมะเขือเทศรสเปรี้ยว และน้ำสต๊อกซีฟู้ดรสหวาน เพลิดเพลินกับอาหารทะเลสดเด้งอย่าง ปลาหมึกเคี้ยวเพลิน หอยแมลงภู่ตัวอวบและกุ้งเนื้อหวาน เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมด พบกับซิกเนเจอร์ของทางร้าน Crab agilo ‘e Oilo เฟตตูชินีเส้นสดเหนียวนุ่ม สีเขียวอ่อนน่าหม่ำนี้ได้มาจากใบเบซิลหอมๆ ผัดพร้อมซอสกระเทียมและน้ำมันมะกอกสูตรเฉพาะ ได้รสจัดจ้านและเผ็ดร้อนของพริกสด ทีเด็ดของจานนี้คือปูก้อนชิ้นบิ๊กเบิ้มจากเมืองสมุทรสาคร ต่อด้วย N’duja Cream Sauce with Mantis Shrimp หรือที่แฟนคลับร้านนี้จะรู้จักในชื่อ ‘พาสตากั้ง’ พาสตาโฮมเมดเคล้าซอสครีมนุ่มนวลไม่เลี่ยนแต่อย่างใด มิ๊กซ์กับความเปรี้ยวของมะเขือเทศ และความเผ็ดร้อนจากพริกแห้ง ท็อปด้วยเนื้อกั้งไซส์ใหญ่จากจังหวัดสมุทรสาครเช่นเคย หอมกลิ่นน้ำมันใบโหระพาอ่อนๆ และ Risotto Crab Meat with Spicy Citrus ข้าวริซอตโตเนื้อสัมผัสดี มีความกรุบนิดๆ มิ๊กซ์กับซอสครีมรสหอมมัน ที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นของพืชตระกูลซิตรัส และรสเผ็ดร้อนแรงของพริกแห้ง ใครอยากลิ้มลองต้องจองก่อนนะ

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือประเทศใดต่างก็มีศิลปะเป็นสิ่งจรรโลงจิตใจมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น สำหรับ Coastiera Bangkok แห่งนี้คือ ร้านไฟน์ไดนิงที่หยิบยกอาหารอิตาเลียนมาบรรจบกับงานศิลปะแขนงต่างๆ พร้อมสอดแทรกความสนุกสนานลงไปในทุกอณู ที่ 140 Wireless Building ถนนวิทยุ หากเจาะลึกลงหน่อย Coastiera | Ristorante Italiano คือสถานที่ที่จะนำเสนอความลงตัวของศิลปะหลากรูปแบบที่เราสามารถรับรู้ได้ผ่านสัมผัสทั้ง 5 โดยทางร้านได้ถ่ายทอดออกมาด้วยการสร้างบรรยากาศรอบๆ ด้วยภาพวาด ดนตรี งานดีไซน์ และเมนูอาหาร ซึ่งทุกการพรีเซนต์ทางร้านได้คิดและนำเสนออย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นลูกล้อให้กับผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะอย่างเต็มที่ตั้งแต่ทางเข้าจนกระทั่งลุกออกจากโต๊ะ ส่วนมู้ดแอนด์โทนภายในร้านก็โดดเด่นด้วยกลิ่นอายความเป็นเมดิเตอร์เรเนียน ใช้แสงไฟสลัวสุดโรแมนติกราวกับท้องฟ้าในยามพลบค่ำ ตรงกลางมีบาร์ขนาดใหญ่รายล้อมด้วยโต๊ะที่ไล่เรียงกันไปจนถึงหน้าเวที ซึ่งทุกค่ำคืนจะมีการแสดงดนตรีสดจากนักร้องคุณภาพ ไฮไลต์คือคุณ Tabitha King หนึ่งในผู้เข้าประกวดรายการ Thailand's Got Talent และดีเจคอยเสิร์ฟความบันเทิง ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้ผู้มาเยือนอย่างครบรส สำหรับมื้อดินเนอร์ของ Coastiera จะเป็นอะลาคาร์ต ใช้ศิลปะการปรุงอาหารแบบอิตาเลียนตอนใต้ (Southern Italian) เน้นเสิร์ฟพอชชันใหญ่ให้แชริ่งกันได้ หรือจะจิบค็อกเทลรสเลิศและไวน์พรีเมียมคู่กันไปก็ดีไม่น้อย เปิดต่อมรับรสด้วย Baby Spinach สลัดผักโขมเบบี้ราดซอสบัลซามิกรสเปรี้ยวเล็กน้อย เสริมความหอมมันด้วยเม็ดทับทิม ธัญพืช มะเขือเทศ และชีสวีแกนที่ทำจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นจานที่อร่อยและสดชื่นทีเดียว เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ Cozze Marinara หอยแมลงภู่ผัดซอสรสกลมกล่อม หอมกลิ่นพริก กระเทียม และมะเขือเทศ ต่อด้วย Cappellacci Mediterranei ราวิโอลีสีเหลืองทองสอดไส้ผักโขมและชีสริคอตตา ตัดด้วยสีสันและรสชาติของซอส Pizzaiola ที่ร้านทำเอง กินคู่เนื้อปลากะพงย่าง ได้รสนุ่มนวล มีความครีมมี่เล็กน้อย พาสตาอีกจานเป็น Linguine Scallop ลิงกวินีผัดซอส Aglio e Olio ตำรับอิตาเลียน เส้นมีกลิ่นหอมของกระเทียมและน้ำมันมะกอก แทรกด้วยรสเผ็ดเล็กน้อยจากพริกซอย เพิ่มเท็กซ์เจอร์กรอบด้วยหน่อไม้ฝรั่งเขียว และเสริมโปรตีนด้วยหอยเชลล์สไลซ์ขนาดพอดีคำ มาถึงจานเด็ดห้ามพลาด Su Proceddu หมูหันซาร์ดิเนียย่างจนหนังกรอบ ส่วนเนื้อยังคงความนุ่มชุ่มฉ่ำ เคียงมาด้วยผักย่างให้กินคู่กัน อีกทั้งยังเสิร์ฟจานใหญ่สามารถแชริ่งกันได้ทั่วทั้งโต๊ะ (หรือจะกินคนเดียวโดยไม่แบ่งใครก็ได้ไม่ว่ากัน) จบมื้อนี้ด้วย Delizia Al Limone สปันจ์เค้กเนื้อนุ่มฟู ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากครีม Limoncello หรือครีมที่มีส่วนผสมของเหล้าเลมอนสไตล์อิตาเลียน มีครัมเบิลเพิ่มความกรุบกรับในปาก ด้านในสอดไส้คัสตาร์ดเลมอน รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด

บรรยากาศแดดร่มลมตกในยามเย็นช่างเข้ากันได้ดีกับสวนและพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม รวมถึงโต๊ะอาหาร หน้าจอโปรเจคเตอร์กลางแจ้ง และป้ายสีทองอร่ามเหนือประตูทางเข้าของ Parmi.bkk ร้านอาหารสไตล์นีโออิตาเลียนแห่งใหม่ล่าสุดในซอยปรีดี พนมยงค์ 26 Parmi.bkk เป็นชื่อเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ย่อให้กระชับและเข้าใจง่ายจากคำว่า Parmigiano (พาร์มิจาโน) ซึ่งเป็นชื่อของชีสสัญชาติอิตาเลียน ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งชีส และเมื่อเข้าไปในร้านก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอิตาลีในทุก ๆ ตารางนิ้ว ทั้งขวดไวน์ที่ตั้งวางเรียงราย และภาพวาดหลากสีสันที่ชวนย้อนไปถึงยุคเรอเนสซองต์ จากชื่อร้านก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าพระเอกของร้านนั้นจะเป็นอะไร หลังจากที่เสิร์ฟฟอกาเซีย (Focaccia) สูตรของร้านที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มกว่าฟอกาเซียทั่วไปพอเป็นการเรียกน้ำย่อยแล้ว ก็เข้าสู่จานกินเล่น Parmigiano Toast ขนมปังบริออชโฮมเมดท็อปด้วยชาวร์ครีมหัวหอมและชีสพาร์มิจาโนพูน ๆ เต็มคำ ได้กลิ่นและรสชาติที่เข้มข้นบ่งบอกถึงการบ่มที่ยาวนาน จานกินเล่นต่อมา Truffle Fries นั้นเป็นมันฝรั่งทอดที่ไม่ธรรมดาด้วยท็อปปิ้งที่ประกอบไปด้วยทรัฟเฟิลและชีสพาร์มิจาโนที่สอดแทรกเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ในทุก ๆ คำที่กัดเข้าปาก แถมยังมาพร้อมกล่องที่มีสัญลักษณ์มือจีบแบบอิตาเลียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของร้านด้วย Calamari ก็เป็นอีกเมนูคลาสสิกที่ร้านอาหารตะวันตกมักต้องมี แต่คาลามารีของ Parmi.bkk นั้นไม่ธรรมดาตรงซอสหมึกดำทาร์ทาร์และเลมอนเคิร์ดพูเร ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับหมึกชุบแป้งทอดได้โดยไม่ต้องจิ้มซอสหรือบีบเลมอนให้เปื้อนมือ ด้วยความตั้งใจในการสร้างร้านอาหารอิตาเลียนที่ผสมผสานความเป็นตัวเองและลดกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของร้านอาหารอิตาเลียนลงไป ที่ Parmi.Bkk จึงมีเมนูสไตล์ฟิวชั่นและวัตถุดิบจากท้องถิ่นในเมืองไทยผสมผสานอยู่ไม่น้อย อย่างเช่น Chilli Crab พาสตาเส้นลิงกวินีเสิร์ฟพร้อมปูนิ่มและปูม้าที่ส่งตรงมาจากจันทบุรี มีความเผ็ดสอดแทรกอยู่เล็กน้อยทำให้ไม่เลี่ยน หากใครที่ยังไม่รู้มาก่อน Parmi.bkk แห่งนี้เป็นการเดินทางบทใหม่ของผู้ก่อตั้งโคเจริญ ร้านโอมากาเสะเนื้อไทยในฝั่งธนบุรี ดังนั้นในเรื่องความจริงจังในการใช้เนื้อไทยก็ยังคงติดตัวมาจนถึงร้านนี้ด้วย อย่างที่เห็นในเมนูสเต๊กส่วนสตริปลอยน์นี้ ที่ทางร้านเลือกใช้เนื้อวัวจัสมินวากิวจากขอนแก่นมากริลล์จนได้ความสุกที่พอดี มีความชุ่มฉ่ำด้านใน เสิร์ฟมาคู่กับโบนแมร์โรว์ ไขกระดูกตีรวมกับมันฝรั่งบดและซัลซาเวร์เด หรือซอสเขียวสไตล์อิตาเลียนจนได้กลิ่นมันเนื้อที่แปลกใหม่ เป็นร้านอาหารที่นำเสนออาหารอิตาเลียนในมุมมองใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงความคลาสสิกเหนือกาลเวลาเอาไว้ด้วยเช่นกัน

ตอนนี้หัวมุมซอยพร้อมจิตรในย่านพร้อมพงษ์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากร้านอาหารอิตาเลียนระดับตำนานอย่าง L’Opera ที่เปิดบริการตั้งแต่ปี 1983 นั้นหยุดพักไปช่วงเวลาหนึ่ง ได้กลับมาอีกครั้งภายใต้รูปโฉมใหม่และชื่อใหม่ว่า Opera Italian Restaurant ที่ยังอบอวลไปด้วยความทรงจำเมื่อครั้งอดีต เช่นเดียวกับอาหารแต่ละจานที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอาหารอิตาเลียนคลาสสิก ชูรสชาติของวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน แสงไฟสลัวทั่วร้านเปล่งประกายระยิบระยับรังสรรค์บรรยากาศสุดหรูหราและย้อนยุคไปในคราวเดียวกัน เข้ากับบาร์ครึ่งวงกลม บันไดวน และบรรยางานศิลปะที่อัดแน่นบนฝาผนังจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ในขณะที่อีกมุมหนึ่งนั้นเป็นห้องครัวเปิดที่มองเห็นเชฟและทีมครัวกำลังปรุงอาหารอย่างตั้งใจ บริเวณชั้นสองของร้านก็ไม่น้อยหน้า ด้วยฝาผนังที่เรียงรายด้วยงานศิลปะไม่ต่างกัน แถมยังเรียงสลับไปกับขวดไวน์อีกนับร้อยบนชั้นวางของ ส่วนแสงแดดที่ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามานั้นให้ความอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูร้อนของอิตาลี เริ่มต้นด้วยเมนูสลัดเรียกน้ำย่อยและเพิ่มความสดชื่นเบา ๆ ก่อนมื้ออาหารอย่าง Insalata Di Rucola E Salsiccia สลัดที่ผสมผสานไปด้วยผักร็อกเก็ต มะเขือเทศแฮร์ลูม ชีสบูราต้า ไส้กรอกอิตาเลียน และฟิกส์ ราดด้วยบัลซามิกรีดักชัน อีกจานหนึ่งคือ Carpaccio Di Manzo ซึ่งเป็นสลัดผักร็อกเก็ตและมะเขือเทศแฮร์ลูมเช่นกัน แต่ว่าพิเศษกว่าด้วยเนื้อวากิว A5 ส่วนเทนเดอลอยน์ ท็อปด้วยชีสพาร์เมซาน ส่วนของอาหารจานหลัก เริ่มต้นด้วย Rigatoni Gratinati Al Forno พาสตาเส้นรีกาโตนีอบในเตาพร้อมซอสสีชมพูและชีสมอสซาเรลลาให้ความกลมกล่อมผสมผสานอย่างลงตัว ถัดมาคือ Risotto Al Parmigiano E Tartufo รีซอตโตที่ทำจาก Vialone Nano Premium ข้าวเมล็ดสั้นนำเข้าจากอิตาลี ปรุงด้วยชีสพาร์เมซานที่ผ่านการบ่มมากว่า 30 เดือนจนให้ทั้งรสและกลิ่นสุดเข้มข้น ทวีคูณความหอมเป็นเอกลักษณ์ด้วยทรัฟเฟิลฤดูร้อนที่ทำให้จานนี้น่าประทับใจมาก ๆ แน่นอนว่ามาเยือนร้านอาหารอิตาเลียน จะขาดพิซซาไปไม่ได้เลย ที่นี่มีพิซซาทั้งหมด 10 หน้าสุดคลาสสิกให้เลือก เช่น Diavola ซึ่งเป็นพิซซาหน้าซอสมะเขือเทศ ชีสมอสซาเรลลา และซาลามี่เผ็ด ปิดท้ายด้วยของหวานที่คลาสสิกไม่แพ้ของคาว แถมยังหากินได้ยากอย่าง Traditional Baba ขนมปังแช่เหล้ารัมและเหล้ามะนาวสุดชุ่มฉ่ำ ที่ไม่ได้มีกลิ่นเหล้าที่แรงจนเกินไป เข้ากันได้ดีกับวิปครีมวานิลลา และผิวเลม่อน เป็นอีกของหวานที่เพิ่มความสดชื่นได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่าลืมสั่งเครื่องดื่มจากบาร์มาจิคู่กับอาหารอิตาเลียนจานโปรดเพื่อความสมบูรณ์แบบของอาหารมื้อนี้

Le Khwam Luck Café Bar & Restaurant  (เลอความลัค) ร้านสวยที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลแม้เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน กินขาดกับบรรยากาศสุดโรแมนติกเหมาะกับทุกช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต ภายในร้านมีทั้งโซนอินดอร์ที่ตกแต่งอย่างประณีตพิถีพิถัน เน้นสีขาวสลับดำผสมผสานกันทั้งเฟอร์นิเจอร์และของประดับ ส่วนเอาท์ดอร์เป็นสวนสไตล์อังกฤษที่ค่อนข้างกว้าง แบ่งสัดส่วนด้วยแนวต้นไม้ให้นั่งเอนจอยได้แบบไม่รบกวนกัน เมนูอาหารนำเสนอสไตล์อิตาเลียน รวมถึงเบเกอรี่โฮมเมด และเครื่องดื่มนานาชนิด เริ่มต้นที่ออเดิร์ฟ ขนมปังเชียบัตตาเสิร์ฟคู่เนยกระเทียมให้เราหยิบกินเล่นระหว่างรอเมนูหลัก ซิกเนเจอร์ห้ามพลาด ได้แก่ Tartufo Pizza พิซซาแป้งบางทาครีมซอสเบชาเมลที่ผสมผสานกับครีมทรัฟเฟิลจนได้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ออนท็อปด้วยชีสมอสซาเรลรา และเห็ดแชมปิญองผัดกับกระเทียมและใบไทม์สด ไฮไลท์คือทรัฟเฟิลสไลซ์ที่ใส่มาให้ไม่อั้น เอาใจคนรักเส้นด้วย Al Nero เส้น Tagliolini ที่เชฟนวดแป้งและรีดเส้นเอง นำมาลวกพอสุกแล้วผัดกับกุ้ง หมึก หอยแมลงภู่ และหมึกดำ รสชาติกลมกล่อมเข้ากันดีทุกองค์ประกอบ Truffle soup with Croissant ทรัฟเฟิลซุปที่มีส่วนผสมของทรัฟเฟิลผัดกับครีม น้ำสต๊อกผักและเนย เสิร์ฟกับครัวซองต์เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น สดชื่นกว่าใครยกให้ Burrata & Cherry-Tomato Confit and Peach Chuthey Salad มีทั้งลูกพีช มะเขือเทศ บูราต้าชีส ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิก สาวๆ อยากสุขภาพดีห้ามพลาด Tiger Prawn Soup Calamari หมึกชุบแป้งทอด 2 สี ได้แก่ สีจากแป้งธรรมชาติและสีดำจากหมึก เนื้อสัมผัสกรอบนอกหนึบใน เสิร์ฟพร้อมทาร์ทาร์ซอสโฮมเมด ถ้าอยากได้รสเปรี้ยวสดชื่นก็มีเลมอนผ่าซีกมาให้เสริมรสชาติ นอกจากอาหารจานเด็ด เบเกอรี่ก็ยั่วน้ำลายไม่น้อยหน้า อาทิ French Croissant แป้งกรอบนอกฉ่ำใน เคี้ยวแล้วหอมเนยขึ้นจมูก หากเป็นสาวกเค้กมะพร้าวสั่ง Coconut Cake เนื้อเค้กนุ่มเนียนลิ้น สลับด้วยชั้นครีมมะพร้าวนุ่มเบาและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสหวานละมุนกำลังดี กินได้หมดชิ้นแบบไม่รู้สึกผิด สำหรับเครื่องดื่มเอาใจสายหวานด้วย Mocchachino ที่มีส่วนผสมทั้งกาแฟ นม และช็อคโกแลตในสัดส่วนที่ลงตัวพอดี แต่ถ้าอยากเติมความสดชื่นคลายร้อนลองแก้วนี้ Berry Berry จิบแรกก็จี๊ดจ๊าดดีต่อใจ ไม่ต้องรอโอกาสพิเศษก็โรแมนติกได้ทุกวันที่นี่

พลพรรคนักชิมคนไหนแวะมาเที่ยวอำเภอหัวหินแล้วอยากกินมื้อเย็นสไตล์อิตาเลียนหรือไทย เราขอเชิญชวนไปที่ “Figs Restaurant” ร้านอาหารไทย-อิตาเลียนแห่งโรงแรมไฮแอท รีเจนซี หัวหิน ที่รวมความอร่อย 2 สไตล์มาไว้ที่เดียว ให้สายฟู้ดได้อร่อยกับอาหารไทยรสจัดจ้าน และอาหารอิตาเลียนรสเข้มข้นที่รังสรรค์จากเชฟสัญชาตินั้นๆ ต้อนรับด้วย Focaccia ขนมปังในแบบฉบับอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอก เกลือและพริกไทย ตามด้วย ยำส้มโอ อาหารเรียกน้ำย่อยไทยโบราณรสชาติคุ้นเคย ส้มโอรสเปรี้ยวอมหวานคลุกเคล้ากับเครื่องเคลาต่างๆ มีกุ้งตัวโตเนื้อหวานอยู่ด้วย สามชั้นทอดน้ำปลา ของโปรดเราเลย สามชั้นทอดกรอบๆ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มหวานและน้ำจิ้มแจ่ว Burratina di Hua Hin Pesto Trapanese ชีสบูราต้าทำเองรสหอมมัน เคล้าไปกับน้ำมันมะกอก มะเขือเทศเชอร์รีและสมุนไพรต่างๆ Cotoletta alla Milanese ของว่างสไตล์อิตาเลียนแสนอิ่มเอม ลูกกลมๆ สีเหลืองทองนี้คือเนื้อหมูผสมกับมันบดและชีสพาร์เมซานครีมมี ต่อด้วย Crema di funghi ซุปครีมเห็ดรสหอมมัน เข้ากันดีกับขนมปังซาวร์โดปิ้งเกรียมๆ สาวกพาสตาต้องปลื้ม Ravioli Tagliolini Aalla Zucca ราวิโอลีสอดไส้ซอสฟักทอง ผัดพร้อมซอสครีมหอมมัน ยังมีจานซิกเนเจอร์อย่างStracciatella Prosciutto E Fichi พิซซาแป้งบางกรอบสไตล์โฮมเมดเสิร์ฟร้อนๆ ทาซอสมะเขือเทศสูตรลับ ท็อปด้วยลูกฟิกซ์ พาร์ม่าแฮม ใบร็อกเก็ต และชีสต่างๆ อย่าง พาร์เมซานและมอซซาเรลล่า อย่าเพิ่งอิ่มเพราะยังมี Pork Chop หมูติดกระดูกชุบแป้งทอดหอมๆ กินคู่กับมันบดเนื้อเนียนและซอสอะโวคาโดครีมมี ปลาเก๋าราดพริก ปลาเก๋าเนื้อแน่นหวาน ทอดอย่างดีไม่อมน้ำมัน ผัดพร้อมพริกสดร้อนแรง เข้าคู่ข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเลย ปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง Tiramisu ของหวานสไตล์อิตาเลียนที่สายหวานเลิฟ ขนมเลดี้ฟิงเกอร์ชุ่มกาแฟ สลับชั้นกับชีสมาสคาโปนหอมมัน โรยหน้าด้วยผงโกโก้ ก่อนท็อปด้วยคุกกี้กาแฟกรุบกรอบ และ ขนมหม้อแกง จากเจ้าดังย่านเพชรบุรี รสหวานมันกำลังดี เข้าคู่กับหอมเจียว

ไตรมาสสุดท้ายของปีคือช่วงเวลาดีๆ แห่งการสังสรรค์ แนะนำ Matchibako หรือกล่องไม้ขีดไฟ ร้านแฮงก์เอาท์เปิดใหม่ย่านทองหล่อที่เหมาะกับการดื่มกิน ความแปลกใหม่ของร้านคือตกแต่งฉีกลุคอิซากายะ หรือร้านเหล้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่หลายคนคุ้นเคยมาในสไตล์บิสโทร คุมโทนด้วยสีแดงส้ม ตั้งแต่ผนังอิฐ เสากลมกลางร้าน พื้น และเฟอร์นิเจอร์ สีส้มยังสื่อถึงรสชาติและช่วยกระตุ้นให้เราเจริญอาหารอีกด้วย อาหารของร้านนำเสนอสไตล์อิตาเลียนและยุโรป ปรุงจากวัตถุดิบอิมพอร์ตจากญี่ปุ่น เน้นพอชชั่นไม่ใหญ่มาก เหมาะกินเป็นกับแกล้มเบาๆ แบบร้านอิซากายะ อาทิ Brie บรีชีสเสิร์ฟพร้อมสาหร่ายอบแห้ง โชยุ แผ่นเกี๊ยวซ่ากรอบ และวาซาบิ เป็นเมนูที่เข้าคู่ได้กับไวน์ทุกแก้ว Chicken Liver Pâté ตับไก่เนื้อเนียน อบอวลด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและได้รสหวานกลมกล่อมจากหอมใหญ่ผัด เวลากินตักปาดบนขนมปังฟอร์กาเซียหนึบๆ เหนียวๆ เคี้ยวเพลิน Sakana Tartare ทาร์ทาร์ปลาดิบ 3 ชนิด ได้แก่ ฮามาจิ แซลมอน และทูน่า ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำมันมะกอก พริกไทย น้ำมะนาว เสิร์ฟกับอะโวคาโด คาเวียร์ และขนมปังฟอร์กาเซีย เป็นเมนูที่กินแล้วสดชื่น ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา หลังเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน เช่นเดียวกับ Burrata Salad บูราต้าชีสเสิร์ฟกับซัลซ่าผลไม้ ฟักทอง มะเขือเทศพิวเร่ และบัลซามิก อิ่ม อร่อย สบายท้อง Tsukune Aioli เนื้อไก่บดผสมเนื้อหมูกับกระดูกอ่อนปั้นเป็นลูกกลมพอดีคำ  กินกับซอสกระเทียมแบบอิตาเลียน   หากเริ่มหิวและมองหาจานหลักหนักท้องสั่ง New York Strip สเต๊กเนื้อแองกัสขนาด 300 กรัม เสิร์ฟกับซอสสไตล์ญี่ปุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ เค็มปลายลิ้นเล็กน้อย กินกับสลัดผักสดและผักย่าง ถ้าชอบเมนูเส้นแนะนำ Pappardelle with Pork Cheek Ragu Burrata เส้นปัปปาร์เดลเลเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยรากูแก้มหมูที่ตุ๋นนาน 4 ชั่วโมง รสชาติกลมกล่อมแทบละลายในปาก ปิดท้ายด้วยของหวานโฮมเมด Panna Cotta หรือ Lisbon Chocolate Cake เป็นร้านที่เปิดตัวได้ไม่นาน ก็เป็นที่รวมของคนรักการดื่มกินไปแล้ว!

เสิร์ฟความอร่อยที่สาขาลิ้นจี่ได้สักพัก คราวนี้ “A Bowl of Pasta” ร้านพาสต้าเส้นสดขวัญใจสายฟู้ดก็เลือกมาปักหมุดที่โลเคชั่นในตัวเมืองย่าน ‘เอกมัย’ เอาใจชาวกรุงฯ กันบ้าง พื้นที่กว้างๆ สามารถเลือกที่จอดรถได้อย่างตามใจ ตัวร้านเป็นบ้านไม้สีขาวที่ภายนอกตกแต่งด้วยต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ร่มรื่น กระจกใสบานใหญ่ทำให้เห็นบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นด้านใน ผนังสีขาวครีมไปด้วยกันได้ดีกับพื้น เฟอร์นิเจอร์ไม้ และโซฟาหนังหนานุ่มสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของร้านคือ “เชฟผึ้ง - ณฐิณี จีระลักษณกุล ศิษย์เก่าคนเก่งแห่งสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ ด้วยความที่เลิฟเมนูพาสตามากเธอจึงครีเอทร้านนี้ขึ้นมา แถมยังได้เชฟเมย์-พัทธนันท์ ธงทอง เชฟฝีมือขั้นเทพดีกรีรองแชมป์จากรายการ Top Chef Thailand Season 1 และเจ้าของร้าน Maze Dining มาช่วยคิดค้นเมนูรสชาติดีที่มาในคอนเซ็ปต์ “Pick Your Bowl of Happiness” เลือกชามอร่อยแห่งความสุขด้วยตัวของคุณเอง A Bowl of Pasta โดดเด่นด้วยเมนูพาสตาเส้นสดถึง 20 แบบ แบ่งออกเป็น 2 สไตล์ อาทิ แบบคลาสสิคที่หลายคนชอบ ได้แก่ พาสตาซอสมะเขือเทศ พาสตาคาโบนารา และแบบที่ทางร้านคิดสูตรเอง เช่น ซอสวอดก้า ซอสปูผัดพริกเหลืองไวน์ขาว เป็นต้น ยังมีจานหลักต่างๆ รวมไปถึงพิซซาสไตล์โฮมเมด ที่เสิร์ฟเฉพาะสาขาเอกมัยเท่านั้นด้วยนะ (ขอบอก) ต้อนรับด้วย แป้งพิซซาอบ เรียกน้ำย่อยกันก่อน แป้งพิซซาอบกรอบร้อนๆ กินคู่กับน้ำมันมะกอกชั้นดีผสมบัลซามิกเข้ากัน ก่อนเริ่มมื้ออร่อยด้วย Rocket Strawberry Bacon Almond Salad สลัดผักชามโตที่ประกอบไปด้วย ผักร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า สตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน เบคอนทอดกรอบเค็มๆ อัลมอนด์กรุบกรอบเคลือบช็อกโกแลต และชีสพาร์มีซานหอมมัน ราดบัลซามิกโฮมเมดรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อด้วย Cured Sea Bass Herb Salad & Colatura Di Alici Vinaigrette ปลากะพงชาชิมิเนื้อสดหวาน ราดน้ำยำสมุนไพรครบรส ได้รสเค็มกลมกล่อมจากน้ำปลาอิตาเลียนที่ทางร้านทำเอง Spanish Iberico Pork & Truffle Ragu เมนูดาวเด่นของร้าน พาสตาเส้นสดให้สัมผัสหนึบๆ กินเพลิน คลุกเคล้ากับซอสหมูดำไอบีเรียสไตล์สเปน หอมฟุ้งกลิ่นทรัฟเฟิล หลายคนชอบ Brown Butter Scallop Yuzu White Wine Risotto รีซอตโตหุงสุกำลังดี ผัดพร้อมซอสครีมและผิวเลมอนเชื่อมในแบบฉบับโฮมเมด ท็อปด้วยหอยเชลล์เนื้อหวานตัวอ้วน ต่อด้วย Jumbo Grilled Tiger Prawn with Strawberry Salsa กุ้งลายเสือตัวใหญ่น่ากิน ย่างเนยและกระเทียมให้หอม เนื้อสุกพอเหมาะ เสิร์ฟพร้อมกับซัลซ่าสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น ปิดท้ายด้วยขนมที่เราโปรดปรานนั่นคือ Caramel Custard คัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง รสหอมมัน ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกาแฟรสเข้ม วิปครีมตีสด และเบอร์รีต่างๆ และ Peach Melba & Crumble ไอศกรีมวานิลลาที่ทำจากฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ผสมเนื้อพีชฉ่ำๆ ที่ส่งตรงมาจากโครงการหลวงแห่งเมืองเชียงใหม่ เข้ากันกับครัมเบิ้ลโฮมเมด สัมผัสกรุบกรอบหอมกลิ่นเนยสด ใครอยากมาลิ้มลองต้องจองก่อนนะ

ใครที่คิดถึงรสชาติอาหารอิตาเลียนของร้าน Signor Sassi เตรียมไปเช็คอินที่เกษรวิลเลจได้เลย ครั้งนี้ทางร้านกลับมาในชื่อ Isola by Signor Sassi” ซึ่งเป็นการแทกทีมระหว่างแบรนด์ยิ่งใหญ่อย่าง Isola กับ Signor Sassi แน่นอนว่าอาหารยังคงคอนเซ็ปต์ Ristorante Italiano From London จานอร่อยอิตาเลียนจากเมืองลอนดอนเช่นเคย เพิ่มเติมคือบรรยากาศ ‘ Feel Like Home’ สนุกสดใสเข้าถึงง่ายเหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัว และเพื่อนฝูง Isola by Signor Sassi ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของ Gaysorn Villege ตัวร้านโดดเด่นด้วยสีน้ำเงินตัดกับสีเหลืองสดใส ภายในปูด้วยพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อน เข้ากันดีกับเก้าอี้หวายน่านั่ง เพดานพันด้วยผลเลมอน ซึ่งเป็นวัตถุดิบล้ำค่าประจำแคว้นซิซิเลีย ประเทศอิตาลี ยิ่งแสงแดดสาดเข้ามาสู่หน้าต่างกระจกใสยิ่งสร้างมู้ดแอนด์โทนให้สำราญใจเสมือนคุณนั่งชิมอาหารในสวนเลมอนอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนั้นที่ร้านยังมีโซนพิเศษสำหรับแขกผู้ต้องการความเป็นส่วนตัว พื้นหินอ่อนลายสวนสีน้ำตาล เหมาะมากเมื่ออยู่คู่กับเก้าอี้โซฟาสีเหลืองมัสตาร์ด คอนทราสกันได้ดีกับผนังกระเบื้องเวเฟอร์สีน้ำเงิน ที่ประทับด้วยลวดลายเลมอนสดชื่น ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยหรู เรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูเบาๆ ก่อนกับ Avocado Bernardo อะโวคาโดที่เรารัก เคล้าไปกับเนื้อล็อบสเตอร์หั่นชิ้นพอดีคำ กุ้งเนื้อหวาน ราดซอสค็อกเทลรสครีมมี ไม่เลี่ยนแต่อย่างใดเนื่องจากแซมด้วยความเผ็ดเล็กๆ ของผงปาปริก้า Prosciutto e Melone จานนี้เราชอบมาก แฮมแผ่นบางๆ สไตล์อิตาเลียน ที่ผ่านการหมักถึง 18 เดือนจนได้รสเค็มกลมกล่อม เข้ากันดีกับเมลอนจากประเทศอิตาลีรสหวานฉ่ำ ตามด้วย Tartare di Tonno ทาร์ทาร์ทูน่าเนื้อสดหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับอะโวคาโด และซอสครีมสูตรเฉพาะของทางร้าน บีบเลมอนซีกลงไปเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น มาถึงจานซิกเนเจอร์ที่รอคอยสักที Spaghetti Granseola สปาเก็ตตีจานโตๆ น่ากิน เส้นเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมปูแมงมุมญี่ปุ่นชั้นดีเนื้อแน่นๆ มะเขือเทศ และซอสรสกลมกล่อม เมนูนี้ก็อร่อย Risotto Al Nero Di Seppia E Tartufo รีซอตโตรวมไปกับหมึกดำจากหมึกกระดอง หอมกลิ่นทรัฟเฟิลเตะจมูก เสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ย่างตัวอวบๆ สายเนื้อต้องสั่ง Tournedo Rossini สเต็กเนื้อวากิวฉ่ำลิ้นชิ้นใหญ่ๆ ใช้ส่วนเทนเดอร์ลอยน์ซึ่งมีความนุ่มที่สุดของวัว นำมาย่างอย่างพิถีพิถัน ราดซอสไวน์แดงที่รังสรรค์จากไวน์มาเดรา รสออกหวาน ท็อปด้วยตับห่านชิ้นหนา ก่อนโรยด้วยทรัฟเฟิลสด คนรักเมนูปลาปลื้ม Dover Sole ปลาตาเดียวตัวบิ๊กเบิ้มจุใจ เลาะก้างมาอย่างดีให้กินง่าย ราดซอสไวน์ขาวรสนุ่มนวล ได้รสเปรี้ยวเล็กๆ จากเลมอนหั่นแว่นด้วย ของหวานเราสั่ง Lemon Cheesecake ฟินเกินเบอร์ ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลโฮมเมดกรุบกรอบ เข้าปากพร้อมครีมชีสและฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสก้า และเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวกลมกล่อม ตกแต่งด้วยเลมอนเบิร์นให้หอม ยังมี Millefoglie ของโปรดสายหวาน แป้งพัฟเพสทรีหอมกรุ่น สลับชั้นกับครีมชานทิลลี่ ได้ความหอมมันเต็มพิกัดจากฝักนิลลาแท้ๆ ตบท้ายด้วย Sidecar ค็อกเทลที่ได้รสเปรี้ยวจากน้ำเลมอนสด และดีกรีความแรงจากบรั่นดีชั้นเลิศของประเทศฝรั่งเศส หลังสามทุ่มมีดีเจมาเปิดแผ่นให้แดนซ์มันส์ๆ ด้วยนะ

ปราสาทหลังงามบนเนินเขาแห่งนี้ ถ้าดูจากภาพถ่ายคงนึกว่าอยู่ในอิตาลี แต่ความจริงคือสัตหีบบ้านเรานี่เอง นอกจากความสง่างามชวนตื่นตาตื่นใจตั้งแต่แรกเห็น ทางร้านยังตกแต่งพื้นที่ภายในวิจิตรตระการตาไม่น้อยหน้าภายนอก ใครชอบงานศิลป์จะยิ่งปลื้มเพราะเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมที่รวมภาพเขียนและประติมากรรมหินอ่อนที่ล้วนมีสตอรี่น่าสนใจ ชมเพลินเหมือนเดินอยู่ในอิตาลีจริงๆ ที่นี่นำเสนออาหารอิตาเลียนสูตรต้นตำรับที่กินแล้วเข้ากับบรรยากาศที่สุด จานแรกแนะนำ ซีซาร์สลัด น้ำสลัดเข้มข้นหอมมันที่ได้จากการนำแอนโชวี เคปเปอร์ ผักดอง และชีสมาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ราดบนเบบี้คอส ขนมปังกูร์ตอง และเบคอนกรอบ โรยพาเมซานชีสเพิ่มรสเค็มมัน อีกเมนูสุดฮอตคือพิซซ่าโฮมเมดที่มีให้เลือกหลายหน้า แต่ที่โดนใจเราที่สุดยกให้พิซซ่าฟรัวกราส์ พิซซ่าแป้งบางกรอบ ราดซอสเทอรีนรสเปรี้ยวเค็ม ท็อปด้วยฟรัวกราส์ชิ้นใหญ่ที่ใส่มาให้เต็มที่ ชูรสเปรี้ยวหวานอีกนิดด้วยซอสแบล็กการ์ลิก สเต๊กเนื้อวากิวจานนี้ให้เต็ม 10 ไม่หัก ด้วยน้ำหนักมากถึง200กรัม เนื้อวากิวกริลล์แบบสุกนอกฉ่ำใน ราดด้วยซอสเปปเปอร์หอมกลิ่นพริกไทย เสิร์ฟพร้อมราตาตุย เบลเปปเปอร์ ซูกินี และการ์ลิกย่าง อย่าลืมไวน์แดงรสเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติให้น่าสนใจขึ้นทวีคูณ ชิทาราสปาเกตตี้คาร์โบนารา สปาเกตตี้เส้นสดต้มแบบอัลเดน เต้ ด้านนอกนุ่มหนึบแล้วกรึบด้านใน ยังได้ความครีมมี่จากส่วนผสมของนมและชีส เสริมทีมด้วยเบคอนรสเปรี้ยวจางๆ จากการอบกับไม้ลิ้นจี่ จบมื้อด้วยทาร์ตสตรอว์เบอรี ของหวานจานสวย มีครัมเบิ้ลเอิร์ลเกรย์ ครีมวานิลลา สตรอว์เบอร์รี่ชิพ สตรอว์เบอร์รีสด กินกับไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ รสเปรี้ยวอมหวาน หนึ่งวันอาจยังไม่พอ เพราะหลายโมเมนต์ดีๆ จะทำให้คุณลืมเวลาไปเลย

หากพูดถึง Tango แบรนด์เครื่องหนังของคนไทย ที่ครองใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนานนั้น ตอนนี้แบรนด์ได้เนรมิต House of Tango ร้านอาหารอิตาเลียนที่รังสรรค์เมนูจากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน โดยเน้นสีสันและรสชาติเพื่อเอาใจเหล่าสาวกให้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของ Tango อย่างแท้จริง           ภายในร้านตกแต่งด้วยของที่ระลึกจากแต่ละประเทศที่เจ้าของร้านเคยไปมาวางไว้ตามมุมต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัว และยังให้ความสำคัญการรับประทานอาหารร่วมกันแบบชาวไทย ชาวอิตาเลียนและอีกหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายกันนี้ จึงกลายมาเป็นเมนูอาหารที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ราวกับได้เดินทางไปเที่ยวไปกินอาหารรอบโลกพร้อม House of Tango         อาหารที่แนะนำเป็นซิกเนเจอร์ของร้านทั้งหมด เริ่มต้นด้วย Mixed Tomatoes Salad สลัดมะเขือเทศซึ่งเพิ่มเติมรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นด้วยแตงโม และทับทิม ปรุงรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังดี จุดเด่นอยู่ที่มะเขือเทศซึ่งนำสายพันธุ์ดั้งเดิมจากอิตาลีมาปลูกในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อด้วย Blue Mussel หอยแมลงภู่จากชิลีนึ่งซอสไวน์ขาว อร่อยกลมกล่อม       Sweet Pumpkin Ravioli, Truffle Cream Sauce ราวิโอลีแป้งสดทำเอง เพิ่มสีสันชวนกินให้เส้นพาสตาด้วยลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากแพตเทิร์น แพทเวิร์ค โดยใช้สีจากผัก อย่างสีแดงนี้สกัดจากบีตรูตกับมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมซอสทรัฟเฟิล ได้รสหวานเล็กน้อยจากไส้ฟักทอง     จานต่อมา Thai River Prawn สปาเกตตีกุ้งแม่น้ำ ได้กลิ่นรสจากกระเทียม น้ำมันมะกอก ไวน์ขาว เส้นหมึกดำจากแป้งซีโมลินานำเข้าจากอิตาลีตอนใต้     Wild Mushroom Risotto with Bone Marrow ริซอตโตซอสไวน์แดง เสิร์ฟคู่กับไขกระดูกวัว รสชาติเข้มข้น ได้ความเปรี้ยวจากไวน์แดงและความหอมมันจากเนย     สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดกับ Beef Wellington เนื้อสันในจากออสเตรเลีย ห่อด้วยสมุนไพรและแป้งพัฟ หั่นโชว์เนื้อนุ่มในระดับ Medium Rare ชุ่มฉ่ำด้วยซอสไวน์แดง ปิดท้ายด้วย Milles Feuilles มิลเฟยของหวานสัญชาติฝรั่งเศส หวานกำลังดีเลย       ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้าของ Tango โดยเฉพาะ

Terra Nova ร้านอาหารอิตาเลียนโมเดิร์นแห่งใหม่ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Bring an imagination to the authentic cuisine โดยชื่อร้านเป็นการนำคำว่า Terra ที่หมายถึงดิน มาเจอกับ Nova หรือดวงดาวสุกสว่าง เช่นเดียวกับอาหาร 2 รูปแบบคืออาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิมและอาหารอิตาเลียนสมัยใหม่ นำทีมโดยเชฟอ๊อตโต้-ประภาศน์ ปาณะวีระ Top Chef Thailand Season 2 และเชฟอาดัม นิโคมเดส ลินเดอร์ เจ้าของประสบการณ์ 25 ปี จากร้านและโรงแรมดังในหลายประเทศ       บรรยากาศภายในร้านนั้นสวยงามฉูดฉาดด้วยสีส้มอิฐตัดด้วยสีดำเพิ่มความน่าค้นหา ตกแต่งด้วยเครื่องปั้นดินเผาและงานศิลป์จากศิลปินชาวอิตาเลียนชื่อดังอย่างฟอร์นาสเซ็ตติ รวมถึงโคมไฟสั่งทำพิเศษล้อไปกับคาแรกเตอร์ร้าน       ครั้งนี้เราได้ลองเมนูฝั่ง Nova เมนูโมเดิร์นผสมผสานหลายสัญชาติฝีมือเชฟอ๊อตโต้ เริ่มด้วย Tuna Saku Kale Avocado Salad สลัดผักเคลสดกรอบ เซียร์ทูน่าที่แอบซ่อนรสเผ็ดนิดๆ ควินัว มะเขือเทศ และแรดิช ตามด้วย Spaghetti Spicy Braised Octopus สปาเกตตีผัดหนวดปลาหมึกยักษ์ตุ๋นกับมะเขือเทศสดและเฮิร์บจนเปื่อยนุ่ม Salmon Steak สเต๊กแซลมอนซอสเพสโต มะเขือม่วง มะเขือเทศ ซูกินี แครอต หอมแดงตัดด้วยบัลซามิกเจล         นอกจากนี้ยังมี Spanish Seafood Soup ซุปสเปนที่มีรสเผ็ดปลายจากปาปริกา เข้มข้นจากมะเขือเทศ กุ้ง ปลาหมึก และเนื้อปู แต่งด้วยกรีนออยล์จากใบโหระพาเพิ่มกลิ่นหอม และ Spicy Smoke Salmon ที่มีทีเด็ดคือซอสน้ำพริกเผาแซลมอนที่เชฟคิดขึ้นมาเพื่อที่นี่โดยเฉพาะ       ปิดท้ายด้วย Chocolate Balsamic Pots De Cream ช็อกโกแลตบัลซาบิกมูสเสิร์ฟกับช็อกโกแลตที่ทำให้เหมือนดินล้อไปกับชื่อร้าน     ครบรสทั้งเปรี้ยว ขม หวาน

เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมแบบพลิกฝ่ามือกันไปเลยกับร้านอาหารบนชั้น 14 ของโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนมือจากเชฟหนวดอารมณ์ดี “บลูโนส” มาเป็น “แอนติโต้” อาหารอิตาเลียนในสไตล์แคชชวลไดนิ่ง       ผู้ที่มาปรับโฉมใหม่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเชฟที่เราคุ้นเคยดีอย่าง อเมริโก้ ติโต้ เซสทิ เชฟมิชลินหนึ่งดาวสี่ปีซ้อนจากห้องอาหารฝรั่งเศส แฌม บาย ฌอง มิเชล โลรองต์ โรงแรมยูสาทร       แอนติโต้ อยู่บริเวณริมสระน้ำได้วิวพาโนราม่าใจกลางเมือง บรรยากาศเปิดโล่งลมโชย ตกแต่งด้วยศิลปะป็อปอาร์ตของศิลปินชื่อดัง เฟอร์นิเจอร์เน้นสีสันสดใส เหมาะกับนัดเพื่อนในวันหยุด       เมนูของเชฟเน้นใช้วัตถุดิบอย่างดีจากในประเทศ รวมทั้งนำเข้าจากอิตาลี อย่างเช่นเมนูที่เราได้ชิมได้แก่ Prawn Carpaccio คาร์ปาชโชกุ้งสไตล์เมดิเตอเรเนียน จานสดชื่นที่ได้รสหวานของกุ้งลายเสือ มะเขือยาวสไลด์บางหมักในเลมอนเดรสซิ่ง และมะเขือเทศเชอร์รีอบ     Pizza Fritta เมนูดั้งเดิมของเมืองเนเปิล ที่นำแป้งพิซซาโดไปทอดจนฟู กรอบนอกนุ่มใน ราดซอสมะเขือเทศ และชีสบูราต้าเนื้อนุ่มมัน     Cavatelli Arrabbiati พาสตาคาวาเทลลี พาสตาโฮลวีตโฮมเมดชิ้นเล็กปั้นด้วยมือ เนื้อหนึบ ในซอสมะเขือเทศอาราเบียต้ารสเผ็ด กับมะเขือม่วง และชีสริคอตตารมควันจากเชียงใหม่     อาหารจานหลักในสไตล์บ้านเกิดของเชฟ Pork Collar คอหมูตุ๋นข้ามคืนนุ่มๆ ราดซอสไวน์แดงเสิร์ฟคู่กับมันฝรั่ง และแครอตบด สุดท้ายห้ามพลาดของหวาน Meringata เมอแร็งค์ผิวนอกกรอบ ข้างในเป็นครีมมาสคาร์โปน และไอศกรีมเจลาโต หอมหวานมัน       อย่าลืมสั่งม๊อกเทลสีสวยสดใสอย่าง Butterfly Tea และ Caramella มาจิบเบาๆ รับบรรยากาศสดชื่นริมสระน้ำ       เป็นการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ที่มีทั้งสีสัน และสดใส

พาสต้าบาร์สีฟ้าสดใสที่มีเมนูพาสต้าเส้นสดเป็นตัวชูโรงอย่างลาดอตต้า La Dotta มาเปิดสาขาใหม่ที่สีลม ซอยคอนแวนต์ให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น       La Dotta Pasta Bar & Store สาขา 2 นี้อยู่ข้างบาร์สุดเท่ Verper Cocktail Bar พื้นที่กว้างขวางกว่าสาขาทองหล่อ มีบาร์หินอ่อนที่วางโชว์เส้นพาสต้าทำใหม่สดทุกวัน เช่น Pappardelle เส้นแบน Ravioli  และ Tortelloni พาสตาสอดไส้ที่รูปร่างเหมือนเกี๊ยว ด้วยฝีมือของ ฟรานเชสโก ดีอาน่า เชฟพาร์ทเนอร์ชาวอิตาเลียน ผู้เชี่ยวชาญในการทำเส้นพาสตา และซอสสูตรโฮมเมด รวมทั้งใช้วัตถุดิบคุณภาพดีนำเข้าจากอิตาลี มาทำเป็นเมนูอร่อยที่ห้ามพลาดได้แก่       Fritto Misto (340 บาท) จานเรียกน้ำย่อยที่รวมปลาหมึก เนื้อปลากะพงแดง อะโวคาโดคลุกเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมซอสทาร์ทาร์โฮมเมดรสเข้มข้น     Carbonara Bucatini (390 บาท) คาโบนาร่าสไตล์โรมันแท้ รสเค็มมันสุดครีมมี เสิร์ฟกับไข่แดงออร์แกนิค เบคอนแก้มหมูทอดเหลืองๆ และชีสเปโกริโน โรมาโนกลิ่นหอม     Fileja pork ribs (450 บาท) เส้นฟิเลจาบิดด้วยมือเป็นเกลียวเนื้อเหนียวนุ่มเคี้ยวหนึบ อุ้มซอสได้ดี กับซี่โครงหมูที่เคี่ยวจนนุ่มร่อนออกจากกระดูก     Allo Scoglio (490 บาท) เส้นลิงกวินีผัดกับซอสมะเขือเทศที่ใส่ซีฟู้ดเต็มๆ ทั้งกุ้งตัวโต และปลาหมึกชิ้นอวบ     Fresh duck’s egg Raviloi & black truffle (390 บาท) ราวิโอลีไส้บีทรูทอบ และชีสนมแพะ สีชมพูสวย รสหวานมันอร่อย     ปิดด้วยของหวานคลาสสิคอย่าง La Dotta’s tiramisu (340 บาท) ทีรามิสุรสเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟ รสหวานปนขมผสมกันทำให้กินเพลิน     พาสตาเส้นสดแบบนี้แนะนำว่าไปกินที่ร้านดีที่สุด หรือจะสั่งเดลิเวอรีมากินเป็นมื้อกลางวันก็เหมาะสำหรับสาวออฟฟิศทีเดียว     เดลิเวอรีสั่งผ่านได้จาก : Grab Food, Food Panda, Lineman และ Robinhood สำหรับท่านที่ต้องการทำพาสต้ารับประทานเองที่บ้าน มีบริการเส้นพาสต้าสด และซอสพาสต้าแบบกระปุก ซึ่งสามารถซื้อที่ร้านหรือสั่งผ่านบริการเดลิเวอรีได้เช่นกัน

Casa Pasta ซอยสุขุมวิท 101/1 หรือ ซอยวชิรธรรมสาธิต 9 ร้านอิตาเลียนเล็กๆ ที่ให้อารมณ์ร้านใกล้บ้านบรรยากาศอบอุ่นมากินพร้อมกับครอบครัวได้บ่อยๆ อาหารอร่อยที่เราคุ้นเคยดีด้วยฝีมือของเชฟที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี จากร้านอาหารอิตาเลียนชั้นนำ ที่อยากทำร้านอาหารอิตาเลียนดีๆ ในราคาที่ไม่แพง       ด้วยประสบการณ์ของเชฟ และการเลือกใช้วัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดีจากอิตาลี และการปรุงที่สดใหม่ ที่นี่เสิร์ฟอาหารสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิม ทำแป้งพาสตาและพิซซาเอง โดยมีพาสตาเส้นสด 4 แบบให้เลือก       เมนูที่ห้ามพลาดคือ Fresh Homemade Black Spaghetti Seafood White Wine (290 บาท) จานขายดีของทางร้าน สปาเก็ตตี้เส้นสดผสมหมึกดำ เส้นนุ่มหนึบทำใหม่สดทุกเช้า ผัดกับน้ำมันมะกอกและซีฟู้ดแบบเต็มๆ ใส่ไวน์ขาว ให้กลิ่นหอมชวนกิน     ส่วนจานสลัดที่น่าลองคือ Casa Salad (260 บาท) สลัดสูตรพิเศษที่นำเห็ด 3 ชนิด แฮม ซาลามี และถั่ววอลนัต มาผัดกับน้ำมันมะกอก ใส่สมุนไพรอย่างโรสแมรีทำให้มีกลิ่นหอมน่ากิน ราดบนสลัดผักสดๆ เติมรสเข้มข้นด้วยบัลซามิกเดรสซิ่ง     ร้านนี้พิซซาก็เด็ด ที่ควรสั่งคือ Pizza Halfmoon (340 บาท) พิซซาหน้าปิด แป้งพับครึ่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พิซซาแป้งบางภายในอัดแน่นไปด้วยแฮม เห็ด ชีสมาสคาร์โปน และชีสมอซซาเรลลา นัวๆ นุ่มๆ หอมกลิ่นน้ำมันทรัฟเฟิล     ส่วนใครที่ชอบซีฟู้ดลองสั่ง Pizza Black Ocean (380 บาท) พิซซาแป้งบางกรอบสไตล์อิตาเลียน ผสมน้ำหมึกจากปลาหมึกให้แป้งเป็นสีดำสนิท มีกลิ่นหอมของทะเล ราดซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะ และซอสเพสโตสีเขียวเข้มกลิ่นหอม กับเครื่องซีฟู้ดแบบเต็มๆ ถาด     มาถึงอาหารจานหลักเราชอบเมนู Fish in the bag (390 บาท) เมนูสุดเฮลตี้ที่นำปลากะพงมาย่าง แล้วห่อด้วยกระดาษไข อบพร้อมกับน้ำมันมะกอก สมุนไพร และผักต่างๆ ยกมาเสิร์ฟและตัดห่อกระดาษที่โต๊ะ ได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย เนื้อปลาที่อบในกระดาษเนื้อนุ่ม หวานและหอม     อีกจานคือ Baked Sea Bass in Salt Crust (470 บาท) เมนูสำหรับครอบครัว ปลากะพงขนาดพอดีพอกด้วยเกลือทะเล นำไปอบจนเนื้อสุกนุ่ม หนังร่อน พนักงานจะมาเคาะเกลือออกที่โต๊ะ เผยให้เห็นเนื้อปลาหวานนุ่มไร้ก้าง จานนี้รออบประมาณ 20 นาที แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย       เป็นร้านบรรยากาศสบาย เสิร์ฟเมนูอร่อยที่คุ้นเคยเหมาะกับทุกคนในครอบครัว   Special Menu หากไม่อยากนั่งที่ร้านก็มีเมนูอร่อยเหมาะกับซื้อกลับบ้านอย่าง Ready to eat เป็นเมนูอบชีสอย่างเช่น ลาซานญ่าหมู ผักโขมอบชีส มะเขือม่วงอบชีส และกราแตงแฮมเห็ด ใส่ถ้วยฟอลย์ขนาดพอดี อุ่นในไมโครเวฟได้ หรือเข้าเตาอบก็อร่อย เก็บไว้ได้นาน 5 วัน หรือในฟรีซได้เป็นเดือน     อีกตัวเลือกให้ #อร่อยฟินเหมือนกินที่ร้าน คือ DIY Italian dish เชฟจะจัดเซตพาสต้าเส้นสดอย่างเฟตตูชินี กับซอสโบโลเนส หรือซอสอาราเบียตต้า ให้เราได้ไปลวกเส้นและอุ่นซอสเอง ทำตามขั้นตอนง่ายๆ ข้างซอง ก็อร่อยร้อนๆเหมือนกินที่ร้านแล้ว     ช่องทางการสั่งซื้อ :  Line @casapasta เดลิเวอรี Lineman, Grab, Robinhood, Gojek

หลังจากที่คุณจ้อ-พัชรินทร์ เหมอังกูร เดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามหาวัตถุดิบระดับพรีเมียมส่งตรงให้กับร้านอาหาร โรงแรม และห้างสรรพสินค้ามานานหลายปี ก็ถึงเวลาเปิดครัวของตัวเองเพื่อนำของดีในมือทั้งเนื้อสัตว์ ผักสด ทรัฟเฟิล คาร์เวีย ฟัวกราส์ และอื่นๆ มาปรุงอาหารจานเด็ดที่รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใครจากฝีมือของ 2 เชฟชาวสเปนและอิตาเลียน ในบรรยากาศแสนสบายในโทนสีเขียวมะกอกสุดอบอุ่น       โดยมีมุมไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาเกือบตลอดเวลาคือตู้กระจกที่จัดวางวัตถุดิบอิมพอร์ตไว้มากมาย จนหลายคนอดใจไม่ไหวต้องซื้อติดมือกลับบ้าน       หลังจากหามุมหย่อนกายได้ลงตัวก็ถึงเวลาของความสุขโดยเริ่มที่ Burrata Salad จานเด็ดเรียกน้ำย่อยที่ตกแต่งน่ารักชวนกิน ตรงกลางวางบูราตาครีมชีสที่ทำเป็นลูกกลม เหยาะน้ำมันทรัฟเฟิลด้านบนเพิ่มกลิ่นหอมกระตุ้นความอยากอาหาร เวลากินให้ใช้มีดจิ้มเบาๆ ครีมชีสด้านในจะไหลเยิ้ม รสชาติกลมกล่อมหอมมัน กินกับพาร์มาแฮม ผักสลัด และมะเขือเทศ Heirloom รสเปรี้ยวอมหวานนำเข้าจากฝรั่งเศส ก่อนส่งเข้าปากอย่าลืมแตะโอลีฟออยที่ปาดไว้ขอบจานจะเพิ่มระดับความฟินแบบทบเท่าทวีคูณ     ส่วนจานหลัก Paella Carabineros Prawn ข้าวผัดเสปนหน้าตาคล้ายริซอตโต ปรุงรสกลมกล่อม มีกลิ่นหอมของการ์ลิคออย ท็อปด้วยกุ้งแดงจากสเปนที่มีเฟเวอร์เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์     อีกจานคือ Roasted Patagonian Tooth Fish เชฟเลือกใช้ปลาแบ็กค้อดซึ่งเป็นปลาน้ำลึกจากอาร์เจนตินา เนื้อนุ่มแน่นไร้กลิ่นคาวกวนใจ ใครชอบทรัฟเฟิลจะยิ่งปลื้มเพราะไม่เพียงได้รสสัมผัสหวานฉ่ำตามธรรมชาติของเนื้อปลา ยังได้อิ่มเอมไปกับรสชาติสุดเข้มข้นของซอสไวท์ทรัฟเฟิลบัตเตอร์ที่แทรกซึมอยู่ทุกอณู อร่อยจนอยากบอกต่อเพื่อน     ปิดท้ายที่พระเอกของร้าน Wagyu Striploin No.4-5 Westholme เนื้อพรีเมียมวากิวอิมพอร์ตที่ทางร้านใช้เวลาบ่มนานถึง 45 วัน ก่อนนำมากริลล์ระดับมีเดียมแรร์เพื่อรักษารสชาติสุดเข้มข้นในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเอาไว้ สมทบด้วยมันบดเนื้อเนียนที่กินเข้ากันกว่านี้ไม่มีแล้ว       ในช่วงที่เราไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ แวะมาที่ Sooooo Goood Gourmet ร้านเดียวก็เหมือนได้เที่ยวทั่วโลกผ่านอาหารจานเด็ดแล้ว

ขอต้อนรับสู่ Mad Sugar x Pasta ร้านพาสตาเส้นสดน้องใหม่สุดอาร์ตในซอยเจริญกรุง 28 ก่อนหน้านี้เราอาจได้ยินชื่อ Mad Sugar บ่อยครั้งในฐานะร้านเค้กออนไลน์ที่ดีไซน์แต่ละชิ้นออกมาได้อย่างเก๋ไก๋ ซึ่งคุณตูน เจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่าได้มีโอกาสเรียนทำเส้นพาสตาจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ บวกกับประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารมานานร่วม 10 ปี ร้านพาสตาเล็กๆ แต่อบอุ่นของเธอจึงเกิดขึ้นได้ดั่งฝัน               เพราะยังอยู่ในช่วง Soft Opening เมนูของที่ร้านจึงเน้นที่ Classic Pasta อย่าง Arrabiata, Pesto, Carbonara และ Garlic and Chlii ส่วนเส้นมีเส้นแบบเดียวคือ Fettuccine ทีคุณแม่ช่วยลงมือทำด้วย แต่อดใจอีกไม่นานคุณตูนจะเพิ่มเมนูใหม่ๆ ซึ่งจะเผยโฉมออกมาในแต่ฤดูกาล         เมนูไฮไลต์ของที่ร้านต้องยกให้ Seafood Arrabiata ความโดดเด่นอยู่ที่ซอส Arrabiata ทำจากมะเขือเทศสดจำนวนมากเคี่ยวกับสมุนไพรและผักจนเข้มข้น คุณตูนใส่พริกแห้งทอดลงไปด้วยเพื่อให้ได้รสเผ็ดชวนให้เจริญอาหาร       ส่วน Bacon Carbonara ก็ยังติดอันดับเมนูที่ลูกค้าโปรดปรานที่ใครมาเยือนเป็นตั้งสั่งมาลิ้มลองจนได้ รสเข้มข้นได้จากไข่แดงพาสเจอไรซ์ พาร์เมซานชีส เบคอน และใส่เบคอนกรอบปิดท้ายให้เคี้ยวสนุก       พลาดไม่ได้กับ Prawn butter lemon chili ที่ร้านใช้กุ้งตัวโตส่งตรงจากฟาร์ม เนื้อสดหวานผัดพริกแห้งให้หอมฉุย บีบเลม่อนลงไปให้จี๊ดจ๊าด ท็อปด้วยพาร์เมซานชีส และผิวเลม่อนอีกนิด จบครบความอร่อย     คนรักพาสตาอย่าพลาดเชียว   ขอขอบคุณภาพจากร้าน Mad Sugar x Pasta

‘It’s “happened to be” a fox princess and a spider’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “A Fox Princess + Friends”ร้านอาหารอิตาเลียนน้องใหม่ในห้างสรรพสินค้า ‘เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว’ ที่แตกไลน์จากแบรนด์ ‘It’s Happened to be A Closet’ ซึ่งโดดเด่นเรื่องความครบครัน มีทั้งเสื้อผ้า สปา และร้านอาหาร ที่ขึ้นชื่อเรื่องการตกแต่งแบบจัดเต็ม ให้คุณเห็นถึงความสนุกสนานไปกับบรรยากาศเก๋ๆ ที่มีแต่สีสันสดใส มองตรงไหนก็มีชีวิตชีวา       เฉกเช่นเดียวกับ ‘A Fox Princess + Friends’ ที่เต็มไปด้วยความคัลเลอร์ฟูล ทั้งจากของตกแต่งอย่าง ตุ๊กตาจากแอนิเมชั่นชื่อดังนานาเรื่อง และผนังหลากสีสันที่มีไฟนีนอนเก๋ๆ แซมอยู่ เห็นแล้วอยากแชะรูปลงโซเชียลทันควัน ด้านในสุดของร้านมองผ่านกระจกใสเข้าไปในครัวจะเห็นเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น ก็ดูเพลินตาไปอีกแบบเหมือนกัน     ส่วนเรื่องอาหารนั้น ทางร้านเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนสไตล์เรียบง่าย แต่ครบครัน ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบคุณภาพทั้งในเมืองไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ มีทั้งพิซซา สเต๊ก สปาเกตตี รวมไปถึงขนมโฮมเมด และเครื่องดื่มต่างๆ แถมยังเป็นร้านเดียวในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ที่มีค็อกเทลบริการอีกด้วย (สายดื่มยิ้มกริ่ม) ว่าไปแล้ว A Fox Princess + Friends ก็เป็นร้านที่รองรับลูกค้าได้หลายกลุ่มเลยทีเดียว       เรียกน้ำย่อยกันกับ Orange (Mandarin) Salad (260 บาท) สลัดชามโตนี้ประกอบไปด้วย ผักสดนานาชนิด ส้มแมนดารินรสเปรี้ยวหวาน พิตาชิโอกรุบกรอบ ปลาแองโชวี หอมกลิ่นมอลต์ วิสกี้     Conchiglie Stuffed Ricotta & Spinach with Pomodoro Sauce (250 บาท) คอนคี้เหญ่ เส้นพาสตารูปเปลือกหอยอวบอ้วนสอดไส้ผักโขมอบชีสรสครีมมี เข้ากันดีกับซอสโปโมโดโร ซึ่งทำมาจากมะเขือเทศสดรสเปรี้ยวสดชื่น     Cumin Rosemary Lamb (390 บาท) ซี่โครงแกะคุณภาพหมักกับสมุนไพรย่างหอมฟุ้ง ขมิ้น และโรสแมรี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดซอสกระเทียมพริกไทย รสเผ็ดร้อนกำลังพอดี เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง และกระเทียมอบ     ยังไม่อิ่มสั่ง Our Favorite Pork Chop (350 บาท) พอร์คชอปชิ้นโตๆ จุใจ ราดเกรวี่แอบเปิ้ลรสกลมกล่อม กินคู่กับมันม่วงบดเนื้อเนียน ลูกพีชอบเนื้อนุ่ม รสหวาน และกะหล่ำปลีดอง     เมนูซุปที่นี่ก็น่าสนใจ Fresh Tomato Soup (160 บาท) ซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวนุ่มนวลที่ทำจากมะเขือเทศสด หอมกลิ่นเบซิลอ่อนๆ สาวกคนรักเส้นต้องชิม A Fox’s Choice เส้นสปาเก็ตตีอัลเดนเต้ ล้อมรอบด้วยซอสโปโมโดโรรสเปรี้ยวละมุน       พร้อมจิบ Lychee Berries Princess Soda (160 บาท) รสเปรี้ยวอมหวาน ได้ความสดชื่นจาก น้ำลิ้นจี่ เบอร์รี ไซรัป และน้ำโซดาซาบซ่า