จากร้านยากิโทริในบรรยากาศบ้านโบราณของญี่ปุ่นแห่งเอกมัยที่ Michelin Guide แนะนำ ตอนนี้เชฟ Kenichi Nagata เปิดบ้านหลังใหม่ย่านอโศกในพื้นที่ของโรงแรม Sotetsu Grand Fresa Bangkok Hotel พร้อมยกเมนูซิกเนเจอร์มาให้ได้ลิ้มลองกันใกล้ขึ้น แต่พิเศษยิ่งกว่าเดิมตรงที่เสิร์ฟมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่น และมีมื้อกลางวันสำหรับชาวออฟฟิศด้วย เพราะเสน่ห์ของ Gen คือเมนูย่างถ่าน ภายในร้านจึงมีโซนกระจกใสล้อมรอบด้วยเคาน์เตอร์บาร์ให้เห็นเชฟบรรจงย่างแต่ละเมนูอย่างพิถีพิถัน ถ่านที่ใช้ในร้านเป็นถ่านขาว (Bincho Tan) สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมอวลให้วัตถุดิบแต่ละชนิด ควันน้อย และคุมอุณหภูมิได้ง่าย มาถึงที่นี่แล้วอย่าพลาด Hitachi Wagyu Striploin Steak เนื้อจากบ้านเกิดของเชฟที่จังหวัดอิบารากิ รสเข้มข้นแต่ไม่มันมากเกินไป สั่งได้ทั้ง A4 และ A5 เสิร์ฟพร้อมกระเทียมย่าง พริกญี่ปุ่นหรือกระเจี๊ยบย่างเกลือ วาซาบิ และพริกไทยดำที่เชฟนำไปดองเกลือ Jidori kushi Yaki 8 ไก่ของที่ร้านส่งตรงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เชฟนำมาทำเป็นยากิโทริ 8 ไม้ ทั้งส่วนเนื้อและเครื่องในที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติแตกต่างกัน ไฮไลต์อยู่ที่ลูกชิ้นไก่โฮมเมดรสชาติกลมกล่อมจับคู่กับไข่แดงดิบ Unajyu ข้าวหน้าปลาไหลที่ใช้ปลาไหลสดจากญี่ปุ่นเท่านั้น นำมาย่างบนเตาถ่าน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะที่เมื่อกินด้วยกันแล้วอร่อยมาก เสิร์ฟพร้อมซุปและผักดอง รวมถึง Salmon and Ikura Donabe Gohan ข้าวอบหม้อดินเสิร์ฟร้อนแบบควันฉุย อัดแน่นด้วยแซลมอน อิคุระ เห็ด และหัวไชเท้าหั่นเต๋า กลิ่นหอมและรสชาติดีมาก ปิดท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อ Matcha Fondue ที่ใช้มัตฉะพรีเมียมจากเกียวโต จับคู่กับกล้วย สตรอว์เบอร์รี ช็อกโกแลตมาร์ชแมลโลว์โฮมเมด สปันจ์เค้กโฮมเมด และโมจิโฮมเมด ส่วนสายกินดื่มที่ร้านเสิร์ฟสาเกเซ็ตที่เลือกได้หลายแบรนด์ รวมถึงค็อกเทลอย่าง Spicy Ginger Ale ไฮไลต์อยู่ที่จินเจอร์เอลรสสดชื่นที่เชฟ Kenichi  ทำเอง เอาเป็นว่าบ้านหลังใหม่ดีงามไม่แพ้ที่เอกมัยเลย

ความแตกต่างที่แสนพิเศษของ 海味 Umi ที่ทำให้แฟนโอมากาเสะซูชิอย่างเราปฏิเสธไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องของรสชาติที่ไม่ว่าจะขยายไปกี่สาขาเราก็อยากตามไปลิ้มรสทุกที่ เพราะด้วยความตั้งใจของบรรดาหุ้นส่วนที่ต้องการให้อิสระกับเชฟเพื่อเป็นเวทีสำหรับการบรรเลงฝีมือ ปรุงแต่งรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับสาขานั้นๆ จนสุดท้ายกลับกลายเป็นจุดขายที่ชูโรงให้เมนูจาก Umi กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอกที่สามารถตกถึงท้องได้ จะบอกว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลจริงๆ เพราะ G&C ก็ไม่เคยพลาดสักสาขาตั้งแต่สุขุมวิท 49 และเกษรวิลเลจ ล่าสุดทางแบรนด์ Umi เปิดบ้านใหม่ในโครงการ Velaa Sindhorn มาพร้อมคาแรกเตอร์ของรสชาติที่เข้มข้นกว่าที่เคยเสิร์ฟ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงรสชาติ ทางคุณณัฐ-พงศ์ธนากร หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านได้เล่าให้ฟังว่า Umi @Velaa เปรียบเสมือนยกร้านโอมากาเสะจากญี่ปุ่นมาไว้ที่ไทย เพราะทุกคนจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นในทุกอณูผ่านงานอินทีเรียที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น โดยวัสดุที่ใช้ก็ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน หากมองด้วยตาเนื้อจะเห็นงานไม้ที่ดีไซน์อย่างเรียบง่ายตามศิลปะการตกแต่งแบบญี่ปุ่น แต่ถ้าลองสูดลมหายใจลึกๆ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้ที่หอมเย้ายวนผนวกกับกลิ่นหอมๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากครัว ถ้าโอมากาเสะคือความไว้วางใจให้เชฟเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ ที่ Umi ก็ได้ใจเราไปเต็มๆ ด้วยวัตถุดิบที่เสาะหามาอย่างดีรับประกันความพรีเมียมวางมากับข้าวปั้นซึ่งเชฟมีกรรมวิธีการหุงที่แตกต่างจากสาขาอื่นๆ บวกกับน้ำส้มสายชูและโชยุ ที่ช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้อย่างประณีต โดยมีคอร์สสุดประทับใจได้แก่ Kuruma Ebi กุ้งลายเสือตัวโตที่เชฟนำไปปรุงสุกท็อปมาบนข้าวปั้น ให้รสสัมผัสเด้งเคี้ยวสนุก Wild Caught Hon Maguro – Chutoro เนื้อสีชมพูมีลายไขมันแทรกเล็กน้อย ให้รสหวานมัน ต่อด้วย Wild Caught Hon Maguro – Akami ส่วนเนื้อแดงของทูน่าที่ให้รสเข้มข้น ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย และ Zuwaikani (Snow crab) Uni Shari with Caviar ปูหิมะเนื้อหวานประกบคู่ด้วยคาเวียร์รสเค็มเล็กน้อย ซึ่งตัดรสกันได้เป็นอย่างดี เมื่อจิบชาเซนฉะควบคู่ไปด้วยความอูมามิในชายิ่งช่วยชูรสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดให้เด่นขึ้นเป็นกอง

ยินดีต้อนรับสู่ “Kokugura Ramen” ร้านคราฟท์ราเมน และบาร์สาเก (ในยามเย็น) เปิดใหม่ของเชฟแอ๋-กุลพล สามเสน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความชอบราเมนเป็นการส่วนตัว บวกกับการตะลุยชิมราเมนที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยกว่า 23 ร้านภายใน 7 วัน และความมุ่งมั่นที่เชฟแอ๋เชื่อว่า ‘คนเราไม่มีทางทำอาหารได้อร่อยกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยกิน’ ก่อนกลับมาพัฒนาสูตรกว่า 6 เดือน จนได้ราเมนรสเด็ดที่สายฟู้ดสามารถกินได้ไม่มีเบื่อ   คำว่า Kokugura (โคคุกุระ) ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘ยุ้งฉาง’ ซึ่งเชื่อมโยงกับร้านอาหารจีนยุ้งฉาง โปรเจกต์แรกของเชฟแอ๋ ที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์เช่นเดียวกับ Kokugura Ramen เพียงกดลิฟต์ไปชั้น 7 ของของตึก White Cloud แห่งซอยอารีย์ 5 (ฝั่งเหนือ) ก็จะเจอกับร้านคราฟท์ราเมนบรรยากาศสแกนดิเนเวียน ที่สร้างความผ่อนคลายให้คุณด้วยโทนสีขาวสบายตา แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องเข้ามาผ่านม่านสีขาวทำให้ร้านสว่างน่านั่ง เดินเข้ามาจะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้สำหรับคนที่มาซู้ดราเมนคนเดียว ส่วนโต๊ะสำหรับกลุ่มเพื่อนก็มีให้เลือกนั่งเช่นกัน จานแรกเป็น Deep Fried Iwachi with Mentaiko Aioli ปลาฮิวาชิเนื้อสด ห่อโอบะทอดอย่างดีจนเป็นสีเหลืองทอง กินคู่ซอสเอโอลี่เมนไทโกะรสเข้มข้น ตามด้วย Aburi Shime ปลาซาบะดองสาเกอย่างดีจนไร้กลิ่นสาบ ก่อนนำไปเบิร์นไฟให้หอม เสิร์ฟพร้อมไชเท้าดองโฮมเมด พร้อมรสเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยเลมอนซีก Gyokai Tonkotsu Ramen เส้นราเมนโฮมเมดที่ทำจากแป้งโฮลวีตให้สัมผัสเหนียวนุ่ม เข้าคู่น้ำซุปใสรสกลมกล่อมที่มีเบสมาจากน้ำซุปหมูและไก่ เพิ่มความหอมด้วยปลาแห้งจากกรุงโตเกียว เพิ่มความฟินด้วยหน่อไม้กรุบกรอบที่ผ่านการหมักและนำไปผัดแบบจีน สันคอหมูซูวีด์เนื้อฉ่ำรมควันฟาง คอหมูย่างตุ๋น และไข่ต้มหมักโชยุ ปิดท้ายด้วยพระเอกของร้าน Ika Sumi Tsukemen เส้นราเมนแบบหนาให้สัมผัสนุ่มแน่น กินอร่อย ท็อปด้วยเครื่องเคราต่างๆ เสิร์ฟคู่น้ำซุปหมึกดำรสเข้มข้น ที่มีส่วนผสมของซุปหมูเคี่ยวอย่างดี และคาราวานซีฟู้ดรสหวานธรรมชาติ   ของหวานที่ร้านมีไอศกรีมนะ

อีกหนึ่งหมุดหมายของคนรักเนื้อ Yakiniku Great Bangkok ร้านยากินิกุโอมาเสะเนื้อชื่อดังจากญี่ปุ่น ที่หลังจากประสบความสำเร็จในฮ่องกงและมาเลเซีย ก็ถึงคราวมากระตุ้นต่อมความอร่อยของชาวกรุงเทพย่านสุขุมวิท ด้วยเนื้อพรีเมียมมาร์เบิลสกอร์ระดับ 10-11-12 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดผ่านการประมูลจากประเทศญี่ปุ่น ภายในร้านสีดำสุดโมเดิร์นได้ความไพรเวตอย่างแท้จริง ภายในคอร์สจะมีการไล่ระดับรสชาติเนื้อไปตามสเต็ป สลับด้วยเมนูอื่นๆ ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน สำหรับคอร์สใหญ่ Great Omakase แบ่งเป็น 16 คอร์ส ที่เสิร์ฟเนื้อด้วยกัน 8 ส่วน ผสานกับอาหารทะเลสดใหม่ และผักหลากชนิดตามฤดูกาล อาทิ Wakyu Tartare Truffle สตาร์ตเตอร์ชวนว้าว ที่นำเนื้อสับมาจับคู่กับบาร์แกต ชีสและน้ำมันทรัฟเฟิล หอมละมุนเริ่มต้นมื้อได้ดีสุดๆ Yaki Sashi with Bubble Soy Sauce เนื้อใบพายส่วนบนสไลด์เป็นแผ่นบางย่าง 7 วิเพียงด้านเดียว เสิร์ฟคู่วาซาบิสด และบับเบิ้ลซอยซอสที่ทำจากไข่ขาวกับโชยุ Chateaubriand and Uni with Rice เนื้อชาโตบริยองด์ย่างแบบมีเดียมแรร์ที่ผ่านการแร็ป 5 นาทีเพื่อเก็บความชุ่มฉ่ำ วางบนข้าวญี่ปุ่นท็อปด้วยบาฟุนอูนิราดซอสเนยกระเทียม Tsukune Hamburg เนื้อวากิวส่วนขาหน้าที่เสิรฟ์มาในรูปแบบแฮมเบิร์กย่างให้สุกระดับมีเดียมแรร์กินพร้อมสวีทซอยซอส และไข่แดง นอกจากนี้ยังมี โซเมนเย็น เสิร์ฟคู่กับน้ำซุปปลาย่าง และของหวานสำหรับล้างปากอย่าง Monaka ที่จะได้สัมผัสกรุบกรอบจากแป้งซากุระวาฟเฟิลด้านนอก ภายในหนึบหนับด้วยแป้งโมจิ ไอศกรีมนมฮอกไกโด และถั่วแดง อิ่มอร่อยทั้งคาวหวานชวนประทับใจ

ชวนคนรักอาหารญี่ปุ่นไปชิม “Sushi Kuuya” โอมากาเสะเปิดใหม่ในโครงการ Vivre Langsuan (BTS ชิดลม) ของเชฟโกจิ โคบายาชิ เชฟหนุ่มไฟแรงชาวญี่ปุ่นที่เปี่ยมประสบการณ์การทำซูชิกว่า 15 ปีจากประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนอาทิตย์อุทัย และโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุงเทพฯ ก่อนมาเปิดร้านเป็นของตนเอง ในส่วนของชื่อร้านคำว่า ‘Kuuya’ ในชื่อร้านเป็นภาษาแสลงของย่านฮากาตะแปลว่า ‘Let’s eat’ ซึ่งพ่อของเชฟเป็นคนตั้งให้ จุดเด่นของ Sushi Kuuya แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องวัตถุดิบที่เชฟสั่งตรงมาจากเกาะฮอกไกโด และสัมผัสแน่นนุ่มหนึบของข้าวสูตรพิเศษ ที่เชฟใช้ข้าว 3 สายพันธุ์จากเมืองฮอกไกโดและจังหวัดมิยากิ หุงกับน้ำส้มสายชูแดงรสกลมกล่อมใน ‘Hagama’ หม้อหุงข้าวดั้งเดิมของญี่ปุ่น เสิร์ฟในบรรยากาศเรียบง่ายและให้ความส่วนตัว ด้วยโทนสีขาวนวลสบายตาและเคาน์เตอร์บาร์ไม้สีน้ำตาลอ่อนสำหรับ 8 ที่นั่ง เปิดต่อมรับรสด้วย Sashimi – Akami เนื้อส่วนกลางลำตัวของทูน่าจากเกาะฮอกไกโด ให้สัมผัสนุ่มฉ่ำ ราดซอสมิโซะโฮมเมด เสิร์ฟเคียง Tsubugai หรือหอยสังข์ญี่ปุ่นเนื้อหนึบ ท็อปด้วยซอสอุเมะรสเปรี้ยวเล็กๆ และ Hakkaku ปลามังกรญี่ปุ่นเนื้อนุ่ม ไร้กลิ่นคาว ต่อด้วย Megai Awabi หอยเป๋าฮื้อจากเกาะฮอกไกโดอีกเช่นเคย ที่เชฟคุกอย่างดีจนได้เนื้อแน่นหนึบ กินพร้อมซอสสูตรเด็ดรสครีมมีที่ทำจากตับของหอยเป๋าฮื้อ Ikageso หนวดปลาเทมปุระทอดร้อนจี๋ ห่อด้วยสาหร่ายหอมๆ กินเพลิน ก่อนเสิร์ฟเชฟโรยด้วยเกลือทะเล และบีบมะนาวซีกเล็กน้อย มาถึงคิวของนิกิริซูชิที่หลายคนรอคอยกันบ้าง คำแรกเป็น Yari Ika ปลาหมึกกล้วยญี่ปุ่นเนื้อนุ่มๆ บวกความหนึบเล็กๆ เคล้าไข่หอยเม่นพรีเมี่ยมรสเค็มกลมกล่อม คำนี้ที่รอคอย Kegani ปูขนเนื้อหวานที่ส่งตรงมาจากเกาะฮอกไกโด เข้ากันดีกับข้าวญี่ปุ่นผสมอูนิรสเค็มละมุน โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนที่สายฟู้ดชอบ Kohada ปลาตะเพียนญี่ปุ่นเนื้อสดหากินยาก ออนท็อปด้วยขิงเผ็ดซ่า Hamaguri เพลินพลินกับสัมผัสนุ่มลิ้นเคี้ยวเพลินของหอยตลับลายตัวอวบๆ ตามด้วย Tamagoyaki ไข่หวานสูตรพิเศษเนื้อแน่นที่ทำจากมันภูเขาญี่ปุ่น ปลา กุ้ง อร่อยอย่าบอกใคร ตบท้ายด้วยซุปมิโซะและชาร้อนๆ สักแก้วก็เป็นอันเสร็จสิ้น

คำว่า Nikaku ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘นกกระเรียนคู่’ เป็นสัตว์มงคลของชาวญี่ปุ่นที่หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองอันยั่งยืน เหมือนเจ้าของร้านอย่าง เชฟเซตสึโอะ ฟูนาฮาชิ (Setsuo Funahashi) เชฟซูชิผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล และภรรยาสาว เชฟคาซูมิ ฟูนาฮาชิ (Kazumi Funahashi) เชฟขนมหวานผู้ร่ำเรียนศิลปะการทำขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) จากคุณแม่ของเธออย่างช่ำชอง   Nikaku เป็นร้านโอมากาเสะชื่อดังในตำนานแห่งเมืองคิตะคิวชู ที่เปิดมาแล้วกว่า 60 ปี (จนถึงปัจจุบัน) ให้สายฟู้ดเอ็นจอยกับซูชิเอโดมาเอะ ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบจากช่องแคบคัมมง และทะเลรอบๆ เกาะคิวชู ผ่านการปรุงด้วย ‘เอนไบ’ รสนุ่มนวลและกลมกล่อมอันเกิดจากความสมดุลของเกลือและน้ำส้มสายชู และผ่านการปั้นจากเชฟเซตสึโอะ โดยเขาใช้เทคนิคเก่าแก่ Honte-gaeshi ที่สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี แพร์ริ่งไปกับชาชั้นดี 7 ชนิด จากจังหวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทุกแก้วล้วนชงกับน้ำแร่เลอค่า ฟู้ดดี้คนไหนอยากลิ้มลองให้ปักหมุดที่ Nikaku Bangkok” ที่ตั้งอยู่ใน W Bangkok ได้เลย ดื่มด่ำกับบรรยากาศหรูหรา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทันสมัย และความเป็นส่วนตัว (สามารถรองรับลูกค้าได้รอบละ 10-12 ที่นั่ง)    คำแรกเป็น Nidako ปลาหมึกยักษ์เนื้อเหนียวนุ่มจากช่องแคบคัมมง ราดซอสน้ำส้มสายชูสีแดงผสมซีอิ๊วรสกลมกล่อม ที่มีทั้งเปรี้ยว เค็ม และหวานนิดๆ สโมคกลิ่นดอกซากุระหอมฟุ้ง ถือเป็นการเปิดต่อมลิ้มรสได้ดี แพร์ริ่ง Sonogi Tea มัตฉะชั้นดีจากจังหวัดนางาซากิ ผสมน้ำโซดาซาบซ่า   ตามด้วย Madai ปลากระพงแดงเนื้อหวาน ที่เชฟใช้เทคนิคการเก็บปลาให้ยังคงสดใหม่ เข้าคู่กับวาซาบิขูดสด Sawara ปลาซาวาระหรือปลาอินทรีย์ญี่ปุ่น สัญลักษณ์แห่งฤดูใบไม้ผลิ โดยทางร้านจะใช้ปลาที่จับได้โดยเบ็ดเดี่ยวเท่านั้น เพราะเนื้อจะชุ่มฉ่ำมากกว่า Chawanmushi ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อเด้งที่หลายคนเลิฟ แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะเชฟตุ๋นแบบเย็น จิบคู่ Oolong Tea ชาอู่หลงกลิ่นหอมแห่งซัตสึมะเซ็นได เคล้าขิงขูดรสเผ็ดซ่า หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวอาทิตย์อุทัย Kuruma-ebi กุ้งลายเสือญี่ปุ่นที่ส่งตรงมาจากเกาะคิวชู เนื้อสดหวานตามธรรมชาติ เสริมรสให้ลงตัวด้วยมิโซะโฮมเมด Maguro ปลาทูน่าครีบสีน้ำเงิน ที่ทางร้านนำเข้าจากทะเลแถบนางาซากิแห่งประเทศญี่ปุ่น เนื้อสดรสหวาน สมแล้วที่ได้ฉายา ‘ราชาแห่งปลาทั้งมวล’ Sasa Kare ปลาคะเรเนื้อบางผิวขาว นำไปย่างฟางจนหอม ก่อนเสิร์ฟโรยเกลือเล็กน้อย Anago Nigiri ปลาไหลทะเลญี่ปุ่นเนื้ออ่อนนุ่ม เพิ่มรสอูมามิด้วยเกลือเล็กน้อย Ika ซูชิปั้นสดหน้าปลาหมึกอิกะ เนื้อหนึบนุ่มกำลังกิน คำที่แสนเลอค่า Yaito Katsuo ปลาโอคุณภาพจากหมู่เกาะโกโต นางาซากิ ที่รมควันด้วยฟางกลิ่นหอม Ikura Hirasu ลูกปลาซาดีนน่าลิ้มลอง ผสมซอสดาชิรสนุ่มนวล โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนล้นๆ   ต่อด้วย Uni อูนิสดตามฤดูกาลจากเมืองฮอกไกโด รสหวานกินเพลิน Otoro เนื้อนุ่มแทบละลายในปาก Ma Saba ปลาซะบะเสิร์ฟแบบสด วัตถุดิบขึ้นชื่อจากเมืองนางาซากิ Kaki Sakamushi หอยรางรมตัวอวบแห่งจังหวัดยามากุจิ นึ่งกับสาเกชั้นดีจนทำให้ได้รสหวานผสานกับเนื้อสัมผัสหนึบนิดๆ Tuna Berry ซูชิโรลทูน่าเนื้อฉ่ำ ที่ทางร้านใช้ซากะโนริ (สาหร่าย) ที่ดีที่สุดจากทะเลอาริอาเกะ ไปต่อกันกับ Tamago แสนอิ่มเอม ตัวไข่เนื้อนิ่ม มิ๊กซ์ไปกับน้ำซุปดาชิรสหวานเค็ม แพร์ริ่ง Hoshino Mura Hon Gyokuro ชาเขียวเกียวคุโระที่มีคุณภาพสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ปลูกจากหมู่บ้านโฮชิโนะ ให้รสหวานสลับกับความอูมามิ ก่อนเอ็นจอยขนมหวานของเชฟคาซูมิ Mizuyoukan วุ้นสไตล์ญี่ปุ่นตามฤดูกาล ครั้งนี้เชฟใช้ส้มแมนดารินรสสดชื่น เข้าคู่กับวุ้นถั่วแกงกวนรสหวานฉ่ำ Longan Pudding ฐานล่างเป็นพุดดิงน้ำเต้าหู้ครีมมี ไปด้วยกันได้กับพุดดิงลำไยรสหวานหอม ตัดด้วยกะทิเค็มมันเล็กน้อย   ยังมีของหวานไฮไลต์อย่าง Flourless Japanese Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้งสไตล์โฮมเมด เนื้อแน่นรสเข้มข้นนี้ปราศจากนม เนย ไข่ จิบคู่ Kitsuki Black Tea ชาดำนุ่มลึกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบ นี้มาจากจังหวัดโออิตะ

ชวนมาเปิดประสบการณ์ใหม่ของการกินอาหารสไตล์ญี่ปุ่นในแบบฉบับของซูชิแฮนด์โรลล์ หรือซูชิที่ม้วนและห่อสาหร่ายด้วยมือแล้วเสิร์ฟให้กินกันสด ๆ ที่ Kanori Hand Roll Bar ซอยสุขุมวิท 49 Kanori Hand Roll Bar มาพร้อมกับบรรยากาศภายนอกแสนร่มรื่นเป็นสีเขียวสบายตาด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ส่วนภายในนั้นเรียบง่าย มีเพียงบาร์สูง ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรุง ที่เสิร์ฟ และที่กิน แบบ 3 in 1 เมนูซูชิแฮนด์โรลล์ของที่นี่มาในแบบฉบับของคอร์สเมนู ที่มีให้เลือกในหลากหลากราคาและจำนวนคำ ตั้งแต่ 4 คำไปจนถึง 7 คำ แถมยังสามารถอัปเกรดเมนูพรีเมียมแฮนด์โรลล์อย่าง Lobster Bomb โรลล์ล็อบสเตอร์ และ Uni ไข่หอยเม่น เพิ่มความจุใจได้อีกด้วย เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มที่สุด คอร์สเมนูจำนวน 7 คำ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าลองที่สุด โดยเริ่มต้นคำแรกด้วย Blue Crab โรลล์เนื้อปูม้า (ปูสีฟ้า) มาแน่นเต็มคำพร้อมด้วยอะโวคาโดและไข่กุ้ง ทางร้านแนะนำว่าเมื่อเสิร์ฟแล้วให้รีบกินทันที ก่อนที่สาหร่ายจะหมดความกรอบ จากนั้นมาต่อกับคำที่สอง Hotate (Yuzukosho) หอยเชลล์ฮอกไกโดสด ๆ ทาซอสพริกผสมส้มยูซุ ให้กลิ่นหอมและความเผ็ดแทรกมาเล็ก ๆ น้อย ๆ คำที่ 3 เอาใจคนรักแซลมอนด้วย Salmon Bomb ที่อัดมาทั้งแซลมอนสด อะโวคาโด ไข่กุ้ง และซอสปูสุดกลมกล่อม ตามมาด้วย Botan Ebi โรลล์กุ้งโบตั๋นตัวใหญ่เนื้อหวาน และ Akami Tsuke โรลล์เนื้อปลาทูน่าส่วนอากามิสีแดงสด ผ่านการหมักจนได้รสชาติเข้มข้น ปิดท้ายด้วย Negitoro โรลล์ทูน่าสับโรยต้นหอม และ Tamago โรลล์ไข่หวานที่จับคู่มากับอะโวคาโดและไข่กุ้ง บอกเลยว่าคนรักปลาดิบจะไม่ผิดหวัง

เมื่อพูดถึง Sousaku” แฟนคลับอาหารญี่ปุ่นยกนิ้วให้เลย เพราะเป็นร้านซูชิและสุกียากี้สไตล์คันไซที่ได้ใจสายฟู้ดมานานกว่า 10 ปี ด้วยการใช้วัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ผ่านฝีมือเชฟที่ถูกเทรนด์จากเชฟญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งครั้งนี้เราแวะมากินที่สาขาอารีย์ ตัวร้านจำลองเป็นบ้านญี่ปุ่นโบราณ 2 ชั้น ที่สร้างและตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ทั้งปูนผสมหญ้า ผนังไม้ไผ่เงางามและเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายๆ เหมือนกินมื้ออร่อยในบ้านเพื่อน สายเนื้อห้ามพลาด Gyu (Beef) Signature Set เซ็ตเนื้อสัญชาติออสเตรเลียสำหรับสุกียากี้ ที่ประกอบด้วย เนื้อริบอายชุ่มฉ่ำ เนื้อสันคอ ที่นำไปทำเมนูไหนก็อร่อย เนื้อบริเวณไหล่ อุดมไปด้วยไขมันเยอะ (เด็กอ้วนฟิน) เหมาะมากสำหรับปิ้งย่าง ชุดผัดสดและไข่ไก่ ส่วนใครไม่กินเนื้อจะสั่งเป็นเซ็ตหมู หรือจานอะลาคาร์ตอย่าง Pork belly หมูสามชั้นคูโรบุตะชิ้นใหญ่ๆ มีไขมันแทรกทำให้เนื้อสัมผัสนุ่ม กินอร่อย เข้าคู่น้ำจิ้มพอนซึรสเปรี้ยวพอเหมาะ   ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Kanimiso Kamameshi ข้าวมันปูอบหม้อดิน ที่ฐานล่างเป็นไข่กุ้งกรุบๆ เคี้ยวเพลิน เคล้าข้าวญี่ปุ่น ก่อนท็อปด้วยปูหิมะเนื้อหวาน และไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม คนรักซูชิอย่าลืมสั่ง Sousaku Edomae Sushi Style ข้าวญี่ปุ่นหุงน้ำส้มสายชูหมักไวน์แดง ปั้นเป็นซูชิหน้าต่างๆ อาทิ แซลมอน ที่คุ้นเคย โอโทโร่ เนื้อนุ่ม ฮามาจิ ปลาหางเหลือง ทามาโกะ (ไข่หวานญี่ปุ่น) ปลาไหล อาคามิ ชิมา อาจิ หรือปลาทูญี่ปุ่นยักษ์ และอิคุระ

Tenko Omakase (เท็นโกะ โอมากาเสะ) ปรับเปลี่ยนสไตล์การนำเสนอโอมากาเสะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นโฉมใหม่ในสไตล์ที่เรียกว่า คัปโปะ (Kappo) เพิ่มลูกเล่นของอาหารให้แปลกใหม่กว่าเดิมในปี 2023 นี้ ภายใต้หัวเรือคนใหม่ เชฟไดสุเกะ นิชิมูระ ผู้สั่งสมประสบการณ์ในการทำอาหารแนวคัปโปะและไคเซกิมากว่า 20 ปี คัปโปะโอมากาเสะแบบฉบับของเท็นโกะภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะ นำเสนอรสชาติเข้มข้นในแบบที่คนไทยชื่นชอบ “คนไทยยังชื่นชอบการกินซูชิคำเล็ก ๆ ผมปรับขนาดซูชิให้เล็กลงแล้วทดแทนด้วยเมนูที่หลากหลายมากขึ้น” เชฟไดสุเกะบอก ส่วนที่สร้างความตื่นเต้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นสิ่งที่เชฟไดสุเกะภูมิใจนำเสนอนั้นก็คือ จานเรียกน้ำย่อยแบบคัปโปะ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ซุปสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซาชิมิ และเมนูเซ็ต ภายใต้รูปร่างหน้าตาแบบร่วมสมัย และมีส่วนประกอบของผักมากกว่าคอร์สโอมากาเสะที่เราคุ้นเคย เช่น Colinky Pumpkin with Soymilk Cold Soup ซุปฟักทองและนมถั่วเหลืองเย็น รสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม Sesame tofu with Seaurchin, Caviar, Cucumber, Kinzanji miso โมจิงาดำเสิร์ฟพร้อมอูนิ คาร์เวียร์ และคินซันมิโสะ ได้เนื้อสัมผัสที่หลากหลาย และเป็นรสชาติที่ผสมผสานกันแล้วลงตัวอย่างน่าทึ่ง Ankimo Toast with Sibazuke pickles and Spring onion ตับปลาอังกิโมะ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อปลามังค์ฟิช เชฟนำมาผสมผสานกับมิโสะจากเกียวโต ให้ทั้งความหอมมันและรสชาติที่เข้มข้น สมกับที่ได้ชื่อว่าฟัวกราส์แห่งท้องทะเล วางมาบนโทสต์และท็อปด้วยผักดอง Monaka with Smoked Stingray fin Tartar Japanese Tomato, Avocado, Red sorrel ขนมโมนากะ แป้งกรอบคล้ายเวเฟอร์ ทำมาจากแป้งโมจิมาในทรงคล้ายกับจานขนาดจิ๋ว ด้านในเป็นทาร์ทาร์มะเขือเทศ อะโวคาโด และครีบปลากระเบนรมควัน Chawanmushi with Foie gras ไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่นเนื้อเนียนนุ่ม มาพร้อมกับฟัวกราส์ในน้ำซุปโบนิโต และก่อนที่จะเข้าสู่คอร์สนิกิริซูชิ เชฟได้เสิร์ฟ Sashimi with Organic Vegetables Salad Zucchini, Water melon, Hasuimo, Mizunasu egg plant, Sour jelly , Sour egg yolk sauce ซาชิมิส่วนท้องทูน่า มาพร้อมซอสไข่แดง ซูกินีสด มะเขือม่วงสด ต้นบอน แตงโม และมันหวาน ท็อปด้วยเดรสซิ่งสีเหลืองในรูปแบบของเจลลี เป็นจานสลัดที่มอบความสดชื่นได้ดีทีเดียว สำหรับนิกิริซูชิของ Tenko Omakase ภายใต้การนำของเชฟไดสุเกะนั้น ประกอบไปด้วย Shime Saba ปลาซาบะดองน้ำส้มสายชู โดยระหว่างตัวข้าวและเนื้อปลานั้นได้สอดไส้ด้วยใบชิโสะ และท็อปด้วยต้นหอมจิ๋ว ขิง และพริกป่น รวมกันแล้วเป็นคำที่เต็มไปด้วยรสชาติอันหลากหลายและเข้ากันได้อย่างดี แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเมนูไปไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ซูชิกับปลาแบบคลาสสิกก็ยังคงอยู่ เช่น Buri zuke ซูชิปลาฮามาจิ, Akamutsu ซูชิปลากะพง, Uni ซูชิไข่หอยเม่น, Ezo Awabi ซูชิหอยเป๋าฮื้อกับซอสตับ และ Kamasu ซูชิปลาบาราคูด้า การนำเสนอโอมากะเสะในรูปแบบใหม่ของเชฟไดสุเกะยังไปต่อกันที่ Deep fried Amadai, Gingko, Shaved dry seaweed, dry Plum ปลาอามะไดหรือปลาไท่หวานทอดจนเกร็ดกรอบ เสิร์ฟพร้อมแปะก๊วย สาหร่ายแห้ง และบ๊วยแห้ง โดยมีส้มจี๊ดวางคู่มาให้เราบีบเพิ่มรสชาติและความหอมแบบซีตรัส จากนั้นเป็นเมนูเส้นชื่อว่า Waterfall Somen Noodle ที่นำเสนอมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จับคู่มากับอกเป็ดซูวี เพิ่มความเผ็ดและหอมชื่นใจด้วยยูซุเปปเปอร์ ปิดท้ายด้วย Tamagoyaki เค้กไข่ทามาโกะยากิเนื้อนุ่มเด้ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลในปาก และของหวาน Houjicha with Hokkaido milk pudding and Fig, Awayuki salt พุดดิ้งโฮจิฉะและนมฮอกไกโดราดซอสบราวน์ชูการ์ กินคู่กับผลฟิกสดและโรยด้วยเกลืออะวายูกิ (เกลือหิมะ) ของญี่ปุ่น “เราจะเปลี่ยนวัตถุดิบไปเรื่อย ๆ ตามวัฒนธรรมการกินของญี่ปุ่น ที่จะเปลี่ยนตลอด 4 ฤดูกาล เพราะฉะนั้นคนกินจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่และมีความสุขในทุก ๆ ครั้งที่มาหาเรา” เชฟไดสุเกะพูดทิ้งท้าย

ซูชิโคเกะ (Sushi Koge) ร้านโอมากาเสะแห่งใหม่ย่านอารีย์ที่จะพาทุกคนรื่นรมย์ไปกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตั้งแต่สวนญี่ปุ่นจำลองหน้าร้าน การตกแต่งด้านในตั้งใจให้รู้สึกเหมือนได้เดินเข้ามาในบ้านขุนนางญี่ปุ่น ซึ่งเราจะเพลินตาเพลินใจไปกับงานดีไซน์ ทั้งโทนสีที่ใช้ พื้นไม้ โคมไฟ รวมถึงภาชนะที่เป็นงานคราฟต์ ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้ทุกคำ โอมากาเสะของที่ร้านเป็นแบบเอโดะมาเอะ ดูแลโดยเชฟชาวไทยผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการและร่วมงานกับเชฟญี่ปุ่นมานานกว่า10 ปี เราได้ลองคอร์ส Koge 15 คอร์สจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด เปิดต่อมรับรสด้วย Junsai To Tomato มะเขือเทศบิจินดองรสเปรี้ยวสดชื่นช่วย กินพร้อมจุนไซหรือยอดบัวที่มีคอลลาเจนตามธรรมชาติ ยกขึ้นดื่มแล้วนุ่มลื่นคอ Sashimi of  the day ปลาดิบที่เชฟคัดสรรให้ในแต่ละวัน Kushiyaki ของย่างเสียบไม้ 3 แบบ ชิ้นบนเป็นหนวดปลาหมึกย่างเนื้อสัมผัสหนึบหนับแต่นุ่ม ตรงกลางคือลูกหอยเชลล์ย่าง แล้วจบด้วยเนื้อวากิว A5 ที่นุ่มฉ่ำ Hotate Isobe Yaki โฮตาเตะตัวอวบเต็มคำจากฮอกไกโดย่าง ห่อด้วยสาหร่ายย่างกลิ่นหอมและกรุบกรอบ Ebi Karage กุ้งหวานเนื้อสีชมพู ส่วนหัวเชฟทอดจนกรอบ ส่วนเนื้อนำไปทำเป็นลูกชิ้นกุ้ง บีบมะนาวชูรสชาติก่อนกิน อีกหนึ่งคำเด่นคือ Aori Ika ปลาหมึกหอมญี่ปุ่นหั่นเป็นเส้นเล็กๆ วางบนข้าว กินแล้วจะได้รสหวานของปลาหมึก ตามด้วยกลิ่นของผิวยูซุด้านบน ส่วนปลาเราได้ชิมทั้ง Aji ปลาหนังสีเงินเนื้อแน่นและมันจากจังหวัดนางาซากิ Kinmedai คินเมไดตาสีทองจากจังหวัดชิบะ และ Akami ส่วนเนื้อแดงของฮอนมากุโระจากจังหวัดมิเอะที่ผ่านการเอจไว้ 1 สัปดาห์แล้วสึเกะ (ดอง) กับโชยุจนรสชาติของปลาเข้มข้น ตามด้วย Mini Don ดงบุริไซส์มินิที่มีทั้งทูน่า ปลาบุรี อิคุระ และไชเท้าดองเสริมรส แล้วตามด้วย Tamago Castella ไข่หวานรสละมุน จบท้ายมื้อด้วยไอศกรีมวานิลลาเสิร์ฟพร้อมวาราบิโมจิและถั่วแดงกวน

'เพราะอาหารสามารถแต่งเติมจินตนาการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด' ด้วยแรงบันดาลใจนี้จึงเกิดเป็นแนวคิดหลักของร้าน ผลักดันให้ Origami ร้านอาหารญี่ปุ่นฟิวชันเปิดตัวสู่สายตาชาวโลก มาพร้อมคอนเซ็ปต์ 'Savor the Taste of Endless Possibilities' ที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เช่นเดียวกับชื่อร้าน Origami ที่แปลว่า การพับกระดาษในภาษาญี่ปุ่น เพราะทุกคนสามารถพับกระดาษให้ออกมาเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ เพียงใช้แค่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการเท่านั้น ภายในร้านจึงได้เตรียมกระดาษ พร้อมคำแนะนำสำหรับการพับไว้ให้บนโต๊ะ เพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคนฝึกจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน ในบรรยากาศแสนอบอุ่นของการจำลองบ้านชาวญี่ปุ่นด้วยวัสดุธรรมชาติ และโทนสีเย็นตาสบายใจ เพิ่มความโมเดิร์นด้วยการตกแต่งสไตล์ French Garden เสริมด้วยงานพับรูปสัตว์ต่างๆ ตั้งโชว์ทั่วทุกมุมห้อง ดูน่ารัก และชวนผ่อนคลายไม่น้อย สำหรับเมนูจะเน้นเป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชัน รังสรรค์รสชาติด้วยความสนุกสนานโดยเชฟมากฝีมือ ที่ตั้งใจบรรจงปรุงแต่งอาหารญี่ปุ่นให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการหยิบจับวัตถุดิบมาผสมผสาน พร้อมเชื่อมโยงรสชาติของวัฒนธรรมอาหารหลากสัญชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แต่ละเมนูของที่นี่จึงมีมิติรสชาติที่แปลกใหม่แบบไม่รู้จบตามแบบฉบับของ Origami อีกทั้งยังพาเจริญอาหารได้ดีทีเดียว เริ่มต้นที่ Grilled Ginger Chicken Teriyaki with Asian Coleslaw, Somtum Dressing สลัดผักที่เคียงมาด้วยไก่เทอริยากิ ราดน้ำส้มตำรสเปรี้ยวอมหวาน และเผ็ดเล็กน้อย ต่อด้วย Quesadilla Shrimp with Spicy Mentaiko Sauce พิซซาสไตล์เม็กซิกัน ด้านในสอดไส้กุ้งผัดกับหัวหอม และพริก 3 สี ได้กลิ่นหอมของปาปริกา มีความหอมมันจากเชดดาร์ชีสและมอซซาเรลลาชีส Linguine Truffle with Wagyu Beef Tataki พาสตาผัดทรัฟเฟิล เข้ากันได้ดีกับเนื้อย่างแบบทาทากิ เสิร์ฟในระดับมีเดียมแรร์ อร่อยลงตัว ถัดมาคือ Salmon Lover Set เซ็ตของคนรักแซลมอน เสิร์ฟ 5 รูปแบบทั้งอะบุริ โรล ยำตะไคร้ ซาชิมิดิบและเบิร์นไฟเล็กน้อย ปิดท้ายด้วย Mizu Shingen Mochi โมจิเนื้อใส มีความนุ่มและเด้ง เสิร์ฟเย็นๆ ให้กินคู่ครัมเบิลถั่วตัดรสหวานกำลังพอดี ส่วนเครื่องดื่มแนะนำเป็น Wabi Yuzu ค็อกเทลยูซุ มีกลิ่นหอมของสับปะรด รู้สึกได้ถึงความเผ็ดที่ปลายลิ้นจากวาซาบิ และ Hana Yoru ค็อกเทลรสละมุน หอมกลิ่นซากุระผสมมะลิ เป็นรสชาติที่ชวนให้หลงใหลได้ไม่น้อย

สมกับเป็นเมืองที่จำลองความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ได้ทั้งบรรยากาศและร้านอาหาร เพราะที่ Harajuku Thailand สุวินทวงศ์ มีร้าน Tonkotsu Kazan ร้านราเมนสุดเจ๋งจากจังหวัดโอซากาที่เปิดตั้งแต่ ค.ศ.1966 มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ไฮไลต์ของร้านนี้คือ ‘ราเมนภูเขาไฟ’ ราเมนเส้นสดในชามหินกระทะร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาเสิร์ฟจะครอบด้วยฝาสีแดงทรงสูง ไอระอุจากน้ำซุปร้อนๆ ในชามหินจะพวยพุ่งขึ้นด้านบน อดใจรอประมาณ 1 นาที เส้นราเมนและเครื่องในชามจะร้อนได้ที่ กินเส้นหมดแล้วเติมข้าวลงไปในน้ำซุปเป็นการปิดท้าย เราแนะนำ Kazan Karamiso เส้นใหญ่เหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูรสเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นแบบเผ็ด กลิ่นหอมและเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ส่วนใครชอบความอลังการอย่าพลาด คะซังสุกี้ยากี้หมู น้ำซุปหวานและกลมกล่อมจากผักและเนื้อหมูสามชั้นที่วางเรียงทรงสูงเหมือนภูเขา รอให้น้ำซุปเดือดปุดแล้วสาวเส้น เข้าปากได้เพลินๆ ปิดท้ายด้วย Chashu Shoyu Ramen ราเมนที่มีทีเด็ดเป็นหมูชาชูชิ้นนุ่มที่ผ่านการตุ๋นในซอสสูตรลับของทางร้านจนฉ่ำจนแทบจะละลายในปาก ส่วนน้ำซุปก็ดีงาม ซดได้จนหยดสุดท้าย

ด่ำดิ่งสู่โลกใต้น้ำที่ Kaijin ร้านโอมากาเสะที่เป็นเหมือนห้องลับในร้าน Vapor หมู่บ้านนิชดาธานีที่คุณตั้ม ณฐกร แจ้งเร็ว เจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเลไทยที่อุดมไปด้วยปลารสชาติดีไม่แพ้ที่อื่น   Kaijin หมายถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ผูกโยงกับคอนเซ็ปต์ร้านที่ว่ามื้อนี้จะได้กินอะไร ปล่อยให้ทะเลเป็นผู้กำหนด วัตถุดิบในแต่ละวันขึ้นจึงอยู่กับปลาที่เจ้าตัวออกเรือไปตกได้และปลาที่ได้จากกลุ่มชาวประมงจากหลายจังหวัดซึ่งคุณตั้มได้ลงถ่ายทอดวิธีปลิดชีพปลาแบบอิเคะจิเมะ ก่อนส่งตรงมาถึงที่ร้าน ผ่านการหมักบ่มแบบที่เจ้าตัวถนัด คอร์สโอมากาเสะปลาไทยของที่นี่จึงน่ามาลองเป็นอย่างยิ่ง ความสนุกของการมาที่นี่คือเรื่องงานดีไซน์ คุณตั้มตั้งใจเซ็ตไลท์ติ้งในร้านให้เหมือนแสงรำไรใต้ท้องทะเล เพดานทำเป็นลวดลายเกลียวคลื่น ส่วนโลโก้ของร้านมาจากศิลปะจากกองทรายที่ปลาปักเป้าสายพันธุ์ฟุกุตัวผู้ใช้เวลา 7 วันค่อยๆ สร้างเพื่อหาคู่และจะโดนน้ำทะเลซัดหายไปในที่สุด เราได้ลอง Sashimi Platter ปลาดิบรวมที่มีทั้งปลาสละเนื้อสีชมพู เด้งสู้ฟัน ข้างๆ กันปลากุเลา เชฟนำมาสะดุ้งด้วยน้ำสต๊อกปลาแห้งเพื่อให้หนังสุกนิดๆ จากนั้นแล่เสิร์ฟโดยเนื้อยังคงความสดอยู่ และปลาอินทรีย์ที่นำไปชิเมะ (ดองด้วยน้ำส้มสายชู) จนได้รสเปรี้ยวสดชื่น จากนั้นนำมาอะบุริหรือเผาที่หนังให้กลิ่นหอม กินคู่เครื่องเคียงอย่างมะระดอง ที่ดองนานกว่า 60 วัน กินแล้วจะเหลือเพียงรสขมบางๆ และโชยุปรุงพิเศษ Ceviche ทางร้านชูวัตถุดิบเป็นปลาช่อนทะเลที่มีเนื้อชมพู กรอบเด้งสู้ฟัน ส่วนน้ำสลัดทำจากน้ำส้มขาวของญี่ปุ่น บ่มไว้ 1 คืนกับหอมหัวใหญ่ที่ผัดจนเป็นสีน้ำตาลเพื่อให้ได้รสอูมามิ จากนั้นปรุงด้วยเกลือ น้ำเลมอน เคียงด้วยมันยามะฮิโมะ มะเขือเทศเชอร์รี่กงฟีต์ และอะโวคาโด้เบิร์นเพิ่มความมัน และชิปส์มันหวาน ส่วนกรานิต้าได้จากน้ำสลัดในจานนั่นเอง ปิดท้ายด้วยหอยมะระตุ๋นเสิร์ฟกับ Risso Pasta (เส้นพาสต้าที่ทำเลียนแบบเม็ดข้าวริซอตโต) เชฟนำริสโซ่ไปผัดกับตับของอาวาบิ (หอยเป๋าฮื้อ) และตับของหอยมะระจนได้ครีมซอสรสเข้มข้นและหอมจรุง ท็อปด้วยหอยตุ๋นสไลซ์บาง เนื้อหอยนุ่มละมุน ได้รสเค็มอ่อนๆ จากอิคุระ

 Kensho Omakase ร้านโอมากาเสะกึ่งอาร์ตแกลเลอรีที่ตั้งอยู่ในโครงการ K Village ซอยสุขุมวิท 26 เป็นการรวมตัวจากกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 7 คน สู่เจ้าของร้านโอมากาเสะสุดเก๋ที่มีแพชชันในการตระเวนหาของอร่อยจนอยากลองเปิดร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Omakase & Gallery Arts เป็นการกินโอมากาเสะที่แตกต่างออกไปจากเดิม เพิ่มเติมคือนั่งชมผลงานภาพวาดแคนวาสที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูอาหารสู่ภาพวาดจนเกือบทำให้น้ำลายสอ บรรยากาศสุดโมเดิร์นดีไซน์มินิมอลสีขาวครีมดูเรียบหรู แฝงด้วยเอกลักษณ์อันสวยงามและน่ารักของญี่ปุ่น มีเคาน์เตอร์บาร์ประดับด้วยกระเป๋าและแจกันจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) วางเรียงกันแบบมีสไตล์ สำหรับเมนูเป็นการผสมผสานระหว่างเอโดะและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ผ่านการรังสรรค์โดยเชฟคนไทยมากฝีมือ บรรจงปรุงในแต่ละคำอย่างประณีตและพิถีพิถัน ตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมียมส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นแบบวันต่อวัน รังสรรค์ออกมาเป็นทั้ง 16 คอร์สเมนู อาทิ Ankimo Toast ตับปลามังก์ฟิชบดจนเนื้อเนียน เสิร์ฟบนโทสต์ขนมปังญี่ปุ่นหอมๆ รสครีมมี่  ต่อด้วย Chutoro แฟนๆ ชูโทโร่ไม่ควรพลาด ส่วนที่ดีที่สุดของปลาทูน่าวางบนข้าวปรุงรส ท็อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิลจากประเทศอิตาลีเกรดสูงสุด ที่เชฟขูดแบบพูนๆ ทั้งกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลและความนุ่มของเนื้อปลาผสมผสานรสชาติเข้ากันได้อย่างลงตัวและ Akami Tsuke ปลาทูน่าเนื้อแดงฉ่ำ หั่นมาเนื้อหนากำลังดี เคลือบด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติหวานและเค็มลงตัว สัมผัสได้ถึงความสดของปลา ซิกเนเจอร์ที่มาแล้วห้ามพลาดที่ต้องสั่งเพิ่มกับ Uni Toast บอกเลยว่าถูกใจสาวกที่ชื่นชอบอุนิ โทสต์ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยเลอยอร์โอโทโร่ย่างสุกเนื้อชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยอุนิบาฟุนและคาเวียร์แบบพูนๆ ซึ่งเกรดอุนิท็อปสุดขนาด 800 กรัม บรรจุในกล่องเรือหรือเกวียนซึ่งจะเห็นได้น้อยในร้านอาหารญี่ปุ่น แสดงถึงความพรีเมียมที่ต้องแย่งชิงจนกว่าจะได้มา เพิ่มความพิเศษด้วยการเสิร์ฟในจานสุดน่ารักจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ปิดท้ายด้วย Yuzu Honey Pearl เครื่องดื่มที่มีลูกเล่นสามารถเปลี่ยนสีได้ รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และมีไข่มุกให้เคี้ยวหนึบๆ

ใครเป็น “ข้าวด้งเลิฟเวอร์” เร่เข้ามาทางนี้ เพราะ Shichi Japanese Restaurant ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมหมายเลข 7 เขารังสรรค์ “Extreme Don Party” ซีรีส์ดงบุริใหม่แกะกล่อง ที่ให้สายฟู้ดลิ้มลองข้าวด้ง 6 หน้าต่างสไตล์ด้วยกัน เสิร์ฟเฉพาะสาขาสยามสแควร์ (ที่เรามา) อารีย์และชิดลมเท่านั้น พร้อมเสพบรรยากาศคึกคักที่เต็มไปด้วยของตกแต่งจากอนิเมะญี่ปุ่นชื่อดังที่มองแล้วเพลินตาดี ชามแรกเราขอลอง Salmon Lava Don ข้าวด้งหน้าแซลมอนเนื้อสดสับละเอียด คลุกเคล้าเกลือสีชมพูและน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ ท็อปด้วยไข่แดงดองออร์แกนิกส์ซอสสึเกะ อิกุระเม็ดใหญ่ และเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยข้าวพองโฮมเมด ตามด้วย Una Chu Ra Don ดงบุริสำหรับคนรักปลา เพราะเป็นการรวมตัวกันของอากามิเนื้อสีชมพูสวย หมักด้วยซอสทงคัตสึ อูนางิได้รสเค็มหวานจากซอสเทอริยากิ และอากามิรสเค็มได้ที่ ตกแต่งด้วยงาขาวหอมๆ และต้นหอมญี่ปุ่น Shichi Don ข้าวด้งที่ดัดแปลงมาจาก Shichi Roll หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน แซลมอนชิ้นพอดีคำเบิร์นไฟให้หอม กินคู่เทมปุระทอดกรอบร้อนจี๋ ราดซอสเทอริยากิ และซอสเมนไทโกะสูตรลับ ตกแต่งด้วยไข่กุ้งพรีเมี่ยมแบบล้นๆ ยังมี Ebi Lava Don ที่โดดเด่นด้วยกุ้งอากะเอบิตัวใหญ่เนื้อสดน่าลิ้มลองเป็นที่สุด เข้าคู่กับอิกุระเม็ดโตๆ และไข่แดงออร์แกนิกส์ดองซอสสึเกะรสเข้มข้น Kaiyo Tem Don ข้าวด้งสุดคุ้มที่ให้คุณเอ็นจอยกับปลาฮามาจิเนื้อนุ่ม แซลมอนเนื้อหวานและเอ็นกาวะ กินกับเทมปุระกรุบกรอบราดซอสเทอริยากิ และไข่โทบิโกะ สุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) เป็น Playground Don ข้าวญี่ปุ่นเนื้อหนึบ กินกับไข่หวานโฮมเมดชิ้นใหญ่ แซลมอนจากดินแดนอาทิตย์อุทัย และอิกุระที่หลายคนชอบ Salmon Martini เส้นแซลมอนเนื้อหวาน จุ่มซอสพอนสึรสเปรี้ยวกลมกล่อม เคล้าความครีมมีของไข่แดงออร์แกนิกส์ เสิร์ฟมาในแก้วค็อกเทลสวยงาม แล้วสั่ง Salmon Party มาปิดท้ายปาร์ตี้รื่นเริงนี้อย่างสมบูรณ์ แคลิฟอร์เนียโรลชิ้นโตๆ ถูกห่อหุ้มด้วยภูเขาไฟแซลมอนเนื้อสด ด้านบนปักไฟเย็นมาอย่างอลังการ ใครเห็นเป็นต้องแชะรูปลงโซเชียลทุกราย

ย้ายจากโลเคชั่นเดิมมาอยู่ที่ The St. Regis Bangkok ได้สักพักแล้วสำหรับ “Sushi KiShin” โอมากาเสะขวัญใจสายฟู้ด ที่ครั้งนี้มาในบรรยากาศเรียบง่าย สงบและเป็นธรรมชาติสไตล์ Wabi-Sabi ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นฝีมือดี ตัวผนังทำจากทรายเนื้อละเอียด ทาด้วยสีที่สกัดจากลูกพลับ เข้ากันกับเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ทโทนที่ครีเอทจากเส้นใยสับปะรด ตอกย้ำแนวคิดวาบิ-ซาบิ ฉบับญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี พร้อมให้คุณลิ้มลองจานอร่อยฝีมือ เชฟซาโตชิ ทีซูรุเช่นเคย เชฟชาวญี่ปุ่นมากประสบการณ์ในวงการอาหารญี่ปุ่นมานานกว่า 14 ปี ซึ่งเคยทำงานเป็นดีเจและนักเต้นที่กรุงนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายมาทำงานที่ร้านซูชิเลื่องชื่อในย่านกินซะ (Ginza) แห่งเมืองโตเกียว สำหรับชื่อร้าน ในภาษาญี่ปุ่น คำว่า Ki (กิ) หมายถึง ปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ รวมกับคำว่า Shin (ชิน) ที่แปลว่า สิ่งใหม่ๆ รวมแล้วจึงเป็น KiShin ‘ความมหัศจรรย์ใหม่ๆ’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวชีวิตในกรุงเทพฯ ของเชฟซาโตชินั่นเอง เริ่มต้นคอร์สกันที่จานเรียกน้ำย่อยสไตล์เย็น Shiro / Ebi Tuna / Zalma Karasumi กุ้งหวานสีขาวสัญชาติญี่ปุ่นสับละเอียด เสิร์ฟเคียงเนื้อทูน่า 2 ส่วน ได้แก่ อะทะมิ (เนื้อส่วนกลางลำตัวไม่มีไขมัน) และชูโทโร่ (เนื้อส่วนใกล้ครีบ) ไข่ปลากระบอกสีเหลือง และข้าวพองโฮมเมดกรุบกรอบ ท็อปด้วยคาเวียร์รสเค็มกลมกล่อมเลอค่า ตามด้วย Ankimo Nimono ตับปลามังค์ฟิช ที่ได้สมญานามบนจานอาหารว่า ‘ฟัวกราส์แห่งท้องทะเล’ ต้มโชยุสูตรลับเฉพาะของทางร้าน ทำให้ได้รสเค็มหวานกลมกล่อม เสิร์ฟคู่วาซาบิสดรสเผ็ดซ่า Hotate / Kuruma Ebi Sunomono หอยเชลล์โฮตาเตะตัวอวบอ้วนเนื้อสด บวกกับกุ้งลายเสือจากดินแดนอาทิตย์อุทัยเนื้อหวาน ราดซอสสูตรลับของเชฟที่ให้รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น โรยหน้าด้วยกลีบดอกไม้หอมกรุ่น มาอุ่นท้องกับซุปร้อนๆ กันบ้าง Amadai Ankage Fukahire ปลากระพงเกล็ดอ่อนทอดอย่างดีจนได้เนื้อฉ่ำใน แต่ผิวนอกกรอบน่าชิม เข้ากันกับซุปหูฉลามร้อนๆ รสนุ่มนวล Kyoho ล้างปากสักหน่อย น้ำองุ่นเคียวโฮรสหวานฉ่ำ มาพร้อมองุ่นเคียวโฮลูกโตๆ เนื้อสัมผัสดี พร้อมให้เราไปต่อกันกับนิกิริซูชิได้อย่างต่อเนื่อง ว่าแล้วก็ประเดิมด้วย Kinmedai คินเมะได (ปลากะพงแดงตาโต) ราชาแห่งท้องทะเลน้ำลึก เนื้อสีขาวให้สัมผัสนุ่มนวล มีรสหวานเล็กน้อย คำนี้ฟินสมที่รอคอยจริงๆ ต่อกันกับ Nodoguro Unidon ข้าวญี่ปุ่นหุงด้วยน้ำส้มสายชูอย่างดี คลุกเคล้ากับอูนิพรีเมี่ยมเกรดประมูล ให้รสเค็มนุ่มนวล กินกับพระเอกของจานอย่าง โนโดกุโระ (ปลากะพงสีชมพู) ที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น ราชาแห่งปลาเนื้อขาวที่สายฟู้ดควรลิ้มลองสักครั้ง  โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสที่นุ่มเนียน มีความหวานเล็กน้อย เต็มไปด้วยไขมันดี Chutoro เนื้อส่วนท้องกลางลำตัวใกล้กับครีบ หรือท้องส่วนหลังของมากุโระ ให้สีชมพูเข้มสวยน่าลิ้มลอง เนื้อแน่นนิดๆ เด้งหน่อยๆ ผสานความนุ่มของไขมัน ทาโชยุโฮมเมดรสชาติดี Kamasu โรลพรีเมี่ยมที่เชฟนำตัวข้าวไปคลุกเคล้ากับงาสามสี และเมียวงะ (ดอกขิงญี่ปุ่น) รสเผ็ดร้อนแรง ด้านบนเป็นคามาสึ (ปลาน้ำดอกไม้) เนื้อหวานแถมยังมีไขมันน้อย ก่อนเสิร์ฟเชฟจะเบิร์นด้วยถ่านยูคาลิปตัส ส่งกลิ่นหอม คำสุดท้ายเป็น Uni ซูชิปั้นสดหน้าอูนิที่สายฟู้ดรอคอย ไข่หอยเม่นหนามสั้นเกรดประมูล ทาด้วยซอสโชยุโฮมเมดรสหวานเค็ม ปิดท้ายด้วยของหวานก็สมบูรณ์

เมื่อ ”ธรรมชาติให้วัตถุดิบ อิชิกะสร้างสรรค์รสชาติ” Ichika Omakase ร้านโอมากาเสะสุดพรีเมียมใจกลางกรุง ที่จะทำให้คุณอิ่มเอมใจกับวัตถุดิบคุณภาพ และการปรุงอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนจนจบคอร์ส ทุกเมนูของอิชิกะรังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่หาได้ยาก อาทิ ถุงสเปิร์มปลาปักเป้า ตับปลามังค์ฟิช หูฉลาม และปลาอินทรีย์ลายจุด ซึ่งคัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุดพร้อมปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาลนั้นๆ แต่สิ่งที่อิชิกะยึดมั่นคือการคงรสชาติของวัตถุดิบเอาไว้ ด้วยกรรมวิธีการปรุงที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อขับเน้นรสชาติและรสสัมผัสออกมาให้ได้มากที่สุด ตามคอนเซ็ปต์ “Culinary Creativity in Full Flavor” สำหรับมื้อนี้มีทั้งหมด 17 คอร์ส ราคา 4,700 บาทต่อหนึ่งที่นั่ง รับรองว่าทุกคนจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของวัตถุดิบแต่ละชนิด และการรังสรรค์แต่ละเมนูโดยเชฟมากฝีมือ เริ่มต้นที่เมนูแนะนำอย่าง Ankimo Nisuke ตับปลามังค์ฟิช (Monk Fish) เป็นตับปลาต้มซีอิ๊ว น้ำซุปหอมกลิ่นสมุนไพร ขิง และซีอิ๊ว รสเค็มนิดๆ มีรสสัมผัสเนียนนุ่ม จนได้รับการขนานนามว่า Foie Gras of The Sea ถัดมาคือ Sawara ซาชิมิปลาอินทรีย์ลายจุดเบิร์นไฟเล็กน้อยก่อนหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีรสสัมผัสนุ่ม ได้รสเปรี้ยวจากพอนสึ และหอมกลิ่นสโมกจากไม้ซากุระ ช่วยเสริมรสได้ดีทีเดียว ต่อด้วย Fugu Shirako ถุงสเปิร์มปลาปักเป้าย่างถ่าน วัตถุดิบชั้นเลิศประจำฤดูใบไม้ผลิ เชฟนำไปย่างบนเตาด้วยไฟอ่อน เพื่อไม่ให้ความครีมมี่ด้านในหายไป พร้อมทาซอสโชยุกลิ่นหอมอบอวล เสิร์ฟบนข้าวปั้นอุ่นๆ มีความนุ่มนวลของรสชาติ แต่ออกเค็มเล็กน้อยจากซอสโชยุ Kurumaebi กุ้งลายเสือไซส์ใหญ่จากทะเลตอนใต้ของญี่ปุ่น เชฟลวกระดับ Medium Rare เสิร์ฟทั้งตัวบนข้าวปั้นที่คลุกมันกุ้งในรูปแบบซูชิ เนื้อกุ้งสดหวานและเด้งสู้ฟัน Fugahirei ซุปหูฉลามเคี่ยวกับกระดูกปลา ผัก และสมุนไพร ปรุงรสด้วยมิรินหรือเหล้าญี่ปุ่นที่ให้ความหวาน เพิ่มรสเค็มด้วยโชยุ ตัดด้วยรสเปรี้ยวจากข้าวญี่ปุ่น อูมามิมาก Toro ส่วนท้องของทูน่า Blufin เชฟทำการ Aging ไว้ 16 วัน เพื่อเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นมาพร้อมรสสัมผัสนุ่มๆ ละลายในปาก เสิร์ฟบนข้าวซูชิที่หมักน้ำส้มสายชูไว้ถึง 7 ปี อร่อยกลมกล่อม ตามด้วย Uni อูนิมุราซากิ เสิร์ฟคำใหญ่แบบไม่หวงของ ได้รสหวานฉ่ำ ฟินไม่น้อย Anago ปลาไหลทะเลส่งตรงจากทะเลญี่ปุ่น เชฟนำไปต้มก่อนเสิร์ฟแบบซูชิ เพิ่มรสชาติด้วยซอสกระดูกปลาไหลต้มซีอิ๊ว เคี่ยวกับขิง กระเทียม ได้รสเค็มๆ หวานๆ กลิ่นหอมเตะจมูก ล้างปากกันด้วย Tamago Yaki หรือไข่หวานที่ไม่มีส่วนผสมของแป้ง เชฟนำไข่ไปบดกับกุ้ง ขึ้นฟูด้วยการตีไข่ขาวอัดเป็นฟองอากาศแทนแป้งก่อนนำไปอบและย่าง ให้เนื้อเด้งนุ่มฟู ได้รสหวานเล็กน้อยจากหญ้าหวาน เป็นเมนูของคาวรองสุดท้ายก่อน Soup กระดูกปลา ปรุงรสด้วยเกลือทรัฟเฟิล อร่อยกลมกล่อม ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยของหวาน เชฟบริการเป็น เมลอน คุมาโมโตะ กับ ชีสเค้ก ฮอกไกโด ประทับใจตั้งแต่เริ่มตลอดจนจบคอร์สเลยทีเดียว สำหรับท่านใดที่สนใจอยากลิ้มรสโอมากาเสะสุดพรีเมียม อิชิกะมีหลากหลายราคาให้เลือกทั้งมื้อกลางวัน 1,700 / 2,700 และ 3,700 บาท ส่วนมื้อค่ำมีให้เลือกตั้งแต่ราคา 3,700 / 4,700 / 6,700 และ 9,700 บาท (ต่อหนึ่งที่นั่ง)

คนรักอาหารญี่ปุ่นเตรียมพบกับ Karamenya Masumoto” ร้านราเมนรุ่นเก๋าแห่งจังหวัดมิยาซากิ  ประเทศญี่ปุ่น ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ปี 1987 และมีเมนูซิกเนเจอร์ที่สายฟู้ดพลาดไม่ได้คือ ‘ราเมนเผ็ด’ สูตรเด็ดประจำร้านซึ่งสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ตามชอบ นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปอีกหลายชนิดที่รสชาติดีไม่แพ้กัน อาทิ ซุปโชยุ ซุปมะเขือเทศ และซุปขาว พร้อมเสิร์ฟแล้วที่ เซ็นทรัล พระราม 9 สาขาแรกในเมืองไทย เรียกน้ำย่อยกันด้วย เกี๊ยวซ่า แป้งบางกริบ ห่อไส้หมูเนื้อแน่น ได้กลิ่นหอมของพริกไทยเล็กน้อย ราดน้ำจิ้มรสเค็มผสานเปรี้ยว ต่อด้วย กระดูกอ่อนหมูตุ๋นมาซึโมโตะ ชิ้นใหญ่ๆ น่ากินเป็นที่สุด ให้เนื้อสัมผัสนุ่มเปื่อยแทบละลายในปาก เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่ให้รสเค็มเผ็ดกำลังดี มาถึงราเมนกันบ้าง ชามแรกเราลองชิม คาระเม็งซุปโชยุ เส้นเล็กโฮมเมดเหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำแกงโชยุรสกลมกล่อม ซึ่งปรุงจากโชยุชั้นดี ผสานกับพริกสัญชาติญี่ปุ่นในระดับความเผ็ดพอเหมาะ แต่หากใครชอบรสเผ็ดร้อนมากขึ้นก็สามารถเพิ่มความเผ็ดได้เช่นกัน คาระเมงซุปขาว ก็น่าสนใจ ตัวน้ำซุปเบสมาจากน้ำนมถั่วเหลือง ได้รสเค็มเล็กๆ จากเกลือโกจิชั้นดี ซู้ดพร้อมเส้นราเมนต้นตำรับ ซึ่งทำจากแป้งสาลีและแป้งโซบะ ให้สัมผัสเหนียวนุ่มกินอร่อย พร้อมหมูชาชูชิ้นใหญ่ๆ คาระเมงซุปมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยวนุ่มนวล ใครชิมเป็นต้องติดใจ ท็อปด้วยชีสครีมมียืดๆ และหมูสับ มหาศาล

เพิ่งครบ 1 ปีไปเมื่อเร็วๆ นี้ No Name Noodle ร้านราเมนไร้ชื่อในซอยสุขุมวิท 26 ที่ติดอันดับร้านจองยาก ด้วยจำนวนชามที่จำกัดเพียง 35 ชามต่อวัน กับที่นั่ง 7 ที่หน้าเคาน์เตอร์และอีก 1 โต๊ะไพรเวต นำโดยเชฟชิน เชฟราเมนมาดเท่ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เพราะอยากให้คนกินโฟกัสไปที่เรื่องรสชาติเป็นอันดับแรก ทางร้านจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเรียงนามมากนัก หัวใจหลักของ No Name คือน้ำซุปรสชาตินุ่มลึกและแปลกใหม่ ไปด้วยกันได้ดีกับเส้นราเมนที่เชฟบรรจงจัดเรียงทีละเส้นอย่างสวยงาม เมนูของทางร้านมีไม่มากแต่ทำทุกชามอย่างพิถีพิถัน เริ่มที่ Hotate and Asari Tenrei Shio Soba ราเมนซุปเกลือรสกลมกล่อมไม่หนักลิ้น ดาชิได้จากสาหร่าย ปลาแห้ง และหอยอาซาริต้มด้วยกัน แนะนำให้ลองชิมแบบออริจินัลก่อน จากนั้นค่อยเติม Duxelles เห็ดลงไปในชาม จะได้น้ำซุปรสชาติใหม่ ตัดเลี่ยนด้วยซอสยูซุแบบข้นเพิ่มกลิ่นรสสดชื่น Kombusui Tsuke Soba เสิร์ฟแยกเป็นชามเส้นและชามน้ำซุป ตัวเส้นแช่อยู่ในน้ำซุปดาชิเย็นที่ทำจากสาหร่ายคอมบุและปลาแห้งคัตสึโอะ เมนูนี้เชฟชินอยากให้ลองชิมเส้นก่อน จากนั้นเหยาะเกลือลงไปเล็กน้อยเพื่อดึงรสชาติของเส้นให้เด่นขึ้น ปิดท้ายด้วยการจุ่มเส้นลงไปในน้ำซุปเข้มข้นจะได้รสที่แตกต่าง ส่วนที่เคาน์เตอร์จะมีน้ำส้มสายชูบ๊วยและน้ำมันพริกไทยญี่ปุ่นไว้ให้ปรุงรสอีกด้วย ปิดท้ายกับเมนูพิเศษ Akkeishi Hokkaido Oyster Kombusui Shio Tsuke Soba ไฮไลต์อยู่ที่หอยนางรม Niboshi 2 รสชาติ ทั้งแบบต้มในน้ำซุปเพื่อให้ได้รสอูมามิ และแบบซูวีดแล้วหมักซอสจนได้ทอปปิงสุดน่ากินในชาม ใครจองไม่ทันไม่ต้องเสียใจ ทางร้านมี Limited Edition Delivery Box ที่ในกล่องจะมีเส้น น้ำซุป และทอปปิ้งให้สั่งไปกินที่บ้านได้เช่นกัน จองผ่าน www.tablecheck.com

เปิดสาขาใหม่ให้คนรักซูชิได้ตามไปเช็คอินอีกแล้วสำหรับ SUSHi PLUS ร้านซูชิสายพานเกรดพรีเมียมที่คราวนี้ทางแบรนด์เลือกมาปักหลักที่ เซ็นทรัล พระราม 3 ตัวร้านกว้างขวางเหมาะกับกลุ่มครอบครัวเช่นเคย ที่มาพร้อมซูชิคุณภาพอันรังสรรค์จากวัตถุดิบจากดินแดนอาทิตย์อุทัย จานอร่อยอาลาคาร์ตต่างๆ และของหวานซิเนเจอร์รสชาติดีไม่แพ้ใคร ต้อนรับด้วย สเต๊กเนื้อลูกเต๋าออสเตรเลีย เนื้อสัญชาติออสเตรเลียนุ่มชุ่มฉ่ำ ย่างอย่างดีให้กลิ่นหอม จิ้มเกลือสีชมพูและกระเทียมทอด หอยเชลล์ย่าง & แซลมอน เหมาะสำหรับคนรักซีฟู้ดอย่างยิ่ง หอยเชลล์เนื้อหวาน และแซลมอนเนื้อสด เบิร์นไฟให้หอม บีบมะนาวซีกเล็กน้อยเข้ากัน เอาใจแซลมอนเลิฟเวอร์ด้วย แซลมอนเบิร์น 4 รส ซูชิแซลมอนคำโตๆ ท็อปด้วยซอสต่างๆ ได้แก่ ซอสสไปซี่ รสเผ็ดกำลังดี และซอสมายองเนสครีมมี โรลแซลมอน ข้าวญี่ปุ่นกินอร่อย โรลด้วยแซลมอนเบิร์ฟไฟและซอสสูตรลับรสกลมกล่อม ตามด้วย มันปูย่าง หอมๆ รสเค็มได้ที่ กินพร้อมปูอัดรสหวาน เมนูนี้ดีงาม ไข่ตุ๋นอิกุระทรัฟเฟิล ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อนุ่มเด้ง เข้ากันดีกับไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม และซอสทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ซดน้ำซุปร้อนๆ ด้วย ซุปมิโซะหอยลาย หอยลายเนื้อเด้ง และแซลมอนหั่นเต๋า อยู่ในน้ำแกงรสนุ่มนวล ชิมได้เพลินๆ ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง บัวลอยงาดำ บัวลอยสอดไส้งาดำหอมมัน รสหวานพอดี ทอดให้ร้อนจี๋ จิ้มนมข้นหวาน และ ชีสเค้ก ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลกรุบกรอบ หอมกลิ่นเนย เข้าปากพร้อมครีมชีสและน้ำตาลเบิร์นไฟ เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาชื่นใจ ประทับใจทุกครั้งที่มาเยือน