Le Khwam Luck Café Bar & Restaurant  (เลอความลัค) ร้านสวยที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลแม้เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน กินขาดกับบรรยากาศสุดโรแมนติกเหมาะกับทุกช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต ภายในร้านมีทั้งโซนอินดอร์ที่ตกแต่งอย่างประณีตพิถีพิถัน เน้นสีขาวสลับดำผสมผสานกันทั้งเฟอร์นิเจอร์และของประดับ ส่วนเอาท์ดอร์เป็นสวนสไตล์อังกฤษที่ค่อนข้างกว้าง แบ่งสัดส่วนด้วยแนวต้นไม้ให้นั่งเอนจอยได้แบบไม่รบกวนกัน เมนูอาหารนำเสนอสไตล์อิตาเลียน รวมถึงเบเกอรี่โฮมเมด และเครื่องดื่มนานาชนิด เริ่มต้นที่ออเดิร์ฟ ขนมปังเชียบัตตาเสิร์ฟคู่เนยกระเทียมให้เราหยิบกินเล่นระหว่างรอเมนูหลัก ซิกเนเจอร์ห้ามพลาด ได้แก่ Tartufo Pizza พิซซาแป้งบางทาครีมซอสเบชาเมลที่ผสมผสานกับครีมทรัฟเฟิลจนได้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ออนท็อปด้วยชีสมอสซาเรลรา และเห็ดแชมปิญองผัดกับกระเทียมและใบไทม์สด ไฮไลท์คือทรัฟเฟิลสไลซ์ที่ใส่มาให้ไม่อั้น เอาใจคนรักเส้นด้วย Al Nero เส้น Tagliolini ที่เชฟนวดแป้งและรีดเส้นเอง นำมาลวกพอสุกแล้วผัดกับกุ้ง หมึก หอยแมลงภู่ และหมึกดำ รสชาติกลมกล่อมเข้ากันดีทุกองค์ประกอบ Truffle soup with Croissant ทรัฟเฟิลซุปที่มีส่วนผสมของทรัฟเฟิลผัดกับครีม น้ำสต๊อกผักและเนย เสิร์ฟกับครัวซองต์เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น สดชื่นกว่าใครยกให้ Burrata & Cherry-Tomato Confit and Peach Chuthey Salad มีทั้งลูกพีช มะเขือเทศ บูราต้าชีส ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิก สาวๆ อยากสุขภาพดีห้ามพลาด Tiger Prawn Soup Calamari หมึกชุบแป้งทอด 2 สี ได้แก่ สีจากแป้งธรรมชาติและสีดำจากหมึก เนื้อสัมผัสกรอบนอกหนึบใน เสิร์ฟพร้อมทาร์ทาร์ซอสโฮมเมด ถ้าอยากได้รสเปรี้ยวสดชื่นก็มีเลมอนผ่าซีกมาให้เสริมรสชาติ นอกจากอาหารจานเด็ด เบเกอรี่ก็ยั่วน้ำลายไม่น้อยหน้า อาทิ French Croissant แป้งกรอบนอกฉ่ำใน เคี้ยวแล้วหอมเนยขึ้นจมูก หากเป็นสาวกเค้กมะพร้าวสั่ง Coconut Cake เนื้อเค้กนุ่มเนียนลิ้น สลับด้วยชั้นครีมมะพร้าวนุ่มเบาและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสหวานละมุนกำลังดี กินได้หมดชิ้นแบบไม่รู้สึกผิด สำหรับเครื่องดื่มเอาใจสายหวานด้วย Mocchachino ที่มีส่วนผสมทั้งกาแฟ นม และช็อคโกแลตในสัดส่วนที่ลงตัวพอดี แต่ถ้าอยากเติมความสดชื่นคลายร้อนลองแก้วนี้ Berry Berry จิบแรกก็จี๊ดจ๊าดดีต่อใจ ไม่ต้องรอโอกาสพิเศษก็โรแมนติกได้ทุกวันที่นี่

พลพรรคนักชิมคนไหนแวะมาเที่ยวอำเภอหัวหินแล้วอยากกินมื้อเย็นสไตล์อิตาเลียนหรือไทย เราขอเชิญชวนไปที่ “Figs Restaurant” ร้านอาหารไทย-อิตาเลียนแห่งโรงแรมไฮแอท รีเจนซี หัวหิน ที่รวมความอร่อย 2 สไตล์มาไว้ที่เดียว ให้สายฟู้ดได้อร่อยกับอาหารไทยรสจัดจ้าน และอาหารอิตาเลียนรสเข้มข้นที่รังสรรค์จากเชฟสัญชาตินั้นๆ ต้อนรับด้วย Focaccia ขนมปังในแบบฉบับอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอก เกลือและพริกไทย ตามด้วย ยำส้มโอ อาหารเรียกน้ำย่อยไทยโบราณรสชาติคุ้นเคย ส้มโอรสเปรี้ยวอมหวานคลุกเคล้ากับเครื่องเคลาต่างๆ มีกุ้งตัวโตเนื้อหวานอยู่ด้วย สามชั้นทอดน้ำปลา ของโปรดเราเลย สามชั้นทอดกรอบๆ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มหวานและน้ำจิ้มแจ่ว Burratina di Hua Hin Pesto Trapanese ชีสบูราต้าทำเองรสหอมมัน เคล้าไปกับน้ำมันมะกอก มะเขือเทศเชอร์รีและสมุนไพรต่างๆ Cotoletta alla Milanese ของว่างสไตล์อิตาเลียนแสนอิ่มเอม ลูกกลมๆ สีเหลืองทองนี้คือเนื้อหมูผสมกับมันบดและชีสพาร์เมซานครีมมี ต่อด้วย Crema di funghi ซุปครีมเห็ดรสหอมมัน เข้ากันดีกับขนมปังซาวร์โดปิ้งเกรียมๆ สาวกพาสตาต้องปลื้ม Ravioli Tagliolini Aalla Zucca ราวิโอลีสอดไส้ซอสฟักทอง ผัดพร้อมซอสครีมหอมมัน ยังมีจานซิกเนเจอร์อย่างStracciatella Prosciutto E Fichi พิซซาแป้งบางกรอบสไตล์โฮมเมดเสิร์ฟร้อนๆ ทาซอสมะเขือเทศสูตรลับ ท็อปด้วยลูกฟิกซ์ พาร์ม่าแฮม ใบร็อกเก็ต และชีสต่างๆ อย่าง พาร์เมซานและมอซซาเรลล่า อย่าเพิ่งอิ่มเพราะยังมี Pork Chop หมูติดกระดูกชุบแป้งทอดหอมๆ กินคู่กับมันบดเนื้อเนียนและซอสอะโวคาโดครีมมี ปลาเก๋าราดพริก ปลาเก๋าเนื้อแน่นหวาน ทอดอย่างดีไม่อมน้ำมัน ผัดพร้อมพริกสดร้อนแรง เข้าคู่ข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเลย ปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง Tiramisu ของหวานสไตล์อิตาเลียนที่สายหวานเลิฟ ขนมเลดี้ฟิงเกอร์ชุ่มกาแฟ สลับชั้นกับชีสมาสคาโปนหอมมัน โรยหน้าด้วยผงโกโก้ ก่อนท็อปด้วยคุกกี้กาแฟกรุบกรอบ และ ขนมหม้อแกง จากเจ้าดังย่านเพชรบุรี รสหวานมันกำลังดี เข้าคู่กับหอมเจียว

ไตรมาสสุดท้ายของปีคือช่วงเวลาดีๆ แห่งการสังสรรค์ แนะนำ Matchibako หรือกล่องไม้ขีดไฟ ร้านแฮงก์เอาท์เปิดใหม่ย่านทองหล่อที่เหมาะกับการดื่มกิน ความแปลกใหม่ของร้านคือตกแต่งฉีกลุคอิซากายะ หรือร้านเหล้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่หลายคนคุ้นเคยมาในสไตล์บิสโทร คุมโทนด้วยสีแดงส้ม ตั้งแต่ผนังอิฐ เสากลมกลางร้าน พื้น และเฟอร์นิเจอร์ สีส้มยังสื่อถึงรสชาติและช่วยกระตุ้นให้เราเจริญอาหารอีกด้วย อาหารของร้านนำเสนอสไตล์อิตาเลียนและยุโรป ปรุงจากวัตถุดิบอิมพอร์ตจากญี่ปุ่น เน้นพอชชั่นไม่ใหญ่มาก เหมาะกินเป็นกับแกล้มเบาๆ แบบร้านอิซากายะ อาทิ Brie บรีชีสเสิร์ฟพร้อมสาหร่ายอบแห้ง โชยุ แผ่นเกี๊ยวซ่ากรอบ และวาซาบิ เป็นเมนูที่เข้าคู่ได้กับไวน์ทุกแก้ว Chicken Liver Pâté ตับไก่เนื้อเนียน อบอวลด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและได้รสหวานกลมกล่อมจากหอมใหญ่ผัด เวลากินตักปาดบนขนมปังฟอร์กาเซียหนึบๆ เหนียวๆ เคี้ยวเพลิน Sakana Tartare ทาร์ทาร์ปลาดิบ 3 ชนิด ได้แก่ ฮามาจิ แซลมอน และทูน่า ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำมันมะกอก พริกไทย น้ำมะนาว เสิร์ฟกับอะโวคาโด คาเวียร์ และขนมปังฟอร์กาเซีย เป็นเมนูที่กินแล้วสดชื่น ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา หลังเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน เช่นเดียวกับ Burrata Salad บูราต้าชีสเสิร์ฟกับซัลซ่าผลไม้ ฟักทอง มะเขือเทศพิวเร่ และบัลซามิก อิ่ม อร่อย สบายท้อง Tsukune Aioli เนื้อไก่บดผสมเนื้อหมูกับกระดูกอ่อนปั้นเป็นลูกกลมพอดีคำ  กินกับซอสกระเทียมแบบอิตาเลียน   หากเริ่มหิวและมองหาจานหลักหนักท้องสั่ง New York Strip สเต๊กเนื้อแองกัสขนาด 300 กรัม เสิร์ฟกับซอสสไตล์ญี่ปุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ เค็มปลายลิ้นเล็กน้อย กินกับสลัดผักสดและผักย่าง ถ้าชอบเมนูเส้นแนะนำ Pappardelle with Pork Cheek Ragu Burrata เส้นปัปปาร์เดลเลเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยรากูแก้มหมูที่ตุ๋นนาน 4 ชั่วโมง รสชาติกลมกล่อมแทบละลายในปาก ปิดท้ายด้วยของหวานโฮมเมด Panna Cotta หรือ Lisbon Chocolate Cake เป็นร้านที่เปิดตัวได้ไม่นาน ก็เป็นที่รวมของคนรักการดื่มกินไปแล้ว!

เสิร์ฟความอร่อยที่สาขาลิ้นจี่ได้สักพัก คราวนี้ “A Bowl of Pasta” ร้านพาสต้าเส้นสดขวัญใจสายฟู้ดก็เลือกมาปักหมุดที่โลเคชั่นในตัวเมืองย่าน ‘เอกมัย’ เอาใจชาวกรุงฯ กันบ้าง พื้นที่กว้างๆ สามารถเลือกที่จอดรถได้อย่างตามใจ ตัวร้านเป็นบ้านไม้สีขาวที่ภายนอกตกแต่งด้วยต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ร่มรื่น กระจกใสบานใหญ่ทำให้เห็นบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นด้านใน ผนังสีขาวครีมไปด้วยกันได้ดีกับพื้น เฟอร์นิเจอร์ไม้ และโซฟาหนังหนานุ่มสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของร้านคือ “เชฟผึ้ง - ณฐิณี จีระลักษณกุล ศิษย์เก่าคนเก่งแห่งสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ ด้วยความที่เลิฟเมนูพาสตามากเธอจึงครีเอทร้านนี้ขึ้นมา แถมยังได้เชฟเมย์-พัทธนันท์ ธงทอง เชฟฝีมือขั้นเทพดีกรีรองแชมป์จากรายการ Top Chef Thailand Season 1 และเจ้าของร้าน Maze Dining มาช่วยคิดค้นเมนูรสชาติดีที่มาในคอนเซ็ปต์ “Pick Your Bowl of Happiness” เลือกชามอร่อยแห่งความสุขด้วยตัวของคุณเอง A Bowl of Pasta โดดเด่นด้วยเมนูพาสตาเส้นสดถึง 20 แบบ แบ่งออกเป็น 2 สไตล์ อาทิ แบบคลาสสิคที่หลายคนชอบ ได้แก่ พาสตาซอสมะเขือเทศ พาสตาคาโบนารา และแบบที่ทางร้านคิดสูตรเอง เช่น ซอสวอดก้า ซอสปูผัดพริกเหลืองไวน์ขาว เป็นต้น ยังมีจานหลักต่างๆ รวมไปถึงพิซซาสไตล์โฮมเมด ที่เสิร์ฟเฉพาะสาขาเอกมัยเท่านั้นด้วยนะ (ขอบอก) ต้อนรับด้วย แป้งพิซซาอบ เรียกน้ำย่อยกันก่อน แป้งพิซซาอบกรอบร้อนๆ กินคู่กับน้ำมันมะกอกชั้นดีผสมบัลซามิกเข้ากัน ก่อนเริ่มมื้ออร่อยด้วย Rocket Strawberry Bacon Almond Salad สลัดผักชามโตที่ประกอบไปด้วย ผักร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า สตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน เบคอนทอดกรอบเค็มๆ อัลมอนด์กรุบกรอบเคลือบช็อกโกแลต และชีสพาร์มีซานหอมมัน ราดบัลซามิกโฮมเมดรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อด้วย Cured Sea Bass Herb Salad & Colatura Di Alici Vinaigrette ปลากะพงชาชิมิเนื้อสดหวาน ราดน้ำยำสมุนไพรครบรส ได้รสเค็มกลมกล่อมจากน้ำปลาอิตาเลียนที่ทางร้านทำเอง Spanish Iberico Pork & Truffle Ragu เมนูดาวเด่นของร้าน พาสตาเส้นสดให้สัมผัสหนึบๆ กินเพลิน คลุกเคล้ากับซอสหมูดำไอบีเรียสไตล์สเปน หอมฟุ้งกลิ่นทรัฟเฟิล หลายคนชอบ Brown Butter Scallop Yuzu White Wine Risotto รีซอตโตหุงสุกำลังดี ผัดพร้อมซอสครีมและผิวเลมอนเชื่อมในแบบฉบับโฮมเมด ท็อปด้วยหอยเชลล์เนื้อหวานตัวอ้วน ต่อด้วย Jumbo Grilled Tiger Prawn with Strawberry Salsa กุ้งลายเสือตัวใหญ่น่ากิน ย่างเนยและกระเทียมให้หอม เนื้อสุกพอเหมาะ เสิร์ฟพร้อมกับซัลซ่าสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น ปิดท้ายด้วยขนมที่เราโปรดปรานนั่นคือ Caramel Custard คัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง รสหอมมัน ไปด้วยกันได้ดีกับน้ำกาแฟรสเข้ม วิปครีมตีสด และเบอร์รีต่างๆ และ Peach Melba & Crumble ไอศกรีมวานิลลาที่ทำจากฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ผสมเนื้อพีชฉ่ำๆ ที่ส่งตรงมาจากโครงการหลวงแห่งเมืองเชียงใหม่ เข้ากันกับครัมเบิ้ลโฮมเมด สัมผัสกรุบกรอบหอมกลิ่นเนยสด ใครอยากมาลิ้มลองต้องจองก่อนนะ

ใครที่คิดถึงรสชาติอาหารอิตาเลียนของร้าน Signor Sassi เตรียมไปเช็คอินที่เกษรวิลเลจได้เลย ครั้งนี้ทางร้านกลับมาในชื่อ Isola by Signor Sassi” ซึ่งเป็นการแทกทีมระหว่างแบรนด์ยิ่งใหญ่อย่าง Isola กับ Signor Sassi แน่นอนว่าอาหารยังคงคอนเซ็ปต์ Ristorante Italiano From London จานอร่อยอิตาเลียนจากเมืองลอนดอนเช่นเคย เพิ่มเติมคือบรรยากาศ ‘ Feel Like Home’ สนุกสดใสเข้าถึงง่ายเหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัว และเพื่อนฝูง Isola by Signor Sassi ตั้งอยู่บริเวณชั้น G ของ Gaysorn Villege ตัวร้านโดดเด่นด้วยสีน้ำเงินตัดกับสีเหลืองสดใส ภายในปูด้วยพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อน เข้ากันดีกับเก้าอี้หวายน่านั่ง เพดานพันด้วยผลเลมอน ซึ่งเป็นวัตถุดิบล้ำค่าประจำแคว้นซิซิเลีย ประเทศอิตาลี ยิ่งแสงแดดสาดเข้ามาสู่หน้าต่างกระจกใสยิ่งสร้างมู้ดแอนด์โทนให้สำราญใจเสมือนคุณนั่งชิมอาหารในสวนเลมอนอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนั้นที่ร้านยังมีโซนพิเศษสำหรับแขกผู้ต้องการความเป็นส่วนตัว พื้นหินอ่อนลายสวนสีน้ำตาล เหมาะมากเมื่ออยู่คู่กับเก้าอี้โซฟาสีเหลืองมัสตาร์ด คอนทราสกันได้ดีกับผนังกระเบื้องเวเฟอร์สีน้ำเงิน ที่ประทับด้วยลวดลายเลมอนสดชื่น ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยหรู เรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูเบาๆ ก่อนกับ Avocado Bernardo อะโวคาโดที่เรารัก เคล้าไปกับเนื้อล็อบสเตอร์หั่นชิ้นพอดีคำ กุ้งเนื้อหวาน ราดซอสค็อกเทลรสครีมมี ไม่เลี่ยนแต่อย่างใดเนื่องจากแซมด้วยความเผ็ดเล็กๆ ของผงปาปริก้า Prosciutto e Melone จานนี้เราชอบมาก แฮมแผ่นบางๆ สไตล์อิตาเลียน ที่ผ่านการหมักถึง 18 เดือนจนได้รสเค็มกลมกล่อม เข้ากันดีกับเมลอนจากประเทศอิตาลีรสหวานฉ่ำ ตามด้วย Tartare di Tonno ทาร์ทาร์ทูน่าเนื้อสดหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับอะโวคาโด และซอสครีมสูตรเฉพาะของทางร้าน บีบเลมอนซีกลงไปเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่น มาถึงจานซิกเนเจอร์ที่รอคอยสักที Spaghetti Granseola สปาเก็ตตีจานโตๆ น่ากิน เส้นเหนียวนุ่ม ผัดพร้อมปูแมงมุมญี่ปุ่นชั้นดีเนื้อแน่นๆ มะเขือเทศ และซอสรสกลมกล่อม เมนูนี้ก็อร่อย Risotto Al Nero Di Seppia E Tartufo รีซอตโตรวมไปกับหมึกดำจากหมึกกระดอง หอมกลิ่นทรัฟเฟิลเตะจมูก เสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ย่างตัวอวบๆ สายเนื้อต้องสั่ง Tournedo Rossini สเต็กเนื้อวากิวฉ่ำลิ้นชิ้นใหญ่ๆ ใช้ส่วนเทนเดอร์ลอยน์ซึ่งมีความนุ่มที่สุดของวัว นำมาย่างอย่างพิถีพิถัน ราดซอสไวน์แดงที่รังสรรค์จากไวน์มาเดรา รสออกหวาน ท็อปด้วยตับห่านชิ้นหนา ก่อนโรยด้วยทรัฟเฟิลสด คนรักเมนูปลาปลื้ม Dover Sole ปลาตาเดียวตัวบิ๊กเบิ้มจุใจ เลาะก้างมาอย่างดีให้กินง่าย ราดซอสไวน์ขาวรสนุ่มนวล ได้รสเปรี้ยวเล็กๆ จากเลมอนหั่นแว่นด้วย ของหวานเราสั่ง Lemon Cheesecake ฟินเกินเบอร์ ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลโฮมเมดกรุบกรอบ เข้าปากพร้อมครีมชีสและฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสก้า และเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวกลมกล่อม ตกแต่งด้วยเลมอนเบิร์นให้หอม ยังมี Millefoglie ของโปรดสายหวาน แป้งพัฟเพสทรีหอมกรุ่น สลับชั้นกับครีมชานทิลลี่ ได้ความหอมมันเต็มพิกัดจากฝักนิลลาแท้ๆ ตบท้ายด้วย Sidecar ค็อกเทลที่ได้รสเปรี้ยวจากน้ำเลมอนสด และดีกรีความแรงจากบรั่นดีชั้นเลิศของประเทศฝรั่งเศส หลังสามทุ่มมีดีเจมาเปิดแผ่นให้แดนซ์มันส์ๆ ด้วยนะ

ปราสาทหลังงามบนเนินเขาแห่งนี้ ถ้าดูจากภาพถ่ายคงนึกว่าอยู่ในอิตาลี แต่ความจริงคือสัตหีบบ้านเรานี่เอง นอกจากความสง่างามชวนตื่นตาตื่นใจตั้งแต่แรกเห็น ทางร้านยังตกแต่งพื้นที่ภายในวิจิตรตระการตาไม่น้อยหน้าภายนอก ใครชอบงานศิลป์จะยิ่งปลื้มเพราะเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมที่รวมภาพเขียนและประติมากรรมหินอ่อนที่ล้วนมีสตอรี่น่าสนใจ ชมเพลินเหมือนเดินอยู่ในอิตาลีจริงๆ ที่นี่นำเสนออาหารอิตาเลียนสูตรต้นตำรับที่กินแล้วเข้ากับบรรยากาศที่สุด จานแรกแนะนำ ซีซาร์สลัด น้ำสลัดเข้มข้นหอมมันที่ได้จากการนำแอนโชวี เคปเปอร์ ผักดอง และชีสมาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ราดบนเบบี้คอส ขนมปังกูร์ตอง และเบคอนกรอบ โรยพาเมซานชีสเพิ่มรสเค็มมัน อีกเมนูสุดฮอตคือพิซซ่าโฮมเมดที่มีให้เลือกหลายหน้า แต่ที่โดนใจเราที่สุดยกให้พิซซ่าฟรัวกราส์ พิซซ่าแป้งบางกรอบ ราดซอสเทอรีนรสเปรี้ยวเค็ม ท็อปด้วยฟรัวกราส์ชิ้นใหญ่ที่ใส่มาให้เต็มที่ ชูรสเปรี้ยวหวานอีกนิดด้วยซอสแบล็กการ์ลิก สเต๊กเนื้อวากิวจานนี้ให้เต็ม 10 ไม่หัก ด้วยน้ำหนักมากถึง200กรัม เนื้อวากิวกริลล์แบบสุกนอกฉ่ำใน ราดด้วยซอสเปปเปอร์หอมกลิ่นพริกไทย เสิร์ฟพร้อมราตาตุย เบลเปปเปอร์ ซูกินี และการ์ลิกย่าง อย่าลืมไวน์แดงรสเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติให้น่าสนใจขึ้นทวีคูณ ชิทาราสปาเกตตี้คาร์โบนารา สปาเกตตี้เส้นสดต้มแบบอัลเดน เต้ ด้านนอกนุ่มหนึบแล้วกรึบด้านใน ยังได้ความครีมมี่จากส่วนผสมของนมและชีส เสริมทีมด้วยเบคอนรสเปรี้ยวจางๆ จากการอบกับไม้ลิ้นจี่ จบมื้อด้วยทาร์ตสตรอว์เบอรี ของหวานจานสวย มีครัมเบิ้ลเอิร์ลเกรย์ ครีมวานิลลา สตรอว์เบอร์รี่ชิพ สตรอว์เบอร์รีสด กินกับไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ รสเปรี้ยวอมหวาน หนึ่งวันอาจยังไม่พอ เพราะหลายโมเมนต์ดีๆ จะทำให้คุณลืมเวลาไปเลย

หากพูดถึง Tango แบรนด์เครื่องหนังของคนไทย ที่ครองใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนานนั้น ตอนนี้แบรนด์ได้เนรมิต House of Tango ร้านอาหารอิตาเลียนที่รังสรรค์เมนูจากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน โดยเน้นสีสันและรสชาติเพื่อเอาใจเหล่าสาวกให้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของ Tango อย่างแท้จริง           ภายในร้านตกแต่งด้วยของที่ระลึกจากแต่ละประเทศที่เจ้าของร้านเคยไปมาวางไว้ตามมุมต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัว และยังให้ความสำคัญการรับประทานอาหารร่วมกันแบบชาวไทย ชาวอิตาเลียนและอีกหลายประเทศที่มีวัฒนธรรมคล้ายกันนี้ จึงกลายมาเป็นเมนูอาหารที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ราวกับได้เดินทางไปเที่ยวไปกินอาหารรอบโลกพร้อม House of Tango         อาหารที่แนะนำเป็นซิกเนเจอร์ของร้านทั้งหมด เริ่มต้นด้วย Mixed Tomatoes Salad สลัดมะเขือเทศซึ่งเพิ่มเติมรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นด้วยแตงโม และทับทิม ปรุงรสเปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังดี จุดเด่นอยู่ที่มะเขือเทศซึ่งนำสายพันธุ์ดั้งเดิมจากอิตาลีมาปลูกในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อด้วย Blue Mussel หอยแมลงภู่จากชิลีนึ่งซอสไวน์ขาว อร่อยกลมกล่อม       Sweet Pumpkin Ravioli, Truffle Cream Sauce ราวิโอลีแป้งสดทำเอง เพิ่มสีสันชวนกินให้เส้นพาสตาด้วยลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากแพตเทิร์น แพทเวิร์ค โดยใช้สีจากผัก อย่างสีแดงนี้สกัดจากบีตรูตกับมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมซอสทรัฟเฟิล ได้รสหวานเล็กน้อยจากไส้ฟักทอง     จานต่อมา Thai River Prawn สปาเกตตีกุ้งแม่น้ำ ได้กลิ่นรสจากกระเทียม น้ำมันมะกอก ไวน์ขาว เส้นหมึกดำจากแป้งซีโมลินานำเข้าจากอิตาลีตอนใต้     Wild Mushroom Risotto with Bone Marrow ริซอตโตซอสไวน์แดง เสิร์ฟคู่กับไขกระดูกวัว รสชาติเข้มข้น ได้ความเปรี้ยวจากไวน์แดงและความหอมมันจากเนย     สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดกับ Beef Wellington เนื้อสันในจากออสเตรเลีย ห่อด้วยสมุนไพรและแป้งพัฟ หั่นโชว์เนื้อนุ่มในระดับ Medium Rare ชุ่มฉ่ำด้วยซอสไวน์แดง ปิดท้ายด้วย Milles Feuilles มิลเฟยของหวานสัญชาติฝรั่งเศส หวานกำลังดีเลย       ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้าของ Tango โดยเฉพาะ

Terra Nova ร้านอาหารอิตาเลียนโมเดิร์นแห่งใหม่ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Bring an imagination to the authentic cuisine โดยชื่อร้านเป็นการนำคำว่า Terra ที่หมายถึงดิน มาเจอกับ Nova หรือดวงดาวสุกสว่าง เช่นเดียวกับอาหาร 2 รูปแบบคืออาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิมและอาหารอิตาเลียนสมัยใหม่ นำทีมโดยเชฟอ๊อตโต้-ประภาศน์ ปาณะวีระ Top Chef Thailand Season 2 และเชฟอาดัม นิโคมเดส ลินเดอร์ เจ้าของประสบการณ์ 25 ปี จากร้านและโรงแรมดังในหลายประเทศ       บรรยากาศภายในร้านนั้นสวยงามฉูดฉาดด้วยสีส้มอิฐตัดด้วยสีดำเพิ่มความน่าค้นหา ตกแต่งด้วยเครื่องปั้นดินเผาและงานศิลป์จากศิลปินชาวอิตาเลียนชื่อดังอย่างฟอร์นาสเซ็ตติ รวมถึงโคมไฟสั่งทำพิเศษล้อไปกับคาแรกเตอร์ร้าน       ครั้งนี้เราได้ลองเมนูฝั่ง Nova เมนูโมเดิร์นผสมผสานหลายสัญชาติฝีมือเชฟอ๊อตโต้ เริ่มด้วย Tuna Saku Kale Avocado Salad สลัดผักเคลสดกรอบ เซียร์ทูน่าที่แอบซ่อนรสเผ็ดนิดๆ ควินัว มะเขือเทศ และแรดิช ตามด้วย Spaghetti Spicy Braised Octopus สปาเกตตีผัดหนวดปลาหมึกยักษ์ตุ๋นกับมะเขือเทศสดและเฮิร์บจนเปื่อยนุ่ม Salmon Steak สเต๊กแซลมอนซอสเพสโต มะเขือม่วง มะเขือเทศ ซูกินี แครอต หอมแดงตัดด้วยบัลซามิกเจล         นอกจากนี้ยังมี Spanish Seafood Soup ซุปสเปนที่มีรสเผ็ดปลายจากปาปริกา เข้มข้นจากมะเขือเทศ กุ้ง ปลาหมึก และเนื้อปู แต่งด้วยกรีนออยล์จากใบโหระพาเพิ่มกลิ่นหอม และ Spicy Smoke Salmon ที่มีทีเด็ดคือซอสน้ำพริกเผาแซลมอนที่เชฟคิดขึ้นมาเพื่อที่นี่โดยเฉพาะ       ปิดท้ายด้วย Chocolate Balsamic Pots De Cream ช็อกโกแลตบัลซาบิกมูสเสิร์ฟกับช็อกโกแลตที่ทำให้เหมือนดินล้อไปกับชื่อร้าน     ครบรสทั้งเปรี้ยว ขม หวาน

เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมแบบพลิกฝ่ามือกันไปเลยกับร้านอาหารบนชั้น 14 ของโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนมือจากเชฟหนวดอารมณ์ดี “บลูโนส” มาเป็น “แอนติโต้” อาหารอิตาเลียนในสไตล์แคชชวลไดนิ่ง       ผู้ที่มาปรับโฉมใหม่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเชฟที่เราคุ้นเคยดีอย่าง อเมริโก้ ติโต้ เซสทิ เชฟมิชลินหนึ่งดาวสี่ปีซ้อนจากห้องอาหารฝรั่งเศส แฌม บาย ฌอง มิเชล โลรองต์ โรงแรมยูสาทร       แอนติโต้ อยู่บริเวณริมสระน้ำได้วิวพาโนราม่าใจกลางเมือง บรรยากาศเปิดโล่งลมโชย ตกแต่งด้วยศิลปะป็อปอาร์ตของศิลปินชื่อดัง เฟอร์นิเจอร์เน้นสีสันสดใส เหมาะกับนัดเพื่อนในวันหยุด       เมนูของเชฟเน้นใช้วัตถุดิบอย่างดีจากในประเทศ รวมทั้งนำเข้าจากอิตาลี อย่างเช่นเมนูที่เราได้ชิมได้แก่ Prawn Carpaccio คาร์ปาชโชกุ้งสไตล์เมดิเตอเรเนียน จานสดชื่นที่ได้รสหวานของกุ้งลายเสือ มะเขือยาวสไลด์บางหมักในเลมอนเดรสซิ่ง และมะเขือเทศเชอร์รีอบ     Pizza Fritta เมนูดั้งเดิมของเมืองเนเปิล ที่นำแป้งพิซซาโดไปทอดจนฟู กรอบนอกนุ่มใน ราดซอสมะเขือเทศ และชีสบูราต้าเนื้อนุ่มมัน     Cavatelli Arrabbiati พาสตาคาวาเทลลี พาสตาโฮลวีตโฮมเมดชิ้นเล็กปั้นด้วยมือ เนื้อหนึบ ในซอสมะเขือเทศอาราเบียต้ารสเผ็ด กับมะเขือม่วง และชีสริคอตตารมควันจากเชียงใหม่     อาหารจานหลักในสไตล์บ้านเกิดของเชฟ Pork Collar คอหมูตุ๋นข้ามคืนนุ่มๆ ราดซอสไวน์แดงเสิร์ฟคู่กับมันฝรั่ง และแครอตบด สุดท้ายห้ามพลาดของหวาน Meringata เมอแร็งค์ผิวนอกกรอบ ข้างในเป็นครีมมาสคาร์โปน และไอศกรีมเจลาโต หอมหวานมัน       อย่าลืมสั่งม๊อกเทลสีสวยสดใสอย่าง Butterfly Tea และ Caramella มาจิบเบาๆ รับบรรยากาศสดชื่นริมสระน้ำ       เป็นการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ที่มีทั้งสีสัน และสดใส

พาสต้าบาร์สีฟ้าสดใสที่มีเมนูพาสต้าเส้นสดเป็นตัวชูโรงอย่างลาดอตต้า La Dotta มาเปิดสาขาใหม่ที่สีลม ซอยคอนแวนต์ให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น       La Dotta Pasta Bar & Store สาขา 2 นี้อยู่ข้างบาร์สุดเท่ Verper Cocktail Bar พื้นที่กว้างขวางกว่าสาขาทองหล่อ มีบาร์หินอ่อนที่วางโชว์เส้นพาสต้าทำใหม่สดทุกวัน เช่น Pappardelle เส้นแบน Ravioli  และ Tortelloni พาสตาสอดไส้ที่รูปร่างเหมือนเกี๊ยว ด้วยฝีมือของ ฟรานเชสโก ดีอาน่า เชฟพาร์ทเนอร์ชาวอิตาเลียน ผู้เชี่ยวชาญในการทำเส้นพาสตา และซอสสูตรโฮมเมด รวมทั้งใช้วัตถุดิบคุณภาพดีนำเข้าจากอิตาลี มาทำเป็นเมนูอร่อยที่ห้ามพลาดได้แก่       Fritto Misto (340 บาท) จานเรียกน้ำย่อยที่รวมปลาหมึก เนื้อปลากะพงแดง อะโวคาโดคลุกเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมซอสทาร์ทาร์โฮมเมดรสเข้มข้น     Carbonara Bucatini (390 บาท) คาโบนาร่าสไตล์โรมันแท้ รสเค็มมันสุดครีมมี เสิร์ฟกับไข่แดงออร์แกนิค เบคอนแก้มหมูทอดเหลืองๆ และชีสเปโกริโน โรมาโนกลิ่นหอม     Fileja pork ribs (450 บาท) เส้นฟิเลจาบิดด้วยมือเป็นเกลียวเนื้อเหนียวนุ่มเคี้ยวหนึบ อุ้มซอสได้ดี กับซี่โครงหมูที่เคี่ยวจนนุ่มร่อนออกจากกระดูก     Allo Scoglio (490 บาท) เส้นลิงกวินีผัดกับซอสมะเขือเทศที่ใส่ซีฟู้ดเต็มๆ ทั้งกุ้งตัวโต และปลาหมึกชิ้นอวบ     Fresh duck’s egg Raviloi & black truffle (390 บาท) ราวิโอลีไส้บีทรูทอบ และชีสนมแพะ สีชมพูสวย รสหวานมันอร่อย     ปิดด้วยของหวานคลาสสิคอย่าง La Dotta’s tiramisu (340 บาท) ทีรามิสุรสเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟ รสหวานปนขมผสมกันทำให้กินเพลิน     พาสตาเส้นสดแบบนี้แนะนำว่าไปกินที่ร้านดีที่สุด หรือจะสั่งเดลิเวอรีมากินเป็นมื้อกลางวันก็เหมาะสำหรับสาวออฟฟิศทีเดียว     เดลิเวอรีสั่งผ่านได้จาก : Grab Food, Food Panda, Lineman และ Robinhood สำหรับท่านที่ต้องการทำพาสต้ารับประทานเองที่บ้าน มีบริการเส้นพาสต้าสด และซอสพาสต้าแบบกระปุก ซึ่งสามารถซื้อที่ร้านหรือสั่งผ่านบริการเดลิเวอรีได้เช่นกัน

Casa Pasta ซอยสุขุมวิท 101/1 หรือ ซอยวชิรธรรมสาธิต 9 ร้านอิตาเลียนเล็กๆ ที่ให้อารมณ์ร้านใกล้บ้านบรรยากาศอบอุ่นมากินพร้อมกับครอบครัวได้บ่อยๆ อาหารอร่อยที่เราคุ้นเคยดีด้วยฝีมือของเชฟที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี จากร้านอาหารอิตาเลียนชั้นนำ ที่อยากทำร้านอาหารอิตาเลียนดีๆ ในราคาที่ไม่แพง       ด้วยประสบการณ์ของเชฟ และการเลือกใช้วัตถุดิบนำเข้าคุณภาพดีจากอิตาลี และการปรุงที่สดใหม่ ที่นี่เสิร์ฟอาหารสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิม ทำแป้งพาสตาและพิซซาเอง โดยมีพาสตาเส้นสด 4 แบบให้เลือก       เมนูที่ห้ามพลาดคือ Fresh Homemade Black Spaghetti Seafood White Wine (290 บาท) จานขายดีของทางร้าน สปาเก็ตตี้เส้นสดผสมหมึกดำ เส้นนุ่มหนึบทำใหม่สดทุกเช้า ผัดกับน้ำมันมะกอกและซีฟู้ดแบบเต็มๆ ใส่ไวน์ขาว ให้กลิ่นหอมชวนกิน     ส่วนจานสลัดที่น่าลองคือ Casa Salad (260 บาท) สลัดสูตรพิเศษที่นำเห็ด 3 ชนิด แฮม ซาลามี และถั่ววอลนัต มาผัดกับน้ำมันมะกอก ใส่สมุนไพรอย่างโรสแมรีทำให้มีกลิ่นหอมน่ากิน ราดบนสลัดผักสดๆ เติมรสเข้มข้นด้วยบัลซามิกเดรสซิ่ง     ร้านนี้พิซซาก็เด็ด ที่ควรสั่งคือ Pizza Halfmoon (340 บาท) พิซซาหน้าปิด แป้งพับครึ่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พิซซาแป้งบางภายในอัดแน่นไปด้วยแฮม เห็ด ชีสมาสคาร์โปน และชีสมอซซาเรลลา นัวๆ นุ่มๆ หอมกลิ่นน้ำมันทรัฟเฟิล     ส่วนใครที่ชอบซีฟู้ดลองสั่ง Pizza Black Ocean (380 บาท) พิซซาแป้งบางกรอบสไตล์อิตาเลียน ผสมน้ำหมึกจากปลาหมึกให้แป้งเป็นสีดำสนิท มีกลิ่นหอมของทะเล ราดซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะ และซอสเพสโตสีเขียวเข้มกลิ่นหอม กับเครื่องซีฟู้ดแบบเต็มๆ ถาด     มาถึงอาหารจานหลักเราชอบเมนู Fish in the bag (390 บาท) เมนูสุดเฮลตี้ที่นำปลากะพงมาย่าง แล้วห่อด้วยกระดาษไข อบพร้อมกับน้ำมันมะกอก สมุนไพร และผักต่างๆ ยกมาเสิร์ฟและตัดห่อกระดาษที่โต๊ะ ได้กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย เนื้อปลาที่อบในกระดาษเนื้อนุ่ม หวานและหอม     อีกจานคือ Baked Sea Bass in Salt Crust (470 บาท) เมนูสำหรับครอบครัว ปลากะพงขนาดพอดีพอกด้วยเกลือทะเล นำไปอบจนเนื้อสุกนุ่ม หนังร่อน พนักงานจะมาเคาะเกลือออกที่โต๊ะ เผยให้เห็นเนื้อปลาหวานนุ่มไร้ก้าง จานนี้รออบประมาณ 20 นาที แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย       เป็นร้านบรรยากาศสบาย เสิร์ฟเมนูอร่อยที่คุ้นเคยเหมาะกับทุกคนในครอบครัว   Special Menu หากไม่อยากนั่งที่ร้านก็มีเมนูอร่อยเหมาะกับซื้อกลับบ้านอย่าง Ready to eat เป็นเมนูอบชีสอย่างเช่น ลาซานญ่าหมู ผักโขมอบชีส มะเขือม่วงอบชีส และกราแตงแฮมเห็ด ใส่ถ้วยฟอลย์ขนาดพอดี อุ่นในไมโครเวฟได้ หรือเข้าเตาอบก็อร่อย เก็บไว้ได้นาน 5 วัน หรือในฟรีซได้เป็นเดือน     อีกตัวเลือกให้ #อร่อยฟินเหมือนกินที่ร้าน คือ DIY Italian dish เชฟจะจัดเซตพาสต้าเส้นสดอย่างเฟตตูชินี กับซอสโบโลเนส หรือซอสอาราเบียตต้า ให้เราได้ไปลวกเส้นและอุ่นซอสเอง ทำตามขั้นตอนง่ายๆ ข้างซอง ก็อร่อยร้อนๆเหมือนกินที่ร้านแล้ว     ช่องทางการสั่งซื้อ :  Line @casapasta เดลิเวอรี Lineman, Grab, Robinhood, Gojek

หลังจากที่คุณจ้อ-พัชรินทร์ เหมอังกูร เดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามหาวัตถุดิบระดับพรีเมียมส่งตรงให้กับร้านอาหาร โรงแรม และห้างสรรพสินค้ามานานหลายปี ก็ถึงเวลาเปิดครัวของตัวเองเพื่อนำของดีในมือทั้งเนื้อสัตว์ ผักสด ทรัฟเฟิล คาร์เวีย ฟัวกราส์ และอื่นๆ มาปรุงอาหารจานเด็ดที่รสชาติโดดเด่นไม่เหมือนใครจากฝีมือของ 2 เชฟชาวสเปนและอิตาเลียน ในบรรยากาศแสนสบายในโทนสีเขียวมะกอกสุดอบอุ่น       โดยมีมุมไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาเกือบตลอดเวลาคือตู้กระจกที่จัดวางวัตถุดิบอิมพอร์ตไว้มากมาย จนหลายคนอดใจไม่ไหวต้องซื้อติดมือกลับบ้าน       หลังจากหามุมหย่อนกายได้ลงตัวก็ถึงเวลาของความสุขโดยเริ่มที่ Burrata Salad จานเด็ดเรียกน้ำย่อยที่ตกแต่งน่ารักชวนกิน ตรงกลางวางบูราตาครีมชีสที่ทำเป็นลูกกลม เหยาะน้ำมันทรัฟเฟิลด้านบนเพิ่มกลิ่นหอมกระตุ้นความอยากอาหาร เวลากินให้ใช้มีดจิ้มเบาๆ ครีมชีสด้านในจะไหลเยิ้ม รสชาติกลมกล่อมหอมมัน กินกับพาร์มาแฮม ผักสลัด และมะเขือเทศ Heirloom รสเปรี้ยวอมหวานนำเข้าจากฝรั่งเศส ก่อนส่งเข้าปากอย่าลืมแตะโอลีฟออยที่ปาดไว้ขอบจานจะเพิ่มระดับความฟินแบบทบเท่าทวีคูณ     ส่วนจานหลัก Paella Carabineros Prawn ข้าวผัดเสปนหน้าตาคล้ายริซอตโต ปรุงรสกลมกล่อม มีกลิ่นหอมของการ์ลิคออย ท็อปด้วยกุ้งแดงจากสเปนที่มีเฟเวอร์เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์     อีกจานคือ Roasted Patagonian Tooth Fish เชฟเลือกใช้ปลาแบ็กค้อดซึ่งเป็นปลาน้ำลึกจากอาร์เจนตินา เนื้อนุ่มแน่นไร้กลิ่นคาวกวนใจ ใครชอบทรัฟเฟิลจะยิ่งปลื้มเพราะไม่เพียงได้รสสัมผัสหวานฉ่ำตามธรรมชาติของเนื้อปลา ยังได้อิ่มเอมไปกับรสชาติสุดเข้มข้นของซอสไวท์ทรัฟเฟิลบัตเตอร์ที่แทรกซึมอยู่ทุกอณู อร่อยจนอยากบอกต่อเพื่อน     ปิดท้ายที่พระเอกของร้าน Wagyu Striploin No.4-5 Westholme เนื้อพรีเมียมวากิวอิมพอร์ตที่ทางร้านใช้เวลาบ่มนานถึง 45 วัน ก่อนนำมากริลล์ระดับมีเดียมแรร์เพื่อรักษารสชาติสุดเข้มข้นในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเอาไว้ สมทบด้วยมันบดเนื้อเนียนที่กินเข้ากันกว่านี้ไม่มีแล้ว       ในช่วงที่เราไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ แวะมาที่ Sooooo Goood Gourmet ร้านเดียวก็เหมือนได้เที่ยวทั่วโลกผ่านอาหารจานเด็ดแล้ว

ขอต้อนรับสู่ Mad Sugar x Pasta ร้านพาสตาเส้นสดน้องใหม่สุดอาร์ตในซอยเจริญกรุง 28 ก่อนหน้านี้เราอาจได้ยินชื่อ Mad Sugar บ่อยครั้งในฐานะร้านเค้กออนไลน์ที่ดีไซน์แต่ละชิ้นออกมาได้อย่างเก๋ไก๋ ซึ่งคุณตูน เจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่าได้มีโอกาสเรียนทำเส้นพาสตาจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ บวกกับประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารมานานร่วม 10 ปี ร้านพาสตาเล็กๆ แต่อบอุ่นของเธอจึงเกิดขึ้นได้ดั่งฝัน               เพราะยังอยู่ในช่วง Soft Opening เมนูของที่ร้านจึงเน้นที่ Classic Pasta อย่าง Arrabiata, Pesto, Carbonara และ Garlic and Chlii ส่วนเส้นมีเส้นแบบเดียวคือ Fettuccine ทีคุณแม่ช่วยลงมือทำด้วย แต่อดใจอีกไม่นานคุณตูนจะเพิ่มเมนูใหม่ๆ ซึ่งจะเผยโฉมออกมาในแต่ฤดูกาล         เมนูไฮไลต์ของที่ร้านต้องยกให้ Seafood Arrabiata ความโดดเด่นอยู่ที่ซอส Arrabiata ทำจากมะเขือเทศสดจำนวนมากเคี่ยวกับสมุนไพรและผักจนเข้มข้น คุณตูนใส่พริกแห้งทอดลงไปด้วยเพื่อให้ได้รสเผ็ดชวนให้เจริญอาหาร       ส่วน Bacon Carbonara ก็ยังติดอันดับเมนูที่ลูกค้าโปรดปรานที่ใครมาเยือนเป็นตั้งสั่งมาลิ้มลองจนได้ รสเข้มข้นได้จากไข่แดงพาสเจอไรซ์ พาร์เมซานชีส เบคอน และใส่เบคอนกรอบปิดท้ายให้เคี้ยวสนุก       พลาดไม่ได้กับ Prawn butter lemon chili ที่ร้านใช้กุ้งตัวโตส่งตรงจากฟาร์ม เนื้อสดหวานผัดพริกแห้งให้หอมฉุย บีบเลม่อนลงไปให้จี๊ดจ๊าด ท็อปด้วยพาร์เมซานชีส และผิวเลม่อนอีกนิด จบครบความอร่อย     คนรักพาสตาอย่าพลาดเชียว   ขอขอบคุณภาพจากร้าน Mad Sugar x Pasta

‘It’s “happened to be” a fox princess and a spider’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “A Fox Princess + Friends”ร้านอาหารอิตาเลียนน้องใหม่ในห้างสรรพสินค้า ‘เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว’ ที่แตกไลน์จากแบรนด์ ‘It’s Happened to be A Closet’ ซึ่งโดดเด่นเรื่องความครบครัน มีทั้งเสื้อผ้า สปา และร้านอาหาร ที่ขึ้นชื่อเรื่องการตกแต่งแบบจัดเต็ม ให้คุณเห็นถึงความสนุกสนานไปกับบรรยากาศเก๋ๆ ที่มีแต่สีสันสดใส มองตรงไหนก็มีชีวิตชีวา       เฉกเช่นเดียวกับ ‘A Fox Princess + Friends’ ที่เต็มไปด้วยความคัลเลอร์ฟูล ทั้งจากของตกแต่งอย่าง ตุ๊กตาจากแอนิเมชั่นชื่อดังนานาเรื่อง และผนังหลากสีสันที่มีไฟนีนอนเก๋ๆ แซมอยู่ เห็นแล้วอยากแชะรูปลงโซเชียลทันควัน ด้านในสุดของร้านมองผ่านกระจกใสเข้าไปในครัวจะเห็นเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น ก็ดูเพลินตาไปอีกแบบเหมือนกัน     ส่วนเรื่องอาหารนั้น ทางร้านเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนสไตล์เรียบง่าย แต่ครบครัน ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบคุณภาพทั้งในเมืองไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ มีทั้งพิซซา สเต๊ก สปาเกตตี รวมไปถึงขนมโฮมเมด และเครื่องดื่มต่างๆ แถมยังเป็นร้านเดียวในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ที่มีค็อกเทลบริการอีกด้วย (สายดื่มยิ้มกริ่ม) ว่าไปแล้ว A Fox Princess + Friends ก็เป็นร้านที่รองรับลูกค้าได้หลายกลุ่มเลยทีเดียว       เรียกน้ำย่อยกันกับ Orange (Mandarin) Salad (260 บาท) สลัดชามโตนี้ประกอบไปด้วย ผักสดนานาชนิด ส้มแมนดารินรสเปรี้ยวหวาน พิตาชิโอกรุบกรอบ ปลาแองโชวี หอมกลิ่นมอลต์ วิสกี้     Conchiglie Stuffed Ricotta & Spinach with Pomodoro Sauce (250 บาท) คอนคี้เหญ่ เส้นพาสตารูปเปลือกหอยอวบอ้วนสอดไส้ผักโขมอบชีสรสครีมมี เข้ากันดีกับซอสโปโมโดโร ซึ่งทำมาจากมะเขือเทศสดรสเปรี้ยวสดชื่น     Cumin Rosemary Lamb (390 บาท) ซี่โครงแกะคุณภาพหมักกับสมุนไพรย่างหอมฟุ้ง ขมิ้น และโรสแมรี เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดซอสกระเทียมพริกไทย รสเผ็ดร้อนกำลังพอดี เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง และกระเทียมอบ     ยังไม่อิ่มสั่ง Our Favorite Pork Chop (350 บาท) พอร์คชอปชิ้นโตๆ จุใจ ราดเกรวี่แอบเปิ้ลรสกลมกล่อม กินคู่กับมันม่วงบดเนื้อเนียน ลูกพีชอบเนื้อนุ่ม รสหวาน และกะหล่ำปลีดอง     เมนูซุปที่นี่ก็น่าสนใจ Fresh Tomato Soup (160 บาท) ซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวนุ่มนวลที่ทำจากมะเขือเทศสด หอมกลิ่นเบซิลอ่อนๆ สาวกคนรักเส้นต้องชิม A Fox’s Choice เส้นสปาเก็ตตีอัลเดนเต้ ล้อมรอบด้วยซอสโปโมโดโรรสเปรี้ยวละมุน       พร้อมจิบ Lychee Berries Princess Soda (160 บาท) รสเปรี้ยวอมหวาน ได้ความสดชื่นจาก น้ำลิ้นจี่ เบอร์รี ไซรัป และน้ำโซดาซาบซ่า  

ใครเป็นแฟนคลับอาหารอิตาเลียนเตรียมยิ้มแป้น เพราะ G&C มีร้านอร่อยมาแนะนำ นั่นก็คือ “Emilia Ristorante Italiano” ร้านอาหารอิตาเลียนใจกลางเมืองย่านราชประสงค์ ซึ่งอยู่ในตึก Gaysorn Tower (Bts ชิดลม) งานนี้ทางร้านได้ ‘Crocetta Fabrizio’ เชฟสัญชาติอิตาเลียนฝีมือดี ที่มีประสบการณ์กับร้านมิชลินสตาร์ และฝึกปรือการทำอาหารอิตาเลียนมานานถึง 25 ปี มาเป็นหัวหน้าพ่อครัว และยังครีเอท ปรับปรุงและพัฒนาสูตรอาหารจนเป็นจานที่เพอร์เฟคที่สุด     มาทำความรู้จักกับร้านกันหน่อย ‘เอมิเลีย (Emilia)’ ชื่อนี้มีที่มาจาก ‘เอมีเลีย-โรมานยา (Emilia – Romagna)’ เป็นแคว้นหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเชฟ Crocetta Fabrizio และเป็นพื้นที่การเกษตรตั้งแต่สมัยโรมัน ที่มีความอุดสมบูรณ์ ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอเพนไนน์ (Apennine Mountains) และแม่น้ำโป (Po River) ทั้งยัง เป็นศูนย์รวมวัตถุดิบชั้นยอด อาทิ น้ำส้มสายชูหมัก ชีสพาเมซาน พาร์ม่าแฮม ซอสโบโลเนส ที่ทางร้าน Emilia Ristorante Italiano ใช้รังสรรค์อาหารสุดพิถีพิถัน ที่อร่อยและเรียบง่าย       ถ่ายทอดผ่านบรรยากาศร้านหรูหรา แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยความสบาย กระเบื้องผืนใหญ่สีขาวและดำ เข้ากันดีกับเคาน์เตอร์กว้างที่เบื้องหน้าเป็นครัวขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นเชฟทำงานอย่างขะมักเขม้น และบาร์น้ำขนาดใหญ่สีดำสนิท โต๊ะหินอ่อนสีขาวสะอาด และโซฟากำมะหยี่สีชมพูแชมเปญน่านั่ง ผสานไปกับแสงสีนวลวอร์มที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างโค้งมนสวยงาม และโคมไฟสีส้มยิ่งทำให้ได้ฟิลลิ่งอบอุ่น       ต้อนรับด้วย Pesto Focaccia ขนมปังเพสโตโฮมเมดชิ้นโตๆ เนื้อนุ่มฟู ผิวนอกกรอบเกรียม หอมกลิ่นใบเบซิล อร่อยกินเพลิน เสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอกคุณภาพ หอมกรุ่น และเครื่องปรุงรสยอดนิยมของประเทศอิตาลีอย่าง น้ำส้มสายชูหมัก บัลซามิก รสเปรี้ยวสดชื่น     พร้อมเรียกน้ำย่อยด้วย Burrata Con Pomodorini (260 บาท) ชีสบูราต้า เนยแข็งสดลูกโตๆ ที่ทำมาจากนมวัวคุณภาพ รสครีมมีได้ใจ ล้อมรอบด้วยมะเขือเทศแฮร์ลูม (Heirloom) ที่แช่กับน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น ชุ่มฉ่ำ เหยาะด้วยบัลซามิก ที่หมักมานาน 12 ปี รสเปรี้ยวกลมกล่อมลงไปเล็กน้อยก็อร่อยถูกใจ     Frittura Di Sardine (220 บาท) ปลาซาร์ดีนชั้นดี ทอดอย่างพิถีพิถัน ไม่อมน้ำมันแต่อย่างใด จิ้มกับซอสทาร์ทาร์ รสเปรี้ยวครีมมี Lasagna Al Forno (360 บาท) ลาซานญาหอมกรุ่นน่าลิ้มลอง จานนี้เป็นการรวมตัวระหว่างแผ่นพาสต้าโฮมเมด ไส้กรอกหมูจากประเทศอิตาลี และชีสการ์น่า พาดาโน (Grana Padano) รสเค็มกลมกล่อม และหอมมัน       Tagliolini Al Ragu’ Di Calamari (400 บาท) เส้นตัลยาเตลเลโฮมเมด ผัดพร้อมสตูปลาหมึกรสเข้มข้น ที่ทำมาจากเนื้อปลาหมึกสด ที่ส่งตรงมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหมึกดำ Capelli D’ Angelo Aglio Olio Peperoncino (360 บาท) เส้นสดคาเปลลินีเหนียวนุ่ม เคล้าไปกับ Aop Sauce รสเค็มเล็กๆ เผ็ดจางๆ จากพริกแห้ง หอมกลิ่นกระเทียม       อาหารจานหลักเราเลือกเป็น Branzino Arrostito Con Salsa Al Vino Bianco (580 บาท) ปลากระพงเนื้อสดหวาน ย่างให้หอม ตักกินพร้อมซอสเคเปอร์ ที่มีส่วนผสมของไวน์ขาวชั้นเลิศรสนุ่มนวล ไปด้วยกันได้ดีกับ Funghi Sabbiati (140 บาท) เห็ดกรุบๆ ผัดกับเกล็ดขนมปังกลิ่นแบล็คทรัฟเฟิล     เอาใจสายหวานด้วย Gelato Al’ Tiramisu (200 บาท) ไอศกรีมเจลลาโตโฮมเมดรสกาแฟเข้มข้นกำลังดี ผสานไปกับมูสครีมเนียนนุ่ม รสหอมมัน และขนมปังแผ่นบางๆ Budino Al Caramello (200 บาท) พุดดิ้งเนื้อนุ่มเด้งรสคาราเมลหวานหอม ท็อปด้วยมูสฮาเซนัทเข้มข้น ถูกใจสวีตเลิฟเวอร์เป็นที่สุด เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูงแลดูหรูหราน่าแชะรูปรัวๆ       เครื่องดื่มต้อง Rose Berry (260 บาท) ม็อกเทลสีชมพูแสนสวยนี้ประกอบไปด้วย ชากุหลาบหอมฟุ้ง ไวท์ช็อกโกแลต และไซรัปสตรอว์เบอร์รี และ Mojito Black Tea (260 บาท) ชาดำกลิ่นวานิลลา มิ๊กซ์กับแตงกวาดอง และน้ำตาลอ้อย จิบแล้วชื่นใจ       ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแวะมาซ้ำอีกครั้ง

อิ่มหน่ำสำราญกับอาหารอิตาเลียนท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิกที่ Contento ร้านอาหารอิตาเลียนภายใน โรงสำราญ ที่รีโนเวทตึกเก่าบนถนนไมตรีจิตต์ จนกลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ ให้ได้ดื่มด่ำกับความอร่อยในรูปแบบที่หลากหลาย   คุณ อู้-นพปฎล พหลโยธิน ผู้เป็นเจ้าของร้าน  เลือกใช้โทนสีอบอุ่นอย่างสีน้ำตาลเข้มและสีเหลืองนวล รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมแนววินเทจจากทั่วโลกนำมาตกแต่งร้าน เสริมความคลาสสิกยิ่งขึ้นด้วยโคมไฟโทนสีส้มสลัว ทำให้บรรยากาศภายในดูลึกลับน่าค้นหาและโรแมนติกไปในคราวเดียวกัน       เมนูแรก Naked Tomato (320.-) มะเขือเทศราชินีปอกเปลือกนำไปหมักซอสพอนซึของญี่ปุ่น เสริมความหอมมันด้วยชีสสด ยอดผักมิซูนา และขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ได้รสชาติหวานกลมกล่อม กินแล้วสดชื่น หรือเลือกเป็น Mizuna (280.-) ผักมิซูนา ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอก เกลือ กระเทียม ท็อปด้วยแอนโชวี่ แนะนำให้คลุกเคล้ากันก่อนรับประทาน จะได้รสชาติเค็มมัน กินเพลิน       ต่อด้วย Carabineros (56.-) พาสต้าเส้นแบนเหนียวนุ่มกับซอสซีฟู้ดสุดเข้มข้น กินพร้อมเนื้อกุ้งคาราบิเนโร และกุ้งแดงตัวโตจากทะเลน้ำลึกแถบเมดิเตอร์เรเนียน อร่อยลงตัวเป็นที่สุด   Orecchiette (320.-) เส้นพาสต้าคลุกเคล้ากับซอสเพสโต้ ที่มีส่วนผสมของ อิตาเลียนเบซิล น้ำมันมะกอก กระเทียม และพาร์เมซานชีส เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยปลาหมึก และถั่วฝักยาว   Chicken Milanese (520.-) อกไก่ทอดสไตล์มิลานชุบแป้งทอด เนื้อแน่นหนังกรอบ ท็อปด้วยแอนโชวี่ผัดเนยเสิร์ฟมาพร้อมเลมอนและซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน   เมนูเครื่องดื่ม เราแนะนำ Ramon (180.-) เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนมเปรี้ยว น้ำส้มสดและไข่ขาวนำไปปั่นจนขึ้นโฟม ได้รสชาติเบาๆ นวลละมุนลิ้น หอมเตะจมูก และ Butterfly Honey Lemon (160.-) แก้วนี้ได้ความหอมหวานจากน้ำผึ้งผสมผสานมากับความเปรี้ยวจากมะนาว เพิ่มสีสันด้วยน้ำอัญชัญ ดื่มง่ายได้ความสดชื่น  

เป็นเวลากว่า 5 ปีที่ “AKART Bistro & Bar” ร้านอาหารไทย – อิตาเลียนโฮมเมด บนถนนเย็นอากาศ ใจกลางสาทรได้เสิร์ฟความอร่อยต่อเนื่องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คุณเก๋ - ญาณี องค์วัฒนกุล นักธุรกิจหญิงปราดเปรื่องผู้เป็นเจ้าของ  แถมยังเป็นนักชิมของอร่อยตัวยง เธอมีความตั้งใจอยากเปิดร้านอาหารที่รวมระหว่างอาหารอิตาเลียนที่เธอรัก และอาหารไทยรสเด็ดสูตรลับของคุณยาย โดยเลือกคำว่า “อากาศ” มาตั้งเป็นชื่อร้าน เหตุเพราะเป็นคำที่จำง่าย ทั้งยังสื่อความหมายถึง ‘สิ่งจำเป็นในทุกๆ วันของการดำรงชีวิต’       เสมือนร้าน AKART Bistro & Bar ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ บรรยากาศด้านในอบอุ่น เข้าถึงง่าย พร้อมให้คุณเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยๆ ได้ใน ‘ทุกๆ วัน’ ตัวร้านเป็นบ้านไม้เก่าแก่ 2 ชั้นอายุ 45 ปี ชั้นล่างปรับแต่งเป็นสไตล์ลอฟท์เรียบง่าย พื้นปูนเปลือยไปในธีมเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ไม้คลาสสิก รอบๆ ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สดสวยงาม แลดูมีชีวิตชีวา     ชั้นสองก็น่านั่งใช่ย่อย พื้นไม้สีน้ำตาลเข้ม ผนังไม้สีครีมนวล และสีน้ำเงินสดเข้ากันดี หน้าต่างโดยรอบเป็นกระจกใส มองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น รำไรไปด้วยแสงธรรมชาติที่สาดเข้ามาภายใน ทำให้ร้านสว่างไสวตลอดวัน นอกจากบรรยากาศจะดีแล้วรสชาติเมนูของร้าน ‘อากาศ’ ก็ดีงามไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยรสเลิศสูตรคุณยาย อิตาเลียนฟู้ด ขนมหวานโฮมเมด และเครื่องดื่มสุดสดชื่นที่ทำมาจากวัตถุดิบออร์แกนิก ซึ่งรังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพ       เรียกน้ำย่อยด้วย ยำวุ้นเส้นอากาศอัญชันทะเล (260 บาท) วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม สีม่วงแกมฟ้านี้ได้มาจากดอกอัญชันปลูกเอง คลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้านกำลังดี พร้อมเพลิดเพลินไปกับซีฟู้ดสดเด้งจากมหาชัย อาทิ กุ้งตัวโต ปลาหมึกชิ้นใหญ่ และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวอ้วน     ต่อด้วย ผัดไทยหอยทอดอากาศ (290 บาท) หนึ่งในจานซิกเนเจอร์ของร้าน ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างอาหารสุดป็อปของเมืองไทยอย่าง หอยทอด และผัดไทย เครื่องแน่นๆ จุใจ กินคู่กับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสเปรี้ยวอมหวาน แกมเผ็ดเล็กๆ     หันมาทางฝั่งอาหารอิตาเลียนกันบ้าง ลองชิมเมนูนี้ White Wine Steamed Mussels & French Fries with Truffle Sauce (550 บาท) หอยแมลงภู่สัญชาติฝรั่งเศสเนื้อเด้ง อบพร้อมไวน์ขาว เนยชั้นดี และสมุนไพรต่างๆ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอด และซอสทรัลเฟิล รสครีมมี หอมกรุ่น     Homemade Butterfly Pea Tagliatelle Bacon with A.O.P. (355 บาท) เส้นตัลยาเตลเลโฮมเมดผสมกับสีฟ้าของดอกอัญชัน เข้ากันดีกับซอส A.O.P. หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า ‘Aglio Olio pepper’ ซึ่งทำมาจากน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกแห้ง และเครื่องเทศต่างๆ โรยเบคอนทอดกรอบลงไปด้วย     Akart Pizza Creamy Fettuccine Ham & Mushroom (430 บาท) พิซซาโฮมเมดสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ แป้งบางกรอบ ท็อปด้วยเส้นเฟตตูชินีครีมซอสแฮมเห็ด รสหอมมัน ราดซอสมะเขือเทศเข้ากันดี     Australia’s Roast Rack of Lamb Served with Mixed Grilled Vegetable & Gravy Sauce (1,550 บาท) ซี่โครงแกะชั้นเลิศจากประเทศออสเตรเลีย หมักกับสมุนไพรนานาพันธุ์ จากนั้นย่างจนได้ความสุกกำลังกิน เนื้อนุ่มฉ่ำลิ้น ราดซอสเกรวี่รสเค็มละมุน และเจลลีมิ้นท์รสเปรี้ยวสดชื่น เสิร์ฟพร้อมผักย่าง และมันม่วงบดเนื้อเนียน     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Marian Plum Panna Cotta (250 บาท) พานนาคอตตามะยงชิด รสหอมมันผสานไปกับรสเปรี้ยวอมหวาน บิงซูบัวลอย 5 สี (220 บาท) น้ำแข็งไสสไตล์เกาหลีรสกะทิ เข้าปากพร้อมแป้งบัวลอยปั้นมือเนื้อนุ่มหนึบ กินเพลิน สีสันสดใส ราดน้ำกะทิเพื่อเพิ่มรสหวานมันอีกที       เครื่องดื่มต้อง น้ำมะพร้าวอัญชัน (100 บาท) น้ำมะพร้าวสดชื่น ผสมกับน้ำอัญชันสีสวย ตกแต่งด้วยสายไหมสีชมพูคิวท์ๆ น่าแชะรูปเป็นที่สุด  

ณ โครงการ Yarden ถนนเย็นอากาศ มีบ้านเก่าหลังงามที่มีอายุกว่า 90 ปีชื่อ  “Akart Day” เป็นร้านกาแฟที่เสิร์ฟบรัชน์สไตล์โฮมเมดเคียงข้าง AKART Bistro & Bar ร้านอาหารไทย และอิตาเลียน ซึ่งทั้ง 2 ก่อตั้งโดย ‘คุณเก๋ - ญาณี องค์วัฒนกุล ฟู้ดดี้นักชิมของอร่อยตัวจริง     จุดเริ่มต้นของ ‘อากาศ เดย์’ มาจากการที่คุณเก๋ถูกใจบ้านเก่าหลังนี้ ซึ่งเดิมทีเป็นที่พักของหม่อมเจ้าหญิงโอภาสจรัสพักตร์พิมล นันทวัน บรรยากาศคลาสสิกทำให้เธอเกิดปิ๊งไอเดียในการเปิดร้านกาแฟขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “Akart Day” ซึ่งคุณเก๋ให้ความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ‘Everyday’ ที่คุณสามารถกินมื้อสายแสนอร่อย จิบคู่ไปกับกาแฟแก้วโปรดในฟิลอบอุ่นสไตล์บ้านเพื่อน ‘ทุกๆ วัน’ในร้านแห่งนี้     บ้านเก่าแก่สไตล์วิคตอเรียนหลังน้อยที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี คุณเก๋คงโครงสร้างอันสวยงามเอาไว้ และรีโนเวทให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พื้นบ้านสีน้ำตาลอบอุ่น เข้ากันกับผนังไม้สีเขียวสบายตา ตกด้วยเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจและโมเดิร์ล ที่ผสานสองสไตล์ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว บรรยากาศสบายๆ พร้อมให้ลิ้มลองบรันช์รสชาติดีทำมาจากวัตถุดิบออร์แกนิก ขนมโฮมเมด จากเชฟมืออาชีพ และที่โดดเด่นไปกว่านั้นคือเรื่อง ‘กาแฟ’       กาแฟของ Akart Day ใช้เมล็ดคุณภาพจาก 2 ประเทศ ได้แก่ เมล็ดคั่วเข้มจากเมือง Fazenda Da Lagoa ประเทศบราซิล ซึ่งเป็น Specialty Grade มาเบลนด์กับเมล็ดคั่วอ่อนจากรัฐชาน (Shan State) จนได้เมล็ดกาแฟสูตรลับเฉพาะที่ทางร้านใช้ชื่อว่า ‘Cloudy’ เป็นเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม โดนใจ และ ‘Sunny’ เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนที่เต็มไปด้วยกลิ่นฟรุตตี้สดชื่น     ประเดิมด้วย Tornado (130 บาท) ครัวซองต์สไตล์ฝรั่งเศส กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนย ผ่าครึ่งแล้วประกบกับไข่ดาวสุกกำลังดี แฮมฮันนี่รมควันรสเค็มละมุน เมนทอลชีสสไลซ์ครีมมี และผักร็อกเก็ต     Star War (350 บาท) แซนด์วิชชิ้นโตๆ น่ากินเป็นที่สุด ขนมปังฝรั่งเศสโฮมเมด กินพร้อมกับแฮม เบคอนที่เรารัก ชีสคุณภาพ ไข่ดาวยางมะตูม และไข่ดาวน้ำ เสิร์ฟพร้อมซูเปอร์ฟู้ดอย่าง อะโวคาโดราดด้วยซอสมะเขือเทศซัลซาร์รสเปรี้ยวกลมกล่อม     ยังไม่อิ่มสั่ง Burger Barbeque Sauce (320 บาท) ขนมปังบันทำเอง เนื้อนุ่ม เข้ากันดีกับเนื้อแองกัสออสเตรเลียชั้นดี เบคอน และผักสดต่างๆ อาทิ ผักสลัดและมะเขือเทศ เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยซอสบาบีคิวรสเข้มข้น     หรือใครชอบขนมหวานควรลอง Lemon Tart (95 บาท) แป้งทาร์ตกรุบกรอบ ตักกินพร้อมซอสเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวสดชื่น ท็อปด้วยวิปครีมเนื้อนุ่มละมุน     จิบคู่กับ Seven Days (220 บาท) กาแฟเย็นรสกลมกล่อมชื่นใจ ที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มสายพันธุ์พรีเมี่ยมจากเมือง Fazenda Da Lagoa ประเทศบราซิล เบลนด์กับเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจากประเทศพม่า และกะทิอบควันเทียนหอมฟุ้ง กินคู่กับคุกกี้พีแคนกรุบกรอบ     และ Cappuccino (130 บาท) คาปูชิโนร้อนแก้วนี้นุ่มนวลด้วยรสชาติเของเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจาก Shan States ประเทศพม่า  

Beluga Bangkok ร้านอาหารอิตาเลียน Casual Fine Dining ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยอาหารอิตาเลียนรสชาติเข้มข้น ในบรรยากาศแสนอบอุ่นผสมผสานมากับความอาร์ตสไตล์โมเดิร์น จากภาพวาดบนผนังในร้านที่เขียนโดยศิลปินชื่อดัง       ทางร้านมีเมนูให้เลือกตั้งแต่แบบอะลาคาร์ต คอร์สเมนู และ Chef Table ซึ่งตัวอาหารจะเป็นสูตรอิตาเลียนแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเลือกใช้วัตถุดิบหลากหลายเชื้อชาติมาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นรสชาติเฉพาะของ Beluga รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟมากฝีมืออย่าง Matteo Verini จากเมือง Genoa ประเทศอิตาลี     เริ่มด้วย เมนูเรียกน้ำย่อย Arancini ข้าวริซอตโต้ทอดกรอบสอดไส้แบล็คทรัฟเฟิลและชีส หอมมันกลมกล่อม ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ Seared Hokkaido Scallop  แครอตเพียวเร่เนื้อเนียนกินคู่กับหอยเชลล์ฮอกไกโด ที่ท็อปด้วยเบลูก้าคาเวียร์และเซเลอรีฝอยกรุบกรอบ เพิ่มรสชาติด้วยซอสเพสโต้และซอสเลมอนไทม์       Matteo’s Prawns กุ้งทะเลกับหอมทอดกรอบที่เพิ่มรสชาติด้วยดิปรสจัดจ้าน และ Black Ink Tortelli ทีเด็ดอยู่ที่พาสต้าโฮมเมดทำสดใหม่ สอดไส้เนื้อปลากระพงบด ราดด้วยครีมนมและซอสเพสโต้ รสชาตินุ่มนวลชวนอร่อย       จานหลักที่ไม่ควรพลาด Roasted Pork Tenderloin เนื้อหมูป่าซูวีนุ่มแน่น คลุกเคล้ามาด้วยถั่วพิสตาชิโอกินพร้อมซอสคาราเมลสูตรพิเศษ อร่อยกลมกล่อม     ใครชอบรสจัดจ้านต้องลอง Baked Monkfish เนื้อปลามังค์ฟิชและหอยลายอบ เสิร์ฟมาบนโพเลนต้าปรุงรสด้วยซอสสูตรชาวเมดิเตอร์เรเนียน เข้มข้นได้รสเผ็ดกำลังดี     ตบท้ายด้วย La Cupola มูสกาแฟรสละมุนครอบด้วยโดมช็อกโกแลตสุดเข้มข้น ท็อปด้วยไวน์ช็อกโกแลตมูส กินคู่กับคาราเมลซอลท์เท็ดรสหวานนำ เค็มอ่อนๆ ตัดหวานด้วยเมล็ดกาแฟอิตาเลียน ถูกใจคนรักช็อกโกแลตและกาแฟแน่นอน  

ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด “Mozza by Cocotte” ขยายสาขาที่ 3 มาเอาใจคออาหารอิตาเลียน ณ ชั้น G สยามพารากอนเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสาขานี้เกิดขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจของทีมงาน Cocotte Farm Roast & Winery สเต๊กเฮ้าส์เลื่องชื่อ และร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียน Pesca Mar & Terra Bistro โดยครั้งนี้มอซซา บาย โคค็อตต์ ได้ เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เชฟมากฝีมือที่ชื่นชอบการปรุงอาหารโดยผสมผสานเทคนิคแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวและรังสรรค์เมนู       ขณะเดียวกันก็มี เชฟซามูเอเล อัลวิซี (Samuele Alvisi) เชฟชาวอิตาเลียน ซึ่งมีประสบการณ์การทำอาหารมานานกว่า 10 ปี ผ่านการทำงานในภัตตาคารระดับ 5 ดาว มาทั่วทั้งตะวันออกกลางและเอเชีย ได้ร่วมกันสร้างสรรค์จานอร่อยสไตล์ชาวอิตาเลียนแท้ๆ ภายใต้แนวคิด "Come La Faceva la Nonna" หรือ “รสมือคุณยาย”  โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่ จากฟาร์มต่าง ๆ ในเครือโครงการหลวง  และผลิตภัณฑ์ที่นําเข้าจากประเทศอิตาลีโดยเฉพาะ อาทิ เนื้อ ชีส หรือ โคล์ดคัท       นอกจากนั้น Mozza by Cocotte ยังมีจุดเด่นเรื่องการใช้ชีสมอสซาเรลลาเป็นส่วนประกอบในเมนูส่วนใหญ่ของร้าน ทั้งสลัด พิซซา หรือพาสตา จึงไม่แปลกที่ชื่อร้านขึ้นต้นด้วยคำว่า “Mozza” ซึ่งเป็นคําย่อของ "มอสซาเรลลา" ชีสยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบนั่นเอง     ประเดิมความอร่อยด้วย Tomato Confit & Balsamic Caramel มะเขือเทศหั่นเป็นแว่นๆ พอดีคำ กงฟีต์จนเนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ ไม่เหม็นเขียวแต่อย่างใด กินกับชีสบูรัตต้าซึ่งผลิตจากน้ำนมควาย และที่มีต้นกำเนิดจากทางใต้ของประเทศอิตาลี และซอสบัลซามิกคาราเมล ได้หอมกลิ่นอ่อนๆ ของคาราเมล รวมแล้วเป็นรสชาติที่ลงตัว มีทั้งความครีมมี และรสเปรี้ยวอมหวาน     สาวกทรัฟเฟิลต้องเทใจให้กับเมนูนี้ Truffle Bruschetta แซนวิชหน้าเปิด ที่ใช้ขนมปังซาวเออร์โดโฮมเมด ซึ่งทำจากข้าวคาร์นาโรลีในแคว้นแวร์เชลลี ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศอิตาลี เนื้อเหนียวนุ่ม เข้ากันได้ดีกับพาร์มาแฮม ที่ทางร้านใช้เวลาหมักอย่างพิถีพิถันนาน 2 ปี ได้รสเค็มกลมกล่อม ท็อปด้วยทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ชนิดที่เรียกว่าเยอะถูกใจ     Seafood Spaghetti สปาเกตตีจานโตๆ ที่ให้คุณสาวเส้นยาวๆ กันไปเพลินๆ พร้อมฟินไปกับซีฟู้ดเนื้อสดเด้ง อาทิ หอยเชลล์ตัวใหญ่ กุ้งย่างเนื้อหวาน และหอยแมลงภู่ตัวอวบอ้วน ปรุงรสด้วยไวน์ขาว และน้ำมันพาร์สลีย์หอมกรุ่น รสเค็มน้อยๆ อร่อยโดนใจ     ไปต่อกันที่ Carpi Salerno พิซซาทำเองสไตล์อิตาเลียนแท้ ร้อนๆ จากเตา แป้งบางกรอบที่ปาดด้วยซอสมะเขือเทศซานมาซาโน่ รสเปรี้ยว ผสานไปกับพาร์มาแฮมโฮมเมด ชีสต่างๆ อาทิ สตราชาเทลลา มอซซาเรลลา ที่ให้ความหอมมัน เข้มข้น มะเขือเทศราชินี และใบเบซิล     ล้างปากด้วยของหวานอย่าง Mozza Lava Cake เค้กช็อกโกแลตลาวา รสเข้มนี้ได้มาจากดาร์กช็อกโกแลต 70% กินคู่กับไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด รสชาติหวานหอม และสลัดผลไม้     อย่ามัวกินเพลินจนลืมเสพบรรยากาศสบายๆ ล่ะ มีชั้นลอยที่เห็นทั้งร้านด้วยนะจะบอกให้