Shinsen โฉมใหม่ใจกลางสุขุมวิท สวยจนไม่อาจละสายตา ซึ่งเป็นการรีแบรนด์ Shinsen Fish Market เดิม สู่ Shinsen Alive-Style Dining ที่ยังคงเอกลัษณ์ความสดใหม่ของวัตถุดิบเป็นๆ นำเข้าจากญี่ปุ่น ในบรรยากาศ Japanese Modern ผสมผสานความเรียบง่ายและความอบอุ่นอย่างลงตัว ภายในโปร่งโล่ง เพดานสูง มีพื้นที่รองรับลูกค้า 2 ชั้น ตกแต่งแนวเอิร์ธโทนเน้นวัสดุไม้สีอ่อน มีสเปซให้นั่งผ่อนคลายสบายๆ หลายมุม หรือใครอยากพักสายตาชมลีลาการปรุงอาหารของเชฟผ่านครัวเปิดอย่างใกล้ชิดก็สามารถนั่งรอบเคาน์เตอร์ได้ มีทั้ง Sushi Bar, Teppanyaki Bar และ Cocktail Bar รวมถึง Live Tank ด้านหน้าที่ดึงดูดความสนใจด้วยเหล่าซีฟู้ดนานาชนิดทำให้ต้องแวะเวียนไปชมและถ่ายรูป โดยเฉพาะปูทาระบะตัวเป็นๆ ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย หากเป็นมื้อที่ต้องการความเป็นส่วนตัวที่นี่ยังมีไพรเวทรูมไว้รองรับถึง 4 ห้อง แต่ละห้องอบอวลด้วยกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น ช่วยเสริมรสชาติอาหารแต่ละจานให้เหมือนนั่งรับประทานอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ เมนูแรกที่ควรลิ้มลองเพราะเป็นดั่งลายเซ็นต์ของร้าน Live Taraba ปูทาระบะนึ่งสดๆ ทันทีที่สั่งจึงยังคงรสชาติหวานฉ่ำตามธรรมชาติ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติจัดจ้าน ส่วนมันปูทาระบะยังนำไปทำเมนูอื่นๆ ได้อีก อาทิ ข้าวผัดมันปูทาระบะในหม้อหินร้อน เมนูนี้พนักงานจะมาผัดให้ที่โต๊ะ กลิ่นหอมฟุ้งเพิ่มอรรถรสในการกินยิ่งขึ้น ส่วนรสชาติไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากลมกล่อมไร้ที่ติ Ezo Awabi Teppanyaki with Awabi Kimo Rice หอยเป๋าฮื้อกระทะร้อน เสิร์ฟพร้อมข้าวผัดซอสตับเป๋าฮื้อ เมล็ดข้าวหนึบๆ ซึมซับน้ำซอสเต็มที่ กินกับหอยเป๋าฮื้อและผักกริลล์หอมๆ ยกให้เป็นที่สุดของความลงตัว อีกเมนูห้ามพลาด Nijo Sashimi Set รวมปลาดิบยอดนิยมกว่า 15 ชนิดในเซ็ตเดียว แต่ละชิ้นหั่นมาให้ชิ้นโตๆ ระดับความสดให้คะแนนเต็มที่ไม่มีกั๊ก แต่ถ้าอยากกินทุกอย่างในคำเดียวสั่ง Shinsen Kobore รวมวัตถุดิบ 10 ชนิด อาทิ Hon Maguro, Salmon, Hamachi, Kani, Uni, Kanimiso การันตีครบเครื่องเต็มคำ สนุกกันต่อกับ Yukke DIY เมนูที่เปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมด้วยการมิกซ์แอนด์แมทช์รสชาติได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ซอส และท็อปปิ้ง เสิร์ฟในสไตล์เบนโตะ เก๋ๆ น่ารักๆ ก่อนปิดท้ายด้วย Tofu Blancmange พุ้ดดิ้งเต้าหู้ เสิร์ฟพร้อมผงถั่วคินาโกะและน้ำเชื่อมคุโรมิสึ ทั้งเข้มข้นและหอมหวาน ล้างปากได้แบบสดชื่น   ทั้งหมดนี้ควรค่าต่อการบอกต่อที่สุด!

ประเทศไทยกำลังกลายเป็นสวรรค์เล็กๆ ของคนชอบกินราเมน เพราะมีร้านราเมนที่มีเอกลักษณ์และความหลากหลายทยอยเปิดตัวให้เราได้ลิ้มลองมากมาย แต่ถ้าพูดถึงร้านราเมนที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ในบ้านเราย่อมไม่พ้น No Name Noodle ร้านราเมนคราฟต์ที่ใส่ใจรายละเอียดในทุกชาม สร้างปรากฏการณ์ร้านราเมนที่เข้าสู่ทำเนียบมิชลินไกด์ประเทศไทยเป็นครั้งแรก และผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ เชฟชิน ผู้มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับราเมนของเขา และล่าสุดกับการเปิดร้าน tsukesoba SENSE ร้านแห่งใหม่ที่จะเสิร์ฟราเมนเย็นให้คนกินได้เอร็ดอร่อยและสนุกสนานไปกับ “เส้น” และ “น้ำซุป” ในรูปแบบของการจุ่ม ตัวร้านตั้งอยู่ในย่านสีลมศูนย์กลางของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่ชั้น 2 อาคาร Park Silom คำว่า Sense เชฟชินเล่าว่ามาจาก 3 ความหมายด้วยกัน ความหมายแรกคือคำว่า Sensu ในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่าพัด สื่อว่าต้องการมอบความเย็นสบายให้กับผู้ที่มากินให้ผ่อนคลายหลังการทำงาน อีกอย่างคือพ้องเสียงกับคำว่า “เส้น” ซึ่งเป็นหัวใจของร้านแห่งนี้ และสุดท้ายคือ 5 Senses ที่เชฟชินอยากให้คนกินใช้ทุกสัมผัสรับรู้ลิ้มรสชาติราเมนชามนี้ เชฟชินเล่าถึง No Name Noodle ซึ่งเดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว โดยในแต่ละปีได้นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ให้แขกได้ลิ้มลอง โดยในปีแรกได้นำเสนอเรื่องของ “เกลือและโชยุ” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงของซอสหลักที่ใช้ในการทำราเมน พอมาถึงปีที่ 2 ทางร้านนำเสนอ “ดาชิและอูมามิ” ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่มอบความอร่อยให้แก่น้ำซุป และเมื่อถึงปีที่ 3 นี้ เชฟชินต้องการนำเสนอในเรื่องของ “แป้งสาลีและน้ำ” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของเส้นนั่นเอง ร้านแห่งนี้จึงนำเสนอราเมนในรูปแบบของ “สึเคเมน” (Tsukemen) หรือราเมนเย็นกินแบบจุ่มเส้นในน้ำซุปร้อนๆ ซึ่งเป็นรูปแบบการกินที่จะทำให้คนกินสัมผัสความอร่อยของเส้น ซึ่งทำจากแป้งสาลีนำเข้าจากฮอกโดและน้ำได้มากที่สุด ด้านซุปมี 5 แบบคือ Shoyu (ซุปโชยุ) Shio (ซุปเกลือ) NokoGyokai (ซุปทงคตทสึเข้มข้น) Kara Miso (ซุปมิโสะรสเผ็ด) และซุปวีแกน โดยลูกค้าสามารถเลือกได้เป็นเซ็ต ในเซ็ตหนึ่งจะมาพร้อมน้ำซุป 2 แบบคือ Shoyu, Kara Miso และ Shio, NokoGyokai ใครที่ยังไม่เคยกินสึเคเมนมาก่อน ทางร้านแนะนำวิธีกินไว้ดังนี้ เริ่มจากชิมเส้นราเมงเปล่าๆ ก่อน เพื่อรับรูปรสชาติและสัมผัสของเส้น โรยเกลือหรือบีบเลมอนลงบนเส้น แล้วลองกินดูอีกที จุ่มเส้นลงในซุปประมาณครึ่งหนึ่งแล้วลิ้มลองรสชาติ โดยให้เลือกชิมจากซุปน้ำใสก่อน จึงค่อยขยับไปชิมซุปน้ำข้น เมื่อกินเส้นหมดแล้ว สามารถเติมดาชิในชามลงในซุปที่เหลือเพื่อดื่มได้ สึเคเมนมาพร้อมไข่ต้มยางมะตูมรสเค็มอ่อนๆ และเครื่องเคียงในเซ็ตประกอบด้วยหน่อไม้ดองชิ้นโตเคี้ยวนุ่ม หมูชาชูและเลมอน และผักเคียง บรรยากาศที่ร้านตกแต่งร่มสีแดงน่ารักเหมือนร้านน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่นที่เชฟชินชอบ มีทั้งที่นั่งแบบเคาน์เตอร์และแบบโต๊ะให้เลือก ใครอยากชิมก็มาได้เลยตั้งแต่ 10:00น. ที่ร้านแห่งนี้เชฟเอบิโซะและเชฟนามิจะเป็นคนดูแลความอร่อยของทุกชามให้เอง

มารันวงการซูชิสายพานให้กลับมาร้อนแรงจริงๆ สำหรับ “Katsu Midori Thailand” ร้านซูชิสายพานเบอร์ 1 จากกรุงโตเกียวมาเปิดสาขาแรกในเมืองไทยแล้วที่ชั้น 3 โซน Japan Avenue Zone ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตัวร้านกว้างขวางมีพื้นที่ถึง 700 ตารางเมตร สามารถรองรับลูกได้ 248 ที่นั่ง มีทั้งเคาน์เตอร์บาร์สำหรับอร่อยคนเดียว และโต๊ะหมู่แนวแฟมิลี่ มาที่นี่คุณจะได้ลิ้มลองซูชิปั้นสดจากทีมเชฟคนเก่งที่ทำวัตถุดิบชั้นดีมาจากตลาดปลาญี่ปุ่น โดยลูกค้าสามารถหยิบบนสายพานหรือสั่งผ่าน Tablet ก็ย่อมได้ นอกจากนี้ที่ร้านยังมีซูชิเซ็ตสำหรับใครที่ต้องการอร่อยในทีเดียว หรือจะเป็นเครื่องปรุง หรือซูชิในรูปแบบ Take – Away สำหรับฝากคนที่บ้าน ที่เริ่มต้นในราคาน่ารักๆ 40 – 180 บาทเท่านั้น ความพิเศษยังไม่หมดแค่นี้เพราะร้านคัตสึมิโดริ ยังมีช่วง ‘นาทีทอง’ ถือเป็นไฮไลท์สำคัญที่เชฟจะครีเอทเมนูและขายในราคาพิเศษ เรียกได้ว่าตรงตามคอนเซ็ปต์ ‘มุ่งมั่นให้ลูกค้าได้ลิ้มรสซูชิสดใหม่คุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม พร้อมบริการที่ยอดเยี่ยมเพื่อสร้างความประทับใจ’ ที่ทางร้านยึดมั่นตลอดมา ซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาดคือ แซลมอนจังจังยากิ ซูชิแซลมอนเบิร์นไฟร้อนฉ่า ราดซอสรสเค็มหวานที่ทำจากมิโซะ สาเก และโชยุ ตามด้วย มากุโระเทมากิ มากุโระเนื้อฉ่ำที่หลายคนเลิฟ กินกับซอสสูตรเฉพาะก็รสชาติดี อูนิกุงกัง ซูชิไข่หอยเม่นรสหวานวล คำโตๆ ตามด้วย จังโกะ หรือทาโกะจัง ซูชิปลาหมึกเนื้อหนึบตัวอวบ อาบซอสรสหวาน แซลมอนซาชิมิ เสิร์ฟมาบนเรือน่าลิ้มลองเป็นที่สุด แซลมอนเนื้อสดฉ่ำ โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม ต่อกันกับ โทโร่โทโร่ซางกะ หรือโทโร 3 อย่าง ให้คุณได้อร่อยกับปลาทูน่า 3 ส่วนในจานเดียวกัน ทั้งอากามิ ชูโทโร และโอโทโร ไฮไลต์อีกจานที่ห้ามพลาด อิกุระหน้าล้น ที่เชฟหรือพนักงานจะมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ บอกเลยว่างานนี้โดนใจคนรักไข่ปลาแซลมอนแน่นอน เพราะทางร้านเล่นเทหมดน่าตัก โฮตาเตะยากิซางกะ ซูชิหอยเชลล์โฮตาเตะตัวอ้วนเนื้อหวาน ราดซอส 3 สไตล์ อร่อยกันคนละแบบ อาบุริโทโร่ซาบะ ปลาซะบะดองอย่างดีจนได้รสเค็มนุ่มนวล ปราศจากกลิ่นคาว ทีเด็ดอีกจานต้อง กุ้งหวานจัมโบ้ กุ้งตัวใหญ่เนื้อเด้งฉ่ำ เห็นแล้วน้ำลายสอมาแต่ไกล หอยนางรมชุบเกล็ดขนมปังทอด หอยนางรมตัวใหญ่ ชุบแป้งบางๆ ทอดร้อนจี๋ กินกับมายองเนสครีมมี ปลาซาบะไดเมียว ซูชิปลาซาบะเสิร์ฟคู่กับตับปลารสเค็มมัน กินเพลินดีเหมือนกัน อกเป็ด เมนูอร่อยม้ามืดจริงๆ อกเป็ดเนื้อใหญ่ชิ้นโตๆ ราดด้วยซอสเทอริยากิรสหวานฉ่ำ ซูชิไข่กุ้ง เรียบง่ายแต่ได้ใจ ไข่กุ้งเคี้ยวเพลิน ผสมกับมายองเนสรสหอมมัน ของหวานเราแนะนำ เนโกะพุดดิ้ง พุดดิ้งแมวสุดน่ารัก เนื้อเด้งดึ้งรสหวานมันพอดี กินกับซอสเบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวาน หรือจะเป็น Original Pudding พุดดิ้งไข่แสนอร่อย ได้รสหวานมันเต็มพิกัด (ถูกใจเด็กอ้วน) โมจิหยดน้ำถั่วแดง ขนมหวานคลาสสิกของประเทศญี่ปุ่น โมจิหยดน้ำเนื้อนุ่มเด้ง ไปด้วยกันได้ดีกับถั่วแดงกวนหวานนุ่มนวล เครื่องดื่มแน่นอนว่าต้องเป็น ชาเขียวร้อน ที่เราสามารถชงเองได้เลย หรือใครจะเลือกเป็น Soft Drink ก็ย่อมได้ สมใจเลยหล่ะคราวนี้

ในหมู่นักชิมเขารู้ว่าโครงการ One Bangkok เต็มไปด้วยร้านอร่อย และหนึ่งในนั้นก็คือ “Hachicken Kyoto Ramen” ร้านราเมนรุ่นเก๋าที่เปิดมานานกว่า 50 ปีแห่งกรุงโตเกียว โดดเด่นด้วยน้ำซุปที่ทางร้านจะเคี่ยวด้วยกระดูกไก่และเป็ดจนได้รสกลมกล่อม เข้าคู่กับเส้นราเมนโฮมเมด แถมมาในราคาที่น่ารักถูกใจหนุ่มสาวชาวออฟฟิส จึงไม่แปลกที่ Hachicken Kyoto Ramen และเปิดสาขา One Bangkok (ชั้น ​B1) เป็นสาขาที่ 3 แล้ว เมนูแรกที่ลองเป็น ยูซุชิโอะราเมนไก่ โดดเด่นด้วยรสเค็มพอเหมาะของน้ำซุปไก่ หอมกลิ่มยูซุสดชื่น ซู้ดพร้อมเส้นราเมนโฮมเมดที่ใครชิมต่างก็ติดใจ ตามด้วย โชยุราเมนเป็ด เส้นราเมนโฮมเมดเหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำแกงรสเค็มกลมกล่อม ท็อปด้วยไข่ต้มโชยุอิ่มเอม และเป็ดเนื้อนุ่มฉ่ำ ชามนี้เป็น มิโซะราเมนเป็ด บอกเลยว่าคนรักซุปมิโซะต้องเลิฟแน่ๆ เพราะชามนี้ได้ความเข้มข้นของซุปเป็ดมิ๊กซ์มิโซะชั้นดี กินพร้อมเส้นราเมนนุ่มหนึบ และเนื้อเป็ดที่เรารัก ยังมี ข้าวหน้าไก่ชาบู เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับสายฟู้ด ข้าวญี่ปุ่นเรียงเม็ดสวยเนื้อนุ่ม เข้ากันดีกับไก่เทอริยากิรสหวานฉ่ำ เพิ่มรสกลมกล่อมหอมๆ ด้วยซุปดาชิ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มชื่นใจอย่าง ชาเขียวเย็น คลาสสิก และ มะนาวโซดา รสเปรี้ยวซ่าสดชื่น คนรักราเมนปักหมุดไว้เลย

คนรักอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะซูชิ ต้องมาลอง “Genki Sushi” ร้านซูชิสายพานที่เสิร์ฟมาบนขบวนรถไฟจากดินแดนอาทิตย์อุทัยมาปักหมุดแล้วที่ CentralwOrld ชั้น 5 ตัวร้านสีเหลืองสดใสโดดเด่นมาแต่ไกล ภายในร้านมีทั้งโต๊ะใหญ่สไตล์ครอบครัว และเคาน์เตอร์บาร์เผื่อใครที่อยากมากินคนเดียว แน่นอนว่าความโดดเด่นของเกนกิ ซูชิ อยู่ที่การปั้นซูซิสดใหม่ แล้วใช้ Kousoku Train หรือรถไฟความเร็วสูงมาเสิร์ฟความอร่อยถึงที่ ทางร้านมีหลากหลายเมนูให้เลือกลิ้มลองกว่า 130 รายการ ทั้ง ซูชิ มากิ เทมากิซูชิ ซาซิมิ ของกินเล่น ซุป อุด้ง ราเมน และของหวาน เรียกว่าอร่อยครบจบในร้านเดียว เราเริ่มต้นแบบเบาๆ ก่อนด้วย ทรีโอซาซิมิ เซ็ตซาซิมิสดหวานฉ่ำที่หลายคนชอบ ประกอบด้วย แซลมอนสดหวาน หอยปีกนกเคี้ยวกรุบกินเพลิน และหอยโฮตาเตะ หรือหอยเชลล์ญี่ปุ่นตัวอวบอ้วนละมุนลิ้น ตามด้วย ฮามาจิ ซาซิมิ ปลาฮามาจิหั่นชิ้นหนาเนื้อนุ่ม สดอร่อยมาก ถ้าชอบรสที่จัดจ้านสไตล์ไทย สไปซี่ไทยโฮตาเตะ หอยเชลล์ญี่ปุ่นเนื้อหวานนำมาคลุกเคล้ากับน้ำยำสไตล์ไทยแซ่บๆ อร่อยเข้ากัน และขอเปิดไลน์ซูชิด้วย ซูชิแซลมอน ที่ไม่ธรรมดาเพราะมาแบบยาววววววว เนื้อแซลมอนสดชิ้นยาวจุใจคนรักแซลมอนเป็นที่สุด หรือจะเป็น เมนไทโกะแซลมอนฮามะซูชิ แซลมอนเบิร์นไฟแสนอร่อย เคล้าซอสเมนไทโกะรสเค็มกลมกล่อม ขาดไม่ได้กับ ซูชิกุ้งหวาน กุ้งอามะเอบิเนื้อหวานฉ่ำสมชื่อวางมาบนข้าวข้าวญี่ปุ่นขนาดพอดีคำ หรือ อิกุระซูชิ สำหรับคนที่ชอบรสเค็มแตกโพล๊ะในปากของไข่ปลาแซลมอน ห่อด้วยสาหร่ายโนริ ใครที่ชอบลองอะไรแปลกใหม่ แนะนำ อูนางิทามาโกะอิมาริกุงกัง ซูชิคำใหญ่ๆ ที่ใช้ฟองเต้าหู้เป็นฐาน สอดไส้ด้วยปลาไหลญี่ปุ่นย่างซอสเนื้อชุ่มฉ่ำและไข่หวานเข้ากัน คำนี้ต้องถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตามด้วย ซูชิมากุโระ ปลาทูน่าเนื้อละเมียดละไมอร่อยถูกใจสายฟู้ด กินกี่คำก็ไม่เบื่อ ไปกันต่อกับ ซูชิอุนางิ รสหวานหอมของซอสที่อาบบนปลาไหลเนื้อนุ่ม ทำให้ใครๆ ก็ติดใจ ตัดรสกลับมาที่ สไปซี่มากุโระซูชิ เนื้อปลามากุโระหั่นเต๋าคลุกเคล้าน้ำยำสไตล์ญี่ปุ่น รสจัดจ้านพอเหมาะ ใครชอบเมนูคอมฟอร์ดฟู้ดต้องลอง มันฝรั่งทอด ร้อนๆ สีเหลืองทอง กินกี่ครั้งก็อร่อย ส่วนสายเส้นต้องเติมความอบอุ่นด้วย อุด้งเทมปุระ เส้นอุด้งเนื้อหนึบในน้ำซุปร้อนๆ รสกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมเทมปุระกุ้งทอด และแล้วก็ได้เวลากับของหวานแสนอร่อย ตัวแรกที่ห้ามพลาดคือ ชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น ชีสเค้กเนื้อนุ่มรสหวานมัน ตามด้วย ไดฟุกุ ของหวานสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อแป้งหนึบหนับสอดไส้ครีมสตรอว์เบอร์รีเนื้อปุกปุย โดรายากิ ก็น่าสนใจ แป้งโดรายากินเนื้อฟูๆ กัดพร้อมครีมรสมัตฉะหอมกรุ่น และถั่วแดงกวนรสหวานพอดี จิบคู่ ชาเขียวร้อน รสนุ่ม คล่องคอเป็นที่สุด มาให้รถไฟขบวนนี้เสิร์ฟความอร่อยกันได้ ฟินทุกคำของแท้

โนบุ กรุงเทพฯ (Nobu Bangkok) ร้านโนบุที่อยู่สูงที่สุดในโลก เปิดประตูต้อนรับนักชิมแล้ว ด้วยอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมผสานกับกลิ่นอายเปรูอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเชฟโนบุ มัตซึฮิสะ (Nobu Matsuhisa) ในบรรยากาศอันหรูหราตระการตาที่มาพร้อมวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ แบบไร้สิ่งใดมากางกั้น ให้บริการในยามเย็นและตลอดค่ำคืน ณ ชั้น 57, 58 และชั้นดาดฟ้าของ EA Rooftop at The Empire โนบุ กรุงเทพฯ ได้รับการออกแบบอย่างงดงามโดยทีมงานจาก Rockwell Group ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์และธรรมชาติของกรุงเทพฯ ได้แก่ เมือง แม่น้ำ และภูเขา มีพื้นที่ให้บริการทั้งในร่มและกลางแจ้งอันหรูหรา อาทิ โซนเลานจ์ วิสกี้บาร์ ซูชิบาร์ รวมทั้งไพรเวตรูม ขณะที่พื้นที่ Outdoor มีรูฟท็อปบาร์บนดาดฟ้าของ ดิ เอ็มไพร์ ที่โดดเด่นตระการตาด้วยทิวทัศน์กรุงเทพฯ และไม่ว่าดื่มด่ำ ณ จุดไหนของร้านก็สามารถชมความงดงามได้เต็มอิ่ม   สำหรับความอร่อยตามตำรับของเชฟโนบุ มัตสึฮิสะนั้นถ่ายทอดโดยเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟมากฝีมือ แอนดรูว์ โบโซกิ (Andrew Bozoki) ซึ่งเคยสร้างความประทับใจให้กับแขกที่โนบุ โดฮา และเชฟซูชิชื่อดัง มาซามิ โออูจิ (Masami Ouchi) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แสดงฝีไม้ลายมือร่วมกับโนบุในลิมาและกัวลาลัมเปอร์ ส่วนขนมหวานปิดมื้อเป็นฝีมือเชฟขนมหวานมากความสามารถอย่างเชฟแจ็คกี้ เถา (Jackie Teo) เริ่มต้นความอร่อยด้วย ทาโก้สูตรเฉพาะของเชฟโนบุ Tuna Dry Miso และ Beef Spicy Ponzu สองความอร่อยที่กระตุ้นต่อมหิวจนหยุดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทาโก้ทูน่าสดคลุกเคล้ากับมิโซะจนเข้าเนื้อ หรือเนื้อหั่นเต๋าผัดซอสพอนสึสไปซี่เสิร์ฟในแผ่นทาโก้ Cold Dishes แนะนำ Yellowtail Jalapeno สุดอร่อย ซาซิมิปลาฮามาจิสไลซ์บาง วางมาในซอสโชยุซิตรัสแบบญี่ปุ่น ตกแต่งด้วยพริกจาลาปิโน ได้รสหวานของเนื้อปลาสดผสานรสเค็มกลมกล่อมของโชยุ ตามด้วย Crispy Rice with Spicy Tuna ข้าวปั้นทอดทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเสิร์ฟพร้อมทูน่าสไปซี่ แนะนำให้หยิบข้าวปั้นจิ้มซอสโชยุแล้วตักทูน่าสไปซี่วาง กินพร้อมกันในหนึ่งคำ รับรองชิ้นเดียวไม่พอ Baby Spinach Salad Dry Miso with Shrimp สลัดผักโขมใบอ่อนและกุ้งย่างมิโซะ ถือเป็นจานสลัดที่กินเคียงกับเมนูจานร้อนได้ดี Hot Dishes แนะนำ Black Cod Butter Lettuce เนื้อปลาคอดย่างซอสได้รสหวานนำเสิร์ฟบนผักสลัดเลตทิซตัดรสด้วยซอสพริก Soft Shell Crab Tempura Amazu Ponzu เทมปุระปูนิ่มทอดกรอบเสิร์ฟมาบนชิ้นแตงโมราดซอสอะมาสึพอนสึ กินพร้อมกันได้ความฉ่ำของแตงโมและความกรอบของเทมปุระที่ผสานรสอมเปรี้ยวของพอนสึ อร่อยเข้ากัน Scallop and Foie Gras Vanilla Den Miso หอยเชลล์และฟัวกราสย่างราดซอสมิโซะรสหวานหอมวานิลลา จานนี้คนรักฟัวกราสต้องประทับใจ Beef Anticucho เนื้อวากิวย่างใบโอบะเสิร์ฟในระดับความสุกมีเดียมแรร์ เชฟสไลซ์เนื้อชิ้นหนากำลังดี ใครชอบความนุ่มเนื้อฉ่ำด้วยริ้วไขมันแทรกต้องไม่พลาด แล้วปิดท้ายอาหารคาวด้วย Chef’s Sushi Selection ที่อร่อยทุกคำ รับประกันความอิ่มฟิน จบมื้อด้วยของหวานสุดอร่อยฝีมือเชฟแจ็คกี้ เถา แนะนำ Japanese Strawberry Cake เค้กหน้าสตรอว์เบอร์รี่สดกินพร้อมไอศกรีมเบอร์รี่เปรี้ยวสดชื่น Chocolate Bento เค้กช็อกโกแลตเสิร์ฟมาในกล่องเบนโตะพร้อมไอศกรีมก้อนโต และ Caramel Miso Popcorn ป๊อบคอร์นรสหวานหอมคาราเมลมิโซะ แนะนำให้สั่งสาเกโฮมเมดจากโนบุมาดื่มคู่อาหาร หรือหากชอบค็อกเทลหรือม็อกเทลก็มีลิสต์รายการมากมายให้เลือกจุใจ

ฮาชิริ (Hashiri) ห้องอาหารญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์นห้องใหม่บนชั้น 3 ของโรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก​, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล โดย เชฟอัลวิน ชูว์ (Alvin Chew) ที่ผ่านการทำงานร่วมกับเชฟในร้านมิชลินสตาร์มาแล้วมากมาย พร้อมแล้วที่จะพาคนรักอาหารญี่ปุ่นไปลิ้มรสความสดใหม่ของวัตถุดิบ เหมือนกับชื่อห้องอาหารที่หมายถึง ‘การเก็บเกี่ยวครั้งแรก’ หรือ ‘การจับปลาในช่วงแรกของฤดูกาล’ ในบรรยากาศคึกคักสนุกสนาน ไม่ขึงขังจนนั่งเกร็ง เพราะห้องครัวของห้องอาหารเป็นครัวเปิด เราจึงสนุกกับการได้เห็นเชฟจัดเตรียมเมนู ตามมาด้วยการโชว์เทคนิคการทำอาหารแบบเฉพาะตัว เมนูเด่นของที่นี่คือ Beef Cheek & Foie Gras Donabe ข้าวอบโดนาเบะเนื้อแก้มวัวตุ๋นและฟัวส์กราส์ ข้าวอบหม้อดินแบบดั้งเดิม เชฟตุ๋นแก้มวัวในไวน์แดง ผสมซอสถั่วเหลือง และเครื่องเทศนานถึง 36 ชั่วโมงจนนุ่มละลาย มาพร้อมฟัวกราส์ที่นุ่มไม่แพ้กัน ส่วนข้าวใช้ข้าวโคชิฮิคาริ (Koshihikari) ที่มีกลิ่นหอมและความกรุบเบาๆ เราไม่อยากให้พลาด Oyster Donabe ข้าวอบโดนาเบะหอยนางรม นอกจากหอยนางรมจะตัวอวบเต็มคำแล้ว เมื่ออบกับข้าวเราจะได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวอยู่ด้วย อีกเมนูที่กินแล้วสนุกมากคือ Ankimo ที่ได้จากตับของปลาอังโกะ เชฟนำมานึ่งและปรุงรส เสิร์ฟเย็นให้กินกับโมนากะ (ขนมกรอบทำจากแป้งโมจิ) ด้านบนเป็นแตงโมหั่นเต๋า ผักดองนาราซึเกะที่เป็นผักดองของเมืองนารา ดอกไม้กินได้ และใบชิโซะ กลายเป็นไอศกรีมอังกิโมะที่เต็มไปด้วยความหอมนุ่ม ละมุน แต่มีรสสดชื่นของแตงโมและผักดองมาตัดกัน นอกจากนี้ยังมี Wagyu A4 Picanha ,Grilled Tako, Wagyu Sukiyaki, Hotate & Crab Maki Roll และ Wagyu & Foie Gras Roll และเมนูอื่นๆ ที่เชฟอัลวินรอให้ทุกคนมาลิ้มลอง

หากคุณเป็นแฟนคลับอาหารญี่ปุ่นบอกเลยว่าต้องไปเยือน “Shakarich Surawong” ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่บนถนนสุรวงศ์ (Bts ศาลาแดง) โดดเด่นด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบเลอค่าจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ที่ส่งตรงจากตลาดปลาโทโยสุแห่งกรุงโตเกียว (ทุกวันอังคารและวันศุกร์) ผ่านฝีมือเชฟเรียว ฟุกุคาวะ (Ryo Fukukawa) เชฟหนุ่มชาวญี่ปุ่น ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การทำอาหารจากโรงแรมชั้นนำแห่งเมืองโอซาก้ากว่า 15 ปี ทีเด็ดของเชฟเรียวคือจะใช้การปรุงอาหารสไตล์ ‘วะโชกุ (Washoku)’ ที่สืบทอดกันมายาวนานกว่าพันปี อันประกอบด้วย 4 คุณสมบัติ ได้แก่ ‘วัตถุดิบ’ เลอค่าตามฤดูกาลและท้องถิ่นนั้นๆ ‘การปรุง’ ที่ต้องพิถีพิถันทั้งเรื่องกรรมวิธี การเลือกใช้อุปกรณ์ รวมไปถึงการรังสรรค์น้ำซุป ซึ่งนับได้ว่าเป็นเบสของความอร่อยในหลายๆ เมนู ข้อสามคือ ‘สารอาหาร’ ที่ต้องครบถ้วนทั้งโปรตีน วิตามินและเกลือแร่จากผักและผลไม้ แต่ต้องให้แคลอรี่ต่ำ สุดท้ายคือ ‘การให้บริการด้วยความเอาใจใส่’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของคนเป็นเชฟที่ขาดไม่ได้ เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศส่วนตัวด้วยห้องไพรเวทกว่า 15 ห้องที่ตกแต่งในแบบฉบับญี่ปุ่นแต่ก็ต่างสไตล์กันออกไป ทั้งห้องแบบดั้งเดิมที่รองด้วยเสื่อทาทามิ ไปจนถึงห้องสไตล์โมเดิร์น ที่ยังให้ไวบ์อบอุ่นด้วยแสงไฟสีส้มนวล สายฟู้ดคนไหนอยากลิ้มลองต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นนะ อุ่นเครื่องกันก่อนกับคาราวานนิกิริ ที่เชฟใช้ ‘ฮงมากุโระ’ จากจังหวัดนางาซากิ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและหายากจนได้สมญานามว่า ‘เพรชสีดำ’ มีจุดเด่นที่เนื้อสัมผัสจะแน่นและเลียดกว่าปลาทูน่าญี่ปุ่นทั่วไป ซึ่งวันนี้เราได้ชิม Akami ส่วนเนื้อแดงของปลาทูน่าที่มีความนุ่มแน่น หล่ายคนชอบ Chutoro เพราะความนุ่มละลายในปากของเนื้อส่วนครีบ บริเวณท้องส่วนหลัง Otoro เนื้อส่วนหน้าท้องสุดฟินของโอโทโร่นั่นเอง ตามด้วย Nibble จานเรียกน้ำย่อยที่คุณสามารถเลือกลิ้มลองได้ 1 อย่าง ได้แก่ ป๋วยเล้งคลุกน้ำมันงา (อร่อยเกินคาด) มันบดเบคอน ปลาหมึกวาซาบิ ที่หลายคนคุ้นเคย ผักดองโฮมเมด และหัวไชเท้ากับไข่ปลาแซลมอน Seafood Eagg Custard ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อนุ่มเด้ง ที่เชฟใช้ไข่ไก่ผสมกับน้ำสต็อกปลาแห้ง และเหล่าซีฟู้ดสดเด้ง ซึ่งทำให้ได้รสหวานกลมกล่อม ท็อปด้วยอูนิคำใหญ่ๆ ที่ส่งตรงมาจากเกาะฮอกไกโดและไข่ปลาแซลมอน Special Assorted Sashimi เซ็ตปลาดิบอลังการงานสร้าง ที่ประกอบด้วย ปลากระพงแดงญี่ปุ่น เนื้อหวาน ปลาทูน่าส่วนต่างๆ แซลมอน ปลาฮามาจิ เนื้อนุ่มกินอร่อย ปลาคินเมไดหรือปลากะพงแดงตาโต หอยเชลล์โฮตาเตะ ตัวอวบๆ กุ้งลายเสือ เนื้อเด้ง เข้ากันกับวาซาบิดองโฮมเมดรสกลมกล่อม และโชยุสูตรเด็ดของเชฟ ไปต่อกันที่ Omakase Seafood Roll ซูชิโรลที่เปลี่ยนจากข้าวญี่ปุ่นมาเป็นปลาสัญชาติญี่ปุ่นนานาชนิด อาทิ ปลาสีกุน ปลากระพงแดง แซลมอน ปลาหางเหลือง หอยเชลล์ ส่วนอาคามิและชูโทโรของปลาทูน่า ก่อนเสริมรสเค็มด้วยอิคุระลูกเต่งๆ จากเกาะฮอกไกโด สายเนื้อต้องสั่ง Wagyu Roast Beef Salad สลัดเนื้อคุโรเกะวากิว A4 ที่ผ่านการดรายเอจมานานกว่า 8 ชั่วโมง จนทำให้ได้สัมผัสที่ฉ่ำลิ้น เคล้าผักสดและน้ำสลัดสูตรเฉพารสสดชื่น แต่หากใครไม่กินเนื้อก็สามารถสั่ง Seafood Salad รับรองว่าฟินไม่แพ้กัน เอาใจคนรักเนื้อกันแบบต่อเนื่องกับ Salt-Crusted Wagyu Roast Beef เนื้อคุโรเกะวากิวชิ้นบิ๊กเบิ้ม ที่ทางร้านจะเลือกเสิร์ฟเฉพาะเกรด A4 ขึ้นไป อบเกลือทะเลญี่ปุ่น ก่อนนำแร่เป็นชิ้นบางๆ พอดีคำ รสสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ ผสมกับความเค็มละมุน และความหอมของใบไผ่อ่อนๆ ยิ่งจิ้มกับหัวไชเท้าพอนสึรสเปรี้ยวพอดี ยิ่งรสชาติล้ำเลิศ หรือจะลอง Foiegras ตับห่านชิ้นโตๆ สัญชาติฝรั่ง เข้าคู่ซอสสูตรเด็ดรสหวานพอเหมาะ ไชเท้าต้มโชยุ และมันบกเนื้อเนียนกริบ ห้ามพลาด Grilles Scallop Norimaki topped with Uni หอยเชลล์โฮตาเตะตัวอ้วนๆ (ไซส์ใหญ่) เนื้อหวานนุ่ม ย่างเตาถ่านหอมฟุ้ง ก่อนทาด้วยโชยุโฮมเมดรสอร่อย เสิร์ฟพร้อมไข่หอยเม่นเลื่องชื่อจากจังหวัดฮอกไกโด ตัดรสด้วยวาซาบิสดจากจังหวัดชิสึโอกะ DIY Seafood Don ข้าวด้งสไตล์ญี่ปุ่นที่เราสามารถเลือกท็อปปิ้ง 3 หน้าได้อย่างตามใจ มีทั้งอูนิจากเมืองฮอกไกโด อากามิ โอโทโร่ ชูโทโท่จากจังหวัดนางาซากิ ตับห่านสัญชาติฝรั่งเศส ปลามาได ของดีประจำเมืองเอะฮิเมะ ปลาคินเมไดแห่งเมืองชิซูโอกะ เนื้อวากิว ที่ส่งตรงจากจังหวัดมิยะงิ และอิคุระ กินกับไข่แดงดิบ Cage free ตัดเลื่อนด้วยซุปมิโซะรสเข้มข้น ปิดท้ายด้วยของหวานที่เรารัก Towa Tofu เต้าหู้โฮมเมดเนื้อนุ่มรสครีมมี ราดด้วยซอสน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวรสหวานล้ำและผงถั่วคินาโกะ สุดท้ายเป็น Mochi Ice Cream แป้งโมจิเนื้อเนียนนุ่ม สอดไส้ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมดรสหวานมัน กินพร้อมซอสน้ำตาลทรายแดง และผงถั่วคินาโกะ สายกินตัวจริงต้องรีบมาเช็คอินนะ

Yakiniku Sudo Omakase ร้านเนื้อย่างระดับรางวัลจากฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นมาเปิดแล้วที่นิฮอนมาชิ ซอยสุขุมวิท 26 โดยเชฟ Yoshio Sudo ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้ออยากส่งต่อประสบการณ์การกินเนื้อที่ดีที่สุดมาถึงทุกคน เนื้อที่ทางร้านเลือกใช้คือเนื้อจาก Arita Farm จ.มิยาซากิที่ขึ้นชื่อเรื่องความชุ่มฉ่ำ ไขมันแทรกสวยงาม กลิ่นหอมชัดเจน เพราะถูกเลี้ยงด้วยอาหารสูตรพิเศษและดื่มน้ำพุธรรมชาติ โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ อีกทั้งส่งมาแบบแช่เย็น ซึ่งจะยังคงกลิ่นรส ความสด และเนื้อสัมผัสได้ดีกว่าเนื้อแบบแช่แข็ง เราไม่อยากให้พลาด Premium Sudo Omakase Course เริ่มเสิร์ฟจาก Appetizer คือ Yukke เนื้อดิบที่ปรุงรสด้วยน้ำมันงา ซอสถั่วเหลือง ท็อปด้วยไข่แดงดิบ และ Kimchi สูตรพิเศษที่ใส่สับปะรดลงไปด้วย เชฟจะแบ่งการเสิร์ฟเป็น 2 พาร์ทใหญ่คือ Salt Grilled Beef Set เนื้อที่หมักด้วย Shio Kosho หรือเกลือและพริกไทยซึ่งดึงกลิ่นของเนื้อออกมาได้ดี เริ่มจาก 2 Types of Tongue ลิ้น 2 แบบทั้ง Tanmoto ส่วนโคนของลิ้นวัวที่มีความนุ่ม เพิ่มรสเข้มข้นด้วยน้ำเลมอน และ Tannaka ลิ้นวัวส่วนกลางที่เคี้ยวสนุกขึ้น เสิร์ฟพร้อมซอสหอมญี่ปุ่นและเลมอน Thick Lean Beef ส่วนโคนของเทนเดอร์ลอยน์หรือ Teto นุ่มและไม่เลี่ยน ปรุงรสด้วยซอสหอมใหญ่คาราเมลไลซ์ ต่อด้วย Juicy Beef เนื้อส่วนซี่โครงหรือ Harami กินกับซอสหัวไชเท้าพอนสึรสเปรี้ยวสดชื่น ต่อด้วย Chateaubriand Sandwich แซนด์วิชเนื้ออันเป็นซิกเนเจอร์ เชฟนำขนมปังไปอังกับเตาถ่านให้พอกรอบ ทาด้วย Tomato Mustard รสเปรี้ยวอ่อนๆ ดึงรสชาติของ Chateaubraind เนื้อส่วนกลางของเทนเดอร์ลอยน์ซึ่งมีแค่ 1-2 กิโลกรัมต่อวัว 1 ตัวที่ผ่านการย่างแบบ 3 สเต็ปจนได้ความสุกสวยแบบมีเดียมแรร์ กินทั้งคำแล้วลงตัวมาก  จากนั้นเป็น Salad with Ume Dressing วันนี้เราได้กินเนื้อส่วนใบพายพร้อมสลัดผัก ราดเดรซซิงบ๊วยญี่ปุ่นที่มีรสเปรี้ยวและเค็มเล็กๆ ต่อกันที่พาร์ท Sauce Grilled Beef Set เนื้อหมักซอสทาเระสูตรลับของ Yakiniku Sudo ที่ชูรสของเนื้อให้เข้มข้นขึ้น เริ่มด้วย Wagyu Yaki Shabu with Special Sauce เนื้อส่วน Sirloin ซึ่งนุ่มเป็นพิเศษ ย่างแล้วม้วนเป็นโรล วางในซอสสึเกะดาเระที่มีส่วนประกอบของโชยุและผลไม้ ต่อด้วย Special Gyu Don เนื้อ Filet Mignon ซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด ย่างให้มีลายตะแกรงสวยงาม ปรุงให้มีรสเผ็ดเล็กๆ วางบนข้าวญี่ปุ่น เมนูนี้เชฟแนะนำให้กินข้าวแค่ครึ่งเดียว เก็บไว้รอ Wagyu Sukiyaki Style เนื้อโคนขาหลังติดสะโพกที่มาพร้อมไข่ดิบ ด้านบนเป็นซอสเผ็ดแบบเกาหลีมาเสริมรส ตามด้วยเมนูที่เลือกได้ระหว่าง Cold Noodles บะหมี่เย็นสูตร Sudo น้ำซุปหอมลึกจากจากคัตสึโอะบูชิที่มี Honkareboshi ปลาแห้งที่ผ่านการอบแห้งกว่า 20 วัน และ Jotsu Combu สาหร่ายรสเข้มข้นเป็นพิเศษ ด้านบนมีขิงฝนเพิ่มความสดชื่น หรือ Curry Rice ข้าวผัดซอสแกงกระหรี่เนื้อสับและไข่ดิบ จบคอร์สด้วยชาร้อนและพุดดิ้งนมอันโด่งดังที่กินแล้วหลงรัก พุดดิ้งละมุนนุ่มลิ้นเข้ากับน้ำตาล Tensai ที่สกัดจากบีทรูทนำเข้าจากฮอกไกโดซึ่งหอมกว่าน้ำตาลทั่วไปแถมยังหวานน้อยกว่า เอาเป็นว่าคอร์สนี้ไม่ควรพลาด   จองผ่าน : www.tablecheck.com/th/yakiniku-sudo-bangkok/reserve/message

เชื่อแล้วว่าในโครงการ The Office Thonglor นั้นมีแต่ของอร่อย! หนึ่งในนั้นก็คือ “Pokedon Bowl” ร้านโปเก้และข้าวด้งอิ่มเอม ที่คุณสามารถ Create Your Own Bowl ได้อย่างตามใจ ตั้งแต่การเลือกเบส อย่าง ข้าวญี่ปุ่น ข้าวกล้อง ควินัว สลัด หรือ ดอกกะหล่ำสับ ตามด้วยการเลือกท็อปปิ้งต่างๆ ทั้งปลาดิบ ผัก ผลไม้ ส่วนใครที่คิดไม่ออกทางร้านก็มีเมนูดาวน่าชวนชิมเช่นกัน             เมนูแรกเป็น Deep Fried Gyoza เกี๊ยวซ่าตัวอวบทอดจนเป็นสีเหลืองทอง สอดไส้หมูเนื้อแน่นเต็มคำ เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มรสเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นน้ำมันงา ตามด้วย Agedashi Tofu เต้าหู้ญี่ปุ่นเนื้อนุ่มเด้ง ทอดอย่างดีจนผิวนอกมีความกรอบเล็กๆ ราดน้ำซอสดาชิรสนุ่มนวลกินเพลิน ซิกเนเจอร์ต้องนี่เลย Salmon Ikura Don ข้าวด้งสไตล์ญี่ปุ่นหน้าแซลมอนเนื้อสดหวาน ผสานกับไข่ปลาแซลมอนรสเค็มได้ที่ ก่อนกินให้คลุกเคล้าด้วยโชยุและวาซาบิพอดีกัน มาที่เมนูโปเก้กันบ้าง Tasties Bowl ก็ดีงาม ข้าวญี่ปุ่นนุ่มๆ ได้รสเค็มเล็กๆ ของโชยุอย่างดี ท็อปด้วยคาราวานปลาดิบที่เรารัก อย่าง แซลมอน ทูน่า ฮามาจิ นอกจากนี้ยังมีหอยเชลล์โฮตาเตะเนื้อหวาน ไข่กุ้ง ไข่ปลาแซลมอน ไข่หวาน มะม่วงสุกและอะโวคาโด ตัดเลี่ยนด้วยวาซาบิอย่างดี ส่งท้ายกับ Yummy Bowl โปเก้ที่เปลี่ยนจากข้าวญี่ปุ่นเม็ดอ้วนป้อม มาเป็นดอกกะหล่ำลวกสุกพอเหมาะที่ให้สัมผัสกรุบๆ กินพร้อมฮามาจิเนื้อสด แซลมอน อะโวคาโด มะม่วง เพิ่มสัมผัสเคี้ยวเพลินด้วยไข่กุ้ง ชิมแล้วติดใจทุกราย

คนรักอาหารญี่ปุ่นพลาดไม่จริงๆ กับ Taste of Japan โปรโมชั่นฯ อาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมจาก SushiNa ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดปังของวงการฯ แท็กทีมกับ Market Café ห้องอาหารไทยบรรยากาศดีแห่งโรงแรมไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพ สุขุมวิท (Bts นานา) ที่ยกเอา Pop-Up มาเสิร์ฟจานอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นให้คุณถึงที่ ร่วมไปกับบรรยากาศหรูหราแต่เรียบง่ายเคล้าวิวเมือง มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ จานแรกขอนำเสนอ Salmon Volcano Roll โรลซูชิแซลมอนภูเขาไฟคำพอเหมาะ อร่อยกับแซลมอนเบิร์นไฟเนื้อฉ่ำใน ราดซอสสูตรลับของทางร้านรสหวานกลมกล่อม ท็อปด้วยไข่กุ้งเคี้ยวเพลิน ตามด้วย Sashimi Mori เซ็ตปลาดิบอลังการที่ประกอบด้วย ปลาทูน่าญี่ปุ่น เนื้อฉ่ำ ปลาฮามาจิ เนื้อนุ่ม แซลมอน ที่เราคุ้นเคย หอยปีกนก กินอร่อย หอยเชลล์โฮตาเตะ เนื้อหวาน ทูน่า ซาบะดอง เนื้อสด และปลาหมึก เนื้อหนึบหนับ กินคู่วาซาบิรสเผ็ดซ่า     ไม่สั่งไม่ได้เลยกับ Fujisan หนึ่งในเมนูดาวเด่นของร้าน ข้าวด้งที่เรียงรายด้วยปลาดิบนานาชนิด ทั้ง แซลมอน ทูน่า ปลาหมึก ผสานกับไข่หวาน ปูอัด ไข่กุ้ง และแตงกวาญี่ปุ่น ก่อตัวกันเป็นภูเขาราวกับภูเขาไฟฟูจิที่สง่างาม ก่อนกินให้เทเครื่องใส่จาน เสมือนกับการปล่อยปลาลงในทะเลสาบโชจิ จากนั้นก็จับคู่กับข้าวญี่ปุ่น กลายเป็นซูชิหน้าต่างๆ ให้เลือกชิมตามใจ เอาใจคนรักปลาไหลกันบ้างกับ Unagi Bigku Sushi ข้าวหน้าปลาไหลจานใหญ่ชิ้นเบิ้มๆ ปลาไหลจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ย่างบนเตาถ่านหอมๆ ก่อนทาด้วยซอสสูตรพิเศษรสหวานได้ที่ โรยหน้าด้วยงาขาว สุดท้ายเป็น Australian Beef Lava Mountain ข้าวหน้าเนื้อภูเขาไฟลาวา ที่ให้คุณเอ็นจอยกับเนื้อออสเตรเลียนุ่มลิ้น เคล้าซอสรสหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับไข่ลวกอิ่มเอม ของหวานอย่างไรก็ต้องเป็นไอศกรีมเจลาโต้จาก Cafe Buongiorno

ความหลงใหลในรสชาติเหล้าบ๊วยของคุณกอล์ฟ-อิติสรณ์ นิติอภัยธรรม เริ่มตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อดื่มถูกใจก็ซื้อติดมือกลับบ้าน จนกระทั่งพบว่ามีมากกว่า 100 ขวดกลายเป็นคอลเลกชั่นของสะสมสุดหวงที่มีคุณค่าทางจิตใจ ก่อนต่อยอดไอเดียทำธุรกิจผู้จัดจำหน่ายเหล้าบ๊วยจากทั่วทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละแหล่งผลิตก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของตน คล้ายกับสินค้าโอท็อปของบ้านเรา   ปัจจุบันคุณกอล์ฟจัดจำหน่ายเหล้าบ๊วยมากกว่า 300 ชนิด ถือเป็นแหล่งรวมเหล้าบ๊วยมากที่สุดในเมืองไทย และเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองชิม ประกอบกับชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ จึงเป็นที่มาของ Umeshuthai ร้านอาหารญี่ปุ่นรสชาติดั้งเดิมที่มีเหล้าบ๊วยเป็นไฮไลท์ โดยมีอาหารทุกประเภท รวมกว่า 100 เมนูให้เลือกได้ไม่ซ้ำ เมนูซิกเนเจอร์ ได้แก่ A4 Kobe Wine Beef วากิวสายพันธุ์โกเบ เกรด A4 เลี้ยงด้วยกากองุ่นทำให้เนื้อมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ย่างในระดับมีเดียม เนื้อนุ่มฉ่ำแทบละลายในปาก Nabe Premium Family Set หม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่น มีเนื้อมิยาซากิ  A 5 กับเนื้อวากิวธรรมดา และผักสด เสิร์ฟให้อิ่มครบจบในหนึ่งเซ็ต Truffle Ramen เมนูพิเศษช่วงปีใหม่ที่ลูกค้าติดใจ จนต้องบรรจุไว้ในเมนู รสชาติกลมกล่อมหอมมันในคำเดียว Omakase 8 Pcs. เมนูตามใจเชฟ หมุนเวียนวัตถุดิบในแต่ละวัน อาทิ ทาโกะ อิกะ ฮอกกิไก ฮามาจิ ชูโทโร อะกามิ แซลมอน โฮตาเตะ เป็นต้น ส่วนของหวาน เช่น Rare Cheesecake ชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น Homemade Pudding พุดดิ้งเนื้อเนียน และ Matcha Umeshu Ice Cream ไอศกรีมชาเขียว ส่วนเครื่องดื่มชูใจยกให้เหล้าบ๊วยและเหล้ายูสุ กินคู่กับอาหารแล้วชูรสชาติให้อร่อยเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ สเน่ห์ของเหล้าบ๊วย แค่ลองจิบก็ติดใจ!

บนชั้น 4 ของอาคาร SAM-ED มีร้านโอมากาเสะมาเปิดใหม่อย่าง Mizuki Omakase ร้านที่จะพาทุกคนไปเพลิดเพลินกับความอร่อยกับวัตถุดิบชั้นเลิศผ่านคอนเซ็ปต์ 'พระจันทร์สะท้อนน้ำ' เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงจะพบกับ Mizuki Bar เป็นพื้นที่สำหรับเสิร์ฟ Welcome Drink ก่อนพาไปสู่อีกห้องหนึ่ง เมื่อจบคอร์สหากอยากนั่งต่อที่บาร์ก็สามารถนั่งได้หรือจะวอร์กอินเข้ามานั่งดริงก์โดยไม่ต้องจองคอร์สโอมากาเสะก็ได้เช่นกัน (บาร์เปิด 17.00-02.00 น.) ส่วนอีกห้องเชื่อว่าทุกคนคงสะดุดตากับ Black Light ที่สะท้อนภาพวาดออกมาจากผนัง เป็นงานศิลปะที่เล่าถึงความงดงามของคืนพระจันทร์เต็มดวงที่สาดแสงลงบนผิวน้ำ สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบใต้ท้องทะเล ทางร้านจึงใช้สโลแกนนี้มาเป็นหลักในการคัดสรรวัตถุดิบและเสิร์ฟเพียงวัตถุดิบคุณภาพเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกนข้างต้นซึ่งมีดวงจันทร์เป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้พระจันทร์ยังเป็นประตูสู่อวกาศและเพื่อให้เป็นคอนเซ็ปต์ที่ต่อยอดกัน เคาน์เตอร์บาร์จึงออกแบบมาให้เป็นเหมือนวงแหวนของดาวเสาร์ มาพร้อมงานดีไซน์ต่างๆ อย่างหุ่นนักบินอวกาศที่วางตกแต่งไว้ตามมุมเพื่อบ่งบอกว่าเราไม่ได้หยุดอยู่แค่พระจันทร์ เนื่องจากคอร์สโอมากาเสะของที่นี่เป็นการฟิวชันระหว่างอาหารญี่ปุ่นกับวัตถุดิบหลากสัญชาติและใช้เทคนิคยุโรปสมัยใหม่ร่วมด้วย ที่บอกว่าทางร้านไม่ได้หยุดแค่พระจันทร์ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้มาเยือนได้ล่องลอยไปในอวกาศพร้อมพวกเขา เปรียบเหมือนการเดินทางค้นหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดในพื้นที่กว้างใหญ่เพื่อนำมารังสรรค์เป็นเมนูใหม่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Mizuki Omakase เชฟเสิร์ฟเป็นวัตถุดิบประจำฤดูร้อนมีให้เลือก 2 คอร์ส คือ New Moon (14 คอร์ส) และ Full Moon (18 คอร์ส) วันนี้เป็น 14 คอร์ส เรียกน้ำย่อยด้วย JUNSAI 3 คำ เริ่มที่ Tsubugai หรือหอยสังข์ญี่ปุ่นเสิร์ฟคือตับของเขาและวาซาบิ ด้านล่างเป็นสาหร่าย ต่อด้วย Tuna Tartare with Nori Tempura เป็นส่วนอากามิ โอโทโร่ และชูโทโร่ นำไปปรุงรสชาติก่อนวางมาบนโนริเทมปุระกรอบๆ และสุดท้าย Junsai ด้านล่างเป็นสาหร่ายเส้นผมกินคู่ยอดบัวญี่ปุ่นให้รสสดชื่นเปิดต่อมรับรสได้ดี ใครชอบกินปูต้องชอบ TARABA KING CRAB X ZUWAI KOROKKE เนื้อปูทาราบะชิ้นสวย เสิร์ฟคู่มะนาวสีเขียวและเกลือที่ทำจากมันปู ก่อนกินแนะนำให้บีบมะนาวลงบนปูจากนั้นจิ้มเกลือเล็กน้อย ได้รสเปรี้ยวเค็มตัดกันพอดี แถมยังหอมกลิ่นสโมก อีกคำเป็นปูซูไวเสิร์ฟแบบโครเกตต์ราดคัตสึซอส มีความมันนัว กลมกล่อมมาก KAREI USUZUKURI JELLY ซาชิมิแล่พอดีคำวางเรียงสวยมาบนคอมบุ ท็อปด้วยวาซาบิดองและเพิ่มรสชาติด้วยเจลลียูซุพอนสึซอส ได้รสสัมผัสเด้งของเนื้อปลาและหอมกลิ่นยูซุเล็กน้อย คอร์สต่อมาเป็น SHIRO EBI SUSHI กุ้งขาวญี่ปุ่นปั้นเป็นซูชิ ได้กลิ่นส้มหอมอบอวลในปากส่วนเนื้อกุ้งนั้นนุ่มเด้ง อร่อยทีเดียว ตามด้วย KUROMUTSU SUSHI ปลากะพงน้ำลึกที่นิยมกินในหน้าร้อนของญี่ปุ่น เป็นปลาที่มีไขมันมาก เชฟนำไปเบิร์นไฟให้หนังมีกลิ่นหอมแล้วท็อปด้วยสาหร่ายดองเกลือ เพื่อเพิ่มความอูมามิให้ตัวซูชิ ถัดมาคือ PREMIUM AJI SUSHI ปลาทูญี่ปุ่นชิ้นใหญ่เสิร์ฟในรูปแบบซูชิ เนื้อปลาเด้งและกรึบยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อยมาพร้อมความหอมของซอสที่ท็อปไว้ด้านบน เดินทางมาถึงครึ่งทางกับเมนู KASUGO SUSHI ซึ่งคำว่า Kasugo เป็นชื่อเรียกของปลา Madai ตอนยังเป็นลูกปลา ออนท็อปมาด้วยไข่แดงออแกนิกดองที่นำไปแช่แข็งไว้ก่อนขูดลงบนปลา เพื่อเพิ่มความหอม มัน และเค็ม เข้ากับปลาได้ดี ต่อด้วย CHAWANMUSHI ยืนหนึ่งเรื่องพรีเซนเทชันด้วยการจุดไฟ เมื่อไฟดับจะเจอกับไข่ตุ๋นสีดำที่ทำจากดีหมึก ท็อปด้วยอูนิมุราซากิ ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มมีเซอร์ไพรส์ด้านในเป็นมันกรอบๆ ให้เคี้ยวเพลิน เข้าสู่ช่วงท้ายของคอร์ส เชฟเสิร์ฟเป็น MELON X YUZU SHERBET เมล่อนญี่ปุ่นเนื้อกรอบหวานตามด้วยยูซุเชอร์เบตรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด เพื่อล้างช่องปากให้พร้อมก่อนไปสู่ซูชิเซ็ตต่อไป เริ่มที่ UNI เชฟใช้บาฟุนอูนิจากฮอกไกโด ท็อปด้วยคาเวียร์จากอิตาลี บาฟุนมีความหวานให้สัมผัสครีมมี่หน่อยๆ ตัดรสด้วยความเค็มมันจากคาเวียร์ได้ดี ตามด้วย TUNA SUSHI เชฟใช้ส่วนชูโทโร่ชิ้นใหญ่เสิร์ฟในรูปแบบซูชิ เนื้อปลามีความมันนัวและเด้งสู้ฟัน คอร์สต่อมาเป็น TUNA TRUFFLE SUSHI เมนูนี้เป็นส่วนโอโทโร่ซึ่งมีไขมันแทรกอยู่มาก เชฟจึงเปลี่ยนเป็นข้าวอบทรัฟเฟิลนำมาปั้นเป็นซูชิ แล้วท็อปด้วยแบล็กทรัฟเฟิลช่วยเพิ่มความหอมละมุนให้คำนี้ สุดท้ายเป็น SHIROMI SOUP หรือซุปปลาเนื้อขาว เบสของซุปเป็นก้างปลาที่นำไปย่างก่อนเคี่ยวไปพร้อมกับปลาแห้ง เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อปลาและสาหร่าย ได้รสกลมกล่อมหอมกลิ่นส้มยูซุนิดๆ ซดร้อนๆ คล่องคอดีจริง ตบท้ายด้วย EARTH ICE CREAM หรือไอศกรีมลูกโลกรสนมหอมกลิ่นวานิลลา เคียงด้วยชูครีมเคลือบไวต์ช็อกโกแลตและผลไม้สด มีซอสมิกซ์เบอร์รีช่วยตัดเลี่ยน นอกจากนี้ยังเสิร์ฟคู่ชาเก็นไมฉะ ชาพรีเมียมที่ช่วยปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับเมนูฤดูร้อนนี้สามารถเข้าไปลิ้มลองได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2567

สร้างความประทับใจให้ชาวโอซาก้าจนหนำใจแล้ว ก็ถึงคราวที่นักกินชาวไทยจะได้ฟินกันบ้างกับ “Kuma no Yakitori Bangkok” ร้านยากิโทริฉบับโอมากาเสะสุดปังจากเมืองโอซาก้า ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น No. 1 ของประเทศญี่ปุ่น โดยทางร้านจะให้บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น  (ค่าสมาชิกประมาณ 3 แสนเยน) แต่ที่สาขาเมืองไทย ณ โครงการ Rain Hill ย่านเอกมัย ฟู้ดดี้สามารถจองแล้วรอรับพาสเวิร์ดเข้าประตูได้เลย (ฟิลร้านลับ) เข้ามาในร้านจะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ใหญ่กว้างพร้อมสำหรับนักชิม 12 ที่นั่ง ที่ล้อมรอบเตาย่างยากิโทริร้อนฉ่า ผนังด้านหลังเป็นปูนเปลือยลายนกกระเรียนสง่างาม ที่บินสยายปีกท่ามกลางขุนเขาท้าแรงลมเย็น และหมู่มวลเมฆบนท้องฟ้ากว้าง ไปได้ด้วยดีกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลอบุอุ่น เข้าคอนเซปต์เรียบง่ายแต่มีเรื่องราวสไตล์ Wabi – Sabi เสิร์ฟพร้อมจานอร่อยของเชฟโยชินาริ ทาคากิ เชฟชาวญี่ปุ่นซึ่งอดีตเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมือฉมัง ก่อนค้นพบความสุขที่แท้จริงนั่นก็คือ ‘การทำอาหาร’ เขาฝึกฝนเทคนิคการทำยากิโทริที่โอซาก้ามาหลายปี ก่อนเปิด Kuma no Yakitori ที่มีจุดเด่นตรงการเลือกใช้วัตถุดิบหลักอย่าง ‘ไก่’ ที่เชฟใช้ทุกส่วน (Ultimate Chicken Experience) มารังสรรค์เป็นยากิโทริรสชาติดี จิบคู่สาเกในแบบฉบับนักดื่ม เรียกน้ำย่อยกับ Sliced Duck Loin อกเป็ดเนื้อนุ่มฉ่ำรสเค็มกลมกล่อม เสิร์ฟเคียงมันบดเนื้อเนียนผสมเบคอนทอดกรอบที่เรารัก Towa Toro Tofu เต้าหู้โฮมเมดเนื้อนิ่มเด้ง ที่ส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ท็อปด้วยอูนิคำโตจากเกาะฮอกไกโด ไข่ปลาแซลมอนรสเค็มได้ที่ และวาซาบิ เติมโชยุโฮมเมดเพื่อเพิ่มรสเค็มพอเหมาะ ตามด้วย Seared Chicken Sashimi ซาชิมิไก่เทอริยากิเนื้อหวาน ความสุกกำลังดี ที่ชูรสชาติด้วยเกลือชั้นเยี่ยมจากญี่ปุ่น Chicken Leg with Scallion เนื้อส่วนขาของไก่ย่างร้อนฉ่า กินกับต้นหอมญี่ปุ่นที่หลายคนชอบ Chicken Heart นี่แหละของโปรด หัวใจไก่ชิ้นอวบ ย่างเตาถ่านหอมๆ เพิ่มรสเผ็ดพอเหมาะด้วยพริกซันโช Chicken Gizzard กึ๋นไก่เนื้อหนึบ รสเข้มข้น ก่อนล้างปากด้วย Vinegared Seaweed สาหร่ายดองน้ำส้มสายชู รสเปรี้ยวสดชื่น Chicken Tenderloin อกไก่เนื้อฉ่ำใน ไม่ฝืดคออย่างที่คิด จิ้มเกลือก็รสชาติดี จิ้มวาซาบิก็ซาบซ่าโดนใจ ขาดไม่ได้กับ Steamed Egg Custard with Uni ไข่ตุ๋นเนื้อเด้งนุ่ม ผสมซอสครีมสูตรเด็ดที่ทำจากอูนิแห่งเกาะฮอกไกโด ก่อนท็อปด้วยอูนิคำใหญ่ยักษ์อีกที พร้อมแต่งหน้าด้วยทองคำเลอค่า Chicken Meatball ลูกชิ้นไก่โฮมเมดเนื้อแน่น อาบซอสไวน์แดงสูตรเฉพาะรสหวานปนเค็ม เสริมความครีมมีด้วยชีสพาเมซาน Chicken Shin ที่เชฟใช้เทคนิคการย่างด้วยไฟอ่อนๆ กว่า 20 นาทีจนได้เนื้อนุ่มหนึบ แต่หนังเกรียมกรอบ ได้ใจเด็กอ้วน ตัดเลี่ยนด้วย Manganji Chili Pepper พริกหวานจากเมืองโตเกียวย่างหอมๆ Chicken Wings ปีกไก่ชิ้นโตที่เชฟสโมกควันอย่างพิถีพิถันกว่า 45 นาที ก่อนนำไปย่างบนเตาถ่าน บีบเลมอนซีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว หลายคนรอ Premium Raw Egg on Rise เมนูดาวเด่นของทางร้านที่เสิร์ฟเพียง 10 ชามต่อวันเท่านั้น ข้าวด้งชามใหญ่ที่ให้คุณอร่อยกับไข่หอยเม่นล้นๆ ไข่ปลาแซลมอน และไข่ข้าวสดรสครีมมี ก่อนชิมให้เจาะไข่แดงแล้วโรยรอบๆ เข้าคู่ Chicken Broth Soup น้ำซุปไก่ ที่ตุ๋นจากกระดูกไก่หลายชั่วโมงจนได้รสนุ่มนวล จบด้วยของหวานประจำวันอย่าง Mango Pudding พุดดิ้งมะม่วงรสหวาน เสิร์ฟคู่ผลไม้ตระกูลเบอร์รีและวิปครีม

ร้านอาหารสแตนด์อโลนในโซนบ้านพักอาศัย แม้โลเกชั่นดูคล้ายร้านลับแต่กลับเป็นที่รู้จักในแวดวงคนรักอาหารญี่ปุ่น ทีเด็ดคือวัตถุดิบพรีเมียมนำเข้าที่เจ้าของร้านบอกว่า “เรามีเชฟมือดีที่สุด เราจึงต้องมอบอาวุธที่ดีที่สุด เพื่อให้เชฟของเราได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ และนี่คือที่มาของอาหารในร้าน ที่ ทุกจานคือความพิเศษ” ประเดิมความสดจากทะเลญี่ปุ่นด้วย Omakase Set  ชุดปลาดิบคำโตที่รวมของพรีเมียมไว้ในที่เดียว ประกอบด้วย ทูน่า แซลมอน ฮามาจิ โฮตาเตะ และอะมาเอบิ ต่อด้วย Foie Gras ซูชิฟรัวกราส์ที่หวานฉ่ำละมุนทั้งคำ เริ่มจากข้าวปั้นที่ตั้งใจปรุงให้มีรสหวานปลายลิ้น ท็อปด้วยฟรัวกราส์ที่กริลล์ให้มีกลิ่นหอมเบาๆ แล้วราดด้วยซอสเทริยากิที่มีรสหวานกลมกล่อม Rakuzen Sushi Roll เมนูที่เชฟภูมิใจนำเสนอ เริ่มจากนำหัวไชเท้ามาดองกับสาเก เพิ่มรสหวานด้วยมิริน แล้วฝานบางๆ นำมาม้วนแทนสาหร่าย ช่วยชูรสชาติให้โรลอีกเท่าตัว Special Roll โรลซิกเนเจอร์ที่รวมวัตถุดิบไฮไลท์ไม่ว่าจะเป็นแซลมอน ทูน่า ฮามาจิ ท็อปด้วยโฮตาเตะ ราดด้วยซอสสไปซี่เอาใจฟู้ดดี้ที่นิยมความเผ็ดซ่าติดปลายลิ้น ว้าวสุดยกให้ Salmon Mango Roll โรลแซลมอนมะม่วง เมนูเอาใจคนไทยแต่ก็พร้อมโขมยหัวใจคนต่างชาติไปด้วย เป็นเมนูที่ชูแซลมอนเป็นพระเอก ส่วนนางเอกยกให้มะม่วงน้ำดอกไม้สุกรสหวานอมเปรี้ยว ที่ช่วยตัดรสและเพิ่มมิติของรสชาติ แซมด้วยรสเผ็ดซ่าของซอสสไปซี่ที่แทรกซึมเต็มคำ ปิดท้ายด้วย Salmon Head Soy Sauce-Soup หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว เมนูขายดีที่อาจต้องโทรจอง เพราะแซลมอนหนึ่งตัวมีหัวเดียว รสชาติเข้มข้นเค็มหวานอีกระดับเพราะเชฟปรับให้เข้ากับลิ้นคนไทย เนื้อปลานุ่มนวลไม่ยุ่ยเละ ปรุงพร้อมผักที่อัดแน่นเต็มชามไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดเข็มทอง แครอท น้ำซีอิ๊วคือไฮไลท์(ของเรา) คลุกกับข้าวสวยแล้วยิ่งช่วยเจริญอาหาร รสชาติเหมือนเพื่อนชาวญี่ปุ่นบินมาทำให้กินถึงที่บ้าน!

คนกินเส้นไม่ควรพลาด Soba Lab (หรือโซบะราโบะ) ร้านโซบะฟีลญี่ปุ่นสไตล์โลคอลแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยประสานมิตรใจกลางย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ และนักเรียน นักศึกษา ที่นิยมชวนก๊วนแก๊งค์แวะมาฝากท้อง บรรยากาศในร้านเรียบง่าย เช่นเดียวกับเมนูที่เรียบง่ายไม่แพ้กัน เพราะมีเพียง 3 เซ็ตให้เลือก จุดเด่นของร้านคือเส้นโซบะเหนียวนุ่มกำลังดี กินกับซุปน้ำมันพริกรสชาติกลมกล่อม หอมมัน และเผ็ดร้อนนิดๆ   เมนูแรก Chill Pork Dipping Soba โซบะเสิร์ฟพร้อมซุปหมูน้ำมันพริก เพิ่มความกลมกล่อมนัวลิ้นด้วยการเติมไข่ออนเซ็นลงไป วิธีกินที่เพิ่มความฟินยิ่งขึ้นให้ใช้ตะเกียบคีบเส้นโซบะจุ่มวนในน้ำซุป แล้วชิมรสชาติต้นตำรับ ขั้นตอนต่อไปเทไข่ออนเซ็นลงในน้ำซุป แล้วคีบเส้นโซบะจุ่มให้ชุ่มฉ่ำจะช่วยเพิ่มความละมุนแบบคูณสอง กินต่อไปเรื่อยๆ จนเส้นหมด ขั้นตอนสุดท้ายให้เติมน้ำโซบะยุ หรือน้ำซุปต้มโซบะ ลงในน้ำซุปก้นถ้วย แล้วยกดื่มจนหมด เป็นรสชาติที่กินซ้ำได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ถัดมาคือ Sesame Sauce Dipping Soba โซบะจุ่มซอสงา คนไม่ชอบรสชาติเผ็ดๆ มันๆ เซ็ตนี้คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ น้ำซุปเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำมันงา รสชาติดีไม่แพ้เมนูแรก สามารถสั่งไข่ออนเซ็นมาเพิ่มความฟินได้ เมนูสุดท้าย Chili Pork Mixed Soba โซบะหน้าหมูน้ำมันพริก เครื่องแน่นแทบมองไม่เห็นเส้นด้านล่าง ก่อนกินคลุกเคล้าให้เข้ากัน อร่อยครบจบในชามเดียว สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ราคาที่ถือว่าเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ เริ่มต้นที่ 119 บาท – 159 บาท อยากสั่งไข่ออนเซ็นเพิ่มก็จ่ายแค่ 25 บาท สำหรับคนกินจุจะสั่งเส้นโซบะเพิ่มก็จ่ายเพียง 59 บาท เท่านั้น   รสชาติและบรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ

Modan Japanese Restaurant ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมียมย่านบางนาที่ต่อยอดความสำเร็จจากสาขาแรกที่เมืองทองธานี โดยยกขบวนน้ำซุปรสเลิศที่มีให้เลือกมากถึง 7 ชนิด ท็อปปิ้งอีกกว่า 10 ชนิด รวมถึงเส้นสดโฮมเมดที่เหนียวนุ่มสาวเพลิน ความพิเศษของสาขานี้คือมีครัวเปิดให้เราได้ชมเชฟปั้นซูชิกันแบบใกล้ชิดอีกด้วย     เมนูอาหารนำเสนอทั้งสไตล์อะลาคาร์ต ชาบูสุกียากี้ และโอมากาเสะ ล่าสุดไม่ต้องรักพี่เสียดายน้องอีกต่อไป เพราะทางร้านจัดโปรโมชั่น ชาบูสุกี้ยากี้ x โอมากาเสะ ให้สนุกกับการคีบๆ จุ่มๆ ในชุดเดียว สำหรับชาบูสุกียากี้ มีให้เลือก 2 ชุด คือ Wagyu Set เอาใจคนรักเนื้อโดยเสิร์ฟให้มากถึง 200 กรัม ไฮไลท์คือเนื้อวากิวพิคานย่า MB4/5 และเนื้อวากิวใบพาย MB6/7 ลายหินอ่อนสวยงาม เนื้อนุ่มนวลได้รสสัมผัสฉ่ำๆเต็มปากเต็มคำ Buta Set หรือชุดหมูคุโรบูตะที่ให้น้ำหนักมากถึง 200 กรัมเช่นเดียวกัน ในแต่ละชุดเราสามารถเลือกน้ำซุปสุกียากี้น้ำดำ หรือน้ำซุปดาชิหรือน้ำซุปใสก็ได้ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียง ได้แก่ ข้าวญี่ปุ่น ราเมน อุด้ง ผักสด และซอฟท์ดริงค์เติมได้ไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำอัดลม หรือชาเขียวเย็น นอกจากนี้ยังมีโมดันโอมากาเสะที่ทุกคนรอคอย เลือกได้ 3 คอร์ส จาก 11 คอร์ส อาทิ ซุปกุ้งเมนไทโกะอุด้งหอยเชลล์ น้ำซุปเคี่ยวจากตัวกุ้งและหัวกุ้ง ใส่อุด้งเส้นสด โรยอิคุระ ท็อปด้วยโฮตาเตะ วาซาบิดอง รสชาติเข้มข้นและครีมมี่ ทรัฟเฟิลโอชาสึเกะยุกเกะกุ้งหวาน ข้าวผัดกับทรัฟเฟิล ท็อปด้วยกุ้งดองและหอยปีกนก คล้ายข้าวต้มแห้ง เวลารับประทานให้เทน้ำซุปทรัฟเฟิลเพิ่มความกลมกล่อมนัวลิ้น บีทรูทมิโซะฮามาจิคาเวียร์ ราเมงเส้นสดในน้ำซุปบีทรูท ข้างบนเป็นปลาฮามาจิและวาซาบิดอง ตกแต่งด้วยคาเวียร์ เป็นเมนูที่สีสันคัลเลอร์ฟูล แค่เห็นก็น้ำลายสอแล้ว และนินจินซาชิมิอุด้ง ทูน่าและฮามาจิในซุปทำจากแครอทบด เสริมรสสดชื่นด้วยสับปะรด อิ่มอร่อย สบายท้อง หรือเลือกเป็นของหวานก็ดีต่อใจ แนะนำไฮไลท์ มัทฉะโฮจิฉะบราวนี่และไอศกรีม ปิดท้ายมื้อได้แบบเปอร์เฟ็คท์  ถ้ามาลำพังจะสั่งเป็นเมนูอะลาคาร์ตก็ได้นะ!    

เดินแค่ไม่กี่นาทีจาก BTS พร้อมพงษ์ เราจะเจอกับ Onigiri Lab ร้านโอนิกิริเล็กๆ เปิดใหม่ในซอยเมธีนิเวศม์ที่เราอยากให้คนรักโอนิกิริได้ลองมาชิมฝีมือการปั้นข้าวของเชฟ Shiba ซึ่งเคยเป็นเชฟร้านโอนิกิริที่ฮอกไกโดบ้านเกิดมาก่อน โอนิกิริของที่ร้านชิ้นใหญ่จุใจ ข้าวนุ่มเรียงเมล็ดสวยเพราะใช้ข้าวจากจังหวัดนีงาตะ ส่วนไส้โอนิกิริมีให้เลือกเยอะแบบตาลาย มีทั้งปรุงด้วยเกลือและโชยุ ที่ขายดีคือ Mentaiko Butter ข้าวปั้นไส้เมนไทโกะรสเผ็ดนิดเค็มหน่อย มาเจอกับความหอมมันจากเนยและข้าวแล้วเข้ากันจนอยากสั่งอีกชิ้น รวมถึงรสขวัญใจลูกค้าอย่าง Grilled Salmon & Ikura ที่นอกจากจะได้อร่อยไปกับแซลมอนย่างแล้ว เชฟยังซ่อนอิคุระไว้ในข้าวอีกเพียบ นอกจากโอนิกิริแบบชิ้น ที่ร้านยังมีเซ็ทเมนูที่ตอบโจทย์ เราสั่งเป็น Onigiri Set มาพร้อมซุปและเครื่องเคียงที่จะสลับหมุนเวียนไปในแต่ละวัน หรือจะลองเมนูอื่นๆ อย่าง Oden Set เซ็ทโอเด้ง Pork Miso Soup Set เซ็ทซุปมิโซะหมู หรือจะลอง Grilled Salmon & Ikura Rice Roll Set ก็น่าสนุก เพราะเราจะได้ห่อข้าวกินด้วยตัวเอง ใครรักข้าวปั้น ตามไปอุดหนุนเชฟกันได้เลย

Yotsuha Sushi (โยทสึฮะ ซูชิ) เป็นร้านโอมากาเสะเปิดใหม่ที่ตัวร้านเรียกว่าเกือบจะลับ เพราะซ่อนตัวอยู่ใต้คอนโด 168 ในซอยสุขุมวิท 36 แต่สำหรับ เชฟคุมะ เชฟหลักของร้านนั้นเรียกว่าคลุกคลีอยู่ในแวดวงร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรามากว่า 15 ปี จึงมีความรู้เรื่องวัตถุดิบต่างๆ อย่างดีมาก รวมถึงวิธีได้มาซึ่งวัตถุดิบชั้นยอดอีกด้วย เชฟยังพูดภาษาไทยเก่งอีกต่างหาก ใครอยากคุยเรื่องซูชิกับเชฟก็จัดไปได้เลย คอร์สโอมากาเสะของ Yotsuha Sushi ให้บริการมื้อเย็น จำนวน 19 คอร์ส เริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย ซูชิ อาหารจานร้อน และของหวาน เมนูหมุนเวียนไปแต่ละวันตามวัตถุดิบที่คัดสรรและส่งตรงมาจากตลาดปลาที่ญี่ปุ่น เชฟคุมะจะนำวัตถุดิบที่ได้มาออกแบบคอร์สเมนูตั้งแต่ต้นจนจบให้ลงตัว วัตถุดิบหลายอย่างที่นี่ไม่ค่อยเจอที่อื่น จึงอยากให้มาลองกัน ซูชิของเชฟคุมะเป็นแบบดั้งเดิมที่เน้นความประณีตและความอร่อยสดใหม่ของวัตถุดิบ เชฟใช้ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นข้าวใหม่ส่งตรงถึงร้านจึงให้รสชาติและสัมผัสที่ดีกว่า หุงด้วยน้ำส้มสายชูขาวสูตรของทางร้านให้รสกลมกล่อมไม่เปรี้ยว ภายใต้หน้าตาเรียบง่ายนั้นเชฟบรรจงซ่อนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ระหว่างชั้นของข้าวที่ปั้นขนาดพอดีคำและเนื้อปลาที่บรรจงแล่ให้ความหนาได้สัดส่วนกับข้าว แต่ละคำจึงมีรสชาติลึกล้ำซ่อนอยู่ คอร์สโอมากาเสะเริ่มด้วยจานเรียกนำย่อย Iso Tsubugai Fukumeni หรือลูกหอยสังข์จากฮอกไกโดต้มไฟอ่อนในซุปดะชิ เนื้อหอยหวานเด้งเคี้ยวหนุบปลุกประสาทรับรสให้ตื่นตัว ตามด้วย Kamaage Hotaru Ika หรือหมึกหิ่งห้อยจากจังหวัดโทะยะมะตัวอ้วนเนื้อหวานมันมาก ใครที่อ่านรีวิวแล้วตามมาคงไม่เจอเมนูนี้เพราะหมดฤดูกาลของหมึกหิ่งห้อยพอดี จานต่อมาเป็นจานเรียกน้ำย่อยที่ทำจากปลาฮอนมากุโระ หรือปลาทูน่าครีบน้ำเงิน เนื้อส่วนหัวซึ่งมีสีชมพูอ่อนจะหวานมันยิ่งกว่าส่วนท้อง ในหนึ่งตัวมีไม่มากจึงเป็นส่วนที่หายาก โดยเฉพาะแบบสด (ไม่แช่แข็ง) อย่างที่ทางร้านใช้ เบิร์นไฟราดซอสพอนสึเป็น Honmakuro Nouten Tataki โรยด้วยพริกป่นจากนะกะโนะเพิ่มรสชาติ ทอปด้วยมะกุโระบุชิ หรือเนื้อปลามากุโระตากแห้งขูด หอมอร่อยมาก ปิดท้ายชุดเรียกน้ำย่อยด้วย Chawanmushi ใส่เอ็นหอยปีกนกให้ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มเคี้ยวสนุกขึ้น เข้าสู่คอร์สซูชิ เชฟเริ่มด้วย Naruto Tennen Madai ปลามะไดที่จับตามธรรมชาติจากช่องแคบอะกะชิ ช่องแคบเล็กๆ ที่คั่นระหว่างเกาะฮนชูและเกาะอะวะจิ เชฟเล่าว่าปลามะไดธรรมชาติมีสัดส่วนเพียง  30% จากทั้งหมดในท้องตลาดเท่านั้นจึงอยากให้ลิ้มลองดู ตามด้วย Hokkigai หรือหอยปีกนก ส่วนเนื้อจากจานไข่ตุ๋น เนื้อเด้งหนึบเคี้ยวเพลิน จากนั้นเป็น Nodoguro หรือปลาคอดำเนื้อหวานมัน นำมาเบิร์นไฟให้ยิ่งชุ่มฉ่ำละลายในปาก เป็นคำที่เราชอบมาก แล้วเบรคความมันด้วยเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบของ Sawa Kani ปูแม่น้ำตัวจิ๋วทอดกรอบกินได้ทั้งตัว เสิร์ฟกับสลัดมันหวานญี่ปุ่น คำต่อมาเป็นเนื้อปลาที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาของปลาตาเดียว Matsukawa Karei จากฮอกไกโด นำมาหมักในสาหร่ายคอมบุ (คอมบุจิเมะ) จนมีความอูมามิ ตามด้วย Sumi Ika ที่มีสัมผัสหนึบเด้ง โรยเกลือเพื่อดึงรสหวานธรรมชาติให้ยิ่งโดดเด่น จากนั้นเป็น Tobiuo หรือปลาบิน ซึ่งช่วงนี้กำลังเข้าฤดูกาลพอดี เนื้อนุ่มเนียนละเอียดรสชาติดีมาก คั่นด้วยของทอดอย่าง Amadai Matsukasa Yaki ปลาอะมะไดย่าง ที่นำเฉพาะส่วนหนังไปราดน้ำมันร้อนๆ จนเกล็ดฟูกรอบก่อน แล้วจึงนำไปย่างให้เนื้อด้านในนุ่มและชุ่มฉ่ำ เคียงด้วยไชเท้าแดงดอง (Koshin Daikon) จานต่อมา Honmaguro Akami Zuke เนื้อปลาฮอนมากุโระส่วนด้านบนของอะกะมิที่นุ่มเนียนที่สุด ดองในโชยุ 3 ชั่วโมงจนผิวด้านนอกเปลี่ยนสี ขับเน้นความอูมามิ ตามด้วย Kasugodai หรือลูกปลามะไดตัวเล็ก ชื่อนี้เขียนเป็นคันจิได้ว่าเด็กที่เกิดในฤดูใบไม้ผลิ นำมาดองน้ำส้มให้มีรสเปรี้ยวอ่อนๆ ชวนสดชื่น จากนั้นเชฟยกหม้อดินออกมาเปิดให้เราชม ข้าวอบหอยเป๋าฮื้อ (Awabi Donabe Gohan) ร้อนๆ ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่ต้องสั่งเพิ่ม (600-800 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของอะวะบิ) แต่คุ้มเอาการ ก่อนเสิร์ฟเชฟเอาซอสตับเป๋าฮื้อมาคลุกเคล้ากับข้าวจนหอมชวนกิน เวลาเสิร์ฟก็ท็อปด้วยเป๋าฮื้อและไข่ปลาอิคุระ กลมกล่อมมาก และอีกหนึ่งคำพิเศษที่ต้องสั่งเพิ่มเช่นกัน Awaji Yura Murasaki Uni หรืออุนิพันธุ์มุราซากิหน้าคว่ำ ที่มีความบริสุทธิ์เพราะไม่ใส่สารเมียวบัง (สารคงรูป) แพคมาแบบคว่ำหน้าเป็นเอกลักษณ์ เนื้อสัมผัสหวานฉ่ำ รสชาติอวลอยู่ในปาก อร่อยเป็นที่สุด กลับเข้าสู่คอร์สปกติด้วย Kohada Garishiso Maki ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาปลาโคะฮะดะ ขิงดอง และใบชิโสะ เป็นคำส่งท้ายที่ให้รสเบาและสดชื่น เสิร์ฟพร้อม Shijimi Misoshiru ซุปมิโสะที่ใช้ชินชูมิโสะ หรือมิโสะสีเหลืองที่มีรสเค็มและเข้มข้น ตัดด้วยรสหวานละมุนจากหอยชิมิจิ ปิดท้ายด้วย Ebo Tamagoyaki ไข่หวานที่ใส่เนื้อปลาบดผสมแทนเนื้อกุ้งให้รสนวลเนียน คนแพ้กุ้งก็กินได้ และของหวานล้างปากที่เริ่มจากผลไม้ Apple Ourin แอปเปิลเนื้อหวานกรอบจากจังหวัดอะโอะโมะริปอกให้กินแบบสดๆ และ Warabimochi วะระบิโมจิราดน้ำเชื่อมคุโระมิตสึและผงคินะโกะ ปิดท้ายมื้ออย่างแฮปปี้ คอร์สโอมากาเสะที่ Yotsuha Sushi ราคา 4,500 บาท ++ ตัวร้านมีเพียง 8 ที่นั่ง เพื่อที่เชฟคุมะจะได้ปั้นซูชิให้ลูกค้าทุกคนอย่างใส่ใจ อยากลิ้มลองซูชิแบบดั้งเดิมที่ชูรสชาติของวัตถุดิบอย่างประณีต ไม่ปรุงแต่งมากเกินไป และมีวัตถุดิบหลากหลายให้ลิ้มลอง ที่นี่น่าจะถูกใจเลยล่ะ

จากร้านยากิโทริในบรรยากาศบ้านโบราณของญี่ปุ่นแห่งเอกมัยที่ Michelin Guide แนะนำ ตอนนี้เชฟ Kenichi Nagata เปิดบ้านหลังใหม่ย่านอโศกในพื้นที่ของโรงแรม Sotetsu Grand Fresa Bangkok Hotel พร้อมยกเมนูซิกเนเจอร์มาให้ได้ลิ้มลองกันใกล้ขึ้น แต่พิเศษยิ่งกว่าเดิมตรงที่เสิร์ฟมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่น และมีมื้อกลางวันสำหรับชาวออฟฟิศด้วย เพราะเสน่ห์ของ Gen คือเมนูย่างถ่าน ภายในร้านจึงมีโซนกระจกใสล้อมรอบด้วยเคาน์เตอร์บาร์ให้เห็นเชฟบรรจงย่างแต่ละเมนูอย่างพิถีพิถัน ถ่านที่ใช้ในร้านเป็นถ่านขาว (Bincho Tan) สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมอวลให้วัตถุดิบแต่ละชนิด ควันน้อย และคุมอุณหภูมิได้ง่าย มาถึงที่นี่แล้วอย่าพลาด Hitachi Wagyu Striploin Steak เนื้อจากบ้านเกิดของเชฟที่จังหวัดอิบารากิ รสเข้มข้นแต่ไม่มันมากเกินไป สั่งได้ทั้ง A4 และ A5 เสิร์ฟพร้อมกระเทียมย่าง พริกญี่ปุ่นหรือกระเจี๊ยบย่างเกลือ วาซาบิ และพริกไทยดำที่เชฟนำไปดองเกลือ Jidori kushi Yaki 8 ไก่ของที่ร้านส่งตรงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เชฟนำมาทำเป็นยากิโทริ 8 ไม้ ทั้งส่วนเนื้อและเครื่องในที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติแตกต่างกัน ไฮไลต์อยู่ที่ลูกชิ้นไก่โฮมเมดรสชาติกลมกล่อมจับคู่กับไข่แดงดิบ Unajyu ข้าวหน้าปลาไหลที่ใช้ปลาไหลสดจากญี่ปุ่นเท่านั้น นำมาย่างบนเตาถ่าน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะที่เมื่อกินด้วยกันแล้วอร่อยมาก เสิร์ฟพร้อมซุปและผักดอง รวมถึง Salmon and Ikura Donabe Gohan ข้าวอบหม้อดินเสิร์ฟร้อนแบบควันฉุย อัดแน่นด้วยแซลมอน อิคุระ เห็ด และหัวไชเท้าหั่นเต๋า กลิ่นหอมและรสชาติดีมาก ปิดท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อ Matcha Fondue ที่ใช้มัตฉะพรีเมียมจากเกียวโต จับคู่กับกล้วย สตรอว์เบอร์รี ช็อกโกแลตมาร์ชแมลโลว์โฮมเมด สปันจ์เค้กโฮมเมด และโมจิโฮมเมด ส่วนสายกินดื่มที่ร้านเสิร์ฟสาเกเซ็ตที่เลือกได้หลายแบรนด์ รวมถึงค็อกเทลอย่าง Spicy Ginger Ale ไฮไลต์อยู่ที่จินเจอร์เอลรสสดชื่นที่เชฟ Kenichi  ทำเอง เอาเป็นว่าบ้านหลังใหม่ดีงามไม่แพ้ที่เอกมัยเลย