จินหลิง เป็นชื่อเมือง ๆ หนึ่งในประเทศจีน และเป็นชื่อของคาเฟ่น้องใหม่ Jinling BKK ในโครงการซีนสเปซ ทองหล่อ (Seenspace Thonglor) ก็ถูกเนรมิตขึ้นมาให้มีความจีนย้อนยุคราวกับยกเมืองจินหลิงมาตั้งไว้ที่กรุงเทพฯ เลยทีเดียว   นอกจากจะเป็นคาเฟ่บรรยากาศเหมือนโรงเตี๊ยมที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มในช่วงกลางวันแล้ว เมื่อตะวันลับขอบฟ้า จินหลิงจะเผยอีกโฉมหน้าหนึ่งของร้านจะเผยโฉมออกมาด้วยแทปเบียร์เรียงราย ให้คนเข้ามานั่งจิบเบียร์ได้ในบรรยากาศของหอนางโลมแสนเย้ายวนและมีเสน่ห์     เมนูอาหารของจินหลิง เน้นอะไรที่รับประทานง่าย และมีกลิ่นอายของจีนผสมผสานกับรสชาติที่ถูกปากคนไทย ด้วยคอนเซปต์อาหารเริ่มแรกที่เป็น “จีนปนลาว” เริ่มต้นด้วยอาหารจานหลักของร้านเมนูแรก บะหมี่หมูต้มซีอิ๊ว ความพิเศษอยู่ที่การหมักหมูด้วยเบียร์จนได้เนื้อหมูนุ่มและหอมขึ้น กินพร้อมเส้นบะหมี่นุ่ม ๆ ส่งตรงจากเยาวราช     และอีกเมนูคือ บะหมี่เป๊าะเนื้อแก้มวัวตุ๋น ที่ผ่านกรรมวิธีการตุ๋น 7 นานถึงชั่วโมง จนเนื้อนุ่มละมุนลิ้น ทั้งสองเมนูเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปร้อน ๆ และน้ำจิ้มรสเด็ด     ตามมาด้วยเมนูกินเล่น ได้แก่ ปังปิ้งซี่โครงหมูเสฉวน ที่นำซี่โครงหมูไปย่างแล้วตุ๋นอีกประมาณ 3 ชั่วโมงจนเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอสเสฉวนและน้ำผึ้งได้รสชาติความชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟคู่กับขนมปังปิ้ง     หมูทอด 7 ชั้น ได้แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อมาจากตึกที่สูงที่สุดในเยาวราช  นำมาหั่นแล้วเอาหนังออก ทอดจนกรอบ จานนี้เลยยกให้เป็นเมนูเคี้ยวเพลินๆ     เมนูสุดท้ายที่ได้รับความนิยมไม่น้อยคือ เกี๊ยวดาวกุ้ง ถึงหน้าตาจะออกจีนแต่ใช้วิธีการห่อเกี๊ยวสไตล์ตะวันตก สอดไส้หมูกับกุ้ง ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยวขาวและเต้าเจี้ยวดำ กับพริกได้รสชาติเผ็ดร้อนแทรกมานิดๆ หน่อยๆ     สำหรับเมนูขนมประจำร้าน  เป็นขนมปังกลม ๆ สไตล์ฮ่องกงที่มีชื่อว่า Jin Bun มีไส้ให้เลือกทั้งรสช็อกโกแลตส้มและรสครีมชีส ท็อปด้วยครัมเบิ้ลให้ได้สัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน     ถ้าจะให้ดีต้องสั่งน้ำชาฮ่องกงเย็น ๆ ชื่นใจมาจิบคู่กัน เช่น Hongkong Milk Tea ชาฮ่องกงใส่นม ดื่มแล้วได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของใบชา Miss Jinling ที่ประกอบไปด้วยชาเอร์ลเกรย์ พีชขาว เอลเดอร์ฟลาวเวอร์ น้ำแอปเปิ้ล และน้ำองุ่น ให้ความรู้สึกสดชื่น อีกแก้วหนึ่งคือ Midnight Mandarin เป็นโกโก้ผสมส้มก็ที่ให้รสชาติเปรี้ยว ๆ กับกลิ่นหอมสดชื่นกลมกลืนไปกับความเข้มข้นหวานมันของโกโก้ได้อย่างลงตัว      

สไปซ์ แอนด์ บาร์เลย์ (Spice & Barley) ร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวนที่มีเรื่องราวเป็นของตนเอง ตั้งอยู่ ณ ชั้น 3 ของ ห้างริเวอร์ไซด์ พลาซ่า Spice” สื่อความหมายถึง เครื่องเทศ และอาหารรสเผ็ดร้อน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเอเชียนฟู้ด  ผ่านการคิดค้นสูตรร่วมกันระหว่าง 2 พ่อครัวมากฝีมืออย่าง เชฟแซม เหลียง เชฟชื่อดังระดับมิชลินสตาร์จากประเทศสิงคโปร์ และ เชฟพงษ์ พงษ์ธร หินราชา Executive Chef แห่งโรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ มีดีกรีเป็นถึงเชฟผู้พิชิต ในรายการเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย อีกด้วย       รวมกับคำว่า “Barley” เบียร์สดสูตรพิเศษจากเบลเยียมที่เอาไว้จิบคู่กับมื้ออร่อย พร้อมเสพบรรยากาศสบายๆ พื้นปูนเปลือยดิบเท่ทันสมัย ผสานไปกับผนังปูนเปลือยที่ตกแต่งด้วยรูปเพนท์ของสามสาวพี่น้องเสฉวน ซึ่ง เมย์ พี่สาวคนโตเป็นตัวแทนของสาวนักดื่ม เธอมักจะรื่นรมย์กับการดื่มเบียร์ดีๆ อยู่เสมอ ซาซ่า น้องสาวคนกลางที่รักในการแสดง ทั้งละครเวทีและขับร้อง ส่วน เฟย น้องสาวคนเล็ก ผู้ชื่นชอบการการปรุงอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ในแต่ละจานล้วนแล้วแต่รสชาติดี หอมกรุ่นกลิ่นเครื่องเทศ       3 พี่น้องเสฉวนนี้เป็นสัญลักษณ์ของ Spice & Barley ที่สื่อความหมายถึงสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี โดยมีอาหารจีนเสฉวนรสจัดจ้านถูกปากจนไทยเสิร์ฟให้ลูกค้า จิบคู่ไปกับเบียร์คุณภาพรสนุ่มสัญชาติเบลเยี่ยม เคล้าไปกับการแสดง และวงดนตรีสดที่จะมีทุกๆ ค่ำคืนวันเสาร์ ให้คุณได้เพลิดเพลินทั้งรูป รส กลิ่นและเสียง อย่างสมบูรณ์แบบ!       ประเดิมด้วย ติ่มซำสูตรต้นตำรับ อย่าง Steamed Rock Lobster Dumpling with Hokkaido Scallop เกี๊ยวแป้งบางกริบ เนื้อนุ่มห่อกุ้งล็อบสเตอร์เนื้อหวาน ผสานไปกับหอยเชลล์ฮอกไกโดคุณภาพ จิ้มกับจิ๊กโฉ่ว และซอส XO     Steamed Foie Gras Shrimp & Mango Ginger Puree Dumpling ขนมจีบลูกโตๆ ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยเนื้อกุ้งสดใหม่ ท็อปด้วยไข่กุ้งและตับห่านรสครีมมี่ เข้ากันดีเข้าซอสมะม่วงรสหวานละมุน     Vegetarian Mushroom Bun ซาลาเปารูปเห็ดหอมสุดน่ารัก เห็นแล้วอดควักโทรศัพท์ขึ้นมาแชะรูปไม่ได้ แป้งนุ่มๆ กินพร้อมกับไส้เห็ดหอมรสเค็มกลมกล่อม     ต่อกันเลยกับ Salt & Chili Marinated Fried Pork Ribs จานนี้เราเลิฟมาก ซี่โครงหมูทอดจนสีสวย เนื้อฉ่ำใน  ปรุงรสด้วยเครื่องเทศนานาชนิด หอมฟุ้ง รสเค็มละมุนกินเพลิน     Yummy Sauna Prawns on Hot Stone กุ้งตัวโตผัดกับพริกเผ็ดร้อน กระเทียม และไวน์จีน เสิร์ฟมาบนหินร้อนๆ ที่เชฟใช้รมควันให้ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล  Steamed Chicken with Szechuan Mahla Sauce ไก่เนื้อแน่นหั่นเป็นชิ้นพอเหมาะ คลุกเคล้ากับซอสหม่าล่ารสเผ็ดซ่าปลายลิ้น       สายเนื้อต้องสั่ง Wok Fried Sizzling Black Pepper Wagyu Beef with Foie Gras เนื้อวากิลชั้นดี หั่นเต๋าให้กินง่าย ผัดพร้อมตับห่านครีมมี่ และสมุนไพรต่างๆ จนได้รสอร่อย เสิร์ฟมาบนกระทะร้อน     แต่หากใครไม่กินเนื้อเราแนะนำ Braised Pork Belly with Superior Soya Sauce, Taro & Chinese Wine หมูสามชั้นที่ถูกตุ๋นอย่างพิถีพิถันมานานกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้ได้เนื้อที่นุ่มละลายในปาก จากนั้นนำไปอบซีอิ๊วอย่างดีรสเค็ม และเผือกสไลด์ กินคู่กับพริกน้ำส้มรสเปรี้ยวเผ็ด     หันมาทางด้านเครื่องดื่มกันบ้าง Gone Oolong ม็อกเทลสีเหลืองอร่าม รสชาติหวานพอดี ความสดชื่นนี้มาจากการผสมผสานระหว่างชาอู่หลง พีช และราสป์เบอร์รี หรือจะลอง Mango my Lychee ที่เป็นการรวมกันระหว่างของน้ำมะม่วง น้ำลิ้นจี่ และโซดา รสเปรี้ยวอมหวาน ซาบซ่าชื่นใจ     จบเรื่องราวด้วยความประทับใจ  

แม้จะให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองแบบโฮมคาเฟ่ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แต่ Yang Hong Kong Café” คือคาเฟ่น้องใหม่บนชั้น 2 ของอาคารใหม่ (ตึก B) ในโรงพยาบาลพระรามเก้า ที่ต่อยอดมาจาก East Ocean ร้านอาหารจีนเลื่องชื่อแห่งโรงแรม SC Park ทุกเมนูอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงของที่นี่จึงยังคงความพรีเมียมของรสชาติและคุณภาพวัตถุดิบไว้อย่างครบครัน         โดย Yang เน้นนำเสนอเมนูอร่อยร่วมสมัยที่กินสบายๆ และเข้าถึงง่าย ทั้งอาหารจานเดียว ติ่มซำที่เสิร์ฟปริมาณกำลังดี และชุดอาหารเช้าเต็มอิ่ม โดยเฉพาะ Yang Signature Dim Sum Set ที่รวม 5 เมนูแนะนำของร้าน ทั้งขนมจีบ ฮะเก๋า เผือกทอด เปาะเปี๊ยะกุ้ง และฝั่นโก๋แป้งบางกรอบที่หากินยาก และ Hong Kong Pork Congee Set โจ๊กหมูฮ่องกงเนื้อเนียนนุ่มกลมกล่อม ใส่ไข่เยี่ยวม้าและไข่ลวก เสิร์ฟพร้อมเปาะเปี๊ยะกุ้งและเครื่องเคียง       แต่ถ้ามองหาเมนูมื้อกลางวันง่ายๆ เราแนะนำข้าวหน้าหมูกรอบคั่วพริกเกลือ หมูกรอบสูตรเฉพาะของเชฟมากฝีมือที่ใช้วิธีอบรีดน้ำมันและย่างจนหนังกรอบ ไร้ความเลี่ยน ผัดกับพริกเกลือเพิ่มรสชาติ หรือจะสั่งก๋วยเตี๋ยวหลอดฮ่องกงไส้กุ้ง ใช้แป้งสดทำจานต่อจาน ไส้กุ้งทั้งตัวมา เพิ่มความอิ่ม ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างบัวลอยงาดำ ในน้ำขิงเผ็ดร้อนกำลังดี         อย่าลืมลองชิมชานมฮ่องกง รสเข้มหวานน้อย หอมกลิ่นใบชาระดับคุณภาพที่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้  

“La” ล่า ภาษาจีนกลางแปลว่า เผ็ด และ “Meow” เสียงร้องของแมว สัตว์เลี้ยงน่ารักที่มีความเอาแต่ใจ คาดเดาไม่ได้ และเป็นตัวของตัวเอง  เมื่อรวมกันกลายเป็น “La Meow” แปลตรงตัวว่าแมวเผ็ด คำที่ คุณแอมป์ ณรัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์ เลือกให้มาเป็นชื่อร้านอาหารจีนสไตล์หูหนานและเสฉวนต้นตำรับ รสชาติจัดจ้านอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมให้คุณได้อร่อยกับเมนูใหม่ ที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าทุกคราที่มาเยือนคุณจะได้ลิ้มลองรสชาติที่แตกต่าง (แต่ยังอร่อย) ทุกครั้งไป     ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงสาขาที่สอง ที่ตั้งอยู่ชั้น 7 ของห้างฯ ใหญ่อย่างเซ็นทรัลเวิลด์ ร้านสีขาวสบายตา ด้านหน้าโดดเด่นด้วยมาสคอตรูปแมวเหมียวหน้าทะเล้น เห็นแล้วก็อดยิ้มเป็นไม่ได้มาคอยต้อนรับลูกค้า เดินเข้ามาจะพบกับบรรยากาศร้านที่อบอุ่นและกว้างขวาง พื้นไม้ ผนังไม้สีน้ำตาลอ่อน โต๊ะและโซฟา ที่มีฉากกั้นเป็นรูปลายหูน้องแมวเอาไว้สร้างความเป็นส่วนตัว แอบเก๋ด้วยการนำโถพริกดองซึ่งเป็นเครื่องปรุงซิกเนเจอร์ประจำร้านวางตกแต่งโชว์ไว้บนชั้นสวยงาม เห็นแล้วยิ่งทำให้เจริญอาหารมากขึ้น     ด้านอาหารของล่าเมียว ที่นอกจากจะเป็นสูตรต้นตำรับบ้านของ คุณกวางหยาง จู ชาวจีนมณฑลหูหนานขนานแท้ผู้เป็นหุ้นส่วนชีวิตของคุณแอมป์ แล้วยังเสริมด้วยไอเดีย และฝีมือการทำอาหารสุดฉกาจของ Feng Jun เชฟชาวจีน เจ้าแห่งวงการอาหารจีนหูหนานสูตรดั้งเดิม จนได้รับฉายาว่า Dragon King Fire  หรือ ราชามังกรพ่นไฟ ที่บอกเลยว่าแต่ละจานรังสรรค์ออกมานั้นไฉไล ลิ้มลองแล้วไม่ผิดหวังว่าอย่างแน่นอน       ไม่ว่าจะเป็นเมนู เนื้อผัดพริกดอง ที่ให้คุณได้เลือกอร่อยกับเนื้อถึง 2 ชนิด มีทั้งเนื้อโคขุนไทย ที่เราคุ้นเคย และเนื้อ US SLICED (เนื้อท้องวัวสไลซ์ นิยมใส่ในชาบู) ครั้งนี้เราเลือกเป็นเนื้อโคขุนไทย ที่ให้สัมผัสเหนียวนุ่มสู้ฟัน ผัดพร้อมพริกดองมณฑลหูหนาน และสมุนไพรต่างๆ รสเผ็ดร้อน แต่ก็กลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆ     ตามมาด้วย ดอกกะหล่ำผัดพริกแห้ง ดอกกะหล่ำกรุบกรอบ กินพร้อมกับผักต่างๆ รสเค็มละมุน ผสานไปกับความเผ็ดปลายลิ้นเล็กๆ มาถึงจานที่เรารัก ไก่ทอดพริกเสฉวน ไก่ทอดกรอบนอกฉ่ำใน หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้าไปกับสมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ รสชาติละม้ายคล้ายหม่าล่า ให้รสชาติเผ็ดเล็กๆ ลิ้นชาแต่ก็กินสนุก       หมูตุ๋น เมนูขายดีที่ทุกโต๊ะต้องสั่ง หมูสามชั้นชิ้นพอเหมาะ ตุ๋นกับซีอิ๊วคุณภาพดี และเครื่องเทศนานาพันธุ์ที่ใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง จนได้เนื้อหมูที่นุ่มลิ้น แทบละลายในปาก หม่ำพร้อมกับน้ำแกงรสเค็มหวาน เพลินๆ     อย่าเพิ่งรีบอิ่มเพราะยังเหลือ ไก่ผัดเกาลัดกระทะร้อน เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า ปรุงจนได้รสเค็มหวาน ผสมไปกับความเผ็ดร้อนของพริกสด เข้ากันได้ดีกับเกาลัดหอมกรุ่น เสิร์ฟมาในกระทะร้อนทรงสูงอลังการ     เบนความสนใจมาที่ Mala Bowl  ที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับการเลือกวัตถุดิบต่างๆ อาทิ ผักสดนานาพันธุ์ เนื้อสัตว์ ซีฟู้ดสดเด้ง พร้อมทั้งเลือกวิธีการปรุง ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบผัดแห้ง หรือเลือกซดน้ำซุปร้อนๆ ก็ย่อมได้นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่มรสชาติ เพิ่มระดับความเผ็ด ลดระดับความเค็มตามใจต้องการอีกด้วย           ทั้งนี้เราเลือกเป็น หม่าล่าผัดแห้ง ผักต่างๆ หมูสไลซ์สู้ฟัน กุ้งตัวโต เส้นมันหวานและเส้นเต้าหู้ซู๊ดเพลิน ผัดไปพร้อมกับซอสหม่าล่าสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้าน รสชาติจัดจ้าน     ตบท้ายด้วยการซดน้ำแกงร้อนๆ จาก ซุปคอลลาเจน ได้รสหวานจากน้ำต้มกระดูกหมู ที่ผ่านการเคี่ยวอย่างใส่ใจ ผสานไปกับสมุนไพรต่างๆ เพื่อเสริมกลิ่นหอม จนได้รสชาตินุ่มนวล เบาบาง ซดได้สบายท้อง     อร่อยถูกใจสายแซ่บขนาดนี้จะไม่มาอีกได้อย่างไร

ไม่เพียงอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งรสเลิศของThe Silk Road” ห้องอาหารจีนบนชั้น 3 ของโรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก จะเป็นตำนานความอร่อยที่คนรักอาหารจีนต้องลองสักครั้งเท่านั้น หากเมนู “ติ่มซำ” ระดับพรีเมียมฝีมือ “เชฟกั๊ม - เชง กัม ซิง” เชฟใหญ่แห่งเส้นทางสายไหมแสนอร่อยแห่งนี้ยังอร่อยแบบหาตัวจับยากอีกด้วย แม้จะไม่ได้เสิร์ฟแบบบุฟเฟต์เหมือนเคย แต่บอกเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นสายติ่มซำหรือไม่ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง     โดยติ่มซำแบบเชฟกั๊มยังคงคอนเซ็ปต์ “ความดั้งเดิมอันทันสมัย” นั่นคือการปรุงด้วยเทคนิคสมัยใหม่และนำเสนออย่างสร้างสรรค์ พร้อมยังคงรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับไว้ครบถ้วน เช่นเดียวกับการตกแต่งห้องอาหารรูปแบบใหม่ที่ใช้ศิลปะแบบอาร์ตเดโค โดยเฉพาะการกรุกระจกใสลวดลายสีทองรอบห้องซึ่งเพิ่มความนำสมัย นั่งสบาย และให้ความรู้สึกเป็นกันเองยิ่งขึ้น       เราแนะนำ “5 เมนูซิกเนเจอร์” ของเชฟกั๊มที่ต้องลองให้ครบเป็น Must Eat ได้แก่ ฮะเก๋าไข่ปลาคาเวียร์ ฮะเก๋าชิ้นโตสอดไส้หมูสับและกุ้งสับแน่นๆ เพิ่มความอร่อยด้วยไข่ปลาคาเวียร์ด้านบน ขนมจีบเป๋าฮื้อ เสิร์ฟลูกโตแบบเดี่ยวๆ มาพร้อมเป๋าฮื้อชิ้นใหญ่สะใจ พายห่าน พายแป้งกรอบร่วนเบาละลายในปาก สอดไส้เนื้อห่านปรุงสูตรเด็ด แต่งเป็นรูปตัวห่านสุดเก๋ กรรเชียงปูนึ่งผงกะหรี่ ถูกใจคนชอบปูเต็มๆ กับกรรเชียงปูนึ่งเนื้อแน่นสดเด้ง และเสี่ยวหลงเปา แป้งนุ่มกินเพลิน กัดแล้วได้รสชาติน้ำซุปร้อนๆ รสกลมกล่อมอร่อยสุดๆ             ส่วนเมนูอื่นที่เราไม่อยากให้พลาดมีทั้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋ เมนูชื่อแปลก แต่อร่อยเด็ด ปาท่องโก๋ทอดกรอบ (มาก) ห่อด้วยแป้งก๋วยเตี๋ยว เพิ่มความอร่อยด้วยหมูหยอง พร้อมราดซอสซีอิ๋วที่เข้ากันอย่างลงตัว และแป้งข้าวเหนียวทอด ชื่อเมนูอาจดูธรรมดา แต่เสิร์ฟมาแล้วเป็นต้องร้องว้าว! เพราะเชฟครีเอตแป้งข้าวเหนียวสอดไส้หมูสับเป็นรูปนกน้อยตัวอ้วนแสนน่ารักน่ากิน       ส่วนใครยังไม่อิ่มลองสั่งอีหมี่ผัดไก่เส้นเห็ดสองสี เส้นบะหมี่ไข่เหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้ากับเนื้อไก่ เห็ดหอม และเห็ดเข็มทอง (จานใหญ่มาก กินได้ 2-3 คน สบายๆ) ยิ่งได้ Imperial Golden Tea ชาดำรสเยี่ยมที่ใช้ใบชาที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิ แฝงรสชาติกลมกล่อมของอ้อยและช็อกโกแลตมาดื่มไปพร้อมกันยิ่งทำให้มื้อนี้อร่อยแบบสุดประทับใจ    

หากตั้งใจมากินอาหารจีนแบบดั้งเดิมที่มีให้เลือกละลานตา “ยุ้งฉาง” อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ถูกใจ แต่ถ้าใครอยากมาชิมความอร่อยที่ไม่เหมือนใครในแบบ Neo Chinese ที่ “เชฟแอ๋–กุลพล สามเสน” ตั้งใจสร้างสรรค์ด้วยการหยิบเอาเส้น “เปี๋ยง เปี๋ยง เมี่ยน” บะหมี่ขึ้นชื่อของซีอานมาเป็นหัวใจหลักและปรับความเนียนนุ่มให้กินง่ายขึ้นในสไตล์ของตัวเอง       นอกจากนี้บรรยากาศของยุ้งฉางที่ให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมสุดฮิปก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจขึ้นไปอีก ทั้งประตูไม้บานใหญ่ โต๊ะเก้าอี้ไม้ และถ้วยชามรามไหแบบจีนโบราณ ที่เชฟแอบกระซิบว่าไปเสาะหามาจากลำปางด้วยแรงบันดาลใจและความหลงใหลในยุคราชวงค์จีนต่างๆ     มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เราก็ไม่ขอพลาดเมนูเด็ดอย่างเปี๋ยงหมูสามชั้นตุ๋นย่างในน้ำซุปกระดูกหมูโครงไก่ ทีเด็ดของจานนี้ยังอยู่ที่หมูสามชั้นตุ๋นในน้ำซอสจนได้ที่ ก่อนนำมาย่างไฟจนหอม ส่วนน้ำซุปก็แสนกลมกล่อมลื่นคอและไม่มันเลี่ยนจนเกินไป ต่อด้วยเปี๋ยงเนื้อวัวสับผัดผงกะหรี่โปะไข่แดงดิบ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับที่หลายคนคุ้นเคย แต่นำเนื้อวัวผักผงกะหรี่ท็อปด้วยไข่แดงดิบมาราดบนเส้นเปี๋ยงแทน ซึ่งออกมาเข้ากันอย่างลงตัว         ส่วนเมนูกินเล่นก็อร่อยไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเกี๊ยวหมูน้ำลายไหล เกี๊ยวหมูนึ่งราดน้ำซอสที่ดัดแปลงมาจากเมนูดังของชาวจีนเสฉวนอย่างโขวสุ่ยจีหรือไก่น้ำลายไหลที่ให้รสชาติเปรี้ยวหวานเค็มกลมกล่อม แต่ถ้ายังไม่(อิ่ม)จุใจ ลองสั่งข้าวผัดยุ้งฉาง เมนูซิกเนเจอร์ที่เชฟผัดจนเมล็ดข้าวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ และหอมกระทะ ใส่ทั้งหมูแดง หมูสามชั้น และผักดองสับมาเพิ่มอีกสักจานก็เข้าที    

บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นคนรักอาหารจีนหรือสายบุฟเฟต์ตัวยงก็พลาดไม่ได้ สำหรับ “คาราวานบุฟเฟต์โฉมใหม่” ของห้องอาหารจีน “สเตลล่า พาเลซ” บนชั้น 79 โรงแรมใบหยกสกาย ที่ปรับเปลี่ยนและเพิ่มความอลังการด้วยเมนูอาหารจีนรสชาติต้นตำรับที่มีให้อร่อยละลานตาถึง 15 คันรถ มากกว่า 80 รายการ แถมยังมาบริการเสิร์ฟกันถึงโต๊ะในห้องวีไอพีกันเลยทีเดียว   โดยทุกเมนูอร่อยสไตล์จีนดั้งเดิมนี้ยังรังสรรค์โดย เชฟประยงค์ ขันดงลิง  Senior Executive Sous Chef และ เชฟสุชาติ ป้อมแก้ว Chef BBQ 2 เชฟมากประสบการณ์แห่งสเตลล่า พาเลซ ที่ร่วมกันคิดค้นและสร้างสรรค์เมนูอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร     เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับเชต 5 คันรถแรก กับขบวนเมนูออเดิร์ฟกินเล่น (แต่อิ่มจริง) ที่ยกมาทั้ง เมนูร้อนเย็น อาทิ ขาหมูเย็น ไก่แช่เหล้า ขาหมูยัดไส้ แมงกระพรุนน้ำมันงา (แนะนำว่าต้องลอง) และสลัดกุ้งทอดผลไม้ที่กินเพลินสุดๆ       ต่อด้วยติ่มซำที่มีทั้งแบบนึ่งและทอด ไม่ว่าจะเป็นขนมจีบกุ้ง ขนมจีบปู ซาลาเปา ฮะเก๋าหูฉลาม ทอดมันกุ้ง ก้ามปูทอด ขนมปังหน้ากุ้ง และ ฟองเต้าหู้ทอด ที่เสิร์ฟกันแบบร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน         แล้วมาพักเบรกด้วยส้มตำและยำผลไม้ที่มาทำกันสดๆ รับประกันรสแซ่บจัดจ้าน ก่อนไปชิมเมนูหายากอย่างฮือแซ หรือซาชิมิแบบจีน ที่นำปลากระพงแดงสดแล่บางกินกับเครื่องเคียงนานาชนิด           จากนั้นมาเริ่มจัดเต็มกับเมนูหลักแน่นๆ ใน 6 คันรถถัดมา ที่มีไฮไลต์ห้ามพลาดคือ เป็ดปักกิ่งและเป็ดย่างหนังกรอบ ที่มาพร้อมซอส 3 สไตล์ ทั้งน้ำราดเป็ดย่าง ซอสบ๊วย และน้ำมันพริกเกลือ ที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ ต่อด้วยหมูหันฮ่องกง หมูแดง และหมูกรอบสูตรเด็ด           แล้วมาเพิ่มความอลังการให้มื้อนี้กันต่อกับเป๋าฮื้อน้ำแดงและหอยหน่อไม้ และกระเพาะปลาน้ำแดงรสกลมกล่อม รวมทั้งเมนูเส้น อาหารมงคลของคนจีนที่รวมพลมาทั้งบะหมี่ขาห่านอบหม้อดิน บะหมี่เคาหยก กุ้งอบวุนเส้น และบะหมี่ไก่ซีอิ๊ว           ส่วนสายซีฟู้ดต้องเตรียมท้องไว้สำหรับซีฟู้ดฮองเฮา ที่พร้อมให้เราเลือกอาหารทะเลและผักสดนานาชนิด อาทิ กุ้งแม่น้ำ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ ปูม้า ปลาหมึก ผักกาดขาว เห็ดออรินจิ ผักกวางตุ้งไต้หวัน มาต้มในน้ำซุปร้อนๆ หอมกลมกล่อม     แล้วมาตบท้ายด้วยเซตของหวาน 4 คันรถสุดท้าย ที่รวมความอร่อยเอาใจสายหวาน ทั้งผลไม้สดหลากชนิด เครปซูเซตต์ เมนูขึ้นชื่อที่มาทำเสิร์ฟกันร้อนๆ พร้อมไอศกรีมโฮมเมดสูตรสเตลล่า พาเลซ รวมทั้งขนมหวานแบบร้อนและเย็น แนะนำบัวลอยน้ำขิง สาคูแคนตาลูปกะทิปั่น และแตงโมเกล็ดหิมะเย็นชื่นใจ แต่ภ้ายังไม่จุใจยังมีขบวนเค้กและเบเกอรีสไตล์ฮ่องกงรอให้ชิมอีกเพียบ แนะนำลูกบอลลาวา แป้งทอดเหนียวนุ่มคลุกเคล้างาขาวและงาดำ ไส้ไข่เค็มลาวาเยิ้มๆ น่ากิน               นอกจากหลากหลายเมนูอัดแน่นในทั้ง 15 คันรถแล้ว ยังมีเมนูเสริมความ (อิ่ม) อร่อยให้เลือกได้อีก ทั้งซุป ข้าว และเมนคอร์สระดับพรีเมียม อาทิ ราดหน้ากุ้งแม่น้ำจัมโบ้ย่างมันเยิ้ม สะโพกเป็ดซอสส้ม ซี่โครงหมูตุ๋นทอด สตูลิ้นวัวและสเต๊กเนื้อแบบจีน ข้าวอบสเตลล่า ข้าวผัดหยางโจว บะหมี่ฮกเกี้ยน ซุปเป๋าฮื้อจักรพรรดิ ซุปหูฉลามทรงเครื่อง ซุปรังนก ซุปเยื่อไผ่ ไปจนถึงโจ๊กฮ่องกงเนื้อเนียนนุ่มละมุนลิ้น               ที่เราชอบมากคือ ราคาสุดคุ้มเพียง 890 บาทต่อคน นี้ ยังอร่อยได้แบบไม่จำกัดเวลา แถมฟรีเครื่องดื่มทั้งชาจีนและเก๊กฮวยตลอดมื้ออีกด้วย บอกเลยว่าสายกิน (หนัก) ต้องมาจัดกันด่วน! (อย่าลืมโทรไปสำหรองที่นั่งล่วงหน้า เพื่อรับประกันความอร่อยแบบชัวร์ๆ ด้วยนะ)

ไม่ต้องบินไปถึงฮ่องกงก็ได้อิ่มจุใจกับอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงขนานแท้ ปรุงโดยสุดยอดเชฟชาวฮ่องกง ชาน ยิ้ว แลม (เชฟแลม) และเชา ไท้ ชิง (เชฟจ้าว) 2 เชฟผู้บัญชาการประจำห้องอาหารแห่งนี้มายาวนานกว่า 13 ปี เริ่มตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบด้วยตัวเองไปจนถึงควบคุมการปรุงอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ดังนั้นไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนทุกจานที่เสิร์ฟทุกคำที่ได้กินรสชาติจึงยังคงเดิมเสมอ           เรียกน้ำย่อยด้วยออเดิร์ฟ 4 ฤดู ประกอบด้วย เป็ดรมควัน ขาหมูยัดไส้ กุ้งผีเสื้อ ฮ่อยจ๊อฟองเต้าหู้ทอด ทุกอย่างเน้นวัตถุดิบคุณภาพดีและทำสดใหม่วันต่อวัน  อร่อยจนต้องสั่งมาซ้ำอีกจาน       ต่อด้วยเมนูขายดีข้าวผัดฟิชเชอร์แมน ข้าวผัดไฟแรงจากกระทะก้นลึกที่ให้ความร้อนสูงเมล็ดข้าวจึงสุกทั่วถึงเรียงเมล็ดสวยที่สำคัญไร้ความมันส่วนเกินจึงตอบโจทย์คนรักสุขภาพ เพิ่มรสชาติด้วยกุ้งสด หอยเชลล์ และกังป๋วย โรยไข่เค็มด้านบน น่ากินไปอีก       สำหรับเมนูโปรดของเด็กๆ ยกให้กุ้งทอดครีมสลัด กุ้งแชบ๊วยตัวพอดีคำนำมาทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมสลัดผลไม้และมายองเนสโฮมเมด       นอกจากนี้ยังมีติ่มซำสไตล์ฮ่องกงทำสดใหม่ทุกวันมากถึง 40-50 เมนู เป็นใครก็สั่งเพลิน อาทิ กุ้งนึ่งพริกมะนาว ขนมจีบปู ลูกชิ้นกุ้งผักฉ่อย เกี๊ยวกุ้งทอด เป็นต้น ส่วนของหวานขึ้นชื่อยกให้ สาคูแคนตาลูป ใช้แคนตาลูปพันธุ์ดีคว้านเนื้อเป็นลูกกลมๆ เสิร์ฟพร้อมนมสดและเม็ดสาคูนุ่มๆ เข้ากันดีทีเดียว  

สมัยก่อนตือฮวนเกี้ยมไฉ่จัดเป็นของหากินยาก อยากกินทีต้องนั่งรถไปไกลถึงเยาวราช แต่สมัยนี้ตือฮวนหากินได้ง่ายขึ้นแต่จะหาที่อร่อยต้องวัดใจกันอีกที สำหรับร้านอรุณวรรณย่านเอกมัยแห่งนี้แม้ไม่ได้อยู่ในชุมชนชาวจีนแต่รสชาติจัดว่าไม่ธรรมดาเพราะเริ่มบุกเบิกสร้างตำนานความอร่อยมาแบบพิถีพิถันทุกขั้นตอนตั้งแต่ พ.ศ.2506 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ล่าสุดความอร่อยระดับตำนานถูกยืนยันอีกครั้งด้วยรางวัลจากมิชลินไกด์ในประเภท "บิบกูร์มองด์" (Bib Gourmand) หรือร้านอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยาในปี 2018 และต่อเนื่องอีกครั้งในปี 2019 นี้ ย่อมการันตีถึงรสชาติมาตรฐานที่ควรค่าแก่การลิ้มลองของนักชิมจากทั่วโลกได้อย่างเป็นอย่างดี     จากเดิมตัวร้านเป็นเพียงห้องแถวเปิดโล่งวันนี้ปรับโฉมใหม่ให้ลูกค้านั่งสบายในห้องแอร์เย็นฉ่ำโดยยังคงเมนูต้นตำรับไว้อย่างเหนียวแน่นทั้งตือฮวนเกี้ยมไฉ่และข้าวเหนียวตือฮวนหรือที่คนจีนเรียกว่าจุกบี้     ร้านอรุณวรรณเปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง เปิดร้านปุ๊บก็มีลูกค้าเข้ามาจับจองที่นั่งปั๊บมีทั้งลูกค้าเก่าตั้งแต่รุ่นพ่อแม่เรื่อยมาจนถึงวัยรุ่นซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะรสชาติเข้าถึงคนทุกรุ่นทุกวัย เห็นคนเยอะแน่นร้านแบบนี้อย่าเพิ่งท้อใจว่าจะต้องรอนาน เพราะพนักงานเสิร์ฟเร็วทันใจนั่งเดี๋ยวเดียวก็ได้กิน       เสน่ห์แรกพบของร้านคือความหอมอบอวลของกลิ่นน้ำซุปตือฮวนเกี้ยมไฉ่ ยิ่งได้ซดน้ำซุปร้อนๆ ใครกำลังเหนื่อยล้าจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ด้านเครื่องในทั้งหลายผ่านการต้มเคี่ยวส่วนที่เหนียวเคี้ยวยากก็เปลี่ยนเป็นนุ่มเหนียวเคี้ยวหนึบแทน ทางร้านหั่นชิ้นหนาใส่มาให้แบบไม่หวงมีทั้งไส้หมูเล็ก ไส้หมูใหญ่ ปอด ตับ หัวใจ หมูกรอบ หมูสับปรุงรส ขาดไม่ได้คือผักกาดดองต้มเปื่อย เติมความจัดจ้านด้วยน้ำส้มพริกตำ ย้ำความอร่อยแบบทบเท่าทวีคูณ       ลำดับถัดมาคือข้าวเหนียวตือฮวน ทำจากข้าวเหนียวผสมถั่วลิสงผัดจนเข้ากันก่อนยัดใส่ในไส้หมูที่ผ่านการล้างควักทั้งด้านนอกด้านในจนสะอาดเอี่ยม นำข้าวเหนียวยัดไส้ไปต้มจนสุกดี เวลาเสิร์ฟจะหั่นเป็นชิ้นจิ้มกินกับน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวเหนียวเหมือนยางมะตูม หรือจะจิ้มกับซีอิ๊วหวานเข้มข้นก็อร่อยได้เหมือนกัน นอกจาก 2 เมนูพระเอกของร้านยังมีเมนูสมทบอีกหลายรายการที่ล้วนขายดิบขายดีไม่ต่างกัน เราขอยกให้เป็นร้านอร่อยในดวงใจที่ใครผ่านไปย่านเอกมัยห้ามพลาดทีเดียว  

คำว่า “Heijii” (เฮยจี) แปลตรงตัวว่า “ไก่ดำ” แต่ “Heijii Bangkok” คาเฟ่น้องใหม่ในซอยเจริญกรุง 43 แห่งนี้แม้จะ (ยัง) ไม่มีไก่ดำตุ๋นยาจีน เมนูเด็ดในวัยเยาว์ฝีมือคุณแม่ที่เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อร้านให้ชิม แต่ที่นี่พร้อมบอกเล่าและถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำของคุณมิค เจ้าของร้านที่เติบโตในครอบครัวคนจีนผ่านรสชาติอาหารและบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายโรงน้ำชาร่วมสมัยที่ถูกดัดแปลงมาจากอาคารห้องแถวเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ได้อย่างลงตัว         แค่เปิดประตูบานเฟี้ยมก้าวเข้ามาในร้าน ลูกคนจีนแบบเราก็รู้สึกเหมือนได้ปะทะกับภาพจำและเรื่องราวเก่าๆ ของครอบครัวที่พร้อมย้อนกลับมาให้คิดถึง ทั้งผนังอิฐปูนเปลือย โต๊ะไม้ยาวมุมกระจก เก้าอี้เหล็กพับบุหนังสีแดงที่มีอายุหลายสิบปี ภาชนะสไตล์จีนวินเทจ ไปจนถึงเคาน์เตอร์บาร์ไม้ทาสีเขียวที่เต็มไปด้วยโหลแก้วใส่เครื่องดื่มต่างๆ ที่เจ้าของร้านเตรียมและชงแบบวิธีโบราณด้วยตัวเองไว้ทั้งหมด         และไม่เพียงตัวอักษรจีนบนกำแพงร้านที่หมายถึงขอให้โชคดีจะช่วยเติมพลังใจให้เราเท่านั้น หากเมนูเด่นของเฮยจียังช่วยเติมพลังงาน (ให้กระเพาะ) ได้ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Pork Dumpling ขนมจีบไส้หมูนุ่มแน่นเสิร์ฟร้อนๆ Chinese Spring Roll เปาะเปี๊ยะทอดกรอบอัดแน่นด้วยไส้หมูสับ วุ้นเส้น เห็ด และแครอต เสิร์ฟพร้อมผักเคียงและน้ำจิ้มรสหวานเปรี้ยว รวมทั้ง Spicy Fried Wonton เกี๊ยวทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดหมูสับต้มยำผัดแห้งรสจัดจ้าน         นอกจากชาและกาแฟที่คัดสรรมาอย่างดีแล้ว หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิ ยมจากเคาน์เตอร์บาร์สุดเท่กลางร้านที่เราอยากแนะนำคือ Plum Peach ซึ่งผสมผสานความลงตัวของบ๊วย พีช และน้ำผึ้ง หอมกลิ่นเปลือกส้ม ยิ่งดื่มพร้อมกับละเลียดความอร่อยของ Financier with Kumquat Sauce ขนมสไตล์ฝรั่งเศสรูปร่างคล้ายทองคำแท่งทำจากอัลมอนด์ ไข่ขาว นม และน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่ซอสส้มจี๊ดที่เด็ดกันสดๆ จากกระถางในร้านก็ยิ่งเพิ่มความสดชื่นไปอีกเท่าตัว      

ใจกลางย่านทองหล่อที่มีทั้งออฟฟิศใหญ่ คอนโดสูง และร้านอาหารฮิปมากมาย แต่การหาอาหารดีๆ กินสักมื้อในเวลาพักเที่ยงที่แสนจะเร่งด่วนหรือในเวลาแบกร่างที่เหนื่อยล้ากลับบ้านหลังเลิกงานบางครั้งก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด คุณตี้ ปฐวี เดชกฤติวัฒน์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยสัมผัสประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาแล้ว เมื่อสบจังหวะเหมาะขณะกำลังมองหาออฟฟิศแห่งใหม่กับพาร์ทเนอร์ คุณเจนนิเฟอร์ อุย จนมาพบโลเคชั่นลงตัวในซอยสุขุมวิท 51 ที่มาพร้อมกับครัวใหญ่ที่มีครบทุกฟังก์ชั่นจนน่าเสียดายหากจะรื้อทิ้ง Pinto Deli ปิ่นโตเดลิเวอรี บริการส่งอาหารจีนสไตล์คอมฟอร์ตจึงถือกำเนิดขึ้น     อาหาร Chinese Comfort ในนิยามของคุณตี้คืออาหารที่เขาคุ้นเคยขณะเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งหลายเมนูกลายเป็นว่าหาทานยากมากแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นอาหารที่อร่อยและกินได้ทุกวันอย่างพอร์คชอปสไตล์จีนหรือหมูเหล้าแดง เมนูของร้าน Pinto Deli จึงเริ่มต้นมาจากเมนูในความทรงจำเหล่านั้นและคิดเพิ่มเติมจนมีเมนูตั้งต้น 30 เมนู และล่าสุดในเดือนนี้เปิดตัวเมนูใหม่เพิ่มถึง 88 เมนูให้เลือกได้อย่างจุใจ ตอบโจทย์ลูกค้าประจำจะได้ไม่จำเจ     เมนูตอนนี้มีให้เลือกทั้งออร์เดิร์ฟ จานเดียว และกับข้าว สำหรับออร์เดิร์ฟเราขอแนะนำให้สายเนื้อลอง วากิวแดดเดียว  (198 บาท) ใช้เนื้อวากิวที่มีมันแทรกทำให้เนื้อนุ่ม หั่นชิ้นหนาทำแดดเดียวแล้วนำไปทอด เมนูนี้เกิดจากตอนที่คุณตี้เคยไปทำงานที่นิวยอร์ค คนที่นั่นไม่กินเนื้อส่วนที่ติดกระดูกกันจึงเป็นส่วนที่เหลือทิ้ง พ่อครัวเลยเอาเนื้อตรงนั้นมาทอดแดดเดียวให้ทีมงานในร้านกินซึ่งมันอร่อยมากและติดอยู่ในความทรงจำ จนกลายมาเป็นหนึ่งในเมนูของร้านด้วย ตามด้วยเมนูใหม่ ขนมจีบทอด (138 บาท) ลูกโตจนกินคำเดียวไม่หมด ห่อแป้งบางๆ ไส้แน่นชุ่มฉ่ำ กินเปล่าๆ ก็อร่อยหรือจะจิ้มกับซีอิ๊วหรือน้ำมันพริกเพิ่มรสชาติก็ได้ ส่วนกับข้าวเราลองสั่ง ต้มแซ่บปลาผักกาดดอง (228  บาท)  ซึ่งความเปรี้ยวแซ่บนั้นชวนสะดุ้งในคำแรก แต่กลับซดเพลินมากๆ ในคำต่อๆ มา เนื้อปลาก็ชิ้นใหญ่เต็มชาม สังเกตว่าราคาของทุกเมนูจะลงท้ายด้วยเลข 8 เลขมงคลของจีน สมกับที่เป็นร้านอาหารจีน         นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษที่ “เอ็กซ์คลูซีฟ” เฉพาะสำหรับลูกค้าที่สั่งผ่าน Line@ Pinto Deli (@pintodeli) เท่านั้นจึงจะสามารถสั่งได้คือ ผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่กรอบเนื้อวากิวแดดเดียว (248 บาท) ตัวเส้นกรอบอร่อยเคี้ยวเพลินมากๆ ส่วนเนื้อวากิวมีมันแทรกหน่อยๆ นุ่มเคี้ยวง่ายกินเพลินจนหมดไม่รู้ตัว ตามด้วยเมนู ไข่พระอาทิตย์ + หมูสับซอสเซี่ยงไฮ้ (148 บาท) ตัวข้าวและไข่ทอดมาอย่างนุ่มฟูชวนกิน ยิ่งกินกับหมูสับผัดซอสรสเข้มข้นที่ราดหน้ามาแล้วไม่ต้องปรุงรสเพิ่มใดๆ ก็เอ็นจอยได้ และเมนูสุดท้าย เส้นใหญ่กุ้งสับผัดซอส XO (188 บาท) ซึ่งตัวซอส XO นั้นทางร้านทำขึ้นมาเอง รสชาติเข้มข้นแบบไม่ต้องปรุงเพิ่มอีกเหมือนกัน ถ้าอยากลองทั้ง 3 เมนูพิเศษนี้ ก็แอดไลน์ได้เลย มีแอดมินใจดีคอยต้อนรับแถมมีบริการส่งทุกค่ายให้เลือกสรร         และด้วยความต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบทุกกลุ่ม ทางร้านเลยเริ่มมีเมนูสุขภาพที่กินอร่อยมาเสริมทัพอย่าง อกไก่ผัดต้นหอม (148 บาท) ผัดกับน้ำซุปไก่โดยไม่ใช้น้ำมันเลยแม้แต่น้อย แต่รสชาตินี่อัดแน่นและกลมกล่อมมาก จะสั่งไปกินเปล่าๆ ราดข้าว หรือกินกับข้าวต้มก็เข้าท่า     ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำแค่เดลิเวอรีเท่านั้น แต่พอรู้ว่ามีของอร่อยเพื่อนฝูงของคุณตี้และคุณเจนนิเฟอร์ก็แวะเวียนมากินที่ร้านเป็นประจำ ตอนเที่ยงก็มีลูกค้าที่อยู่ไม่ไกลแวะเวียนมา สุดท้ายเลยต้องตั้งโต๊ะอาหารใหญ่ไว้ 1 ตัวกั้นม่านเป็นสัดส่วนแยกกับส่วนปรุงอาหารเพื่อรองรับแขกที่อยากมากินที่ร้านซะเลย โต๊ะอาหารที่นี่รองรับลูกค้าได้ราว 10 ที่ หากอยากชวนเพื่อนฝูงมานั่งกินชิลๆ เหมือนไปกินข้าวบ้านเพื่อนทางร้านก็ยินดีเปิดรับในช่วงมื้อเย็น เฉพาะแขกที่มีการจองล่วงหน้าเท่านั้นนะ      คุณตี้มองแบรนด์ Pinto Deli เป็น Food Delivery Service จึงเน้นเรื่องประสบการณ์ในการกินของลูกค้าเป็นสำคัญ อาหารทุกเมนูใช้เวลาปรุงไม่นานพร้อมส่งได้ในเวลาอันรวดเร็วเพื่อที่อาหารที่ไปส่งจะยังคงความร้อนและความอร่อยอย่างเต็มที่ แยกส่วนข้าวและกับเป็นอย่างดี หากลูกค้าอยู่ในละแวกร้านยังมีบริการส่งฟรีอีกด้วย นอกจากส่งปิ่นโตให้ลูกค้ารายย่อยแล้ว Pinto Deli ยังเพิ่มบริการสำหรับองค์กรเป็นเมนู “Daily Lunch” ข้าวกล่องอาหารกลางวันที่เหมาะสำหรับพนักงานออฟฟิศที่มีเวลาพักเที่ยงสั้นๆ มีเมนูให้เลือก 15 เมนูและจะสับเปลี่ยนไปทุกเดือน ให้บริการในช่วง 11.00 – 14.00น.  ในราคา 55 – 65 บาทเท่านั้น และรองรับออร์เดอร์ได้มากถึง 250 ที่ต่อวันเลยทีเดียว เมนู Daily Lunch ให้บริการผ่าน Line@ เท่านั้นนะ   ใส่ใจลูกค้าแบบเก็บทุกเม็ดแบบนี้ ก็เลยอยากชวนมาผูกปิ่นโตกับ Pinto Deli กันซะเลย

หนึ่งในร้านอาหารจีนระดับตำนานของกรุงเทพฯ ที่ยังคงมีลูกค้าเนืองแน่นจนถึงปัจจุบันต้องยกให้ Xinn Tien Di (ซิน เทียน ตี้) ซึ่งเคล็ดลับของความนิยมอันยาวนานนอกจากความอร่อยแบบอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงแท้ๆ แล้วก็ต้องยกให้คุณภาพของวัตถุดิบที่ทางร้านให้ความสำคัญเสมอมา และเพื่อต้อนรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง ทางร้านจึงได้จัดเซ็ตเมนูพิเศษ “8 เมนูเสริมมงคล” ที่ทั้งอร่อยได้สุขภาพและใช้วัตถุดิบที่มีความหมายเป็นมงคลมาให้เฉลิมฉลองกันทั้งครอบครัว โดยเซ็ตเมนูพิเศษนี้จะมีให้ลิ้มลองระหว่างวันที่ 1 – 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยบางเมนูคัดสรรมาจากเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน ร่วมกับเมนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะเทศกาลนี้โดยเฉพาะ     เริ่มต้นที่จานแรก “ซุปราบรื่นโชคดี” ซุปหอยสังข์หมูตุ๋นที่ต้มจนเปื่อยนุ่ม ใส่เนื้อหอยสังข์สไลซ์เคี้ยวหนึบหนับลงไปช่วยเสริมรสหวานของน้ำซุปให้ยิ่งกลมกล่อมยิ่งขึ้น และยังเต็ทไปด้วยเครื่องตุ๋นยาจีนมากประโยชน์ทั้งอบเชย โป๊ยกั๊ก และตังกุย ทั้งซดเพลินและเสริมมงคลชีวิตในเรื่องสุขภาพให้แข็งแรง ตามด้วยจานเด็ดยอดนิยมของร้านที่มาในชื่อ “เป็ดอิ่มหนำสำราญ” หรือก็คือ “เป็ดปักกิ่ง” หนังกรอบห่อแป้งนุ่มๆ ราดซอสรสหวาน จานนี้ใช้เป็ดที่เลี้ยงด้วยกรรมวิธีเฉพาะ “เถียนยา” จนอ้วนพี เสริมมงคลด้านความอุดมสมบูรณ์ จากนั้นทางร้านจะนำเนื้อเป็นไปทำเป็นเมี่ยงเป็ดรสเข้มข้นเสิร์ฟกับใบผักกาดแก้วในตอนท้าย       จานต่อมา “กุ้งมังกรนำพาบารมี” เสริมมงคลด้านลาภยศตำแหน่ง จานนี้คือ “กุ้งมังกรผัดพริกเกลือ” นั่นเอง เนื้อกุ้งมังกรแน่นหวานเต็มคำเข้ากับรสเครื่องปรุงที่จัดจ้านเป็นอีกหนึ่งจานเด็ดของทางร้านที่หลายๆ คนติดใจ ตามด้วย “เจี๋ยนมั่งมีค้าขาย” หรือหน่อไม้ทะเลเจี๋ยนคะน้าฮ่องกง สื่อถึงความร่ำรวยเงินทอง ตามด้วยเมนูซึ่งปกติไม่มีวางขายแต่ทำขึ้นเป็นเพื่อต้อนรับเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น คือ “ผัดผักรวมมิตรสุขสบาย” ที่ยกให้เป็นจานสุขภาพที่รวมของดีเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ ผักกาดแก้ว เห็ดหอม และ “สาหร่ายเส้นผม” ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทางร้านสั่งเข้ามาเป็นพิเศษสำหรับเซ็ตเมนูมงคลนี้ ราดด้วยซอสน้ำแดงสูตรลับของร้านอร่อยลงตัว จานนี้สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวย         มาถึงจานปลา “นึ่งสมปรารถนา” หรือเมนูปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว ใช้ปลาเก๋าตัวโตเนื้อสดหวานที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และจานหลัก “ผัดอายุมั่นขวัญยืน” ผัดหมี่ซั่วเส้นยาวๆ เพื่อเสริมมงคลด้านอายุยืนยาวและโชคลาภ ผัดกับเป๋าฮื้ออย่างดี เห็ดหอม และผักต่างๆ เหมาะเป็นจานปิดท้ายก่อนจะนำไปสู่ของหวาน “หวานร่มเย็น” หรือโอนีแปะก๊วย ของหวานมงคลของจีนที่นิยมทำกินในงานแต่งงานหรืองานมงคลต่างๆ เพื่ออวยพรให้มีลูกหลานและเกื้อกูลกัน ปกติหากต้องการสั่งเมนูนี้ต้องสั่งล่วงหน้าเพราะใช้เวลาในการปรุงเอาการ         กินหมดเซ็ตนี้ทั้งอร่อย อิ่มท้อง พร้อมแบกความเป็นมงคลกลับบ้านอย่างเต็มที่ หลังจากจบช่วงเทศกาลตรุษจีนไปแล้วก็ยังสามารถลิ้มรสเมนูขึ้นชื่อของทางร้านเหล่านี้ได้ ยกเว้นเมนูผัดผักรวมมิตรสุขสบายที่ใส่สาหร่ายเส้นผม เพราะฉะนั้นใครที่อยากลิ้มรสเมนูนี้ก็ต้องรีบจองมาหน่อยนะ 

สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารจีนในบรรยากาศคลาสสิกร่วมสมัยล่ะก็ ต้องมาที่ Yao Restaurant & Rooftop Bar บนชั้น 32 ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะสุรวงศ์ เพราะนอกจากจะมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาชวนผ่อนคลายแล้ว ยังชวนให้ท้องร้องด้วยอาหารจากความทรงจำในวัยเยาว์ของเชฟบรูซ ฮุย เชฟชาวจีนที่นำเอาวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของเซี่ยงไฮ้มาผสมผสานให้เข้ากับยุคสมัย แถมเพิ่มเติมเมนูอาหารจีนกวางตุ้งเข้ามาให้ไชนีสเลิฟเวอร์ทุกคนได้ใจเต้นไปตามๆ กัน         เริ่มเมนูแรกที่ Flower Shaped Bean Curd with Morel Mushroom Soup เราชอบความพริ้วไหว(ชวนอัพไอจีสตอรี่)ของเต้าหู้รูปดอกเหมยในน้ำซุปผักหอมหวาน ซึ่งไปกันได้ดีกับ Fresh Noodle with Spicy Minced Pork and Gravy Sauce เส้นสดดึงมือเหนียวนุ่มราดซอสหมูเผ็ดซ่าจากพริกหม่าล่า       ส่วนใครที่ชอบเมนูปูพลาดไม่ได้กับ Wok-fried Jumbo Sea Mud Crab with Salted Egg Yolk ปูทะเลผัดซอสไข่เค็มรสเข้มข้นกลมกล่อมกินกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วเพลินเลย ต่อด้วยเมนูห้ามพลาดเด็ดขาด Dinner Dim Sum Platter ที่รวบรวมติ่มซำหลายชนิดไว้ใน 1 เสิร์ฟ อาทิ ซาลาเปาแป้งนุ่ม (เลียนแบบ) เห็ดชิตาเกะ ฮะเก๋ารูปปลาทองตัวอวบสอดไส้กุ้งกับหมูเคี้ยวเด้งสู้ฟัน เผือกทอดและอะบาโลนก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน กระซิบว่าเสิร์ฟมาอย่างละชิ้น แนะนำให้เล็งชิ้นที่ชอบแล้วคีบก่อนได้เลย (ฮา) เหมาะมากถ้ากินคู่กับชาอุ่นๆ ซึ่งทางร้านก็มีชาให้เลือกเยอะมาก แถมก็มีกิมมิกเก๋ๆ คือการเลือกชาแบบเสี่ยงเซียมซี เรียกว่า “Des-Tea-Ny” เพื่อให้เราเปิดใจทดลองดื่มชารสชาติใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนั่นเอง         จากนั้นไปต่อกันที่ Rooftop Bar ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำและค็อกเทลที่คิดขึ้นมาให้ตรงกับคอนเซ็ปต์โมเดิร์นไชนีสบาร์แห่งแรกในประเทศไทยอย่าง Shanghai, The City “Upon The Sea” ค็อกเทลสีม่วงสวยจากน้ำดอกอัญชัน หอมเหล้ารัมและน้ำลิ้นจี่     หรือจะเป็น Dragon Fizz จินโทนิกเปรี้ยวอมหวานจากซอสสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดสีแดงสด เผ็ดร้อนจากขิงและพริก กินกับส้มโอและผักชีก็ดุเดือดไม่เป็นรองกัน สุดท้าย Silk and Sangria ส่วนผสมหลักเป็นไวน์ขาวอินฟิวส์กับขิง สับปะรด และเมลอน ดื่มแล้วสดชื่นดี       แถมที่บาร์ก็มีเมนูกินง่ายเป็นคำๆ อย่างเป็ดปักกิ่งโรล ฮะเก๋า เปาะเปี๊ยะสด รวมถึงไก่ทอดผัดพริกกรอบสไตล์เสฉวนที่เหมาะสั่งมาแพริงกับเครื่องดื่มด้วยนะจ๊ะ        

วินาทีสำหรับคนกรุงเทพฯ ไม่น่าจะมีอะไรฮอตฮิตเท่ากับห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ Icon Siam ถึงกับทักทายกันว่า “ไปมาหรือยัง” ไม่ใช่เฉพาะชาวกรุงเทพฯ เท่านั้นที่ไปกัน ร้านอาหารชื่อดังต่างๆ ก็พากันไปเปิดคับคั่ง รวมทั้งร้านอาหารจีน Hong Bao ที่มีสโลแกนว่า The Best Dim Sum in Town   ร้านหงเปาสาขานี้อาหารไม่ได้แตกต่างจากสาขาอื่น มีแต่บรรยากาศของร้านที่ตั้งอยู่บนชั้น 5 มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยๆ มีเรือนานาชนิดแล่นสวนกันไปมา โอบล้อมด้วยตึกสูงปรี๊ดทรวดทรงต่างๆ และเบียดเส้นขอบฟ้า เช่น โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล โรงแรมรอยัล ออร์คิด โรงแรมแชงกรี-ลา ตึก CAT Tower สะพานสาทรที่อยู่ไกลออกไป และโรงแรมเพนนินซูลาที่อยู่ฝั่งเดียวกันขนาบข้าง คนที่หลงรักทิวทัศน์น่าจะไปยามเย็นและเลือกนั่งเอาร์ดอร์จะถูกใจที่สุด       จากสโลแกนของร้านแน่นอนว่าติ่มซำที่ควรสั่งและเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน เช่น ซาลาเปาไข่เค็มลาวา ขนมจีบกุ้ง เสี่ยวหลงเปาไส้ตับห่าน เมนูที่ขายดีมากของสาขานี้ เช่น ซาลาเปาโปโลหมูแดง ใช้อบแทนการนึ่ง เนื้อซาลาเปาจึงกรอบให้ความรู้สึกที่แปลกจากการกินซาลาเปาทั่วไปแม้ว่าไส้หมูแดงรสจะกลมกล่อมเหมือนกัน     ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้งกรอบ แป้งก๋วยเตี๋ยวหลอดเหนียวนุ่มห่อแผ่นแป้งกรอบอีกชั้นก่อนจะกัดเจอกุ้งเนื้อหวานแน่น และขนมจีบเป๋าฮื้อ ขนมจีบไส้กุ้งมีเป๋าฮื้อราดซอสวางบนหน้า จะได้กินทั้งกุ้งและเป๋าฮื้ออร่อยขนาดพอคำ ถ้าใครพาพ่อแม่มาและคิดถึงอดีตก็อาจจะสั่งมาไล้โก้ว ขนมกวางตุ้งโบราณ คล้ายขนมถ้วยฟูสีน้ำตาลเพราะใส่น้ำตาลทรายแดง ตำรับของที่นี่เนื้อเบาฟู นุ่ม คนชอบขนมเนื้อนุ่มๆ น่าจะชอบ         อาหารจานหลักชนิดจัดเต็มสั่งได้ทั่วไปตั้งแต่เป็ดปักกิ่ง หมูหัน และก็เลือกสั่งอาหารตามชนิดที่อยากกิน เช่น เนื้อ กุ้ง ปลา ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย เช่น กุ้งลายเสือผัดพริกเกลือสไตล์ฮ่องกง กุ้งและกระเพาะปลาแห้งผัดสไตล์แต้จิ๋ว ปลานึ่งซีอิ๊วหรือเต้าซี่ เป็นต้น แต่เมนูที่อ่านชื่อแล้วชวนอยากลองและขายดี ขาหมูต้มโค้ก ซอสน้ำแดงใส่น้ำอัดลมเพื่อให้รสเข้มข้นกลมกล่อมขึ้น ราดบนขาหมูที่ตุ๋นมาจนนุ่มทั้งเนื้อและหนัง  แต่ถ้ารู้สึกว่าอยากกินอาหารสจัดหน่อยก็มีอาหารรสไตล์เสฉวนรสเผ็ดเปรี้ยวอย่างเช่น ยำเต้าหู้ไข่เยี่ยวม้าสไตล์เสฉวน สีขาวของเต้าหู้เนื้อนิ่ม รสจืด กับไข่เยี่ยวม้าสีดำรสเค็มมีสีตัดกันที่น่าชิม ราดซอสพริกจะออกแนวยำนิดๆ สำหรับคนไทย       อาหารจานหนักที่นิยมสั่งกันเพื่อความคุ้นเคยและอิ่มท้องจะเป็นข้าวหรือเส้นก็ได้ ถ้าเป็นข้าวก็ต้องสั่งข้าวผัด เพราะขึ้นชื่อว่าร้านจีนแล้วจะไม่ผิดหวังเรื่องเม็ดข้าวร่วนนุ่ม หอมกลิ่นกระทะอันเป็นเอกลักษณ์ หรือสั่งบะหมี่โฮมเมดเนื้อปู เส้นหมี่สดซึ่งทำเองทุกวันผัดปรุงรสซีอิ๊ว ใส่เนื้อปูรสหวาน ช่วยให้เต็มอิ่มขึ้น     ส่วนของหวานสไตล์ผสมผสาน ทุเรียนโมจิ ขนมญี่ปุ่นแป้งโมจิเหนียวนุ่มห่อไส้ทุเรียนผสมวิปปิงครีม พอตัดให้ไส้ไหลเยิ้มก็จะได้กลิ่นทุเรียนฟุ้งไปทั่วห้อง และพุดดิงมะม่วง เนื้อนุ่มสีเหลืองสวยผสมเนื้อมะม่วงนุ่มๆ ให้เคี้ยวด้วย   ว่าไปแล้วข้อดีของห้างสรรพสินค้านอกจากจะได้เดินชอปปิง ยังเลือกกินร้านอาหารชื่อดังได้สะดวกสบาย อย่างร้านหงเปากก็ไปเลือกชิมได้ง่ายๆ และยังมีทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้ชื่นชมกันอีกด้วย

ห้องอาหารจีนระดับ 5 ดาวหรือในเมืองใหญ่เกือบทั่วโลก เป็นที่รู้จักกันว่ามักจะเป็น Cantonese Cuisine หรืออาหารกวางตุ้งอันมีชื่อเสียง และเชฟจะมาจากฮ่องกง แต่ที่ห้องอาหารจีนแมนโฮ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ เอ็กเซ็กคูทีฟเชฟ เป็นเชฟหนุ่มจากปักกิ่ง มีสไตล์การทำอาหารที่ชวนติดตามเลยทีเดียว     เชฟปีเตอร์ ลี เชฟหนุ่มจากปักกิ่ง ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว พูดภาษาอังกฤษเสียงดัง ฟังชัด ผู้เดินทางไปทำอาหารในห้องอาหารหรูและโรงแรมชั้นนำมาหลายประเทศ โดยเฉพาะในโลกอาหรับ เช่น ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ อินเดีย ก่อนคุยกันถึงอาหารของเขา อดถามไมได้ว่าคนอาหรับชอบอาหารจีนจานไหน เชฟบอกว่าส่วนใหญ่จะชอบอาหารเสฉวนที่มีเครื่องเทศและรสเผ็ดร้อน เช่น ซุปเสฉวน ไม่ใช่อาหารกวางตุ้ง และชอบกินก๋วยเตี๋ยว     แม้ว่าจะทำงานในโลกอาหรับแต่อาหารของเชฟหนุ่มผู้นี้ก็ออกแนวทันสมัยอย่างตะวันตก อาหารของเขามีทั้งสีสันและลีลาเพราะทุกเมนูเชฟจะมายืนปรุงข้างโต๊ะ ทำให้เห็นกันชัดๆ และคุยกับลูกค้าอย่างเพลิดเพลิน เริ่มแรกเชฟเสิร์ฟอะมุสบุช (Amuse-bouche) อาหารเรียกน้ำย่อยพอดีคำก่อน กุ้งชุปแป้งทอดราดซอสครีมวาซาบิ ต่อด้วยฮะเก๋าปลาหมึก แป้งฮะเก๋าสีดำทำจากหมึกดำที่ใช้ทำสปาเกตตี้หมึกดำ โรยไข่กุ้งสีแสดตัดกัน เนื้อแป้งเหนียวนุ่มเนื้อกุ้งหวานกรอบ       จานต่อมา ซุปซีฟู้ดตุ๋นโสม เสิร์ฟในกาใสที่ใส่กุ้ง ปลาหมึก เป๋าฮื้อ คล้ายซุปกาของญี่ปุ่น แต่ขนาดกาใหญ่กว่า ต้องเทน้ำซุปใส่ชามเอง จานนี้ได้กลิ่นหอม รสหวานเด่นของซีฟู้ด   เมนูตื่นตาที่มีไฟลุก คือ เป็ดปักกิ่งลุยไฟ เชฟเข็นเป็ดปักกิ่งมาข้างโต๊ะ ราดเหล้าลงบนตัวเป็ดแล้วจุดไฟ ไฟลุกพรึบทันที เชฟบอกว่าเพื่อให้มีกลิ่นหอม แล้วแล่แบบหนังติดเนื้อสไตล์ปักกิ่ง ไม่ใช่เฉพาะหนังอย่างสไตล์กวางตุ้งและนำเนื้อไปผัดเหมือนที่นิยมกัน เชฟบอกว่าถ้าจะให้หนังกรอบอบนาน 15 นาที แต่ถ้าให้เนื้อสุกด้วยก็เพิ่มเวลาเป็น 45 นาที แต่หนังกรอบเหมือนกันและเนื้อก็สุกด้วย และถ้าชอบเฉพาะหนังเชฟก็บอกว่าแล่ได้และกรอบอร่อยเหมือนกัน     กุ้งอบซาวน่า เมนูนี้มาพร้อมหม้อเซรามิกพร้อมฝาปิดข้างในใส่หินร้อน 500 – 700 องศาเซลเซียส เชฟวางกุ้งลงบนหิน ราดเหล้า ควันสีขาวทึบก็พวยพุ่งเหมือนอยู่ในซาวน่า ปิดฝาไว้ 2 นาที กุ้งสุก ได้กินเนื้อหวานๆ รสธรรมชาติทันที ไม่ต้องเสียเวลาเดินยกออกมาจากห้องครัว เหมือนกับ ไก่ไทเก็กอบเกลือ ไก่ห่อใบบัวแล้วห่อกระดาษไขอีกชั้น ใส่ในหม้อเซรามิกที่ใส่เกลืออยู่เต็มจนปิดหน้า ก่อนเสิร์ฟก็ราดเหล้า จุดไฟ ปิดฝา พอเปิดฝาควันก็ลอยล่องออกมา และค่อยๆ แกะกระดาษ ใบบัวไปทีละชั้น  วิธีนี้เชฟบอกว่าจะทำไก่หอมกลิ่นใบบัว     นอกจากนี้มี ปลาหิมะย่างซอสฉงฉิงในกระบอกไม้ไผ่ เนื้อปลาชิ้นใหญ่วางเรียงมาในกระบอกไม้ไผ่ราดซอสฉงฉิงซึ่งเป็นซอสดั้งเดิมของเสฉวน รสเข้มข้น และหอยเชลล์พันเบคอนซอสเอ็กโอ หอยเชลล์เนื้อนุ่มหวานเมื่อเจอเบคอนรสเค็มมันหน่อยๆ กับซอสเอ็กโอกลิ่นหอม รสเค็มมัน เพิ่มรสให้หอยเชลล์อร่อยขึ้น       ปิดท้ายด้วยไอศครีมหม้อไฟกับซอสช็อกโกแลต ไอศครีมใส่ชามหินวางบนหินร้อน ก่อนกินก็ราดน้ำลงบนหินเกิดหมอกควันและทำให้เค้กที่วางไว้ก้นชามร้อนบวกกับไอศครีมเย็น ของหวานสไตล์ร้อนปะทะเย็น     เรียกว่าเป็นการกินอาหารจีนที่มีทั้งสีสันและลีลา ทุกเมนูชวนติดตามเลยทีเดียว 

ร้านอาหารจีนสไตล์คาเฟ่สุดเก๋น้องใหม่ใจกลางเมืองที่บอกได้คำเดียวว่าตอบโจทย์คนรักอาหารจีนยุคนี้เป็นที่สุด เพราะนอกจากบรรยากาศและการตกแต่งแสนโมเดิร์น แต่สอดแทรกกลิ่นอายไชนีสไว้อย่างกลมกลืนแล้ว เมนูเด่นตำรับกวางตุ้งที่นำเสนอในรูปแบบ Single Dish หรืออาหารจานเดียวแบบฉบับ “Xoho” ยังอร่อย กินง่าย สะดวก และประหยัดเวลาคนเมืองอย่างแท้จริง       โดยเฉพาะสาวกติ่มซำคงถูกใจ Dimsum Combo เซตติ่มซำราคาเบาๆ ที่จัดความอร่อยมาให้ถึง 5 แบบในจานเดียว ทั้งขนมจีบกุ้ง ขนมจีบหมู ขนมจีบไก่ ฮะเก๋ากุ้ง และฮะเก๋าหอยเชลล์ ส่วนใครชอบเนื้อสัตว์แบบเน้นๆ ต้องลอง BBQ Combo ที่มีทั้งหมูแดงหอมหวานหมักน้ำผึ้งสูตรฮ่องกง หมูกรอบที่ใช้เทคนิคอบไล่ไขมันจนหนังหมูกรอบอร่อย และเป็ดย่างเนื้อเป็ดนุ่มแน่นย่างกำลังดี       แต่ถ้ายังไม่อิ่ม แนะนำให้สั่ง XO Sauce Fried Rice ข้าวผัดซอสเอ็กซ์โอสูตรเด็ดแบบฉบับโซโห เม็ดข้าวร่วนผัดแห้งหอมกระทะ เพิ่มความอร่อยด้วยหอยเชลล์อบแห้งและกุ้งแห้งตัวโต และ Seafood Hor Fun Rice ข้าวผัดราดหน้าซีฟู้ด ข้าวผัดไข่ราดน้ำซุปหอมหวานกลมกล่อมที่เคี่ยวกับขาหมู ไก่ และปลาตาเดียวนานกว่า 6 ชั่วโมง มาพร้อมหอยเชลล์ กุ้ง และหอยเป๋าฮื้อ       แล้วเพิ่มความสดชื่นด้วย Xoho Sweet & Sour Soup เนื้อไก่หมัก เห็ดหอม และหอยเป๋าฮื้อในน้ำซุปเสฉวนรสเปรี้ยวหวาน เผ็ดนิดๆ หรือจะตบท้ายด้วย Prawn Wonton Soup เกี๊ยวกุ้งน้ำที่ใช้กุ้งสดทั้งตัว อร่อยเต็มคำก็เข้าที ที่สำคัญอย่าลืมสั่ง Black Tea with Fresh Fruit ชาดำเย็นผลไม้สด เครื่องดื่มสุดฮิตของชาวฮ่องกงหวานเย็นชื่นใจ หรือ Butterfly Pea Drink น้ำอัญชันมะนาวรสเปรี้ยวหวานมากินคู่กัน           เรียกว่าอิ่มอร่อยครบ...จบในมื้อเดียว

สำหรับคนรักอาหารจีนเชื่อว่าคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของห้องอาหารไดนาสตี้ (Dynasty) ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ตำนานความอร่อยที่ว่าได้ขยับขยายเข้าสู่ใจกลางเมือง ณ ชั้น 24 ของโรงแรม เซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นทรัลเวิลด์อย่างเป็นทางการ     เมื่อได้พื้นที่ที่กว้างขวางขึ้น แน่นอนว่าความอร่อยก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ด้วยการปรับโฉมอาหารจีนสูตรกว้างตุ้งให้ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ขณะที่วัตถุดิบต่างๆ ก็เรียกได้ว่าคัดสรรมาจากทั่วโลก จนได้ความอร่อยที่มีให้เลือกลองมากกว่า 100 เมนู       เรามาเริ่มกันด้วย กุ้งทอดครีมสลัดวาซาบิ (590 บาท) กุ้งแชบ๊วยชุบแป้งทอดคลุกเคล้าในมายองเนสที่ผสมวาซาบิ พร้อมด้วยแคนตาลูปและมะละกอ     ตามด้วย ปลาหิมะอบน้ำผึ้ง ชิ้นโตที่มีทีเด็ดความอร่อยอยู่ที่หนังสุดกรอบและความนุ่มแน่นหอมหวานของเนื้อปลาที่เข้าคู่กับเห็ดเข็มทองทอดได้อย่างเหมาะเจาะ     หรือจะลอง เป๋าฮื้อเม็กซิโกเจี๋ยนน้ำแดง (790 บาท) เป๋าฮื้อเนื้อนุ่มเด้งขนาดกะทัดรัดนึ่งและปรุงรสชาติในน้ำแดงที่ได้รสชาติความเข้มข้นจากน้ำสต็อกสูตรพิเศษ จนได้ความหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์เสิร์ฟพร้อมเห็ดหอมและหน่อไม้ฝรั่ง     ก่อนจะต่อด้วย เป็ดมะม่วงราดซอสส้ม (390 บาท) เมนูยอดฮิตเปรี้ยวอมหวานจากการผสานของอกเป็ดหนังกรอบที่ฉ่ำไปด้วยซอสส้มและเนื้อมะม่วงสุก     แล้วมาปิดท้ายด้วยความอร่อยไซส์ยักษ์ของ ล็อบสเตอร์ผัดเนย (2,555 บาท) แคนาเดียนล็อบสเตอร์เนื้อแน่นขนาด 1 กิโลกรัม ลงทอดในน้ำมันร้อนๆ ก่อนจะนำมาผัดกับเนย กระเทียม และต้นหอมสับ เสิร์ฟพร้อมกับไข่เจียวเนยหอมกรุ่น     อร่อยจนยั้งใจไม่อยู่

เงินเดือนออกแล้ว! มื้อเที่ยงนี้ไปฉลองแบบจัดเต็มกับติ่มซำบุฟเฟ่ต์กันไหม? ที่ห้องอาหารจีนแชงพาเลซ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เขากลับมาให้บริการเมนูบุฟเฟ่ต์ติ่มซำกันอีกครั้ง มีเมนูอร่อยคุณภาพดีมาตรฐานโรงแรมให้เลือกสั่ง เชฟจะนึ่งร้อนๆ และเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะกันเลย       G&C ไปชิมมาแล้วที่ห้ามพลาดคือ ติ่มซำแบบนึ่ง เช่น ขนมจีบไข่กุ้งและฮะเก๋า เนื้อกุ้งแน่นลูกใหญ่เต็มคำ เต้าหู้สาหร่ายราดหน้าเนื้อปู เต้าหู้ทอดนุ่มๆ ราดซอสเนื้อปูรสเข้มข้น ซี่โครงหมูนึ่งเต้าซี่ ซี่โครงนุ่มได้รสเค็มและหอมจากเต้าซี่           จากนั้นลองสั่งติ่มซำแบบทอด เช่น ฟองเต้าหู้ห่อกุ้งทอด กรอบนอกนุ่มในไส้กุ้งเต็มคำ เปาะเปี๊ยะกุ้ยหลิน แป้งบางกรอบโรยงาขาว ไส้กุ้งหอมอร่อย เผือกทอดสอดไส้ทะเล เนื้อเผือกฟูนุ่มหอม ไส้ทะเลรสเข้มข้น         ติ่มซำแบบอื่นๆ ก็มีให้ชิม เช่น ซุปเสฉวนทะเล เผ็ดร้อนเข้มข้นตามสไตล์จีน หมูกรอบ หนังบางกรอบมันน้อยกินแล้วแทบหยุดไม่อยู่ หมูแดง เนื้อนุ่มหอมรสชาติกำลังดี       สุดท้ายอย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับของหวาน อย่างเช่น มะม่วงพุดดิ้ง เนื้อนิ่มนวลหวานฉ่ำจากมะม่วงสุก และยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกรวมแล้ว 46 รายการ    

หากมองแค่ภายนอก “หลงโถว” อาจดูเป็นคาเฟ่สไตล์จีนที่ผสมผสานความเก๋ไก๋เอาใจฮิปสเตอร์ แต่เราไม่อยากให้ด่วนสรุปเพียงเท่านั้น เพราะที่นี่คือร้านกาแฟสุดชิกบนหัวมุมสี่แยกเฉลิมบุรี ถนนเยาวราช ที่เสิร์ฟทั้งข้าวต้ม ติ่มซำ ชา-กาแฟ ไปจนถึงของหวานแสนอร่อยในราคาเบาๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นนักชิมวัยไหนก็มานั่งคุยกันไป ชิมกันไปได้อย่างเพลิดเพลิน     อีกหนึ่งความโดดเด่นของที่นี่คงไม่พ้นการตกแต่งที่นำแรงบันดาลใจจากโต๊ะไม้ในโรงเตี๊ยมมาดัดแปลงให้กลายเป็นที่นั่งยกระดับที่ทั้งเท่และเป็นส่วนตัว ผนวกกับผนังกระจกเงาอีกด้านที่ทำให้พื้นที่ขนาดห้องแถว 1 คูหา ดูกว้างขึ้นและไม่อึดอัด อีกทั้งภาพวาดกอกไม้และสัตว์มงคลสไตล์จีนอย่างนกยูงก็กลับดูสวยงามลงตัวกับคาเฟ่ของเหล่าฮิปสเตอร์ในยุคนี้       ส่วนเมนูเด็ดที่เราไม่อยากให้พลาดคือ Chinese Set เซตข้าวต้มกินคนเดียวที่รวมความอร่อยจากเครื่องเคียง 8 อย่างจากเยาวราชมาไว้ในเมนูเดียว ส่วนข้าวต้มเสิร์ฟร้อนๆ หอมน่ากิน ใครชอบติ่มซำต้องลอง Lhong Tou Shumai ลูกผสมระหว่างเกี๊ยวและขนมจีบ สอดไส้หมูผสมผักกุยช่าย กินกับน้ำจิ้มสูตรเด็ด       หรือจะลอง Egg Lava Bun ซาลาเปาไส้คัสตาร์ดไข่เค็มเยิ้มๆ และ Mini B.B.Q. Pork Bun ซาลาเปาทอดไส้หมูแดงกรอบนอกนุ่มในขนาดพอดีคำ ที่กินเพลินมาก แต่ถ้าอยากเพิ่มความจัดจ้าน เราแนะนำ Mala Fried Chicken เนื้อไก่ทอดกรอบคลุกเคล้าพริกหมาล่าและน้ำมันพริกรสเผ็ดนิดๆ         อย่าลืมตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Mandarin Orange Cake เค้กส้มเนื้อนิ่มสุดน่ารัก และ Chestnut Tart ทาร์ตเกาลัดหอมหวาน ที่จะกินคู่กับ Dirty กาแฟซิกเนเจอร์ใช้เมล็ดกาแฟของไทย ที่นำเอสเปรสโชร้อนเข้มๆ เทใส่นมสดเย็นๆ แปลกใหม่แต่กลมกล่อม หรือ Thai Milk Tea ชาเย็นหอมมันโรยขนมตุ้บตั้บหวานกำลังดีชิ้นเล็กๆ บนฟองนมด้านบนก็อร่อยฟินไม่แพ้กัน        

เมื่อนึกถึงร้าน Four Seasons ภาพของเป็ดย่างเนื้อนุ่มหนังกรอบตึงในน้ำซอสสูตรลับฉ่ำลิ้นก็ลอยมายั่วน้ำลายเป็นเมนูแรก ตามติดด้วยเป็ดอโรมาติกสุดฮอตกินคู่กับแผ่นแป้งโรตี ต้นหอมญี่ปุ่น แตงกวา ราดตามด้วยน้ำซอสสูตรพิเศษ 2 เมนูคู่ฮิตติดลมบนที่รสชาติความอร่อยแทบไม่เป็นรองกันเลย     นอกจากเมนูเป็ดเลื่องชื่อหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าโฟร์ซีซั่นส์ยังมีเมนูปรุงจากบะหมี่ไข่สูตรเด็ดอีกหลายรายการและยังเป็นเมนูยอดนิยมที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งจานเด็ดในมื้อประจำวันไปแล้ว หิวเมื่อไหร่ก็แวะมานั่งกินได้สบายๆ อิ่มจุใจในจานเดียว     จุดเด่นของบะหมี่ไข่อยู่ที่เส้นเหนียวนุ่มกำลังดีส่งตรงจากเกาะฮ่องกง นำมาปรุงเมนูอะไรก็อร่อย ที่ร้อนแรงสุดยกให้หมี่ซั่วผัดแห้ง โดดเด่นที่ความนุ่มเหนียวของเส้นบะหมี่ ผัดเกรียมนิดๆ อวดกลิ่นหอมกระทะ ชูรสชาติยิ่งขึ้นด้วยซีฟู้ดสดคัดไซส์พิเศษ ตัวใหญ่ๆ ใส่มาให้เคี้ยวได้เต็มปากเต็มคำ     บะหมี่ผัดถั่วงอก สัมผัสความนุ่มหนึบของเส้นบะหมี่ที่สอดประสานกับความสดกรอบของถั่วงอก เมนูนี้ได้ความหวานจากหอมใหญ่ใส่ความเค็มมันอีกหน่อยก็อร่อยเข้ากันพอดี     โกยซีหมี่ หมูหมักหั่นเป็นเส้นยาวผัดกับเครื่องปรุงรสจนกลมกล่อมเข้าเนื้อ ราดน้ำข้นๆ บนบะหมี่ไข่ที่ผ่านการทอดแบบกรอบนอกนุ่มในเป็นใครก็หยุดไม่อยู่     เอาใจคนรักซีฟู้ดกันต่อกับราดหน้าทะเล รองด้านล่างด้วยบะหมี่ไข่ทอดกรอบราดด้วยน้ำราดหน้า ปรุงรสเข้มข้นแบบต้นตำรับ ด้านบนเรียงรายด้วยซีฟู้ดสดไซส์บิ๊กแค่เห็นก็ชวนหิว ส่วนสายมังสวิรัติเตรียมพร้อมรับมือกับความสดกรอบของผักสดๆ ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีในเมนูราดหน้าผักรวม กินอร่อยแถมยังได้สุขภาพอีกด้วย       ถึงจะอร่อยแค่ไหน ก็ขอเตือนกันสักนิดว่า อย่าลืมเหลือพื้นที่ว่างในท้องเพื่อรองรับเป็ดย่างโฟร์ซีซันส์ อีกสักจานด้วยล่ะ เดี๋ยวใครเค้าจะเมาท์ว่ามาถึงร้านเป็ดย่างเจ้าดังทั้งที ลืมกินเป็ดย่างเสียนี่ อายเค้านา!