สมกับเป็นเมืองที่จำลองความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ได้ทั้งบรรยากาศและร้านอาหาร เพราะที่ Harajuku Thailand สุวินทวงศ์ มีร้าน Tonkotsu Kazan ร้านราเมนสุดเจ๋งจากจังหวัดโอซากาที่เปิดตั้งแต่ ค.ศ.1966 มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ไฮไลต์ของร้านนี้คือ ‘ราเมนภูเขาไฟ’ ราเมนเส้นสดในชามหินกระทะร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาเสิร์ฟจะครอบด้วยฝาสีแดงทรงสูง ไอระอุจากน้ำซุปร้อนๆ ในชามหินจะพวยพุ่งขึ้นด้านบน อดใจรอประมาณ 1 นาที เส้นราเมนและเครื่องในชามจะร้อนได้ที่ กินเส้นหมดแล้วเติมข้าวลงไปในน้ำซุปเป็นการปิดท้าย เราแนะนำ Kazan Karamiso เส้นใหญ่เหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูรสเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นแบบเผ็ด กลิ่นหอมและเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ส่วนใครชอบความอลังการอย่าพลาด คะซังสุกี้ยากี้หมู น้ำซุปหวานและกลมกล่อมจากผักและเนื้อหมูสามชั้นที่วางเรียงทรงสูงเหมือนภูเขา รอให้น้ำซุปเดือดปุดแล้วสาวเส้น เข้าปากได้เพลินๆ ปิดท้ายด้วย Chashu Shoyu Ramen ราเมนที่มีทีเด็ดเป็นหมูชาชูชิ้นนุ่มที่ผ่านการตุ๋นในซอสสูตรลับของทางร้านจนฉ่ำจนแทบจะละลายในปาก ส่วนน้ำซุปก็ดีงาม ซดได้จนหยดสุดท้าย

ด่ำดิ่งสู่โลกใต้น้ำที่ Kaijin ร้านโอมากาเสะที่เป็นเหมือนห้องลับในร้าน Vapor หมู่บ้านนิชดาธานีที่คุณตั้ม ณฐกร แจ้งเร็ว เจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเลไทยที่อุดมไปด้วยปลารสชาติดีไม่แพ้ที่อื่น   Kaijin หมายถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ผูกโยงกับคอนเซ็ปต์ร้านที่ว่ามื้อนี้จะได้กินอะไร ปล่อยให้ทะเลเป็นผู้กำหนด วัตถุดิบในแต่ละวันขึ้นจึงอยู่กับปลาที่เจ้าตัวออกเรือไปตกได้และปลาที่ได้จากกลุ่มชาวประมงจากหลายจังหวัดซึ่งคุณตั้มได้ลงถ่ายทอดวิธีปลิดชีพปลาแบบอิเคะจิเมะ ก่อนส่งตรงมาถึงที่ร้าน ผ่านการหมักบ่มแบบที่เจ้าตัวถนัด คอร์สโอมากาเสะปลาไทยของที่นี่จึงน่ามาลองเป็นอย่างยิ่ง ความสนุกของการมาที่นี่คือเรื่องงานดีไซน์ คุณตั้มตั้งใจเซ็ตไลท์ติ้งในร้านให้เหมือนแสงรำไรใต้ท้องทะเล เพดานทำเป็นลวดลายเกลียวคลื่น ส่วนโลโก้ของร้านมาจากศิลปะจากกองทรายที่ปลาปักเป้าสายพันธุ์ฟุกุตัวผู้ใช้เวลา 7 วันค่อยๆ สร้างเพื่อหาคู่และจะโดนน้ำทะเลซัดหายไปในที่สุด เราได้ลอง Sashimi Platter ปลาดิบรวมที่มีทั้งปลาสละเนื้อสีชมพู เด้งสู้ฟัน ข้างๆ กันปลากุเลา เชฟนำมาสะดุ้งด้วยน้ำสต๊อกปลาแห้งเพื่อให้หนังสุกนิดๆ จากนั้นแล่เสิร์ฟโดยเนื้อยังคงความสดอยู่ และปลาอินทรีย์ที่นำไปชิเมะ (ดองด้วยน้ำส้มสายชู) จนได้รสเปรี้ยวสดชื่น จากนั้นนำมาอะบุริหรือเผาที่หนังให้กลิ่นหอม กินคู่เครื่องเคียงอย่างมะระดอง ที่ดองนานกว่า 60 วัน กินแล้วจะเหลือเพียงรสขมบางๆ และโชยุปรุงพิเศษ Ceviche ทางร้านชูวัตถุดิบเป็นปลาช่อนทะเลที่มีเนื้อชมพู กรอบเด้งสู้ฟัน ส่วนน้ำสลัดทำจากน้ำส้มขาวของญี่ปุ่น บ่มไว้ 1 คืนกับหอมหัวใหญ่ที่ผัดจนเป็นสีน้ำตาลเพื่อให้ได้รสอูมามิ จากนั้นปรุงด้วยเกลือ น้ำเลมอน เคียงด้วยมันยามะฮิโมะ มะเขือเทศเชอร์รี่กงฟีต์ และอะโวคาโด้เบิร์นเพิ่มความมัน และชิปส์มันหวาน ส่วนกรานิต้าได้จากน้ำสลัดในจานนั่นเอง ปิดท้ายด้วยหอยมะระตุ๋นเสิร์ฟกับ Risso Pasta (เส้นพาสต้าที่ทำเลียนแบบเม็ดข้าวริซอตโต) เชฟนำริสโซ่ไปผัดกับตับของอาวาบิ (หอยเป๋าฮื้อ) และตับของหอยมะระจนได้ครีมซอสรสเข้มข้นและหอมจรุง ท็อปด้วยหอยตุ๋นสไลซ์บาง เนื้อหอยนุ่มละมุน ได้รสเค็มอ่อนๆ จากอิคุระ

 Kensho Omakase ร้านโอมากาเสะกึ่งอาร์ตแกลเลอรีที่ตั้งอยู่ในโครงการ K Village ซอยสุขุมวิท 26 เป็นการรวมตัวจากกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 7 คน สู่เจ้าของร้านโอมากาเสะสุดเก๋ที่มีแพชชันในการตระเวนหาของอร่อยจนอยากลองเปิดร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Omakase & Gallery Arts เป็นการกินโอมากาเสะที่แตกต่างออกไปจากเดิม เพิ่มเติมคือนั่งชมผลงานภาพวาดแคนวาสที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูอาหารสู่ภาพวาดจนเกือบทำให้น้ำลายสอ บรรยากาศสุดโมเดิร์นดีไซน์มินิมอลสีขาวครีมดูเรียบหรู แฝงด้วยเอกลักษณ์อันสวยงามและน่ารักของญี่ปุ่น มีเคาน์เตอร์บาร์ประดับด้วยกระเป๋าและแจกันจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) วางเรียงกันแบบมีสไตล์ สำหรับเมนูเป็นการผสมผสานระหว่างเอโดะและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ผ่านการรังสรรค์โดยเชฟคนไทยมากฝีมือ บรรจงปรุงในแต่ละคำอย่างประณีตและพิถีพิถัน ตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมียมส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นแบบวันต่อวัน รังสรรค์ออกมาเป็นทั้ง 16 คอร์สเมนู อาทิ Ankimo Toast ตับปลามังก์ฟิชบดจนเนื้อเนียน เสิร์ฟบนโทสต์ขนมปังญี่ปุ่นหอมๆ รสครีมมี่  ต่อด้วย Chutoro แฟนๆ ชูโทโร่ไม่ควรพลาด ส่วนที่ดีที่สุดของปลาทูน่าวางบนข้าวปรุงรส ท็อปด้วยเห็ดทรัฟเฟิลจากประเทศอิตาลีเกรดสูงสุด ที่เชฟขูดแบบพูนๆ ทั้งกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลและความนุ่มของเนื้อปลาผสมผสานรสชาติเข้ากันได้อย่างลงตัวและ Akami Tsuke ปลาทูน่าเนื้อแดงฉ่ำ หั่นมาเนื้อหนากำลังดี เคลือบด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติหวานและเค็มลงตัว สัมผัสได้ถึงความสดของปลา ซิกเนเจอร์ที่มาแล้วห้ามพลาดที่ต้องสั่งเพิ่มกับ Uni Toast บอกเลยว่าถูกใจสาวกที่ชื่นชอบอุนิ โทสต์ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยเลอยอร์โอโทโร่ย่างสุกเนื้อชุ่มฉ่ำ ท็อปด้วยอุนิบาฟุนและคาเวียร์แบบพูนๆ ซึ่งเกรดอุนิท็อปสุดขนาด 800 กรัม บรรจุในกล่องเรือหรือเกวียนซึ่งจะเห็นได้น้อยในร้านอาหารญี่ปุ่น แสดงถึงความพรีเมียมที่ต้องแย่งชิงจนกว่าจะได้มา เพิ่มความพิเศษด้วยการเสิร์ฟในจานสุดน่ารักจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ปิดท้ายด้วย Yuzu Honey Pearl เครื่องดื่มที่มีลูกเล่นสามารถเปลี่ยนสีได้ รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และมีไข่มุกให้เคี้ยวหนึบๆ

ใครเป็น “ข้าวด้งเลิฟเวอร์” เร่เข้ามาทางนี้ เพราะ Shichi Japanese Restaurant ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมหมายเลข 7 เขารังสรรค์ “Extreme Don Party” ซีรีส์ดงบุริใหม่แกะกล่อง ที่ให้สายฟู้ดลิ้มลองข้าวด้ง 6 หน้าต่างสไตล์ด้วยกัน เสิร์ฟเฉพาะสาขาสยามสแควร์ (ที่เรามา) อารีย์และชิดลมเท่านั้น พร้อมเสพบรรยากาศคึกคักที่เต็มไปด้วยของตกแต่งจากอนิเมะญี่ปุ่นชื่อดังที่มองแล้วเพลินตาดี ชามแรกเราขอลอง Salmon Lava Don ข้าวด้งหน้าแซลมอนเนื้อสดสับละเอียด คลุกเคล้าเกลือสีชมพูและน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ ท็อปด้วยไข่แดงดองออร์แกนิกส์ซอสสึเกะ อิกุระเม็ดใหญ่ และเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบด้วยข้าวพองโฮมเมด ตามด้วย Una Chu Ra Don ดงบุริสำหรับคนรักปลา เพราะเป็นการรวมตัวกันของอากามิเนื้อสีชมพูสวย หมักด้วยซอสทงคัตสึ อูนางิได้รสเค็มหวานจากซอสเทอริยากิ และอากามิรสเค็มได้ที่ ตกแต่งด้วยงาขาวหอมๆ และต้นหอมญี่ปุ่น Shichi Don ข้าวด้งที่ดัดแปลงมาจาก Shichi Roll หนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน แซลมอนชิ้นพอดีคำเบิร์นไฟให้หอม กินคู่เทมปุระทอดกรอบร้อนจี๋ ราดซอสเทอริยากิ และซอสเมนไทโกะสูตรลับ ตกแต่งด้วยไข่กุ้งพรีเมี่ยมแบบล้นๆ ยังมี Ebi Lava Don ที่โดดเด่นด้วยกุ้งอากะเอบิตัวใหญ่เนื้อสดน่าลิ้มลองเป็นที่สุด เข้าคู่กับอิกุระเม็ดโตๆ และไข่แดงออร์แกนิกส์ดองซอสสึเกะรสเข้มข้น Kaiyo Tem Don ข้าวด้งสุดคุ้มที่ให้คุณเอ็นจอยกับปลาฮามาจิเนื้อนุ่ม แซลมอนเนื้อหวานและเอ็นกาวะ กินกับเทมปุระกรุบกรอบราดซอสเทอริยากิ และไข่โทบิโกะ สุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) เป็น Playground Don ข้าวญี่ปุ่นเนื้อหนึบ กินกับไข่หวานโฮมเมดชิ้นใหญ่ แซลมอนจากดินแดนอาทิตย์อุทัย และอิกุระที่หลายคนชอบ Salmon Martini เส้นแซลมอนเนื้อหวาน จุ่มซอสพอนสึรสเปรี้ยวกลมกล่อม เคล้าความครีมมีของไข่แดงออร์แกนิกส์ เสิร์ฟมาในแก้วค็อกเทลสวยงาม แล้วสั่ง Salmon Party มาปิดท้ายปาร์ตี้รื่นเริงนี้อย่างสมบูรณ์ แคลิฟอร์เนียโรลชิ้นโตๆ ถูกห่อหุ้มด้วยภูเขาไฟแซลมอนเนื้อสด ด้านบนปักไฟเย็นมาอย่างอลังการ ใครเห็นเป็นต้องแชะรูปลงโซเชียลทุกราย

ย้ายจากโลเคชั่นเดิมมาอยู่ที่ The St. Regis Bangkok ได้สักพักแล้วสำหรับ “Sushi KiShin” โอมากาเสะขวัญใจสายฟู้ด ที่ครั้งนี้มาในบรรยากาศเรียบง่าย สงบและเป็นธรรมชาติสไตล์ Wabi-Sabi ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นฝีมือดี ตัวผนังทำจากทรายเนื้อละเอียด ทาด้วยสีที่สกัดจากลูกพลับ เข้ากันกับเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ทโทนที่ครีเอทจากเส้นใยสับปะรด ตอกย้ำแนวคิดวาบิ-ซาบิ ฉบับญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี พร้อมให้คุณลิ้มลองจานอร่อยฝีมือ เชฟซาโตชิ ทีซูรุเช่นเคย เชฟชาวญี่ปุ่นมากประสบการณ์ในวงการอาหารญี่ปุ่นมานานกว่า 14 ปี ซึ่งเคยทำงานเป็นดีเจและนักเต้นที่กรุงนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายมาทำงานที่ร้านซูชิเลื่องชื่อในย่านกินซะ (Ginza) แห่งเมืองโตเกียว สำหรับชื่อร้าน ในภาษาญี่ปุ่น คำว่า Ki (กิ) หมายถึง ปาฏิหาริย์หรือสิ่งมหัศจรรย์ รวมกับคำว่า Shin (ชิน) ที่แปลว่า สิ่งใหม่ๆ รวมแล้วจึงเป็น KiShin ‘ความมหัศจรรย์ใหม่ๆ’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวชีวิตในกรุงเทพฯ ของเชฟซาโตชินั่นเอง เริ่มต้นคอร์สกันที่จานเรียกน้ำย่อยสไตล์เย็น Shiro / Ebi Tuna / Zalma Karasumi กุ้งหวานสีขาวสัญชาติญี่ปุ่นสับละเอียด เสิร์ฟเคียงเนื้อทูน่า 2 ส่วน ได้แก่ อะทะมิ (เนื้อส่วนกลางลำตัวไม่มีไขมัน) และชูโทโร่ (เนื้อส่วนใกล้ครีบ) ไข่ปลากระบอกสีเหลือง และข้าวพองโฮมเมดกรุบกรอบ ท็อปด้วยคาเวียร์รสเค็มกลมกล่อมเลอค่า ตามด้วย Ankimo Nimono ตับปลามังค์ฟิช ที่ได้สมญานามบนจานอาหารว่า ‘ฟัวกราส์แห่งท้องทะเล’ ต้มโชยุสูตรลับเฉพาะของทางร้าน ทำให้ได้รสเค็มหวานกลมกล่อม เสิร์ฟคู่วาซาบิสดรสเผ็ดซ่า Hotate / Kuruma Ebi Sunomono หอยเชลล์โฮตาเตะตัวอวบอ้วนเนื้อสด บวกกับกุ้งลายเสือจากดินแดนอาทิตย์อุทัยเนื้อหวาน ราดซอสสูตรลับของเชฟที่ให้รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น โรยหน้าด้วยกลีบดอกไม้หอมกรุ่น มาอุ่นท้องกับซุปร้อนๆ กันบ้าง Amadai Ankage Fukahire ปลากระพงเกล็ดอ่อนทอดอย่างดีจนได้เนื้อฉ่ำใน แต่ผิวนอกกรอบน่าชิม เข้ากันกับซุปหูฉลามร้อนๆ รสนุ่มนวล Kyoho ล้างปากสักหน่อย น้ำองุ่นเคียวโฮรสหวานฉ่ำ มาพร้อมองุ่นเคียวโฮลูกโตๆ เนื้อสัมผัสดี พร้อมให้เราไปต่อกันกับนิกิริซูชิได้อย่างต่อเนื่อง ว่าแล้วก็ประเดิมด้วย Kinmedai คินเมะได (ปลากะพงแดงตาโต) ราชาแห่งท้องทะเลน้ำลึก เนื้อสีขาวให้สัมผัสนุ่มนวล มีรสหวานเล็กน้อย คำนี้ฟินสมที่รอคอยจริงๆ ต่อกันกับ Nodoguro Unidon ข้าวญี่ปุ่นหุงด้วยน้ำส้มสายชูอย่างดี คลุกเคล้ากับอูนิพรีเมี่ยมเกรดประมูล ให้รสเค็มนุ่มนวล กินกับพระเอกของจานอย่าง โนโดกุโระ (ปลากะพงสีชมพู) ที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น ราชาแห่งปลาเนื้อขาวที่สายฟู้ดควรลิ้มลองสักครั้ง  โดดเด่นด้วยเนื้อสัมผัสที่นุ่มเนียน มีความหวานเล็กน้อย เต็มไปด้วยไขมันดี Chutoro เนื้อส่วนท้องกลางลำตัวใกล้กับครีบ หรือท้องส่วนหลังของมากุโระ ให้สีชมพูเข้มสวยน่าลิ้มลอง เนื้อแน่นนิดๆ เด้งหน่อยๆ ผสานความนุ่มของไขมัน ทาโชยุโฮมเมดรสชาติดี Kamasu โรลพรีเมี่ยมที่เชฟนำตัวข้าวไปคลุกเคล้ากับงาสามสี และเมียวงะ (ดอกขิงญี่ปุ่น) รสเผ็ดร้อนแรง ด้านบนเป็นคามาสึ (ปลาน้ำดอกไม้) เนื้อหวานแถมยังมีไขมันน้อย ก่อนเสิร์ฟเชฟจะเบิร์นด้วยถ่านยูคาลิปตัส ส่งกลิ่นหอม คำสุดท้ายเป็น Uni ซูชิปั้นสดหน้าอูนิที่สายฟู้ดรอคอย ไข่หอยเม่นหนามสั้นเกรดประมูล ทาด้วยซอสโชยุโฮมเมดรสหวานเค็ม ปิดท้ายด้วยของหวานก็สมบูรณ์

เมื่อ ”ธรรมชาติให้วัตถุดิบ อิชิกะสร้างสรรค์รสชาติ” Ichika Omakase ร้านโอมากาเสะสุดพรีเมียมใจกลางกรุง ที่จะทำให้คุณอิ่มเอมใจกับวัตถุดิบคุณภาพ และการปรุงอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนจนจบคอร์ส ทุกเมนูของอิชิกะรังสรรค์ด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่หาได้ยาก อาทิ ถุงสเปิร์มปลาปักเป้า ตับปลามังค์ฟิช หูฉลาม และปลาอินทรีย์ลายจุด ซึ่งคัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุดพร้อมปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาลนั้นๆ แต่สิ่งที่อิชิกะยึดมั่นคือการคงรสชาติของวัตถุดิบเอาไว้ ด้วยกรรมวิธีการปรุงที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อขับเน้นรสชาติและรสสัมผัสออกมาให้ได้มากที่สุด ตามคอนเซ็ปต์ “Culinary Creativity in Full Flavor” สำหรับมื้อนี้มีทั้งหมด 17 คอร์ส ราคา 4,700 บาทต่อหนึ่งที่นั่ง รับรองว่าทุกคนจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของวัตถุดิบแต่ละชนิด และการรังสรรค์แต่ละเมนูโดยเชฟมากฝีมือ เริ่มต้นที่เมนูแนะนำอย่าง Ankimo Nisuke ตับปลามังค์ฟิช (Monk Fish) เป็นตับปลาต้มซีอิ๊ว น้ำซุปหอมกลิ่นสมุนไพร ขิง และซีอิ๊ว รสเค็มนิดๆ มีรสสัมผัสเนียนนุ่ม จนได้รับการขนานนามว่า Foie Gras of The Sea ถัดมาคือ Sawara ซาชิมิปลาอินทรีย์ลายจุดเบิร์นไฟเล็กน้อยก่อนหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ มีรสสัมผัสนุ่ม ได้รสเปรี้ยวจากพอนสึ และหอมกลิ่นสโมกจากไม้ซากุระ ช่วยเสริมรสได้ดีทีเดียว ต่อด้วย Fugu Shirako ถุงสเปิร์มปลาปักเป้าย่างถ่าน วัตถุดิบชั้นเลิศประจำฤดูใบไม้ผลิ เชฟนำไปย่างบนเตาด้วยไฟอ่อน เพื่อไม่ให้ความครีมมี่ด้านในหายไป พร้อมทาซอสโชยุกลิ่นหอมอบอวล เสิร์ฟบนข้าวปั้นอุ่นๆ มีความนุ่มนวลของรสชาติ แต่ออกเค็มเล็กน้อยจากซอสโชยุ Kurumaebi กุ้งลายเสือไซส์ใหญ่จากทะเลตอนใต้ของญี่ปุ่น เชฟลวกระดับ Medium Rare เสิร์ฟทั้งตัวบนข้าวปั้นที่คลุกมันกุ้งในรูปแบบซูชิ เนื้อกุ้งสดหวานและเด้งสู้ฟัน Fugahirei ซุปหูฉลามเคี่ยวกับกระดูกปลา ผัก และสมุนไพร ปรุงรสด้วยมิรินหรือเหล้าญี่ปุ่นที่ให้ความหวาน เพิ่มรสเค็มด้วยโชยุ ตัดด้วยรสเปรี้ยวจากข้าวญี่ปุ่น อูมามิมาก Toro ส่วนท้องของทูน่า Blufin เชฟทำการ Aging ไว้ 16 วัน เพื่อเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นมาพร้อมรสสัมผัสนุ่มๆ ละลายในปาก เสิร์ฟบนข้าวซูชิที่หมักน้ำส้มสายชูไว้ถึง 7 ปี อร่อยกลมกล่อม ตามด้วย Uni อูนิมุราซากิ เสิร์ฟคำใหญ่แบบไม่หวงของ ได้รสหวานฉ่ำ ฟินไม่น้อย Anago ปลาไหลทะเลส่งตรงจากทะเลญี่ปุ่น เชฟนำไปต้มก่อนเสิร์ฟแบบซูชิ เพิ่มรสชาติด้วยซอสกระดูกปลาไหลต้มซีอิ๊ว เคี่ยวกับขิง กระเทียม ได้รสเค็มๆ หวานๆ กลิ่นหอมเตะจมูก ล้างปากกันด้วย Tamago Yaki หรือไข่หวานที่ไม่มีส่วนผสมของแป้ง เชฟนำไข่ไปบดกับกุ้ง ขึ้นฟูด้วยการตีไข่ขาวอัดเป็นฟองอากาศแทนแป้งก่อนนำไปอบและย่าง ให้เนื้อเด้งนุ่มฟู ได้รสหวานเล็กน้อยจากหญ้าหวาน เป็นเมนูของคาวรองสุดท้ายก่อน Soup กระดูกปลา ปรุงรสด้วยเกลือทรัฟเฟิล อร่อยกลมกล่อม ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยของหวาน เชฟบริการเป็น เมลอน คุมาโมโตะ กับ ชีสเค้ก ฮอกไกโด ประทับใจตั้งแต่เริ่มตลอดจนจบคอร์สเลยทีเดียว สำหรับท่านใดที่สนใจอยากลิ้มรสโอมากาเสะสุดพรีเมียม อิชิกะมีหลากหลายราคาให้เลือกทั้งมื้อกลางวัน 1,700 / 2,700 และ 3,700 บาท ส่วนมื้อค่ำมีให้เลือกตั้งแต่ราคา 3,700 / 4,700 / 6,700 และ 9,700 บาท (ต่อหนึ่งที่นั่ง)

คนรักอาหารญี่ปุ่นเตรียมพบกับ Karamenya Masumoto” ร้านราเมนรุ่นเก๋าแห่งจังหวัดมิยาซากิ  ประเทศญี่ปุ่น ที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ปี 1987 และมีเมนูซิกเนเจอร์ที่สายฟู้ดพลาดไม่ได้คือ ‘ราเมนเผ็ด’ สูตรเด็ดประจำร้านซึ่งสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ตามชอบ นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปอีกหลายชนิดที่รสชาติดีไม่แพ้กัน อาทิ ซุปโชยุ ซุปมะเขือเทศ และซุปขาว พร้อมเสิร์ฟแล้วที่ เซ็นทรัล พระราม 9 สาขาแรกในเมืองไทย เรียกน้ำย่อยกันด้วย เกี๊ยวซ่า แป้งบางกริบ ห่อไส้หมูเนื้อแน่น ได้กลิ่นหอมของพริกไทยเล็กน้อย ราดน้ำจิ้มรสเค็มผสานเปรี้ยว ต่อด้วย กระดูกอ่อนหมูตุ๋นมาซึโมโตะ ชิ้นใหญ่ๆ น่ากินเป็นที่สุด ให้เนื้อสัมผัสนุ่มเปื่อยแทบละลายในปาก เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มสูตรเฉพาะที่ให้รสเค็มเผ็ดกำลังดี มาถึงราเมนกันบ้าง ชามแรกเราลองชิม คาระเม็งซุปโชยุ เส้นเล็กโฮมเมดเหนียวนุ่ม อยู่ในน้ำแกงโชยุรสกลมกล่อม ซึ่งปรุงจากโชยุชั้นดี ผสานกับพริกสัญชาติญี่ปุ่นในระดับความเผ็ดพอเหมาะ แต่หากใครชอบรสเผ็ดร้อนมากขึ้นก็สามารถเพิ่มความเผ็ดได้เช่นกัน คาระเมงซุปขาว ก็น่าสนใจ ตัวน้ำซุปเบสมาจากน้ำนมถั่วเหลือง ได้รสเค็มเล็กๆ จากเกลือโกจิชั้นดี ซู้ดพร้อมเส้นราเมนต้นตำรับ ซึ่งทำจากแป้งสาลีและแป้งโซบะ ให้สัมผัสเหนียวนุ่มกินอร่อย พร้อมหมูชาชูชิ้นใหญ่ๆ คาระเมงซุปมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยวนุ่มนวล ใครชิมเป็นต้องติดใจ ท็อปด้วยชีสครีมมียืดๆ และหมูสับ มหาศาล

เพิ่งครบ 1 ปีไปเมื่อเร็วๆ นี้ No Name Noodle ร้านราเมนไร้ชื่อในซอยสุขุมวิท 26 ที่ติดอันดับร้านจองยาก ด้วยจำนวนชามที่จำกัดเพียง 35 ชามต่อวัน กับที่นั่ง 7 ที่หน้าเคาน์เตอร์และอีก 1 โต๊ะไพรเวต นำโดยเชฟชิน เชฟราเมนมาดเท่ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เพราะอยากให้คนกินโฟกัสไปที่เรื่องรสชาติเป็นอันดับแรก ทางร้านจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเรียงนามมากนัก หัวใจหลักของ No Name คือน้ำซุปรสชาตินุ่มลึกและแปลกใหม่ ไปด้วยกันได้ดีกับเส้นราเมนที่เชฟบรรจงจัดเรียงทีละเส้นอย่างสวยงาม เมนูของทางร้านมีไม่มากแต่ทำทุกชามอย่างพิถีพิถัน เริ่มที่ Hotate and Asari Tenrei Shio Soba ราเมนซุปเกลือรสกลมกล่อมไม่หนักลิ้น ดาชิได้จากสาหร่าย ปลาแห้ง และหอยอาซาริต้มด้วยกัน แนะนำให้ลองชิมแบบออริจินัลก่อน จากนั้นค่อยเติม Duxelles เห็ดลงไปในชาม จะได้น้ำซุปรสชาติใหม่ ตัดเลี่ยนด้วยซอสยูซุแบบข้นเพิ่มกลิ่นรสสดชื่น Kombusui Tsuke Soba เสิร์ฟแยกเป็นชามเส้นและชามน้ำซุป ตัวเส้นแช่อยู่ในน้ำซุปดาชิเย็นที่ทำจากสาหร่ายคอมบุและปลาแห้งคัตสึโอะ เมนูนี้เชฟชินอยากให้ลองชิมเส้นก่อน จากนั้นเหยาะเกลือลงไปเล็กน้อยเพื่อดึงรสชาติของเส้นให้เด่นขึ้น ปิดท้ายด้วยการจุ่มเส้นลงไปในน้ำซุปเข้มข้นจะได้รสที่แตกต่าง ส่วนที่เคาน์เตอร์จะมีน้ำส้มสายชูบ๊วยและน้ำมันพริกไทยญี่ปุ่นไว้ให้ปรุงรสอีกด้วย ปิดท้ายกับเมนูพิเศษ Akkeishi Hokkaido Oyster Kombusui Shio Tsuke Soba ไฮไลต์อยู่ที่หอยนางรม Niboshi 2 รสชาติ ทั้งแบบต้มในน้ำซุปเพื่อให้ได้รสอูมามิ และแบบซูวีดแล้วหมักซอสจนได้ทอปปิงสุดน่ากินในชาม ใครจองไม่ทันไม่ต้องเสียใจ ทางร้านมี Limited Edition Delivery Box ที่ในกล่องจะมีเส้น น้ำซุป และทอปปิ้งให้สั่งไปกินที่บ้านได้เช่นกัน จองผ่าน www.tablecheck.com

เปิดสาขาใหม่ให้คนรักซูชิได้ตามไปเช็คอินอีกแล้วสำหรับ SUSHi PLUS ร้านซูชิสายพานเกรดพรีเมียมที่คราวนี้ทางแบรนด์เลือกมาปักหลักที่ เซ็นทรัล พระราม 3 ตัวร้านกว้างขวางเหมาะกับกลุ่มครอบครัวเช่นเคย ที่มาพร้อมซูชิคุณภาพอันรังสรรค์จากวัตถุดิบจากดินแดนอาทิตย์อุทัย จานอร่อยอาลาคาร์ตต่างๆ และของหวานซิเนเจอร์รสชาติดีไม่แพ้ใคร ต้อนรับด้วย สเต๊กเนื้อลูกเต๋าออสเตรเลีย เนื้อสัญชาติออสเตรเลียนุ่มชุ่มฉ่ำ ย่างอย่างดีให้กลิ่นหอม จิ้มเกลือสีชมพูและกระเทียมทอด หอยเชลล์ย่าง & แซลมอน เหมาะสำหรับคนรักซีฟู้ดอย่างยิ่ง หอยเชลล์เนื้อหวาน และแซลมอนเนื้อสด เบิร์นไฟให้หอม บีบมะนาวซีกเล็กน้อยเข้ากัน เอาใจแซลมอนเลิฟเวอร์ด้วย แซลมอนเบิร์น 4 รส ซูชิแซลมอนคำโตๆ ท็อปด้วยซอสต่างๆ ได้แก่ ซอสสไปซี่ รสเผ็ดกำลังดี และซอสมายองเนสครีมมี โรลแซลมอน ข้าวญี่ปุ่นกินอร่อย โรลด้วยแซลมอนเบิร์ฟไฟและซอสสูตรลับรสกลมกล่อม ตามด้วย มันปูย่าง หอมๆ รสเค็มได้ที่ กินพร้อมปูอัดรสหวาน เมนูนี้ดีงาม ไข่ตุ๋นอิกุระทรัฟเฟิล ไข่ตุ๋นสไตล์ญี่ปุ่นเนื้อนุ่มเด้ง เข้ากันดีกับไข่ปลาแซลมอนรสเค็มกลมกล่อม และซอสทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ซดน้ำซุปร้อนๆ ด้วย ซุปมิโซะหอยลาย หอยลายเนื้อเด้ง และแซลมอนหั่นเต๋า อยู่ในน้ำแกงรสนุ่มนวล ชิมได้เพลินๆ ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง บัวลอยงาดำ บัวลอยสอดไส้งาดำหอมมัน รสหวานพอดี ทอดให้ร้อนจี๋ จิ้มนมข้นหวาน และ ชีสเค้ก ฐานล่างเป็นครัมเบิ้ลกรุบกรอบ หอมกลิ่นเนย เข้าปากพร้อมครีมชีสและน้ำตาลเบิร์นไฟ เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาชื่นใจ ประทับใจทุกครั้งที่มาเยือน

ร้านซูชิ ไซโตะ (Sushi Saito) ร้านซูชิระดับมิชลิน 3 ดาวจากญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อว่าจองยากมาก ได้ลดดีกรีความยากลงหน่อยแล้วเพราะทางร้านได้นำพาความอร่อยแบบต้นตำรับมาถึงถิ่นนักกินชาวไทยที่ โรงแรม โฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ (Four Seasons Bangkok) ย่านเจริญกรุงนี่เอง ร้านซูชิ ไซโตะ ประเทศไทย (Sushi Saito Thailand) ดูแลโดยเชฟมารุยามะ ผู้ซึ่งเคยทำงานที่ซูชิ ไซโตะ สาขาต้นตำรับที่โตเกียวและยังเคยดูแลสาขามาเลเซียมาก่อนจะมาประจำที่สาขาประเทศไทยแห่งนี้ ทางเข้าร้าน Sushi Saito Thailand ต้องเข้าจากฝั่งทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อผ่านประตูสไตล์ญี่ปุ่นเข้าไปจะพบห้องโถงใหญ่ที่มีบาร์เครื่องดื่มไว้คอยต้อนรับ ทางร้านให้บริการเป็นรอบ ได้แก่ มื้อกลางวันเวลา 12:00น. และมื้อเย็นเวลา 18:00น. และ 20:00น. เมื่อถึงรอบประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นจะเปิดออกเผยให้เห็นเคาน์เตอร์ไม้ยาวขนาด 8 ที่นั่งและเชฟมารุยามะซึ่งกำลังเตรียมเมนูอาหารอย่างตั้งใจ คอร์สโอมากาเสะเริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อยที่นำเสนอวัตถุดิบสดใหม่ที่คัดสรรมาจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ละวัน รอบที่เราได้ลิ้มลองจานแรกเป็น ปูขนญี่ปุ่น นึ่งเนื้อหวานละมุน ตามด้วย หมึกกล้วยญี่ปุ่น ไข่เต็มท้องตุ๋นจนนุ่ม กัดเบาๆ ก็ขาด และ หอยเชลล์ฮอกไกโด เนื้อสดหวานย่างจนผิวตึงห่อด้วยสาหร่ายกรอบๆ จิ้มพริกป่นญี่ปุ่นเพิ่มรสชาติ เคี้ยวเพลิน จานเรียกน้ำย่อยยังไม่หมด เชฟเสิร์ฟ ตับปลาอังกิโมะ ราดซอสที่ทั้งหวานละมุนและนุ่มละลายในปาก ตามด้วย โนโดกุโระ ปลาคอดำหรือปลากะพงสีชมพู ที่มีไขมันชุ่มฉ่ำย่างจนผิวกรอบและเนื้อในระอุ เสิร์ฟกับไชเท้าฝนและโชยุ ครบทั้งต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง ปูทางสู่คอร์สหลักที่เรารอคอย คอร์สหลักเป็นซูชิสไตล์เอโดะมาเอะเน้นรสชาติที่สดใหม่ของวัตถุดิบจากท้องทะเล เริ่มด้วยปลาเนื้อขาวซึ่งมีรสอ่อนก่อนจะไล่ระดับความเข้มข้นขึ้นไปในแต่ละคำ ฮิราเมะ คินเมะได และ โคะฮะดะ หรือปลาตะเพียนญี่ปุ่น เชฟมารุยะมะมีความพิถีพิถันในการรักษาอุณหภูมิอย่างมาก ข้าวอุ่นๆ และคำไม่ใหญ่ทำให้ได้รสชาติและสัมผัสที่ต่างกันของเนื้อปลาชัดเจน จากนั้นจึงเป็นมากุโระ หรือปลาทูน่า ไล่ระดับตั้งแต่ อะกะมิ ส่วนเนื้อแดงที่ไม่มีไขมัน ชูโทโระ ส่วนท้องสีชมพูมีมันแทรก และโอโทโระ เนื้อท้องส่วนหน้าที่มันที่สุด เนื้อปลาให้สัมผัสเนียนละเอียดและไต่ระดับความนุ่มนวลจนมาถึงโอโทโระที่แทบจะละลายในปากเลยทีเดียว จากนั้นเชฟกระชับรสสัมผัสด้วย สุมิอิกะ หรือหมึกกระดองเนื้อเด้งกรอบที่ชวนสดชื่น ตามด้วย คุรุมะเอบิ กุ้งลายเสือต้มเนื้อหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ และ อะจิ มาเบรกความหวานก่อนเข้าสู่เมนูพิเศษ (หากต้องการเมนูนี้ต้องบวกราคาเพิ่มจากคอร์สปกติ สามารถแจ้งได้ตั้งแต่ขั้นตอนการจองร้าน) เมนูพิเศษที่ว่าก็คือ อูนิ สายพันธุ์บาฟุนเกรดพิเศษเนื้อหวานนวลเนียนและฉ่ำอวลในปาก ปิดท้ายด้วย อะนะโกะ ปลาไหลทะเลย่างซอสเนื้อนุ่มฟู เสิร์ฟตอนที่กำลังอุ่นๆ พิถีพิถันในทุกคำจริงๆ เข้าสู่ช่วงท้ายของคอร์สด้วย โทโระทะคุอัน ข้าวห่อสาหร่ายไส้โทโร่สับกับไชเท้าดองกรุบกรอบ เสิร์ฟกับซุปมิโสะรสกลมกล่อม ปิดท้ายด้วย ทะมะโกะยากิ หรือไข่หวานเนื้อเนียนคล้ายคัสตาร์ด และ ซอร์เบต์ส้มไดไดกับเจลลี รสเปรี้ยวหวานเป็นการล้างปากอย่างสดชื่น เรียกว่าเป็นประสบการณ์กินซูชิที่ละเมียดละไมและเพลิดเพลินสมการรอคอยเลยล่ะ

ห้วยขวางก็ยังคงเป็นย่านขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย มีร้านอาหารมากมายตามตรอกซอกซอยต่างๆ ให้เราไปแวะเวียนตระเวนกินอยู่บ่อยๆ และบ้านสวยบนถนนประชาอุทิศแห่งนี้คือ Rakuzen Time ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดใหม่ของวัตถุดิบเกรดพรีเมียมที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น มาสู่จานอาหารโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญ ถึงจะเป็นร้านลับๆ แต่ก็เป็นร้านที่ยืนหยัดและอยู่คู่หมู่บ้านรัชดานิเวศน์มานานกว่า 4 ปี ด้วยความอร่อยจากความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบเพื่อนำมาประกอบอาหารแบบญี่ปุ่นขนานแท้ และยังมีบางเมนูที่ปรุงแบบฟิวชัน เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรสชาติและรสสัมผัส ภายในร้านดีไซน์ให้เป็นเหมือนบ้านเพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่มีเชฟคอยรังสรรค์อาหารให้รับประทาน พร้อมนั่งดูปลาคราฟแหวกว่ายไปมาในบ่อกลางบ้าน มื้อนี้เริ่มกันที่ Madai Sliced Ponzu ปลามาไดสไลซ์บาง จัดเสิร์ฟเป็นรูปดอกกุหลาบได้อย่างสวยงาม เคียงข้างมาด้วยซอสเจลาตินญี่ปุ่นสูตรเฉพาะของร้าน มีรสเปรี้ยวช่วยเพิ่มรสชาติ หรือจะจิ้มซอสพอนสึที่เข้ากันได้ดีกับปลาเนื้อขาวก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองมากินเมนูแบบสุ่มกันบ้างกับ Special Roll โรลที่รวมปลาหลากชนิดมาให้ในคำเดียว ซึ่งจะมีวัตถุดิบพิเศษที่เชฟแอบใส่ไว้ด้วย และที่เราได้คือเนื้อปลามาไดรสหวานฉ่ำ ท็อปด้วยโฮตาเตะเบิร์นไฟ มีงาขาวโรยด้านบนและได้รสเผ็ดนิดๆ จากซอสพริกสูตรลับของเชฟ ถัดมาคือ Ebi Tempura กุ้งเทมปุระกรอบนอกหนึบใน เนื้อกุ้งสดและเด้ง ให้รสหวานเล็กน้อย อร่อยได้โดยไม่ต้องจิ้ม ต่อด้วย Saga Wagyu Steak เนื้อวากิวส่วนติดมันจากซากะ ย่างมาให้ในระดับมีเดียมแรร์ มีความนุ่มและหอมกลิ่นย่าง กินคู่ผักย่างอร่อยเลิศ เพิ่มความอิ่มท้องด้วยเมนู ซูชิ จากเนื้อปลาสดทั้ง โอโทโร ชูโทโร และอาคามิ ตัดรสด้วยวาซาบิดองสูตรของ Rakuzen Time ยังอยู่กันที่เมนูซูชิอย่าง Hotate โฮตาเตะเนื้อขาวอวบ ท็อปมาด้วยไข่ปลาแซลมอน ได้รสหวานละมุนนุ่มลิ้นจากเนื้อหอยที่สดมากๆ ตามด้วย Uni ข้าวปั้นอูนิ ได้รสหวานฉ่ำและไม่มีกลิ่นคาว ตัดกับรสชาติของวาซาบิดอง อร่อยกลมกล่อม เมนูฟิวชันที่อยากแนะนำได้แก่ Pasta Sashimi ด้านในเป็นพาสตาเส้นสด โปะมาด้วยเนื้อปลามาได ทูน่า แซลมอน และฮามาจิ ที่คลุกเคล้ากับซอสสูตรเด็ด ให้ความสดชื่นด้วยรสเปรี้ยวและเผ็ด แนะนำให้กินรวมกันทุกองค์ประกอบทั้งยำสาหร่าย หอมญี่ปุ่นซอย และสาหร่าย รับรองถูกใจ แค่คำว่า “อร่อย” จากเราคงไม่พอ ทุกคนต้องลองไปชิมด้วยตัวเอง :)

 “Akimitsu Tendon” ร้านเทนด้งสุดเก๋าที่มีประวัติอันยาวนานกว่า 135 ปีแห่งเมืองโตเกียวการันตีความอร่อยด้วยรางวัลเหรียญทองชนะเลิศ ‘ราชาแห่งเทมปุระ ดงบุริ 8 สมัยซ้อน’ เจ้าของชื่อ ทานิฮาระ อะคิมิซึซัง หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในฉายาเทมปุระ มาสเตอร์รุ่นที่ 5 และทายาทร้านเทมปุระในตำนานที่เสิร์ฟความอร่อยมาตั้งแต่ยุคซามูไร ปัจจุบัน Akimitsu Tendon ขยายสาขาไปแล้วหลายประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย และเมืองไทยที่ ‘ไอคอนสยาม’ ห้างฯ ใหญ่ขวัญใจชาวฝั่นธนนั่นเอง ใครอยากลองชิมให้เดินตรงดิ่งมาที่ชั้น G ได้เลย จานแรกเราสั่ง Chicken Salad สลัดไก่ย่างชามใหญ่นี้ประกอบไปด้วย ไก่ย่างเนื้อแน่นหอมๆ ผักสดนานาชนิด ราดน้ำสลัดงาสไตล์ญี่ปุ่นรสสดชื่น ถือเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยได้ดี ตามด้วย Sashimi Mori Luxe เซ็ตซาชิมิเนื้อสดเด้งที่ให้คุณฟินไปกับ แซลมอน เนื้อหวาน มากุโระ ละลายในปาก ชิเมะ ซาบะ ปลาซาบะดองน้ำส้มสายชูไร้กลิ่นคาว ฮามาจิ เนื้อสด โฮตาเตะ เนื้อเด้ง อากะเอมิ กุ้งหวานอาร์เจนติน่ากินเพลิน และ อิคุระ ไข่แซลมอนรสเค็มกลมกล่อม เอาใจคนรักซูชิกันอย่างต่อเนื่องด้วย Salmon Lava Roll แซลมอนเบิร์นไฟ กินพร้อมซอสสไปซี่รสเข้มข้น ท็อปด้วยไข่กุ้งกรุบๆ และไข่แซลมอนที่เรารัก Akimitsu Signature Tendon ข้าวด้งซิกเนเจอร์ประจำร้าน อิ่มเอมกับอากาโกะ ปลาเนื้อขาวทอดอย่างดี เทมปุระ กรอบนอกนุ่มใน และผักชุบแป้งทอดต่างๆ เข้ากันดีกับน้ำซอสสูตรลับรสเค็มหวานที่ส่งต่อความอร่อยมานานกว่า 135 ปี หรือใครเลิฟซีฟู้ดเราแนะนำ Seafood Tempura เลย กุ้งเทมปุระทอดร้อนจี๋ แป้งกรอบฟูน่ากิน โฮตาเตะเนื้อหวานชุบแป้งทอด ทาโกะ ปลาหมึกยักษเนื้อหนึบ และปูนิ่มทอดหอมๆ ที่หลายคนชอบ เสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่นหุงร้อนๆ และผักดองตัดเลี่ยน Kiwami Tendon เซ็ตข้าวด้งชุดจัมโบ้จุใจสายกิน ที่มีทั้งปลาอานาโกะทอดร้อนๆ ซาวาระ ปลาแมคเคอเรลสเปนญี่ปุ่นเนื้อเด้ง ปลาฮามาจิ กุ้งเทมปุระ โฮตาเตะ ปูนิ่ม และผักต่างๆ อย่าง มะเขือม่วง รากบัว ข้าวโพดอ่อน เห็ดชิเมจิและฟักทอง ตบท้ายด้วย Ume Jelly เจลลี่บ๊วยเนื้อเด้งดึ๋งรสหอมหวาน แช่เย็นๆ กินชื่นใจ  

ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านโปรดของสาวกอาหารญี่ปุ่นจริงๆ สำหรับ “Hacco Labo & Koji Bijin Café” แหล่งรวมสินค้าปังๆ จากแบรนด์มิโซะอันดับ 1 แห่งประเทศญี่ปุ่น ที่มีให้คุณเลือกช็อปปิ้งกว่าร้อยรายการ ได้แก่ มิโซะสด ซุปมิโซะสำเร็จรูป แป้งจากถั่วเหลือง ซอสสำหรับหมักเนื้อ โปรตีนเกษตรจากถั่วเหลือง อะมาสาเก และสินค้าอื่นๆอีกมากมายจากมิโซะ ถั่วเหลืองและโคจิ ใครอยากมีของอร่อยติดบ้านปักหมุดร้านนี้ไว้เลย ป.ล เรามาที่สาขา DONKI Mall Thonglor (บริเวณชั้น 2 นะ) เดินเข้าไปแล้วเราตรงดิ่งไปที่สินค้าขายดีก่อนเลย Ikkyu San Miso 1KG มิโซะสดแพ็คใหญ่สุดคุ้มนี้มีส่วนผสมของซุปดาชิจากสาหร่ายคอมบุและปลาคัตสึโอะ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ร้านอาหารญี่ปุ่นมากมาย Instant Miso Soup 8 Serves ซุปมิโซะสำเร็จรูป แพ็ค 8 เสิร์ฟ ทำได้ถึง 8 ถ้วยที่มาพร้อมกับ 3 ท็อปปิ้งให้คุณเลือกอร่อยคือ เต้าหู้ขาว สาหร่ายวากาเมะ และเต้าหู้ทอด นอกจากนี้ยังมีสูตรสำหรับชาววีแกนอีกด้วยนะ Plus Koji Amazake 1000ml ก็น่าสนใจ อะมาสาเก หรือที่เรารู้จักกันในชื่อน้ำข้าวหมักโคจิ เครื่องดื่มคลาสสิกของประเทศญี่ปุ่นที่เกิดจากการหมักข้าวกับโคจิ ปราศจากน้ำตาลและแอลกอฮอล์ ให้รสหวานธรรมชาติ จิบเพลินๆ แถมดีต่อสุขภาพ ตามด้วย Dried Daizulabo Soymeat โปรตีนเกษตรจากถั่วเหลือง ที่ทางแบรนด์คัดสรรแต่ถั่วเหลืองที่ไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (Non GMO) ให้สารอาหารโปรตีนและไฟเบอร์สูง Daizulabo Soy Flour แป้งถั่วเหลือง สูตรกลูเตนฟรีที่ให้โปรตีนและไฟเบอร์สูง แถมยังสามารถใช้ครีเอทเมนูต่างๆ แทนแป้งสาลีได้อีกด้วย ความพิเศษยังไม่หมดแค่นี้เพราะทาง Hacco Labo & Koji Bijin Cafe ยังจัด ‘Nagano Food Fair 2023 งานรวมของดีของอร่อยจากจังหวัดนากาโน่ ที่จัดตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม – 12 มีนาคม 2023  มาไว้ให้คุณได้ช็อปปิ้งแบบไม่ต้องบินไปไกลถึงประเทศญี่ปุ่น สายฟู้ดตัวจริงนี่ห้ามพลาดเลยเพราะสินค้ามีจำนวนจำกัด! หันมองโซนสินค้าจากจังหวัดนากาโน่เรารีบหยิบ Banri Fumi ผักดองสไตล์ญี่ปุ่นรสชาติดี ที่มีส่วนผสมของหอยเชลล์คุณภาพจากจังหวัดฮอกไกโด นำไปครีเอทเมนูอะไรก็เพลิน Hon Wasabi วาซาบิสดรสเผ็ดพอดีที่มาในรูปแบบหลอดบีบ หนึ่งในสินค้าขายดีแห่งจังหวัดนากาโน่ ชิ้นนี้ก็น่าสอย Shichimi Togarashi พริกป่นสัญชาติญี่ปุ่นขวัญใจคนไทยจาก Yawataya Isogoro ผู้ผลิตพริกอันดับ 1 แห่งจังหวัดนากาโน่ ที่ครีเอทมาจากพริกป่นคุณภาพผสานกับ 6 สมุนไพรและเครื่องเทศนานาพันธุ์จนได้รสเผ็ดร้อนหอมกรุ่น Shinshu Jyuwari Soba เส้นโซบะแป้งบัควีทแท้ 100% จาก Obinata ให้สัมผัสเหนียวนุ่มซู้ดเพลิน Ichida Kaki หนึ่งในสินค้าสุดป็อปประจำร้าน ลูกพลับอบแห้งระดับพรีเมี่ยมในแบบฉบับดั้งเดิมของดินแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งถูกคัดสรรมาจากสวนท้องถิ่นคุณภาพในจังหวัดนากาโน่ Shinshu Azumino Apple Juice น้ำแอปเปิ้ลสายพันธุ์ฟูจิแท้ 100% ที่รังสรรค์มาจากแอปเปิ้ลแถบอะซุมิโน ชินชู จังหวัดนากาโน่ ได้รสเข้นมันหวานหอมากธรรมชาติ จิบกี่คราก็เพลิน นอกจากสินค้าแบรนด์มารุโคเมะ และไอเท็มปังๆ ที่นำเข้าจากจังหวัดนานากาโน่แล้ว ทางร้านยังมีโซน ‘Koji Bijin Café’ คาเฟ่ที่เสิร์ฟขนมโฮมเมดน่าหม่ำ ซึ่งทำมาจากแป้งถั่วเหลืองของแบรนด์มารุโคเมะ จิบพร้อมเครื่องดื่มสดชื่นที่ทำมาจากอะมาสาเกอีกด้วยนะ ไม่ว่าจะสายฟู้ดหรือสายหวานมาเช็คอินร้านนี้ก็ฟินมากมาย

ถูกใจคนทำอาหารอย่างแน่นอนเพราะงานนี้เราจะพาไปช็อปของอร่อยที่ต้องมีติดบ้าน (คนรักอาหารญี่ปุ่นต้องปลื้ม) อย่าง ‘มิโซะ’ ที่ “Kuranoya” ร้านมิโซะสดสไตล์ดั้งเดิมจากประเทศญี่ปุ่นที่สาขาแรกในเมืองไทย ซึ่งตั้งอยู่ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 3 โซน Japan Avenue แหล่งรวมของอร่อยจากประเทศญี่ปุ่นสุดปัง ฝั่งเดียวกับ Nippon Market นั่นเอง ที่ร้าน Kuranoya คุณจะพบกับมิโซะสดชั้นดีที่มาจากแหล่งวัตถุดิบคุณภาพอย่าง เมืองฮอกไกโด เมืองคาโกชิม่า เมืองนากาโน่ และเมืองไอจิแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย มีทั้งมิโซะข้าว มิโซะถั่วที่เราคุ้นเคย และมิโซะข้าวบาร์เลย์น่าชิม รวมทั้งหมด 6 ชนิด อาทิ มิโซะฮัตโจ มิโซะถั่วเหลืองสีดำสนิทจากจังหวัดไอจิ ที่ผ่านการหมักบ่มอย่างพิถีพิถันทางธรรมชาติในถังไม้ใหญ่นานกว่า 2 ปี ได้รสเค็มจากเกลือคุณภาพ มาที่มิโซะข้าวกันบ้างกับ มิโซะฮอกไกโด หนึ่งในความภูมิในของจังหวัดฮอกไกโด ครีเอทจากถั่วเหลืองญี่ปุ่นและข้าว หมักกับน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนชิโคทสึภายในโรงกลั่นชิโตเสะนั่นเอง ซัตสึมะมิโซะ มิโซะข้าวบาร์เลย์แห่งคาโกชิม่าที่มีรสหวานเป็นเอกลักษณ์ ต่อด้วย ชินชูโคจิมิโซะ เป็นมิโซะข้าวรสชาติหลายมิตินี้ได้จากการหมักอย่างดี และส่วนผสมคุณภาพจากจังหวัดนากาโน่ อย่างข้าว ถั่วเหลือง เกลือและแอลกอฮอล์ ยังอยู่กับมิโซะข้าวจากเมืองนากาโน่อีกเช่นเคย ชินชูมิอาสะมิโซะ ที่พิเศษสุดโดยการหมักบ่มบนเทือกเขาแอลป์ทางตอนเหนือที่มีความสูงกว่า 1,000 ฟุตมานานกว่า 2 ปีรสได้เป็นรสชาติที่ล้ำลึก ตบท้ายด้วยวัตถุดิบธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอย่า มิโซะขาว เป็นมิโซะข้าวเนื้อเนียนละเอียดที่เหมาะแก่ปรุงอาหารอย่างยิ่ง (ขวัญใจแม่บ้านสุดๆ ) รวมมิโซะของดีจากประเทศญี่ปุ่นไว้ที่นี่แล้วจริงๆ ป.ล สามารถสั่งผ่านเดลิเวอรีได้นะ

‘Happiness with Bread’ ถ้าขนมปังคือความสุขของคุณ เราชี้เป้าให้ไปเช็คอินที่ “Foobreca” ร้านขนมปังโฮมเมดของเชฟชาวโอซากา ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 36 (BTS ทองหล่อ) พิกัดหาง่ายเพราะอยู่ตรงข้ามร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังอย่าง L'OLIVA Ristorante Italiano & Wine Bar ตัวร้าน Foobreca นั้นโดดเด่นด้วยขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นสูตร 30 ปีที่หมุนเวียนเปลี่ยนเมนูกันไป แถมยังราคาไม่แรงเหมาะสำหรับหนุ่ม-สาวออฟฟิตซื้อเป็นมื้อเช้าเริ่มต้นวันใหม่ในทุกๆ วัน ต้อนรับด้วยขนมปังขายดีของร้านอย่าง Salt Butter ขนมปังโรลโฮมเมด ผิวนอกขนมปังกรอบเล็กๆ แต่ภายในนั้นแสนนุ่มนิ่ม ได้รสเค็มนิดๆ ของเกลือ ตามด้วย Honey Cream Cheese ขนมปังก้อนกลม สอดไส้ครีมชีสหอมมัน ได้รสหวานละมุนของน้ำผึ้งหอมๆ สายหวานอย่างเรานี่ปลื้มปลิ่ม สำหรับใครชอบแบบดั้งเดิมเราแนะนำ Raisin Crumble ขนมปังลูกเกดเนื้อนิ่ม มีสัมผัสเหนียวหนึบเล็กๆ เต็มไปด้วยลูกเกดรสหวาน ท็อปด้วยครัมเบิ้ลโฮมเมดกรุบกรอบ หรือจะเป็น Kurumi Anpan ขนมปังถั่วแดงทำเอง ได้รสหวานมันของถั่วแดงกวน เคล้าไปกับขนมปังเนื้อเหนียวนุ่ม ที่ทางร้านเพิ่มเติมถั่ววอลนัตเคี้ยวเพลินลงไปด้วย เราชอบ Arabiki Sausages Bread ขนมปังแป้งนิ่มฟู และชีสมอซซาเรลล่าห่อไส้กรอกหมูบดอย่างดี ราดซอสมะเขือเทศเข้ากัน ปิดท้ายด้วย Cinnamon Roll ซินนามอนโรลชิ้นใหญ่ๆ เพิ่งออกจากเตา ราดด้วยน้ำเชื่อมน้ำตาลไอซิงสูตรของทางร้านโดยเฉพาะ รสหวานละมุน แถมยังหอมกลิ่นซินนามอนแบบไม่แรงจนเกินไป

รสดีเด็ด Izakaya” จุดรวมพลของสายแฮงก์เอาท์ย่านบรรทัดทอง ร้านมาในคอนเซ็ปต์อิซากายะหรือร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของตึกรสดีเด็ด ตรงหัวมุมแยกสะพานอ่อน ถนนบรรทัดทอง บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก ด้านหนึ่งของร้านเป็นครัวเปิดที่เราจะได้เห็นมูฟเมนต์ของการปิ้งย่างอาหารเสียบไม้ตลอดเวลา และความพิเศษของอิซากายะร้านนี้ที่ไม่เหมือนร้านไหน คือให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์ที่เลือกได้ 2 ราคา ได้แก่ 199 บาท และ 399 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่ม) อิ่มจุกๆ กับหลากหลายเมนูได้นานถึง  2 ชั่วโมง เมนูกินเล่น อาทิ ไก่ทอดซอสนัมบัง, ไก่คาราเกะ, ไก่ทอดซอสเผ็ด และยำไก่ย่าง เมนูเสียบไม้ย่างอาทิ สะโพกไก่เสียบไม้ย่าง, หมูสามชั้นเสียบไม้ย่าง, เนื้อย่างเสียบไม้, ท้องปลาแซลมอนเสียบไม้ย่าง เมนูไฮไลท์ยกให้สเต๊กเนื้อแองกัส เนื้อนุ่มฉ่ำแทบละลายในปาก ตามด้วย เสือร้องไห้ ได้รสชาติของเนื้อฉ่ำๆ ชัดเจน เต็มปากเต็มคำ และสเต๊กหมูคุโรบูตะ หมูนุ่มเคี้ยวง่ายหอมพริกไทยขึ้นจมูก ส่วนเมนูข้าวลองข้าวผัดกระเทียม, หมูสามชั้นผัดซอสญี่ปุ่น, ข้าวหน้าเนื้อ, ข้าวหน้าหมู ปิดท้ายด้วยโอเด้งร้อนๆ ซดคล่องคอ แฮงก์เอาท์ครั้งต่อไป ปักหมุดไว้ที่ “รสดีเด็ด Izakaya” บรรทัดทอง

เรียกได้ว่าเปิดสาขากันแบบรัวๆ ไม่พักจนสาวกราเมนอย่างเราตามไปเช็คอินไม่ทันจริงๆ สำหรับ Ebisu Ramen” ร้านราเมนเส้นสดสไตล์ยาไต ซึ่งครั้งนี้เราแวะมาลิ้มลองที่สาขาดั้งเดิม (บางแค) ร้านราเมนแนวสตรีทฟู้ดสบายๆ สไตล์ยาไตแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ที่มีคอนเซ็ปต์ว่า "ราเมนไม่ใช่อาหารชั้นสูง ทุกคนมีสิทธิ์ได้ทานราเมนอร่อยในราคายุติธรรม" โดยราคาเริ่มต้นเพียง 88 บาทเท่านั้น ถูกใจหนุ่ม-สาวออฟฟิตเสียนี่กระไร นอกจากราคาดีงามแล้วจุดเด่นของที่ร้านเลยคือเส้นสดสไตล์เส้นฮากาตะ เป็นเส้นเรียวเล็กเหนียวนุ่มที่แฟนคลับราเมนหลายคนปลื้ม แถมเอบิสึ ราเมน ยังมีเมนูข้าวหน้าต่างๆ ให้สายฟู้ดได้ชิมอีกด้วย เรียกน้ำย่อยด้วย ปีกไก่ทอดนาโกย่า ปีกไก่ไซส์อวบๆ ทอดสีเหลืองทองร้อนจี๋ ราดซอสสูตรเฉพาะรสเค็มๆ หวานๆ ต่อกันที่ ทาโกะวาซาบิ เมนูสุดป๊อปของสายดื่ม ปลาหมึกเนื้อหนึบหนับ คลุกเคล้ากับซอสวาซาบิรสเผ็ดซ่า ตามด้วยจานเด่นประจำร้านอย่าง ทงคตซึ ราเมน เส้นสดไซส์เล็กสไตล์ฮากาตะ ให้สัมผัสเหนียวนุ่มซู้ดเพลิน อยู่ในน้ำแกงกระดูกหมูที่เคี่ยวนานหลายชั่วโมง ได้รสเข้มข้น หอมมัน ท็อปด้วยหมูชาชูชิ้นโตๆ และไข่อิ่มเอม ยังมี โชยุ ราเมน น้ำซุปโชยุรสเค็มนุ่มนวล เข้ากันดีกับราเมนโฮมเมดในแบบฉบับฮากาตะ พร้อมอร่อยกับหมูชาชูนุ่มๆ แทบละลายในปาก และไข่ฟองใหญ่

Shoko Omakase ร้านโอมากาเสะในบรรยากาศสบายๆ ย่านสนามเป้า ที่คัดสรรวัตถุดิบและปรุงอย่างพิถีพิถันในสไตล์ฟิวชั่น แต่สำหรับมื้อนี้จะเป็น New Autumn Menu Platinum Course มีทั้งหมด 17 รายการ (รวมซุปและของหวาน 3 รายการ) เน้นเสิร์ฟวัตถุดิบสุดพรีเมียมแห่งฤดูใบไม้ร่วง รังสรรค์อย่างประณีตโดยเชฟมากฝีมือในราคาเอื้อมถึง เมื่อเดินเข้ามาในร้านจะพบบาร์ทรงโค้งขนาดใหญ่ไว้ต้อนรับผู้มาเยือนได้มากถึง 20 ที่นั่ง บรรยากาศรอบๆ ดีไซน์ได้อย่างสวยงาม พร้อมดึงดูดสายตาด้วยการตกแต่งที่แฝงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วงประเทศญี่ปุ่น ด้านข้างมีมุมไพรเวตแยกไว้ ส่วนด้านหลังและชั้นบนจัดเป็นห้องไพรเวตขนาดใหญ่ โดยมีเชฟรังสรรค์เมนูอย่างใกล้ชิด มาเริ่มคอร์สกันที่เมนู Chawan Foie Gras ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนละเอียด ท็อปด้วยฟัวกราส์ ไข่คาเวียร์ ไข่ปลาแซลมอน และทองคำเปลว Hamachi Jalapeno Trio ซาชิมิฮามาจิ ด้านล่างประกอบด้วยใบโอบะและหัวหอม ท็อปด้วยฮามาจิและไข่ปลาแซลมอน ตัดรสด้วยซอสรสเปรี้ยวเล็กน้อย กินพร้อมกันในคำเดียวอร่อยมาก Kinmedai Sushi ราชากะพงแดงหรือคินเมะได ท็อปด้วยไข่คาเวียร์ ได้รสชาติหวานของปลา ตัดกับรสวาซาบิและซอสโชยุ อร่อยกลมกล่อม ต่อด้วย Kanpachi Iwanori ซูชิปลาคัมปาจิ ออนท็อปด้วยอิวาโนริซอสสาหร่าย โรยด้วยงาเจ็ดสีญี่ปุ่นและราดซอสโชยุ พร้อมเสริมรสด้วยวาซาบิ เนื้อปลาของร้านนี้สดใหม่และหวานฉ่ำมาก Shima Aji Sushi ปลาชิมาอาจิ ท็อปด้วยยูซุโคโช ได้ความหอมจากผิวส้มยูซุที่หมักกับกระเทียมและก้านพริกไทย และเข้ากันได้ดีกับเนื้อปลา ถัดมาเป็น Chutoro Sushi ชูโทโร่ เนื้อที่ติดกับสันหลังและส่วนท้องของทูน่า มีความมันปานกลาง โรยหน้าด้วยผงทองคำเปลว Akami Sushi ข้าวเนื้อแดงอากามิ เป็นส่วนเนื้อแดงที่ไม่มีไขมัน เข้ากันได้ดีกับวาซาบิ Otoro Sushi โอโทโร่ส่วนติดมันของทูน่าบลูฟิน ท็อปด้วยอูนิและวาซาบิ ตัดรสชาติด้วย Mini Teppan Kani Miso ข้าวหน้าเนื้อปูหิมะ ท็อปด้วยไข่ปลาแซลมอน แนะนำให้คนให้เข้ากันก่อนตักกิน เพื่อให้ได้รสชาติครบทุกองค์ประกอบ ตามด้วย Unagi Yaki ปลาไหลย่างซีอิ๊ว โรยด้วยพริกไทย เกลือและข้าวพองญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มเท็กซ์เจอร์ คำนี้ได้รสหวานและหอมจากซอสที่ย่างเข้าเนื้อปลา กินคู่สาหร่ายอร่อยเต็มคำ ต่อมาคือ Uni Toro Shoyu Yaki Shokupan โชกุปังออนท็อปด้วยสาหร่าย โชโทโร่และอูนิ เนื้อแป้งกรอบๆ ตัดรสด้วยความหวานของอูนิ เพิ่มความอร่อยด้วยวาซาบิด้านบน คำนี้อร่อยจริงๆ ประทับใจไม่รู้จบด้วย Hotate Yaki หอยเชลล์ชิ้นโตที่ย่างสุกกำลังดี เนื้อฉ่ำหวาน กินคู่กับไข่ปลาแซลมอนและสาหร่าย เข้ากันอย่างลงตัว จบคอร์สของคาวด้วย Beef Jumbo เนื้อส่วนริบอายที่นุ่มละมุน ละลายในปาก ราดด้วยซอสรสหวานช่วยชูรสชาติได้ดีเยี่ยม และ Soup ซุปมิโซะที่มีกลิ่นหอมของดาชิญี่ปุ่น สาหร่ายและปลาคัตสึโอะ ซดร้อนๆ ช่วยล้างปากได้ดีมาก ปิดท้ายด้วยเมนูขนมหวาน Ice Cream ไอศกรีมยูซุ รสเปรี้ยวปี๊ด กินคู่กับ Tamago Bate ขนมปังรสนุ่มนวล ข้างๆ เป็น Chestnut เกาลัดรสหวานกำลังดี และสุดท้าย Shoko Birthday Cookie คุกกี้รูปเค้กแสนน่ารักฉลองครบรอบ 1 ปีของ Shoko Omakase เป็นอีกหนึ่งร้านโอมากาเสะที่ควรไปลิ้มลอง

ไม่ต้องบินไปไกลถึงญี่ปุ่น ก็ฟินกับ “คาเรปัง” ได้แค่กดสั่ง Baboobun ร้านขนมปังทอดไส้แกงกะหรี่โฮมเมดเดลิเวอรี่ ที่ทำแบบสดใหม่ตามออเดอร์ จุดเด่นคือตัวแป้งหอมกรอบไม่อมน้ำมัน และไส้แกงกะหรี่เนื้อแน่นเต็มคำ รสเข้มข้นฉ่ำลิ้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 รสชาติ คือ Beef Curry เนื้อโคขุนบดเคี่ยวมากับซอสเนื้อจนฉ่ำวาว ห่อด้วยแป้งขนมปังญี่ปุ่นไม่ขัดสี และนำไปทอดด้วยน้ำมันรำข้าวจนเหลืองกรอบ ซึ่งหากใครไม่กินเนื้อก็สามารถเลือกเป็น Pork Curry เนื้อหมูนุ่มๆ ฉ่ำไปด้วยซอสรสหวานหอมจากผลไม้ ช่วยชูรสชาติของแกงกะหรี่ได้เป็นอย่างดี Shank Beef Curry Cube โดดเด่นด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยม สอดไส้เนื้อน่องลายคั่วกระทะที่นำไปตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม คลุกเคล้ามากับซอสแกงกะหรี่มะเขือเทศ Chicken Cream Stew สันในไก่ไขมันต่ำ ผัดคั่วมากับเห็ดแชมปิญอง ก่อนนำไปตุ๋นกับนมสดที่ผสมด้วยครีมซอสหอมละมุน กินพร้อมแป้งขนมปังทอดอร่อยลงตัว สั่งซื้อหรือสอบถามเพิ่มเติม ราคา: 55 – 115 บาท Line: @Baboo.bun หรือ https://lin.ee/qvAvNOJ Line my shop: https://shop.line.me/@baboo.bun

ฮิโตริ ชาบู (HITORI SHABU) ร้านชาบูชาบูแห่งใหม่ที่จะพาเราไปสัมผัสประสบการณ์การกินชาบูชาบูและสุกี้ยากี้ในหมู่บ้านโบราณจำลองของญี่ปุ่นที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำซุปที่ผ่านการเคี่ยวอย่างพิถีพิถันและวัตถุดิบนำเข้าชั้นเลิศผ่าน “วัฒนธรรมการกินคนเดียว” หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Ohitorisama เพราะเชื่อว่าการนั่งกินคนเดียวก็สร้างความสุขได้แบบไม่เคอะเขิน สำหรับชาบูชาบู ทางร้านมีซุปน่าสนใจอยู่หลายแบบ แต่ที่ไม่ควรพลาดคือ Shabu Shabu Set : HITORI Soup – Akita A5 น้ำซุปฮิโตริรสหวานกลมกล่อม หอมกลิ่นหัวไชเท้า เหมาะสำหรับเนื้อที่มีมันแทรกสูงอย่างเนื้ออิคะตะ A5 เนื้อวากิวจากเมืองอะคิตะที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารชั้นดี รสสัมผัสนุ่มฉ่ำและมีไขมันแทรกเป็นลวดลายหินอ่อน เสิร์ฟพร้อมชุดผัก ข้าวญี่ปุ่นโคชิฮิคาริ กินคู่น้ำจิ้มงาสูตรทางร้าน มีรสเผ็ดเล็กๆ หอมกลิ่นยูซุและน้ำจิ้มพอนสึที่ช่วยตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี ส่วนสุกี้ยากี้ของที่ร้านเป็นสุกี้ยากี้ดั้งเดิมแบบคันไซ แนะนำ Sukiyaki Set : HITORI Signature A5 Cutting Set เซ็ตเนื้อวากิว A5 3 ส่วน ทั้ง Jyou Rousu A5 Tokusen Rousu A5 และ Karubi A5 ซึ่งมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่แตกต่างรวมไว้ในจานเดียว เข้ากับน้ำซุปดำรสเค็มหวาน จิ้มกับไข่ไก่สดโมริทามะ เสิร์ฟพร้อมชุดผัก ข้าวญี่ปุ่นโคชิฮิคาริ ทั้ง 2 เซ็ตยังเลือก Add On เพิ่มเนื้อสัตว์ได้ อยากให้ลอง Kuroge Wagyu เนื้อออสเตรเลียนวากิวสีแดงสวย รสเนื้อชัดเจน และ Iberico Pork หมูไอเบริโกจากสเปนที่ได้ชื่อว่ารสชาติยอดเยี่ยมและเนื้อนุ่มอร่อย ปิดท้ายด้วย ไอศกรีมชาเขียว หอมเข้มข้นรสมัทฉะ ประทับใจจนอยากกลับมาอีกครั้ง