Café Jardin (คาเฟ่ จาแด็ง) ตั้งอยู่ภายในโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ย่านถนนวิทยุ เป็นคาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสที่ให้ฟิลอบอุ่น เคาท์เตอร์บาร์สีขาวซึ่งภายในตู้เรียงรายไปด้วยขนมหวาน มีเสาอิฐที่ด้านบนถูกวางด้วยดอกไม้กระถาง พื้นไม้สีน้ำตาลไปด้วยกันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ โซฟาหนังสีเลือดหมูนุ่มสบาย โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม ด้านหลังเป็นโครงเหล็กสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ที่ถูกแซมด้วยแมกไม้สีเขียว เติมร้านให้ดูมีชีวิตชีวา     ทั้งตามชั้นต่างๆ ยังมีต้นไม้ในร่ม อาทิ กระบองเพชร มะพร้าวทะเลทราย พลูด่าง ว่านหางจระเข้ วางตกแต่งอยู่ละลานตาสมชื่อ Café Jardin ที่ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “คาเฟ่ในสวนสวย” เสียจริง คุณหนิง อลิสรา ศิวยาธร CEO แห่งโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ เล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของร้านนี้ว่า เริ่มแรกคาเฟ่จาแด็งเป็นคอฟฟี่ช็อปทั่วไป แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการหาสิ่งใหม่ทั้งในเรื่องจุดยืน และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้าน       ทำให้คุณหนิงตัดสินใจรีคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมด จากร้านกาแฟทั่วไปจึงกลายเป็นร้านอาหารไทยรับประทานง่าย ที่ใช้วัตถุดิบออร์แกนิคจากพี่น้องเกษตรวิถีอินทรีรายย่อย อาทิ ไร่รื่นรมย์ จังหวัดเชียงราย สหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จังหวัดสุรินทร์ แทนคุณออร์แกนิคฟาร์ม จังหวัดนครปฐม และ G-Pork Farm จังหวัดราชบุรี เป็นต้น  นอกจากจะทำให้ฟู้ดดี้ทั้งหลายรู้แหล่งที่มาของเมนูแต่ละจานแล้ว ยังถือเป็นการเกื้อหนุนสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรท้องถิ่นอีกด้วย       เรียกน้ำย่อยมื้ออร่อย สลัดเต้าหู้ เห็ดผัดดอกเกลือ เต้าหู้ปลอดสารเนื้อนุ่มนิ่ม ย่างจนหอมกรุ่น ราดด้วยเห็ดสับผัดกับดอกเกลือ เสิร์ฟพร้อมสลัดผักกรุบกรอบ สดชื่น     ข้าวผัดปูก้อนทะเลชุมพร ข้าวหอมมะลิอินทรีย์คุณภาพ ผัดพร้อมกับปูก้อนลูกโตๆ เนื้อหวานที่ส่งตรงออเดอร์จากทะเลชุมพร รสกลมกล่อม หอมกลิ่นกระทะ บีบมะนาวซีกเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย เหยาะน้ำปลาพริกหน่อยๆ อร่อยถูกใจ เสิร์ฟพร้อมน้ำแกงสาหร่ายอุ่นๆ     ปีกไก่คั่วพริกเกลือ ปีกไก่จากไก่ตะเภาทองอินทรีย์ ที่ปราศจากยาปฎิชีวนะ และสารเร่ง ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยซอสคั่วพริกเกลือที่ปรุงรสจากดอกเกลือสวนศิลป์หนองมล จังหวัดชลบุรี รสเค็มเผ็ด เด็ดสะระตี่     ตามมาติดๆ ด้วยเมนูเส้นอย่าง สปาเก็ตตีหมูกรอบผัดพริกเกลือ สปาเก็ตตีอัลเดนเต้ คลุกเคล้ากับซอสคั่วพริกเกลือรสเผ็ดร้อน ด้านบนออนท็อปด้วยหมูกรอบ ชั้นดีซึ่งเป็นหมูหลุมอินทรีย์ ไขมันน้อย เนื่องจากเชฟนำมาอบแล้วรีดไขมันจนหมด     บะหมี่ไข่เส้นสดคากิหมูอารมณ์ดี เส้นบะหมี่โฮมเมดเหนียวนุ่ม ที่ทำจากไข่ไก่อินทรีย์ กินคู่กับคากิหมูอารมณ์ดีนุ่มๆ ที่เต็มไปด้วยคอลลาเจน ราดน้ำเกรวี่รสเค็มหวานสุดเข้ากัน     ของหวานต้องนี่เลย Organic Orange Cheese Tart ทาร์ตกรุบกรอบ มิ๊กซ์ไปกับครีมชีสหอมมัน และส้มอินทรีย์เชื่อมรสเปรี้ยวอมหวาน     เอาใจสายคลับเบเกอรี่กันหน่อยด้วยขนมปังออร์แกนิคหลากรสชาติ ได้แก่ Dark Chocolate Bun รสเข้มข้นจากช็อกโกแลตคุณภาพ Sea Salt Caramel Bun เค็มหวาน Organic Milk Bun หอมมัน หวานละมุน  Garlic & Cheese Bun กินเพลิน     พร้อมจิบ น้ำมะพร้าว ลูกโตๆ หอมชื่นใจที่ส่งตรงมาจากจังหวัดราชบุรี เติมน้ำมะนาวสด และไซรัปน้ําตาลโตนดรสหวานละมุน จบด้วย น้ำกุหลาบ สีชมพูหวาน สุดชื่นใจ หอมกรุ่นกลิ่นกุหลาบ    

ถ้านิวาสในภาษาบาลีแปลว่าที่พักพิง เราขอยกให้ “นิวาส Café & Bistro” หมายถึง “ที่พักพิงของนักกินและคนรักอาหารไทย” ในรูปแบบคาเฟ่แอนด์บิสโทรที่มีทั้งคาเฟ่ที่เสิร์ฟกาแฟพร้อมขนมไทย ร้านอาหารไทยรสจัดจ้าน และคอกเทลบาร์ครบครันในที่เดียว         ที่นี่นำเสนออาหารไทยท้องถิ่นสไตล์ Rustic Thai Cuisine ฝีมือ เชฟป๊อป - พิชชากร รามบุตร เชฟสาวรุ่นใหม่ไฟแรงจากรายการเชฟสุดขั้วครัวสองโลก ที่หยิบยกแรงบันดาลใจจากอาหารบ้านเกิดในจังหวัดนครศรีธรรมราชและกำแพงเพชร และวัตถุดิบพื้นบ้านที่คนไทยหลายคนอาจยังไม่รู้จักมาสร้างสรรค์เมนูเด็ดในสไตล์ของตัวเอง       เราแนะนำไก่ฆอและ ที่เชฟโขลกเครื่องแกงเอง เคี่ยวกับหัวกะทิล้วนๆ ก่อนนำไปชุบเนื้อไก่และย่างถึง 3 รอบ ปลาทรายทอดขมิ้นสด กรอบนอกนุ่มใน โรยด้วยกระเทียมเจียวสูตรทางใต้ที่มีส่วนผสมของหอมแดง พริกไทย และรากผักชี และรวนพะโล้ไข่เค็ม พะโล้สไตล์จีนที่ใช้วิธีผัดรวนเนื้อหมูจนถึงเครื่องแล้วตุ๋นต่อจนนุ่ม เสริมรสชาติด้วยไข่เค็ม         ส่วนสายเผ็ดต้องลองแกงคั่วปลาดุกใบรา ใช้เครื่องแกงสูตรเฉพาะ หอมกลิ่นใบราหรือใบยี่หร่า เสิร์ฟพร้อมชุดผักสดที่เน้นผักท้องถิ่นหากินยาก และกุ้งผัดสะตอกะปินครศรีฯ ผัดรสเข้มข้นถึงใจ ใช้กะปิแท้จากจังหวัดนครศรีธรรมชาติและน้ำตาลออร์แกนิกจากจังหวัดเพชรบุรี       แต่หากรสจัดเกินไปลองเบรกด้วย Coconut Affogato น้ำมะพร้าวปั่นหอมหวานราดเอสเปรสโซช็อตรสเข้ม เขียวตะไคร้ ที่หยิบน้ำตะไคร้แบบไทยๆ มาผสมผสานชาเขียว หรือน้ำมนต์ คอกเทลซิกเนเจอร์ที่ผสมผสานวอดก้า ไวน์ขาว และไซรัปกลิ่นมะลิได้อย่างลงตัว...แค่จิบเดียวก็สดชื่นถึงใจในแบบฉบับ “นิวาส”      

หากใครติดใจ “เสน่ห์จันทน์” ร้านอาหารไทยรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ตอนนี้ได้ส่งต่อความอร่อยมายัง ลูกจันทน์ โดย เสน่ห์จันทน์ (Loukjaan by Saneh Jaan) อาหารไทยสไตล์​ร่วมสมัย​ ที่พิถีพิถันในการรังสรรค์​เมนูอาหารไทยตำรับชาววัง​จากร้านเสน่ห์จันทน์ กับสูตรอาหารที่สืบต่อกันมายาวนานในครอบครัว       ลูกจันทน์ อยู่ในห้องอาหารเฟลอริช (Flourish) โรงแรมสินธร​ เ​คม​ปินสกี้​ กรุงเทพฯ ตกแต่งด้วยสีขาว-ดำร่วมสมัย มองเห็นวิวสวนสีเขียวร่มรื่นสดชื่น เสิร์ฟอาหารจานอร่อยรสมือคุณแม่ปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพดีจากเกษตรกรท้องถิ่น มีเมนูคุ้นเคยกินง่ายที่อยากแนะนำได้แก่       แกงรัญจวนหมู (240 บาท) แกงโบราณที่ใช้น้ำพริกกะปิเหลือมาแกง ที่นี่ใส่กระดูกหมูอ่อนเคี่ยวจนนุ่ม หอมกลิ่นกะปิ ตะไคร้ และใบมะกรูด น้ำแกงรสเข้มข้นเข้ากันได้ดีกับข้าวสวยร้อนๆ     แกงมอญคอหมูย่าง (320 บาท) เชฟดัดแปลงมาจากแกงป่าของมอญ น้ำแกงเหมือนแกงเผ็ด สีเหลืองสดใสจากขมิ้น ใส่คอหมูย่างชิ้นใหญ่เนื้อนุ่ม เคี่ยวจนหอมกลิ่นเครื่องแกง รสชาติเค็มเผ็ด     ส่วนเมนูบ้านๆ ที่เราคุ้นเคยก็มีอย่างเช่น หมูพะโล้เต้าเจี้ยว (260 บาท) สูตรพิเศษของร้านที่มีกลิ่นเต้าเจี้ยวลอยเด่นในคำแรก หมูสามชั้นนุ่มกลมกล่อม ไข่พะโล้เนื้อแน่นเหนียวนุ่มเข้าเนื้อ และเต้าหู้ขาวเนื้อนุ่มตุ๋นจนผิวนอกสีน้ำตาลสวย     ดอกขจรผัดวุ้นเส้นและแหนม (180 บาท) อาหารคู่บ้านสูตรคุณแม่ที่นำดอกขจรมาผัดกับวุ้นเส้นเหนียวนุ่มกำลังดีไม่แฉะ ใส่แหนมทอดรสเปรี้ยวอ่อนๆ และกุ้งสดรสหวาน     ยำส้มโอ (280 บาท)  ส้มโอกลีบใหญ่พันธุ์ขาวน้ำผึ้งรสเปรี้ยวอมหวาน น้ำยำรสเข้มข้นทำจากน้ำตาลโตนด น้ำมะขามและน้ำพริกเผา กับกุ้งตัวโตๆ และหอมแดงเจียว     ข้าวคลุกกะปิ (180 บาท) อาหาารจานเดียวอร่อยเต็มอิ่ม ข้าวผัดกับกะปิส่งกลิ่นหอม รสกลมกล่อม กับเครื่องเคียงครบครันทั้งหมูหวาน กุ้งแห้งทอด มะม่วงเปรี้ยว หอมแดงซอย กินกับไข่ลูกเขยรสเปรี้ยวอมหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากัน บีบมะนาวหน่อยอร่อยได้ง่ายๆ     ปิดท้ายด้วย ส้มฉุนหิมะ (100 บาท) ทำเป็นแบบกรานิต้าเกล็ดน้ำแข็งป่นนุ่มๆ หอมกลิ่นน้ำส้มซ่า ผสมน้ำมะกรูด และน้ำมะนาว ใส่มะกรูดเชื่อมสีเขียวสดใส เงาะ ลิ้นจี่ ขิงอ่อนและหอมแดงเจียว กลิ่นหอมกินแล้วสดชื่นเหมาะกับอากาศบ้านเราจริงๆ     เป็นอีกร้านที่คนรักอาหารไทยห้ามพลาด

คาเฟ่เลิฟเวอร์ไม่ควรพลาดมาเก็บภาพธรรมชาติที่ผสมผสานวิวทุ่งนาและหาดทรายไว้ในที่เดียว และไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดก็มาปักหมุดได้ทุกวันเพราะอยู่ใกล้ทางด่วนแค่ 10 นาที ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ได้ยืดเส้นยืดสายบนเตียงผ้าใบใต้ร่มสีสด นาแปลงนี้ปลูกข้าวได้ทั้งปีเพราะมีน้ำท่าสมบูรณ์ เราจึงได้เห็นรวงข้าวสลับสีสวยทุกครั้งที่มาเยือน อยากชมใกล้ๆ ก็มีสะพานไม้ทอดยาวไปกลางทุ่ง มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปสวยได้ตลอดเส้นทาง           เพราะอยากให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการบ่อยครั้ง จานเด็ดจึงโดดเด่นไม่แพ้บรรยากาศทั้งคัดแต่ของดีและใส่เต็มที่ไม่มีหวง อาทิ ต้มยำกุ้งน้ำข้น กุ้งแม่น้ำตัวโตในหม้อไฟ ถือเป็นเมนูคู่ใจทุกโต๊ะด้วยระดับความแซ่บเกินพิกัดมากี่ครั้งก็ต้องจัดเมนูนี้       ปลากระพงลุยสวน ปลาไซส์พิเศษที่กรอบนอกนุ่มใน อุดมด้วยเครื่องเครา อร่อยยกสวนเลยทีเดียว  แต่ถ้ายกทะเลขึ้นโต๊ะต้องยกให้ทะเลผงกะหรี่ ที่ใส่ให้เยอะมากทั้งกุ้ง-หมึก         ยำหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หอยใหญ่ไร้กลิ่นคาว คลุกเคล้ากับน้ำยำ แค่กลิ่นหอมๆ ก็น้ำลายสอแล้ว       นอกจากมีดีที่อาหารด้านเบเกอร์รี่ก็เด็ดห้ามพลาด อาทิ เค้กแครอต ชิ้นนี้หวานน้อยแต่อร่อยเกินร้อยแน่นอน เค้กนุ่ม ฟู แทรกเนื้อแครอตให้เคี้ยวหนึบได้ทั้งชิ้น ผิวบนเคลือบครีมชีสรสเปรี้ยวอมหวาน โรยครัมเบิ้ลและแต่งด้วยบลูเบอร์รี่และลูกชุบรูปแครอตจิ๋ว         Red Velvet ความนุ่มฟินไม่เป็นรองกัน เค้กยังคงเอกลักษณ์ของร้านคือหวานน้อย แต่ได้รสเปรี้ยวอมหวานของครีมชีสมาเสริมได้อย่างลงตัว       ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่ม ชาเขียวลาเต้ รวมชาเขียวเบลนด์พิเศษ 3 สัญชาติ คือไทย-อินโดนีเซีย-เมียนมาร์ ผสมกับนมสด รสกลมกล่อมหอมมันและไม่หวานมาก แต่ถ้าชอบหวานมากก็แจ้งพนักงานเพิ่มระดับความหวานได้ตามชอบ             คาราเมล มัคคิอาโต้ กาแฟดอยช้างที่หลายคนคุ้นเคย ชงกับนมสดและคาราเมล หวานหอมถูกปาก Strawberry Mango on Top อิตาเลียนโซดา ท็อปด้วย mix berry pop กับ mango pop ได้รสเบอร์รี่กับมะม่วง เปรี้ยวๆ หวานๆ     แนะนำเพียงเล็กน้อย เพราะเมนูอีกนับร้อยคอยอยู่

สร้างความตื่นเต้นให้นักกินไม่น้อย สำหรับ “Tr.Eat by Saneh Jaan” ห้องอาหารแห่งใหม่จากโรงแรมสินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ (Sindhorn Midtown Hotel Bangkok) ที่ชักชวนร้านอาหารไทยระดับมิชลินสตาร์ “เสน่ห์จันทน์” มารังสรรค์เมนูในราคาเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ โดยจำลองความเป็นชิโน-โปรตุกีสมาไว้ได้อย่างน่าสนใจ สังเกตได้จากลวดลายบนจาน มุมภาพถ่ายโบราณ รวมถึงซุ้มประตูโค้งอันเป็นเอกลักษณ์         เมนูของ Tr.Eat by Saneh Jaan ย่นย่อความหรูหราให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เริ่มด้วย ข้าวมันส้มตำหมูฝอย ข้าวหุงกับกะทิเสิร์ฟพร้อมส้มตำไทยรสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่น กินกับหมูฝอย และผักสด     ตามมาด้วยจานที่เราชอบเป็นพิเศษดอกขจรผัดวุ้นเส้นและแหนม ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาแต่ไกล วุ้นเส้นเหนียวนุ่มผัดไข่ใส่ดอกขจร มีความเปรี้ยวของแหนมมาช่วยตัดรส เพิ่มความอร่อยด้วยแหนมทอด     เมนูถัดมาหมูพะโล้เต้าเจี้ยวสูตรโบราณ เสิร์ฟแบบน้ำขลุกขลิก โดดเด่นที่เนื้อหมูนุ่มๆ ไข่เป็ดใบโตและเต้าหู้ที่อุ้มน้ำพะโล้รสเข้มข้นตามตำรับเสน่ห์จันทน์ กินกับข้าวสวยชวนให้เจริญอาหารเป็นพิเศษ     นอกจากนี้ยังมี แกงรัญจวนหมู แกงโบราณที่อัดแน่นไปด้วยสมุนไพร หอมกลิ่นกะปิชวนให้น้ำลายสอ  รวมถึงแกงมอญคอหมูย่าง คอหมูคุโรบูตะแกงกับเครื่องแกงแดง รสชาติเข้มข้นแต่กลมกล่อม       ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย ส้มฉุนหิมะ ผลไม้ลอยแก้วคลายร้อน ด้านบนมีเกล็ดน้ำแข็งเบาละเอียดเหมือนบิงซู ชื่นใจด้วยน้ำเชื่อมจากมะกรูดและส้มซ่า โรยหอมเจียว ขิงอ่อน และมะม่วงดิบปิดท้าย     มาครั้งเดียวจบครบทั้งคาวหวาน

“อยากให้ปากนังเป็นร้านอาหารใต้ที่เทรนดี้” คุณลูกศร 1 ในเจ้าของร้านบอกเล่าคำนิยามของปากนัง (PakNang) ร้านอาหารใต้แห่งใหม่ปากซอยอารีย์ 5 ที่เธอและเพื่อนได้นำสูตรเครื่องแกงเข้มข้นถึงใจของคุณยายละมูลคนดังจากปากพนัง นครศรีธรรมราช มาเสิร์ฟในร้านสไตล์วินเทจชวนฝันอันเห็นได้จากเฟอร์นิเจอร์ภายในร้านที่ล้อไปกับเสียงเพลงย้อนยุค ประดับด้วยภาพวาดคุณยายละมูนในอิริยาบถที่แตกต่าง โดยเฉพาะไฟนีออนรูปคุณยายหน้าร้านที่สะดุดตาเกินกว่าจะเดินผ่านไปได้         เพราะเป็นสูตรปักษ์ใต้โดยแท้ อาหารของที่ร้านจึงมาพร้อมความเผ็ดร้อนเข้มข้นชวนถึงใจ อาทิ แกงเหลืองเนื้อกะพงยอดมะพร้าวไหลบัว หากไม่ได้สั่งเมนูนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง น้ำแกงส้มเข้มข้นแทรกซึมเข้าไปในเนื้อปลากะพงนุ่มชิ้นโต ใส่ไหลบัวและยอดมะพร้าว ซดแล้วถึงกับตาสว่าง เช่นเดียวกับแกงพริกปากนังปลาทราย ที่ขอเตือนไว้ก่อนว่าจานนี้เผ็ดที่สุดในร้าน ให้อารมณ์คล้ายแกงป่าแต่ข้นกว่า รสชาติร้อนแรงด้วยเครื่องแกงสูตรลับ ใส่กระชาย ใบกะเพรา และใบยี่หร่า และปลาทรายขาว ของขึ้นชื่อจากปากพนัง       อีกเมนูที่น่าสนใจ รวมฆอและบ้านปากพนังกับข้าวเหนียวขมิ้นหอม อาหารท้องถิ่น สะโพกไก่ กุ้ง และปลาหมึก ย่างแล้วชุบด้วยเครื่องแกงรสหวานเค็ม ก่อนย่างซ้ำอีก 4 รอบจนซึมเข้าเนื้อ และเมนูที่คนรักน้ำพริกต้องถูกใจ น้ำพริกสามสหาย รวม 3 น้ำพริกสูตรคุณยาย ทั้งน้ำพริกกะปิ น้ำพริกหยำ และน้ำพริกไตปลาแห้ง จัดเสิร์ฟแบบอลังการ 3 ชั้นพร้อมเครื่องเคียงและผักสด เบรกรสเผ็ดด้วยใบเหลียงผัดไข่รสนุ่มนวล รวมถึงในสวนรัก กุ้งแช่น้ำปลาในรูปแบบใหม่เคียงมาด้วยสาหร่ายพวงองุ่นจากทะเลอันดามัน         ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสีสวยน้ำยี่หวา น้ำกระเจี๊ยบต้มกับเม็ดพุทรา และน้ำปาหนัน น้ำอัญชันต้มกับขิงและมะนาว เติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดี  

“Krung Gastro Cafe” โฮมคาเฟ่น่านั่งที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างของ Krung Gastro” ที่พักของนักกินในรูปแบบ Airbnb (หรือ Bed & Breakfast) ที่แฝงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ของถนนสายแรกของกรุงเทพมหานครอย่างเจริญกรุง ซึ่งพร้อมต้อนรับเราด้วยกาแฟรสเลิศที่ใช้เมล็ดไทยเป็นหลัก ของหวานหน้าตาน่ากิน และเมนูอาหารไทยปักษ์ใต้ฝีมือเชฟชาวจังหวัดสตูลที่อร่อยจัดจ้านถึงใจ         นอกจากรสชาติแบบไทยๆ แล้ว เรายังประทับใจกับบรรยากาศและการตกแต่งในแบบไทยโมเดิร์นด้วยการดึงเส้นสายความโค้งแบบสถาปัตยกรรมยุคเก่ามาผสมผสาน อีกทั้งยังนำผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ หมอนทรงสามเหลี่ยม เสื่อรองนั่ง กระเป๋า และหมวกสานให้แขกที่มาพักได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยยิ่งขึ้น รวมไปถึงโลโก้บนผนังที่เป็นรูปตัวอักษร ก.ไก่ สุดเก๋ไก๋ (มาจากคำว่า กรุง) และภาพวาดแผนที่ย่านเจริญกรุงบนกำแพงด้านในของคาเฟ่ที่ทำเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจแบบง่ายๆ อีกด้วย       แม้บรรยากาศจะแฝงความเป็นไทยในแบบโมเดิร์น แต่บอกเลยว่าเมนูอาหารที่นี่จัดจ้านและจัดเต็มแบบคนใต้แท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นแกงส้มใต้กุ้งยอดมะพร้าว กุ้งเนื้อแน่นสดเด้ง น้ำแกงรสเปรี้ยวนำ แต่อร่อยเด็ด กุ้งหมูสับสะตอผัดกะปิ หนึ่งในเมนูยอดนิยมที่แม้ใครไม่ชอบสะตอก็อยากให้ลองสักครั้ง และใบเหลียงผัดไข่ รสชาติกลมกล่อมที่บอกเลยว่าโดนใจทุกเพศทุกวัยแน่นอน         ส่วนคอกาแฟที่นี่มี Drip Coffee ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟดีๆ จากในไทยและทั่วโลกมาให้ชิม เราแนะนำ Columbia Huila Betania หรือจะลอง Iced Strawberry Latte ลาเต้รสนุ่มเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวด้วยไซรัปสตรอว์เบอร์รี และ Iced Bael Fruit Milk Tea ชาไทยหอมมะตูม เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ก็อร่อยสดชื่นไม่แพ้กัน         ถ้ายังไม่อิ่มอย่าลืมสั่ง Cup Cake เสิร์ฟพร้อมแยม 3 รส มาอร่อยตบท้าย (เราแนะนำคัพเค้กช็อกโกแลตและคัพเค้กสตรอว์เบอร์รี) มากินพร้อมกาแฟรสดีแล้วแสนจะอิ่มอกอิ่มใจ    

ช่างเป็นชื่อร้านที่ชวนให้อารมณ์ดีราวกับกำลังแลกเปลี่ยนของอร่อย! สำหรับ “หมูไปไก่มา” ร้านลำดับล่าสุดจากวอเตอร์ไลบรารี่ (Water Library) ในซอยสุขุมวิท 39 ที่เซอร์ไพรส์เราด้วยอาหารไทยอีสานรสชาติจัดจ้านซึ่งเกิดจากความชอบส่วนตัวของเจ้าของร้านและอยากส่งต่อความแซ่บนี้ให้ทุกคนได้ลิ้มลอง ตัวร้านอบอุ่นน่านั่งเหมือนบ้านหลังใหญ่ ล้อมรอบด้วยกระจกใสให้มองเห็นความคึกคักด้านนอก         นอกจากคัดเลือกวัตถุดิบตามฤดูกาลแล้ว เคล็ดลับยังอยู่ที่เครื่องแกงตำมือ รวมถึงปลาร้าคัดอย่างดีที่ทั้งหอมและนัว รังสรรค์ออกมาเป็นที่เข้าถึงง่ายหลายเมนู เริ่มด้วยของเรียกน้ำย่อยข้าวเกรียบทอดกินกับน้ำพริกเผาสูตรเด็ดที่กินแล้วติดใจ ตามด้วย หมูไป ซี่โครงหมูขนาด 800 กรัม หมักซอสสูตรลับแล้วซูวีดอีก 24 ชั่วโมง ก่อนจะนำมาทาซอสบาร์บีคิวที่เติมส่วนผสมแบบไทยๆ อย่างขิง ข่า ตะไคร้ ฯลฯ แล้วอบอีกครั้งจนได้ซี่โครงหมูที่นุ่มร่อนจากกระดูกและฉ่ำซอส       อีกเมนูซิกเนเจอร์ ไก่มา เป็นไก่เต็มตัวหมักสมุนไพรแล้วนำไปอบแบบสโลว์คุ้กด้วยเครื่อง Combi Oven จนได้ไก่หนังกรอบที่เนื้อด้านในยังนุ่มอร่อย กินกับน้ำจิ้มแจ่วและผักย่างสีสวย ต่อด้วยปลาหมึกย่าง เนื้อหนึบหนับสู้ฟันจิ้มน้ำจิ้มตำหยาบๆ รสเด็ดถึงทรวง หรือจะลองหมี่กะเฉดกุ้ง เชฟผัดเส้นหมี่กับน้ำซอสสูตรพิเศษที่มีส่วนผสมของมันกุ้งและน้ำมันพริกกระเทียมจนหอมฟุ้ง และส้มตำปูปลาร้า ที่ต้องใช้คำว่า “แซ่บนัว” ตามแบบฉบับอีสานแท้       แก้เผ็ดด้วย เค้กมะพร้าวอ่อนนมสด สูตรของเชฟจาว สปันจ์เค้กนุ่มๆ สลับชั้นกับครีมสดสุดละมุน มีเนื้อมะพร้าวน้ำหอมให้ได้เคี้ยว รวมถึงม็อกเทลห้ามพลาดอย่าง Fancy Neptune แก้วนี้มีส่วนผสมของนมเปรี้ยว บลูเบอร์รี่พูเร ตกแต่งด้วยลิ้นจี่และโรสแมรี่ หรือจะเป็น Tropical Fizz สดชื่นฉ่ำใจจากมะพร้าวพูเร มะม่วงพูเร น้ำมะนาว แล้วเติมจิงเจอร์เอล ลงไปเพิ่มความซาบซ่า       ปิดท้ายมื้อนี้ได้เป็นอย่างดี  

ไม่ว่าใครที่ขับรถผ่านไปมาบนถนนสุวินทวงศ์ ย่านหนองจอก ชานเมืองกรุงเทพฯ จะต้องมองเห็นอาคารหลังคาไม้ไผ่โดดเด่นอยู่ริมทางอย่างแน่นอน เพราะร้านแบมบูใหญ่นั้นใหญ่สมชื่อ       นอกจากโครงสร้างไม้ไผ่ทั้งหลังแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาด้านในจะเห็นโครงสร้างสไปรัลสานจากหวายเป็นรูปปลากัดแหวกว่ายอยู่บนเพดานอย่างสง่างาม เข้าคู่กันดีกับซุ้มอาหารที่สานจากหวายโดยช่างฝีมือคนไทย มีโซนวีไอพีในห้องกระจกและโซนโอเพ่นแอร์ให้เลือกนั่งได้ตามใจชอบ แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงมาด้วย ก็จะมีโซนด้านนอกสุดให้บริการ อยู่ติดกับสนามหญ้ากว้าง ๆ ให้พวกเขาได้วิ่งเล่น       แบมบูใหญ่ ให้บริการทั้งเมนูอาหารไทยทั้ง 4 ภาคและอาหารตะวันตกสุดหลากหลาย เริ่มต้นเบา ๆ กับ มอร์นิงฟาร์ม สลัด ที่ใช้ผักออร์แกนิกปลูกเอง ท็อปด้วยกุ้งและไก่ลวก ราดด้วยน้ำสลัดรสแซ่บแล้วเพิ่มความหอมมันด้วยมะพร้าวคั่ว     ต้มข่าปลาสลิดใบมะขามอ่อน เป็นอีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ประจำร้านเพราะเป็นแกงไทยที่หาทานได้ยากในปัจจุบัน น้ำแกงเข้มข้นด้วยกะทิอย่างดี มีรสเปรี้ยวจากใบมะขามอ่อน ได้ข้าวสวยร้อน ๆ สักจานจะยิ่งสมบูรณ์แบบ     ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน ก็ไม่น้อยหน้าเมนูอื่น ๆ  เพราะครบรสด้วยเครื่องแกงทำเอง แล้วนำมาผัดกับน้ำมะพร้าว ปลาหมึก กุ้ง หอย และเนื้อมะพร้าวอ่อนจนรสกลมกล่อม เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าวกลิ่นหอมยั่วยวน     มาลองอาหารเหนือกันบ้างกับ ลาบเหนือ หรือ ลาบหมูคั่ว ซึ่งใช้กรรมวิธีในการคั่วแห้งไม่ใช้น้ำมัน ปรุงรสจนเข้มข้นแล้วโรยหน้าด้วยไส้อ่อนทอดและสามชั้นทอด มาพร้อมเครื่องเคียงผักสดเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น     ปิดท้ายด้วยเมนูตะวันตกฟิวชัน สปาเกตตีต้มยำทะเล ที่ได้ความกลมกล่อมของครีมซอสต้มยำ รสเปรี้ยว หวาน และเผ็ดมาเสริมให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น ยิ่งมาพร้อมกับซีฟู้ดแน่น ๆ ก็ยิ่งทำให้หยุดปากไม่ได้     อย่าลืมเผื่อพื้นที่กระเพาะอาหารให้กับของหวานที่ทางร้านทำเองเช่นกัน เค้กน่ากินมากมายอวดโฉมเรียงรายอยู่ในตู้โชว์ โดยมี เค้กมะพร้าว เป็นหนึ่งตัวเลือกยอดนิยม เพราะเนื้อนุ่มแถมยังสอดไส้ด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนแบบจัดเต็ม ด้านบนราดด้วยซอสครีมมะพร้าวสุดหอมหวาน     หรือจะจัดเต็มกับ Honey Toast ขนมปังอบเนยโฮมเมด กรอบนอกนุ่มในราดไซรัปจนชุ่มฉ่ำกินคู่กับผลไม้ตามฤดูกาล ไอศกรีม และวิปปิ้งครีม ก็น่าจะถูกใจสายของหวานไม่แพ้กัน     นอกจากอาหารจะโดดเด่นแล้ว เครื่องดื่มก็เด่นไม่แพ้กัน ด้วยม็อกเทลสไตล์เอเชีย แก้วแรกชื่อว่า Honey Rose เครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างไซรัปกลิ่นกุหลาบ โซดา และน้ำผึ้งป่าที่จะให้ความหอมหวานแตกต่างจากน้ำผึ้งธรรมดา     อีกแก้วนั้นคือ Lamon Glass ออกแนวสมุนไพรเพราะมีส่วนผสมของน้ำตะไคร้ และได้ความเปรี้ยวอมหวานจากน้ำเลมอนและน้ำส้มสด ยกขึ้นมาจิบได้เรื่อย ๆ ไม่รู้เบื่อ  

คำว่า “ช้อน” อุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารของคนทั่วโลก และคำว่า “ชล” ที่บ้านเราหมายถึง แม่น้ำ ทั้งสองอย่างนี้เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของคนไทย ถูกโรงแรมเดอะสยามเลือกใช้ให้มาเป็นชื่อของห้องอาหาร “Chon Thai Restaurant” เรือนไม้สักทรงไทยคลาสสิคที่มีอายุกว่า 200 ปี ของจิม ทอมป์สัน ถูกรีโนเวทและบำรุงรักษาให้คงสภาพสวยงามไว้อย่างดี     ตัวเรือนไม้สีดำดูทันสมัย ใต้ถุนบ้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นที่นั่งหรูหราท่ามกลางบรรยากาศปลอดโปร่ง เข้ากับโต๊ะหินอ่อน และของเก่าไทยโบราณรอบๆ นั่งรับประทานอาหาร พร้อมผ่อนคลายไปกับลมเย็นริมฝั่งแม่น้ำได้อย่างสบายใจ เดินขึ้นไปบนเรือนจะเป็นโซนห้องแอร์เย็นฉ่ำเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว ที่เมื่อมองผ่านกระจกใสออกไปยังสามารถชื่นชมกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหญ่ได้เช่นกัน       ดื่มด่ำกับทัศนียภาพแล้วอย่าลืมอร่อยไปกับอาหารไทยโฮมคุ้ก ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพ ผ่านฝีมือการปรุงขั้นเทพของเชฟมืออาชีพ จนได้รสชาติอาหารไทยต้นตำรับแท้ๆ จัดจ้านแบบพอดี จนถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ อาทิ     ยำปลาแซลมอนมะม่วงเปรี้ยว แซลมอนสดใหม่ เนื้อหวาน สีส้มสดใส ถูกวางไว้รอบๆ ยำมะม่วงรสจัดจ้านพอดี กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยว เผ็ดละมุน สูตรเด็ดของทางร้าน     ยังมี ไก่ย่าง เมนูซิกเนเจอร์ที่ใครๆ ก็ต้องลิ้มลอง ไก่ตัวอวบอ้วน หมักกับกับสมุนไพรไทยต่างๆ อาทิ กระเทียม ขิง ตะไคร้ เป็นเวลาถึง 1 วัน ก่อนนำมาย่างบนเตาถ่านจนหอมฉุย  เนื้อนุ่มฉ่ำในได้รสเค็มกลมกล่อม หอมกรุ่น ราดน้ำจิ้มแจ่ว รสเปรี้ยวอมหวาน ผสานไปกับความเผ็ดเล็กๆ จากพริกป่น เข้ากันดีเหลือเกิน     ปิดท้ายด้วย มัสมั่นเนื้อน่องลาย เนื้อน่องลายคุณภาพจากประเทศออสเตรเลีย ถูกเคี่ยวในน้ำแกงมัสมั่นรสหวาน เค็ม เปรี้ยวปลายลิ้น จนเข้าเนื้อ เสิร์ฟพร้อมโรตีกรุบกรอบ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ  และน้ำอาจาดรสเปรี้ยวหวาน     มื้อไหนๆ ที่ “ช้อน” ก็ประทับใจเสมอ

“ท่าอรุณ” ร้านอาหารไทยแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกลุ่มเพื่อนที่คลุกคลีในแวดวงร้านอาหารมายาวนาน พร้อมกับคอนเซ็ปต์ “เห่อฝรั่ง” ที่ฟังแล้วสะดุดหูยิ่งนัก เพราะในวันวานพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นท่าเรือสำหรับรับส่งสินค้าจากยุโรปมาก่อน ภายในร้านจึงเล่าเรื่องราวการรับวัฒนธรรมแบบฝรั่งผ่านการตกแต่งได้อย่างน่าสนใจ ระยิบระยับด้วยแสงไฟจากแชนเดอเรียเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุค แฝงกลิ่นอายความโอเรียนทอลด้วยตู้ยาจีนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีพื้นที่ด้านนอกให้นั่งชมวิวพระปรางค์วัดอรุณที่ตั้งโดดเด่นอยู่อีกฝั่งแม่น้ำ         ที่ร้านเสิร์ฟอาหารไทยสมัยคุณตาคุณยายแต่ประยุกต์ให้เก๋ไก๋มีลูกเล่น กลายเป็นอาหารไทยทวิสต์ที่ยังคงความเข้มข้นครบเครื่องเอาไว้ เริ่มต้นด้วยยำมังคุด ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นตั้งแต่คำแรก มังคุดผลเล็กรสหวานอมเปรี้ยวให้เคี้ยวได้แบบไม่ต้องคายเม็ด มาพร้อมกุ้งตัวโตและไข่เป็ดต้มยางมะตูม ส่วนน้ำยำรสจี๊ดจ๊าดได้จากน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนูสวนซอย     ตามด้วยเสือใต้ ขนมจีนน้ำยาปูรสจัดจ้านถึงใจจากพริกแกงตำมือส่งตรงจากนครศรีธรรมราช กินกับผักพื้นบ้านหลากชนิด มีทีเด็ดเป็นปลาชิงชังรสหวานนิดเค็มหน่อยไว้แนมตัดรสเผ็ด ประดับด้วยใบชะพูทอดกรอบ     อีกหนึ่งเมนูเด่นประจำฤดูฝนของทางร้าน ต้มกะทิสายบัวปลาทู ปลาทูแม่กลองตัวเล็กเนื้อมัน สายบัวนุ่ม ส่วนน้ำแกงรสมีความข้นหอมจากกะปิ หอมแดง และพริกไทย ต่อด้วยผัดหมี่กระเฉด ที่หอมยั่วยวนใจเพราะใส่มันกุ้งลงไปผัดด้วย       ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยม็อกเทลสีสวยอย่างเยาวราช แก้วนี้โดดเด่นด้วยรสเปรี้ยวสดชื่นของส้มจี๊ด และพวงชมพู ที่ตั้งชื่อตามดอกไม้ ได้ความหอมหวานจากลิ้นจี่ เหมาะสำหรับนั่งจิบเคล้าเสียงเพลงเบาๆ       เข้ากับวิวสุดโรแมนติกยามเย็น

หากมีโอกาสได้ไปเยือนนครปฐมแล้วอยากมีมื้ออาหารสุดพิเศษพร้อมซึบซับบรรยากาศริมแม่น้ำท่าจีน ลองแวะมาที่ร้านอ้อยหวาน รับรองว่าไม่ผิดหวัง ด้วยตำรับอาหารไทยโบราณหาทานยากและทัศนียภาพพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่งดงามเกินบรรยาย       การเดินทางมาที่ร้านสามารถมาได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่เราแนะนำว่าให้มาทางเรือเพื่อดื่มด่ำวิถีชีวิตแสนเรียบง่ายริมแม่น้ำท่าจีนกันเสียก่อน โดยจะขึ้นที่ท่าเรือวัดท่าพูดและใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการเดินทางไปเทียบท่าที่ร้าน คุณอ้อย-คุณวราภรณ์ มารุ่งเรือง เจ้าของร้านอาหารอ้อยหวานเล่าว่าตำรับอาหารไทยโบราณของร้านนั้นสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น จึงนำชื่อของตนมารวมกับชื่อ หวาน ของคุณแม่นั่นเอง       บรรยากาศในร้านนั้นร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้และสมุนไพร ซึ่งบางส่วนถูกนำไปใช้ประกอบอาหารด้วยเพราะที่นี่ชูเรื่องการใช้สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้รับประทาน เริ่มต้นที่ หมูกระชาย ดูเผิน ๆ นั้นคล้ายหมูแดดเดียว แต่ว่าแตกต่างที่การนำสมุนไพรคั่ว 13 ชนิด ได้แก่ กระชาย ข่า ตะไคร้ รากผักชี พริกไทย ดีปลี หัวหอม กระเทียม ขิง ผิวมะกรูด ใบมะกรูด เม็ดผักชี และยี่หร่า มาหมักกับเนื้อหมูอย่างต่ำ 15 นาที จึงได้รสชาติความเป็นสมุนไพรอย่างชัดเจน โรยหน้าด้วยกระชายหั่นชิ้นเล็ก ๆ ทอดกรอบ     ต่อด้วย ส้มตำหลอด ผสมผสานระหว่างส้มตำไทยและยำ และสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าประทับใจด้วยการนำแป้งญวนมาห่อเส้นมะละกอแล้วหั่นเป็นคำ ๆ เพิ่มหัวหอม ดีปลี และผงข่าเข้าไปด้วย จึงได้รสชาติที่จัดจ้านและแปลกใหม่กว่าส้มตำทั่ว ๆ ไป     ปลากะพงราดน้ำยำสมุนไพร ก็โดดเด่นไม่แพ้กันเพราะใช้ปลากะพงเนื้อหวานนำมาทอดจนกรอบนอกนุ่มใน แล้วราดด้วยน้ำยำสมุนไพรที่จัดเต็มไม่แพ้จานอื่น ๆ ทั้งขิง ตะไคร้ รากผักชี ดีปลี และผงข่า     อีกเมนูเด็ดของร้านต้องยกให้กับ แกงคั่วใบชะพลูปู ใช้น้ำพริกตำเอง และเลือกใช้เนื้อส่วนก้ามและไข่ปูเพื่อเพิ่มรสชาติและความมัน     คุณอ้อยเล่าว่า ที่บ้านของเธอนั้นนิยมนำผลไม้มาประกอบอาหารเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือ น้ำพริกกล้วยไข่ ดูภายนอกคล้ายกับน้ำพริกเผา แต่เมื่อผสมผสานกล้วยไข่สุกและน้ำมะขาม เลยมีรสชาติและกลิ่นของกล้วยที่ชัดเจนแต่กลับเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด กินคู่กับผักสดยิ่งอร่อย อีกหนึ่งเมนูที่มีกล้วยเป็นส่วนผสมคือ ต้มยำกุ้งใส่กล้วย ที่เลือกใช้กล้วยน้ำว้าดิบ แต่ก็ไม่ทำให้เสียรสชาติของต้มยำไปแต่อย่างใด แถมยังได้สัมผัสนุ่ม ๆ จากเนื้อกล้วยเข้ามาผสมอีกด้วย       อย่าลืมสั่ง ข้าวสามราชินี ข้าวสามสีที่ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวหุงขมิ้น มากินคู่กัน แล้วค่อยปิดท้ายด้วยของหวาน บัวลอยมะพร้าวอ่อน เนื้อบัวลอยนุ่ม ๆ ได้ความหวานกลมกล่อมจากกะทิสดและกลิ่นหอมอบควันเทียน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำให้ลอง ม็อกเทลมะกรูด ได้รสชาติเปรี้ยวและซ่าเพิ่มความสดชื่นได้อย่างดี    

ยกให้เป็นหนึ่งในร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่วิวสวยไม่เป็นรองใคร สำหรับ Chakrabongse Dining” ห้องอาหารน่านั่งในบริเวณวังจักรพงษ์ ที่นำเสนออาหารไทยตำรับดั้งเดิมแบบ Thai Royal Cuisine ด้วยรสชาติและวิถีการปรุงที่พิถีพิถันของราชสกุลจักรพงษ์       คอนเซ็ปต์อาหารของที่นี่คือการจัดสำรับเสิร์ฟครบครันทั้งคาวหวาน โดยแบ่งเป็นของว่าง จานหลักที่มีทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ไปจนถึงผลไม้และของหวาน ที่สำคัญยังเน้นเลือกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาทิ หมู เนื้อ ไก่ และซีฟู้ดมาสร้างสรรค์แต่ละมื้ออย่างสมดุล (แนะนำให้สำรองที่นั่งก่อน 3 วัน และแต่ละวันรับไม่เกิน 20 คน)       เริ่มต้นมื้อกับของว่างอย่างม้าฮ่อ ช่อม่วง และถุงทองที่ทำพิเศษเป็นไส้เห็ดเอาใจคนไม่กินเนื้อ ตามด้วยยำถั่วพูสูตรโบราณเผ็ดกำลังดีที่กินเพลินมาก       ก่อนจะเข้าสู่ช่วงจานหลักที่มีทั้งแกงเผ็ดเป็ดย่างที่ใช้เครื่องแกงสูตรชาววังตำเองทุกขั้นตอน ปลากะพงทอดกับสมุนไพรไทย ปลากะพงตัวโตคัดขนาดทอดกรอบนอกนุ่มใน หอมสมุนไพรนานาชนิด ต้มยำกุ้งแม่น้ำ ที่คัดเฉพาะกุ้งแม่น้ำตัวโตเนื้อแน่นสดหวาน และผัดผักเบญจรงค์ หรือผัดผักรวมมิตร 5 สี รสชาติกลมกล่อม ทั้งหมดนี้กินคู่กับข้าวไรซ์เบอร์รีเสิร์ฟในกรวยใบตองครอบห้อยพวงมาลัยสวยงาม           ปิดท้ายด้วยพานาคอตตาตะไคร้ใบเตยหอม ของหวานกลิ่นอายไทยๆ ที่นำตะไคร้และใบเตยมาเพิ่มความอร่อยให้พานาคอตตาเนื้อเนียนนุ่มได้อย่างลงตัว และผลไม้สดหลากชนิดหั่นพร้อมกิน เรียกว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยรับลมชมวิวสวยแบบสุดประทับใจ      

จาก Ibrik Resort by the River โรงแรมบูติกที่อยู่คู่ย่านวังหลังมาสิบกว่าปี ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านอาหารไทยโบราณและบาร์ชื่อเก๋ “มหานที” ร้านวินเทจที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของสเน่ห์จากความโอแฟชั่น บรรยากาศเก่าคลาสสิคที่มาจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ใช้ตั้งแต่สมัยเป็นโฮสเทล ผนังสีขาวที่ถูกแซมไปด้วยภาพเขียนมองแล้วเพลินตา มีของเก่าตกแต่งวางไว้ถูกที่ถูกวางดูแล้วไม่เกะกะแต่อย่างใด       ตัวร้านมี 2 ชั้นให้คุณได้เลือกนั่งตามใจ ชั้นล่างมีบาร์สีน้ำเงินคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มสดชื่นให้ลูกค้าตลอดวัน มีทั้งม็อกเทลและค็อกเทล บอกเลยว่ารสชาติเด็ดดวงไม่แพ้กัน ด้านในยังมีโต๊ะนั่งที่เหมาะกับอยากนั่งจิบชิวๆ หรือมาเป็นแฟมิลี่ แต่หากใครอยากรังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน หรือพาคนพิเศษมารับประทานมื้ออร่อยแบบส่วนตัว ชั้นบนดูจะเหมาะมากกว่า เนื่องจากบรรยากาศสงบเงียบ หลังกระจกใสเห็นความงดงามจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างเต็มตา มองแล้วเพลินใจเสียจริง       พร้อมอร่อยไปกับอาหารไทยต้นตำรับ เมนูตามฤดูกาล สำรับประจำบ้านของ คุณอั๋น วิรัลพัชร ดงอุทิศ ผู้หลงใหลและมีใจรักในการทำอาหารไทยโบราณเป็นที่สุด พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกซื้อวัตถุดิบ และวิธีการปรุงรสแบบอาหารไทยดั้งเดิม จนเป็นที่ถูกใจลูกค้าตั้งแต่สมัยเป็นโรงแรม จนรามมาถึงคาเฟ่ฮอปเปอร์ยุคใหม่สายโซเชียลในปัจจุบัน     มาถึงนี่แล้วต้องสั่ง ข้าวผัดมหานทีกุ้งย่าง หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์สุดป็อปของร้าน  ข้าวผัดพร้อมน้ำพริกสูตรเด็ดประจำร้าน รสชาติเค็มหวาน กินกับกุ้งแม่น้ำย่างเข้ากันได้ดี มีน้ำพริก ไข่ต้มยางมะตูมเยิ้มๆ และผัดสดนานาพันธุ์ อาทิ ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือเปราะ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกันอีกที     ต่อกันที่ ยำใหญ่ญวน เมนูชาววังที่ใช้วัตถุดิบสารพัด อาทิ ไก่ฉีก ซีฟู้ด กุ้งแห้ง และผักต่างๆ มายำจนได้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ไม่จัดจ้านจนเกินไป อย่าลืมตักไข่ต้มสุดอิ่มเอมไปกินพร้อมกันด้วยล่ะ     ปลาช่อนแดดเดียว ปลาช่อนแดดเดียวหั่นชิ้นพอดีคำ ไม่มีก้างมากวนใจ นำมาทอดจนส่งกลิ่นหอมฉุย รสเค็มกลมกล่อม เข้ากันได้ดีกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรลับประจำร้าน รสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมกลิ่นสมุนไพรไทยอย่างตะไคร้ และใบมะกรูด กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ สุดอร่อยไปเลย     ล้างปากด้วย ลูกลานกะทิ ลูกลานผลไม้หายากตระกูลปาล์ม ให้สัมผัสหนึบๆ กินเพลิน อยู่ในน้ำกะทิหอมมัน เข้มข้น รสหวานพอเหมาะ ยิ่งกินยิ่งติดใจ     สาคูเปียกลำไย สาคูโฮมเมดที่ส่งตรงมาจากภาคใต้ ให้เนื้อสัมผัสที่นิ่มนวล กินไปกับลำไยสดจากภาคเหนือ และลำไยแห้ง น้ำกะทิ รวมเป็นรสหวานละมุน ฟินจนชิมแล้วไม่อยากวางช้อน!     เครื่องดื่มแนะนำ ช็อกโกแล็ตเย็น ที่ใช้ช็อกโกแลตคุณภาพ ให้รสเข้มข้น เหมาะกับวันที่อากาศร้อนอย่างยิ่งยวดและ Corona น้ำสับปะรดปั่น รสหวานอมเปรี้ยว มีความครีมมี่เล็กๆ จิบแล้วชื่นใจ       ใครมาเยือนวันเสาร์ – อาทิตย์ ต้องบุ๊คล่วงหน้านะจ๊ะบอกไว้ก่อน

บทเพลงไทยยุค 90 ดังคลอมาเข้ากับบรรยากาศภายในร้าน Ohh คุณพระ ผสมผสานไปกับทั้งกลิ่นอายของตึกแถวโบราณบนถนนมหาราช ย่านท่าเตียน และงานดอกไม้ประดิษฐ์ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณู บริเวณชั้น 1 ของร้านนั้นเปิดโล่งรับลมสบาย ๆ โดยมีฉากด้านหน้าเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และผู้คนเดินผ่านไปมาตลอดทั้งวันไม่มีเงียบเหงา หากได้น้ำสมุนไพรไทยเย็น ๆ อย่างกระเจี๊ยบหรือน้ำอัญชันมะนาวมาจิบสักแก้วเพื่อคลายร้อนก็คงจะเข้ากับบรรยากาศไม่น้อย     Ohh คุณพระ เกิดขึ้นจากความรักและไม่อยากให้อาหารไทยโบราณสูญหายไปตามกาลเวลาของคุณจ้า-ชัชวาลย์ วรวิทย์สัตถญาณ ผู้เริ่มต้นจากการทำอาหารให้ครอบครัวสู่การทำอาหารจัดเลี้ยง จนมีชื่อเสียงที่ใครต่อใครต่างบอกต่อ สุดท้ายจึงเกิดเป็นร้านอาหารไทยน้องใหม่ ที่ชูจุดเด่นด้วยสูตรอาหารแสนหวงแหนจากวังต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร       ประเดิมด้วยของว่างไทยโบราณเมนูแรก กระทงทอง ที่บรรจงรังสรรค์ตั้งแต่การทอดกระทงให้กรอบนาน แต่ยังแฝงความนุ่มนวล ไม่อมน้ำมัน ส่วนไส้นั้นประกอบไปด้วยไก่และกุ้งมีรสชาติเข้มข้น     หมี่กรอบทรงเครื่อง รสชาติหวานอมเปรี้ยวจากน้ำส้มซ่าและกระเทียมดอง  ได้สัมผัสเหนียวแต่ไม่แข็งเหมือนหมี่กรอบทั่วไปเพราะใช้เวลาเคี่ยวน้ำตาลกว่า 5 ชั่วโมง     นอกจากบรรดาอาหารจานเดียวแล้วยังมีสำรับอาหารที่แบ่งเป็นสำรับด้วย เหมาะมาก ๆ สำหรับใครที่อยากลิ้มลองอาหารหลาย ๆ เมนูในคราวเดียว เริ่มต้นที่ สำรับกรุงเทพ ประกอบไปด้วย แกงรัญจวน กระดูกหมูแก้ว กลิ่นหอมรัญจวนสมชื่อ ปูจ๋าในกระดองปูเล็ก แกงมัสมั่นสันคอหมูย่าง เพิ่มความพิเศษโดยการใช้เม็ดบัวแทนถั่วให้รสชาติมันกว่าแถมเนื้อไม่เละ เพิ่มมันเทศไข่ ผักดอง กับไข่เค็มมาเสริมรสชาติให้เข้มข้นกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น และแสร้งว่ากุ้งนาง ครบเครื่องสมุนไพร กินพร้อมกับปลาดุกฟูและผักสด     อีกสำรับหนึ่งเป็นอาหารใต้รสชาติเผ็ดร้อน ได้แก่ คั่วกลิ้งสมุนไพรไก่ มีกลิ่นหอมต่างจากคั่วกลิ้งที่เคยลิ้มรสด้วยข่าและพริกแกงทำเอง น้ำพริกไตปลาพริกสด ก็แสนเข้มข้นทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติ  ส่วนแกงเหลืองสับปะรดกุ้งสด ก็กินง่ายไม่เผ็ดจนเกินไปแถมยังได้รสชาติเปรี้ยวนิด ๆ จากสับปะรดเข้ากันได้ดีกับเครื่องพริกแกง จากนั้นมาตัดความเผ็ดด้วย หมูหวานน้ำตาลสด ชวนประทับใจทั้งความนุ่มของเนื้อหมูในน้ำหวานขลุกขลิก เหมาะจะจับคู่กินกับน้ำพริกหรือกินกับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน     จบมื้ออาหารนี้ด้วยของหวานไทยโบราณอย่างแรก ส้มฉุน หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าลิ้นจี่ลอยแก้ว ซึ่งความไม่ธรรมดานั้นอยู่ที่เครื่องเคียงซึ่งฟังดูแล้วไม่เข้ากันอย่าง ขิงซอย หอมเจียว น้ำส้มซ่า ถั่วลิสง และมะม่วงเปรี้ยว แต่รสชาตินั้นกลับกลมกลืนกันดีอย่างน่าประหลาด อีกหนึ่งเมนูของหวานของร้านที่พลาดไม่ได้คือ มะกรูดลอยแก้ว รสชาติหวานอมเปรี้ยวแต่ไม่ขมด้วยกรรมวิธีการเตรียมมะกรูดสุดพิถีพิถัน เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี       โชคดีมากที่คนรุ่นใหม่ยังมีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารไทยสูตรโบราณขนานแท้

ชวนไปซึมซับบรรยากาศของวันวานที่ ‘My Grandparent’s House บ้านอากงอาม่า’ ในบ้านหลังงามทรงไทยปั้นหยาริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สร้างตั้งแต่ปี 2472 ของตระกูล “ทังสมบัติ” ซึ่งเป็นเจ้าของน้ำปลาตรารวงทอง ภายในบ้านยังคงเต็มไปด้วยความทรงจำที่เล่าเรื่องผ่านเฟอร์นิเจอร์เก่าและภาพถ่าย มีระเบียงยื่นออกไปริมน้ำสำหรับนั่งรับลม เหนื่อยมาจากไหนมานั่งพักใจที่นี่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง       เมนูของที่ร้านส่วนหนึ่งเป็นเมนูประจำบ้าน มีไฮไลต์เป็นของว่างไทยแบบโบราณที่ยังหากินได้ทั้งกระทงทองและข้าวตังหน้าตั้งซึ่งทำเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ และที่เป็นขวัญใจต้องยกให้เซ็ตซิกเนเจอร์ที่มีทั้งเฉาก๊วยเนื้อหนึบ น้ำเก๊กฮวยหวานน้อย และวุ้นมะพร้าวน้ำหอมสูตรอาม่าเสิร์ฟในเข่งเล็กๆ ที่มีเนื้อมะพร้าวอ่อนให้ได้เคี้ยวด้วย       อีกเมนูห้ามพลาดคือขนมจีบหมูต้มแบบโบราณลูกอวบเต็มคำ ไส้แน่นรสกลมกล่อม กินกับน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่วที่มีรสเผ็ดนิดๆ ตามด้วยกุ้งโสร่ง กุ้งตัวโตหมักสามเกลอ พันด้วยบะหมี่ไข่อย่างประณีตแล้วนำไปทอด กินร้อนๆ กรอบอร่อย       นอกจากนี้ยังมีขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นที่มาช่วยดับร้อนอย่างโมจิหยดน้ำ ที่จัดเซ็ตได้น่ารัก ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสีสวย สตรอว์เบอร์รี่กุหลาบโซดา จิบแล้วได้รสเปรี้ยวอมหวานจากซอสแยมสตรอว์เบอร์รี่ มีกลิ่นหอมจากไซรัปกุหลาบและความซาบซ่าจากโซดา      

ตึกชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์ลสีเทาแกมขาวที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นี้คือร้านอาหาร ขวัญข้าว ริเวอร์ไซด์ ของ คุณนุ้ย จุฑามาศ ดาวเรือง “ขวัญ” คำที่เพื่อนๆ ในกลุ่มของคุณนุ้ยนั้นต่างก็เทใจให้ใช้คำนี้มานำอยู่ข้างหน้าคำว่า “ข้าว” ซึ่งเป็นอาหารจานหลักของคนไทย ที่ไม่ว่าผู้คนภาคไหนๆ ก็นิยมรับประทาน แล้วพ่วง “ริเวอร์ไซด์” ไว้ตอนท้ายด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าอยู่ใกล้คลองท้าแร้งเย็นฉ่ำนั่นไง     เข้าไปข้างในร้านจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแสนหวาน เสมือนคุณยืนอยู่ทามกลางงานแต่ง เฟอร์นิเจอร์สีขาวเข้ากันได้ดีกับผนังอิฐวินเทจสไตล์อังกฤษ รอบๆ เติมแต่งความสวยงามจากธรรมชาติด้วยดอกไม้ ที่คุณนุ้ยมักหมุนเวียนเปลี่ยนธีมกันไปแบบไม่จำเจ มีแสงจากโคมไฟสีเหลืองนวลชวนอบอุ่น ชมของแต่งร้านน่ารักๆ มีโต๊ะนั่งสำหรับลูกค้าหลายกลุ่มทั้งแบบคู่รัก ครอบครัว หรือใครอยากฉายเดี่ยวที่นี่ก็มีมุมสงบเงียบ ให้คุณได้เลือกนั่ง       เดินออกไปด้านนอกนั้นจะพบกับโซนเอ้าท์เดอร์ที่เป็นสวนร่มรื่น พื้นที่กว้างเหมาะสมสำหรับจัดงานไพรเวทปาร์ตี้ หรืองานแต่งงาน ยิ่งติดริมน้ำสดชื่นดูแล้วช่างเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติก ใครสนใจอยากจัดงานในสถานที่สวยๆ แนวอิงลิชคอทเทจ ที่ “ร้านขวัญข้าว ริเวอร์ไซด์” นี่แหละเหมาะเหม็ง!       ส่วนจุดเด่นของอาหารจะเป็นการเสิร์ฟไทยฟู้ด 4 ภาคในแบบฉบับดั้งเดิม ทั้งวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆ ที่ส่งตรงมาจากแหล่งต้นตำหรับ เช่น ไส้อั่วจากเชียงใหม่ พริกแกงเหลืองจากภาคใต้ กะปิจากคลองโคลน นอกจากนั้นยังมีซีฟู้ดเนื้อสดหวาน ของดีย่านมหาชัยที่เอามาขายในราคาสุดกันเอง ทุกเมนูนอกจากจะเน้นรสชาติดีในสไตล์ออริจินอลแท้ๆ แล้วยังให้ความสำคัญเรื่องของการแต่งจาน ทุกออเดอร์ที่ออกไปสู่สายตาลูกค้าจะต้องสวยปังอลังการ เห็นถูกใจสายโซเชียลเป็นอย่างยิ่ง     ประเดิมความอร่อยด้วยอาหารเหนืออย่าง น้ำพริกอ่อง (180 บาท) รสเปรี้ยวผสมไปกับเค็ม และเผ็ดเล็กๆ กินคู่ไปกับข้าวเหนียวนุ่มๆ แคบหมูกรุบกรอบ และผักสด ข้าวซอยไก่ (160 บาท) เนื้อไก่ส่วนสะโพกชุ่มช่ำ หม่ำพร้อมหมี่กรอบ และน้ำแกงรสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นเครื่องแกง ตัดเลี่ยนด้วยผักกาดดอง และหอมแดง       ภาคใต้ก็เด็ด อาทิ  แกงไตปลา (150 บาท) สุดเข้มข้น รสเค็มกำลังดี ได้รสเผ็ดจากพริกขี้หนูและพริกไทย แกงเหลืองปลากะพง (200 บาท) เนื้อปลากะพง ซดพร้อมน้ำแกงส้มสีเหลืองที่ทำมาจากขมิ้น รสเปรี้ยวแกมเผ็ด และ ขนมจีนน้ำยาปู (190 บาท) จัดจ้าน เพลินไปกับปูก้อนเนื้อหวาน เข้าปากพร้อมขนมจีนเส้นสดสีสันสวยงาม อาทิ สีเหลืองจากฟักทอง         ใครชอบอาหารอีสานเราแนะนำ ชุดรวมแหนมอีสาน (190 บาท) ประกอบไปด้วย แหนมสด ไส้กรอกอีสาน แหนมซี่โครง ที่ทางร้านหมักเอง กินแกล้มไปกับถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์มันๆ พริกชี้ฟ้า และผักต่างๆ     มาถึงภาคกลางกันบ้างมี เมี่ยงปลากะพง (150 บาท) ใบเมี่ยงห่อเนื้อปลากะพงทอดชิ้นพอดี สมุนไพรต่างๆ พริกชี้ฟ้า ราดด้วยซอสเมี่ยงสูตรพิเศษจากทางร้าน รสเค็มหวาน ปลากะพงนึ่งมะนาว (250 บาท) ปลากะพงตัวโตๆ เนื้อสดหวาน น่ากินสุดๆ เข้ากันได้ดีกับน้ำยำรสเผ็ดร้อน ผสานไปกับความเปรี้ยว       ชุดน้ำพริกกะปิ (180 บาท) อาหารที่เราคุ้นเคยกันดี น้ำพริกกะปิรสกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมปลาทูทอด ไข่ชะอม และผักสดหลากชนิด ไข่ตุ๋น+ไข่กุ้ง (120 บาท) ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อเนียน โรยหน้าด้วยไข่กุ้งกรุบๆ อยู่ภายในไข่ไก่สุดน่ารัก ผัดไทยกุ้งสดเกี๊ยวกรอบ (110 บาท) เส้นเกี๊ยวกรุบกรอบ ผัดไปกับเครื่องผัดไทย กุ้ง และน้ำซอสรสกลมกล่อมสูตรเฉพาะของทางร้าน บีบมะนาวซีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว     สายหวานอย่าลืมสั่ง บิงซูลอดช่องวัดเจษ (165 บาท) ลอดช่องวัดเจษขนมหวานขึ้นชื่อแห่งจังหวัดสมุทรสาคร มิ๊กซ์ไปกับบิงซูน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี สุดสดชื่น Berry On Boat (175 บาท) วัฟเฟิลฮ่องกงร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน ห่อไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี วิปครีมเนื้อนุ่ม ทอปด้วยผลไม้สด เติมความหวานหอมอีกระดับด้วยน้ำผึ้ง       เครื่องดื่มแนะนำ นมเย็นสายไหม (95 บาท) นมเย็นสีชมพูสุดคิ้วท์รสหวานมัน ด้านบนนั้นตกแต่งด้วยสายไหมฟูฟ่อง เห็นแล้วน่าแชะรูปรัวๆ น้ำอัญชันมะนาว (85 บาท) น้ำอัญชัน และน้ำมะนาวสด ราดลงไปในน้ำแข็งกลีบดอกอัญชันแสนสวย รสเปรี้ยวอมหวาน จิบแล้วชื่นใจ น้ำดอกบัว (90 บาท) เครื่องดื่มแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหน ไซรัปดอกบัวรสหวานละมุน ผสมผสานไปกับน้ำลิ้นจี่รสเปรี้ยว          อร่อยคุ้มค่าแบบนี้คราวหน้ามาเยือนอีกทีดีกว่า!

Bangkok Tree House โรงแรมโปรดของนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียวที่บางกระเจ้า ปัจจุบันนอกจากจะเป็นบ้านพักแสนสงบแล้ว ยังเป็นคาเฟ่สุดชิคขวัญใจคาเฟ่ฮอปเปอร์อีกด้วย คุณฝน ธนาพร วิทยสิริไพบูลย์ เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า อยากให้สถานที่แห่งนี้กลมกลืนไปกับทรัพยากรท้องถิ่นให้มากที่สุด ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งได้แนวคิดนี้มาจากจาก “วอลเดน” หนังสืออันโด่งดังของกวีอเมริกันชื่อ เฮนรี เดวิด ทอโร       นอกจากโครงเหล็กสไตล์มินิมอล และกระจกใสที่สื่อถึงความทันสมัยแล้ว ทางร้านจะเน้นใช้วัสดุธรรมชาติในการตกแต่งทั้งพื้นไม้รีไซเคิล ไม้ไผ่ มีมุมไฮไลท์อย่างต้นลำพูต้นใหญ่อายุหลายร้อยปี ที่ปลูกอยู่ด้านหลังของร้านติดริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา  และต้นไม้นานาพันธุ์รอบๆ  ที่คอยให้ความร่มรื่นในวันที่แดดจ้าไม่เป็นใจ     ส่วนอาหารในร้าน Bangkok Tree House จะแบ่งออกเป็น 2 สไตล์ให้คุณได้เลือกอร่อย ทั้งอาหารจานเดียวรับประทานง่าย เป็นคอมฟอร์ดฟู้ดที่ใครๆ ก็รู้จัก อาทิ ผัดกะเพรา ข้าวหมูกระเทียม ในส่วนที่สองจะเป็นไทยฟิวชั่นฟู้ด เมนูไทยโบราณผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่น หรือตะวันตก เสิร์ฟมาหลากหลายรูปแบบที่มีความนำสมัย ความเป็นไทยแบบดั้งเดิม ผสมไปกับความ Eco รักษ์โลกอย่างการใช้หลอดกระดาษ      เมนูต้องชิม ได้แก่ ม้าฮ้อ (85 บาท) อาหารว่างไทยโบราณที่ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี รสหวานอมเปรี้ยวของสับปะรด ตัดรสเค็มหวานของไส้หมูผัดกับสามเกลอหอมๆ     ต่อด้วย พระรามลงสรง (159 บาท) หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน อาหารไทยชื่อเพราะที่ได้อิทธิพลมาจากจีนตอนใต้นี้ประกอบไปด้วย ผักบุ้งลวก ราดซอสมัสมั่นกลมกล่อม หอมกรุ่นกลิ่นโหระพา วางกุ้งลวกเนื้อเด้งไว้ด้านบนสวยงามน่ากิน     มี สลัดแตงโม (159 บาท) ไว้สร้างความสดชื่นอีกแรง แตงโมสีแดงหวานๆ สับปะรดรสเปรี้ยว และเนื้อส้มชุ่มฉ่ำ นำมายำในสไตล์อิตาเลี่ยน หนักท้องขึ้นมาหน่อยกับ กุ้งซอสเปรี้ยวหวานข้าวผัดผงกะหรี่ (199 บาท) ข้าวผัดผงกะหรี่หอมฟุ้ง ไปด้วยกันได้ดีกับกุ้งชุบแป้งทอดบางๆ และผัดเปรี้ยวหวานรสเด็ด       จานต่อมาคือ ข้าวน้ำพริกกะปิปลาสลิดผักต้ม (165 บาท) ข้าวกล้องหุงกับสมุนไพรไทยอย่าง ตะไคร้ และใบมะกรูด กินพร้อมกับน้ำพริกกะปิรสกลมกล่อม ที่เพิ่มความพิเศษด้วยการใส่เนื้อกุ้งลงไปด้วย ปลาสลิดทอดกรอบของท้องถิ่น ผักต้ม เสิร์ฟมาในปิ่นโตโบราณ 3 ชั้น แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินอันเก่าแก่ของคนไทยในสมัยก่อน     ยังมี เสต็กปลาดอลลี่ (275 บาท) ปลาดอลลี่เนื้อนุ่มเด้งชิ้นโต ชุบแป้งทอด ทำให้ได้เนื้อที่กรอบนอกนุ่มใน กินไปกับซอสมะม่วงสุกหวานฉ่ำ รสเปรี้ยวอมหวาน ผสมผสานความครีมมี่ เข้ากันได้ดีจริงๆ     เครื่องดื่มแนะนำมี อัญชันนมสด (75 บาท) น้ำอัญชันจากสวนสีน้ำเงินเข้ม มิ๊กซ์ไปกับนมสด รวมเป็นรสชาติหวานละมุน และ Blue Passion Fruit (85 บาท) รสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจนี้ได้มาจาก น้ำบลูฮาวาย และไซรัปเสาวรส นั่นเอง     ใกล้กรุงเทพฯ แค่นี้เห็นทีต้องมาเยือนอยู่เรื่อยๆ แล้ว  

ชุมชนท่าเตียนหลังวัดโพธิ์มีซอยเล็กซอยน้อยที่สมัยก่อนเป็นที่ตั้งของทั้งตึกแถวและโกดังเก็บสินค้าอยู่ติดกับริมแม่น้ำ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปพื้นที่ทองคำแห่งนี้จึงปรับเป็นร้านอาหารและโรงแรมที่มีวิวหลักล้าน       “ชมอรุณ” ร้านริมน้ำของ คุณชัชวาล อรุณลาภ และ คุณตรีทิพยนิภา วิเศษผลิตผล ที่ปรับปรุงพื้นที่โกดังเก่าให้เป็นร้านอาหารที่มีดาดฟ้าโล่งมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาและวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารได้อย่างชัดเจน เหมาะกับการมากินมื้อค่ำพร้อมชมพระอาทิตย์ตกดิน     เนื่องจากเป็นย่านชุมชนที่มีกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่นี่จึงเสิร์ฟอาหารไทยที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว เริ่มต้นด้วย ปลาสลิดทอดยำมะม่วง (200 บาท) จานเรียกน้ำย่อยที่ใช้ปลาสลิดทอดหอมกรอบรสเค็มกำลังดี เสิร์ฟพร้อมยำมะม่วงรสเปรี้ยว หวาน เผ็ด     ปลาหมึกไข่แดดเดียว (220 บาท) ปลาหมึกไข่สดๆ ทอดน้ำปลาตราสามกระต่ายของดีจากเมืองตราด  เนื้อปลาหมึกเด้งเหนียวนุ่มแทรกด้วยไข่ปลาหมึกเนื้อหนึบหนับ เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจัดจ้านเปรี้ยวเผ็ดครบรส     มาถึงจานที่ถูกใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่าง ผัดไทยกุ้ง (220 บาท) ใช้เส้นเล็กเหนียวนุ่มผัดกับซอสสูตรของร้านรสเปรี้ยวหวานกลมกล่อม อร่อยด้วยกุ้งตัวโตๆ สดหวาน     ส่วนใครที่ชอบรสจัดขึ้นมาอีกนิดลองสั่ง เส้นหมี่ผัดกระเฉดกุ้ง (240 บาท) เส้นหมี่ผัดกับผักกระเฉดยอดอ่อนๆ เคี้ยวมัน ใส่มันกุ้งสดให้สีสวย ปรุงรสมาอย่างดีทั้งเค็มเผ็ดนิดๆ กินอร่อย     อีกจานที่รสจัดจ้านไม่เบาคือ ขนมจีนน้ำยาปู (250 บาท)  เด่นที่เนื้อปูก้อนใหญ่สดแน่นเต็มคำ กับน้ำแกงข้นๆ รสเข้มข้นถึงเครื่อง กินคู่กับกับเส้นขนมจีนและผักเคียงที่จัดมาอย่างครบครัน ถูกใจคนชอบอาหารรสจัดแน่นอน     เมนูที่คนรักอาหารไทยต้องชอบคือ หลนปูหมูสับ (250 บาท) หลนเนื้อปูก้อนใหญ่หอมมันจากกะทิ กินคู่กับผัดสดชุดใหญ่     อย่าลืมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างม็อกเทลสีสวยมาจิบพร้อมชมวิวไปด้วย เราแนะนำ อรุณสวัสดิ์ (150 บาท) น้ำปั่นสีสวยทำจากลิ้นจี่ เสาวรสและน้ำเลมอน     อีกแก้วคือ ชมพันช์ (150 บาท) ที่ใช้น้ำสับปะรดผสมกับน้ำแอปเปิ้ล น้ำเลมอนและดอกอัญชันให้มีสีสวยรับกับวิวยามเย็น     เป็นอีกร้านที่ต้องอยู่ในลิสต์สำหรับร้านอร่อยวิวดีริมแม่น้ำ

หลังจากอร่อยแบบเดลิเวอรีกันมานาน ในที่สุด “บุญปาก” ร้านอาหารไทยแบบจานเดียว กินง่าย แต่อร่อยต้องลองสักครั้งในชีวิต (สมชื่อร้าน) ก็เปิดร้านเต็มรูปแบบให้เราได้นั่งกินแบบสะดวกสบายที่เซ็นทรัลเวิลด์       ที่สำคัญในช่วงเย็นที่นี่ยังเปลี่ยนเป็น O:T คลับสำหรับแฮงก์เอาต์สุดฮิปให้สายกินดื่มมาสังสรรค์กันได้อย่างต่อเนื่อง หรือถ้าอยากแจมกับสาวกเคป๊อปก็เขยิบไปที่ OverSeoul BKK สาขาใหม่ที่อยู่ข้างๆ ได้เช่นกัน       ทุกเมนูของที่นี่เป็นอาหารจานเดียวอร่อยจัดที่เหมาะอย่างยิ่งกับมื้อกลางวันของเหล่าหนุ่มสาวออฟฟิศ โดยเฉพาะกะเพราบุญปากไทยจีนเนื้อสับ ที่ผัดด้วยซอสสูตรลับรสเข้มข้นจัดจ้าน หรือถ้าอยากเพิ่มความพรีเมียมอีกนิด เราแนะนำกะเพราบุญหนักเนื้อวากิว ข้าวผัดกะเพราคลุกมาพร้อมเนื้อวากิวออสเตรเลียน เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว รวมทั้งกะเพราโกโบริ เมนูเก๋ที่นำแกงกะหรี่และข้าวญี่ปุ่นมาผสมผสานกับกะเพราหมูสับแบบไทยๆ ท็อปด้วยไข่ออนเซ็น         ส่วนสายเส้นต้องลองเรือมงคลน้ำตกหมูชาชู ที่นำหมูชาชูและผักหวานมาช่วยเสริมความแปลกใหม่ หรือจะอร่อยแบบเฮลต์ตี้กับเมี่ยงปลาทู เสิร์ฟพร้อมผักเคียงชุดใหญ่ เส้นหมี่ขาวลวก และน้ำจิ้มสูตรเด็ด แต่ถ้ายังไม่อิ่มลองสั่งข้าวหมูแดงอั่งเปา ที่ใช้หมูแดงหมักและซูสวิดข้ามวันมาอบจนนุ่มเข้าเนื้อฉ่ำซอส กินกับซีอิ๊วบุญปากสูตรเฉพาะมาอีกสักจาน         อย่าลืมเพิ่มความสดชื่นด้วยเครื่องดื่มสีสวย อาทิ นูน่า พันช์ น้ำพันช์สีสวย, โอปป้า บ๊วย เปรี้ยวหวานเค็มครบรส, อาจุมม่า Drink หอมกลิ่นน้ำยาอุทัยทิพย์ และ Passion ซาราง สำหรับคนชอบเสาวรส....บอกเลยว่าอร่อยลงตัวกับทุกเมนู