ไม่เพียงเป็นที่พักที่พร้อมให้เรา “หลับสบาย” อย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ “OZO North Pattaya” โรงแรมน้องใหม่บนถนนเลียบชายหาดพัทยายังตอบโจทย์สายกินอย่างเต็มอิ่ม เพราะที่นี่มีEat Restaurant” ห้องอาหารคอนเซ็ปต์ All Day Dining พื้นที่กว้างขวางนั่งสบายที่พร้อมให้เราอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดกันได้ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น           ที่นี่พร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อยทั้งไทย อาเซียน และนานาชาติ ฝีมือเชฟมากประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเมนูเบาๆ อาทิ Prawn & Mango ยํามะม่วงสุกใส่กุ้ง รสเปรี้ยวหวานสดชื่น และ Chicken Satay ไก่สะเต๊ะกินเพลิน รวมทั้งเมนูจานหลักอย่าง Beef Massaman มัสมั่นเนื้อวัวรสกลมกล่อม         ส่วนใครมองหาเมนูอาหารจานเดียว เราแนะนำ Prawn Padthai ผัดไทยกุ้งสดเส้นเหนียวนุ่ม ผัดเสิร์ฟร้อนๆ จานใหญ่จัดเต็ม อย่าลืมเก็บท้องไว้ชิม Mango Sticky Rice ข้าวเหนียวมะม่วงสูตรเด็ด และ Red Velvet Tiramisu เค้กเรดเวลเวต ด้านบนเป็นทิรามิสุหอมหวาน         และหากช่วงเย็นใครอยากมานั่งชิลๆ โซนด้านนอกของห้องอาหารยังเป็นบาร์ริมสระว่ายน้ำที่มีทั้งคอกเทล มอกเทล และเครื่องดื่มหลากหลายให้จิบเคล้าเมนูกินเล่นอย่าง Bruschetta ขนมปังปิ้งหน้าชีสบรูสเกตตา Buffalo Chicken Wings ปีกไก่ย่างหมักซอสบาร์บีคิวรสเข้มข้น และ Mango Tango Salad สลัดมะม่วงมาพร้อมกุ้งสดตัวโต           แต่ถ้ายังไม่อิ่ม เราแนะนำ OZO Cajun ซิกเนเจอร์เบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ยักษ์ที่ให้เราเลือกได้เนื้อวัว หมู ไก่ และมังสวิรัติ เรียกว่าอิ่มประทับใจไปตลอดคืนกันเลยทีเดียว  

ณ ชั้น 6 ของห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์อย่าง ICONSIAM มีร้านที่ชื่อว่า “HOBS” เป็นบาร์วิวดี ที่มีโลเคชั่นติดอยู่กับร้าน Fallabella River Front ให้คุณได้สัมผัสลมเย็นๆ ที่มากระทบใบหน้า ช่วยผ่อนคลายความร้อนและความอบอ้าว มองไปเบื้องหน้าจะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาผืนกว้าง ตึกสูงน้อยใหญ่ที่ทำให้เมืองกรุงฯ กลายเป็นป่าคอนกรีต ถึงแม้ว่าจะดูวุ่นวายแต่ก็งดงามอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน       นอกจากจะตกแต่งสถานที่ให้คุณดื่มด่ำกับวิวสวยๆ แล้ว ฮอบส์ยังให้คุณผ่อนคลายไปกับดนตรีสดแสนไพเราะ เคล้าอาหารโฮมเมดนานาชาติอันหลากหลาย ให้เหล่าฟู้ดดี้ได้ลิ้มลองและสร้างความประทับใจ โดยเฉพาะสายดื่มที่เพลินไปกับการจิบค็อกเทลรสเลิศ หรือเบียร์ประเภทต่างๆ ซึ่งขอบอกเลยว่ามีให้คุณเลือกได้อย่างละลานตา ใครกำลังมองหาที่แฮงเอาท์ก็เตรียมปักหมุดแล้วหาวันหยุดมานั่งสังสรรค์ที่นี่ได้เลย       เรียกน้ำย่อยด้วยอาหารเม็กซิกันอย่าง  Beef Nachos​ แผ่นข้าวโพดทอดกรุบกรอบ รสเค็มกลมกล่อม ด้านบนมีซอสเนื้อและชีสมอซซาเรลลาเยิ้มๆ จิ้มกับซอสซัลซ่ามะเขือเทศรสเปรี้ยวสดชื่น และซาวครีมหอมมัน     ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Truffle Cheese Bomb เบอร์เกอร์ชิ้นบิ๊กเบิ้ม ขนมปังบันนุ่มๆ ประกบเนื้อทอดหอมฟุ้งสีเหลืองทองน่ากิน ที่ด้านในซ่อนชีสครีมมีเยิ้มๆ เอาไว้ กัดกินพร้อมกันสร้างความเซอร์ไพรส์ให้เราไม่น้อยเลย เสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอด ข้าวโพดย่าง และมันบดเนื้อเนียน     Pork​ Knuckle หรืออีกชื่อที่คนไทยคุ้นหูกันว่า “ขาหมูเยอรมัน” ชิ้นโตๆ ทอดจนหอมกรุ่น หนังกร๊อบกรอบ เนื้อนุ่ม ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวนิดเผ็ดหน่อย ตัดเลี่ยนด้วยผักดอง     ยังมี Sausage Platter ไส้กรอกเยอรมันสูตรลับฉบับของทางร้าน มีมาให้คุณได้เลือกอร่อยถึง 4 แบบ อาทิ ไส้กรอกเนื้อวัวผสมเนื้อหมู ไส้กรอกเนื้อหมูผสมไก่ ไส้กรอกเนื้อหมูล้วน และไส้กรอกเนื้อหมูผสมชีส กินพร้อมกับมันบดราดน้ำเกรวีรสเค็มละมุน สุดเข้ากัน     มาถึงจานขายดีอย่าง Mussels​ Leffe หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวอ้วน คลุกเคล้าไปกับซอสสูตรโฮมเมดที่ทำมาจากเบียร์ ให้กลิ่นหอมๆ และรสเปรี้ยวอมหวาน     จิบคู่กับม็อกเทลแก้วเด็ดดวงอย่าง Lost in the Forest รสชาติเปรี้ยวแกมหวานนี้ได้มาจากการผสมผสานระหว่างซอสสตรอว์เบอร์รี ซอสราสป์เบอร์รี น้ำแครนเบอร์รี และตะไคร้     Hidden Gem in the Garden จิบแล้วชื่นใจดี เสาวรส ชาหญ้าหวาน น้ำผึ้ง และใบเบซิล รวมกันเป็นรสชาติที่ลงตัว     ปีใหม่ใครยังไม่มีที่เค้าท์ดาวน์เราแนะนำที่นี่เลย

อยู่ดี ๆ ริมท่าเรือ ASIATIQUE The Riverfront  ก็มีเรือลำใหญ่มาจอดเทียบท่า “สิริมหรรณพ” คือชื่อของเรือลำนี้ที่มาพร้อมกับเสากระโดงขนาดใหญ่ 3 เสา โดดเด่นเป็นสง่า และดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา คอยอ้าแขนต้อนรับนักเดินทางทุกคนให้ขึ้นมากินลมชมวิวท่ามกลางบรรยากาศสุดหรูหราและคลาสสิค       สิริมหรรณพ เป็นเรือที่มีต้นแบบมาจากเรือสำเภาสามเสาของราชนาวีไทย หรือ “เรือทูลกระหม่อม”  ซึ่งเป็นเรือพาณิชย์ที่นำสินค้าจากสยามไปค้าขายยังต่างประเทศในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นแรกคือดาดฟ้าเรือ (Upper deck) มีบาร์เครื่องดื่มพร้อมกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีห้องวีไอพี ชื่อว่า เดอะ บริดจ์ (The Bridge) ที่รองรับได้สูงสุด 6 ท่าน มาพร้อมกับประตูและบันไดลับลงไปสู่บาร์รัมที่ซุกซ่อนอยู่อยู่ใต้ท้องเรือลำนี้     ส่วนชั้นล่างนั้นอยู่ใต้ท้องเรือ (Lower Deck) ก็จะได้อีกบรรยากาศที่เงียบสงบ เป็นส่วนตัวด้วยห้อง Secret Cabins และตามฝาผนังยังเรียงรายไปด้ายภาพเก่าและหน้าจอสัมผัสบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเรือลำนี้       สิริมหรรณพยังเป็นเสมือนไทม์แมชชีน เล่าย้อนเวลากลับไปเมื่อราว ๆ ร้อยกว่าปีที่แล้ว ถึงการค้าขายระหว่างสยามกับประเทศตะวันตกผ่านทางเรือ อาหารบนเรือลำนี้จึงมีคอนเซปต์ว่า East meets West สอดแทรกเรื่องราวการเดินทางของเหล่าลูกเรือ และแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินของผู้คนในแต่ละดินแดนที่เรือแล่นผ่าน       Smoky Eggplant ยำมะเขือยาวจานนี้หยิบจับเอาวัฒนธรรมการรมควันของชาวตะวันตกมาใช้กับมะเขือยาว เลยทำให้จานนี้มีทั้งกลิ่นอายไทยและเทศ บวกกับน้ำสลัดที่รสชาติจัดจ้านและความกรุบกรอบของหอมเจียวและกระเทียมเจียว ยิ่งทำให้รสชาติเข้ากันอย่างน่าประหลาดใจ     จานต่อมายังเป็นแนวสลัดเช่นกัน มีชื่อว่า Fresh Asian Baby Green แต่จะพิเศษกว่าสลัดทั่วไปเพราะใช้น้ำมะขามแทนมะนาว (ได้แรงบันดาลใจจากเหล่าลูกเรือสมัยก่อน ที่มักจะพกมะขามขึ้นเรือไปทดแทนการใช้มะนาวที่เน่าเสียง่าย) นำไปราดบนผักสลัดแนวตะวันตกและยังเสริมสมุนไพรไทยอย่างสะระแหน่ ผักชี และโหระพา ให้รสและกลิ่นที่สดชื่นแตกต่างจากสลัด     Slow-cooked Chicken Thigh เมนูนี้ประกอบไปด้วยเครื่องเทศที่สดใหม่เพราะเรือสิริมหรรณพเทียบท่าอยู่ไม่ไกลจากเจริญกรุงและเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งซื้อขายเครื่องเทศสำคัญของกรุงเทพมหานคร และยังหยิบจับผักดอง (Pickle) ที่เป็นอาหารตะวันตกมาตัดกับรสชาติของน้ำซอสถั่วลิสงรสชาติหวานมัน เข้ากับเนื้อไก่นุ่ม ๆ กินกับข้าวตังเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบ     หรือถ้าอยากได้เมนูเคี้ยวสนุกเคี้ยวได้เรื่อย ๆ ตกยกให้กับ Green Papaya Fries มะละกอชุบแป้งทอด มาพร้องซอสเบงกอล แน่นด้วยรสชาติผงกะหรี่สไตล์อินเดีย     Crunchy Fish Sliders เบอร์เกอร์นี้เลือกใช้ปลาคอดจากสแกนดิเนเวีย เพราะเนื้อปลาชนิดนี้หากนำไปแช่แข็งแล้วจะมีสัมผัสเหมือนฟองน้ำ เมนูนี้จึงยืนยันเรื่องความสดใหม่ของวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี เมื่อนำไปชุบแป้งทอดแล้วก็จับคู่กับซอส Danish Remoulade ได้กลิ่นอายของผักดองสไตล์เดนมาร์ก     จบที่ Oyster หอยนางรมสด ๆ เหล่านี้คัดเลือกมาจากทุกแหล่งทั่วทุกมุมโลก เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้านสไตล์ไทยแท้ และ Pineapple Vinegar ที่ให้รสเปรี้ยวตัดกับรสของหอยนางรมได้ดี ได้อีกรสชาติที่แตกต่าง     เครื่องดื่มหลากหลายเมนูเป็นเสมือนจุดเด่นของเรือลำนี้ เมื่อไปยืนหน้าบาร์แล้วให้มองหากล่องไม้แล้วลองเปิดดู จะพบกับเมนูค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผลไม้เมืองร้อนทั้งหมด   ค็อกเทลแก้วแรกที่ได้รับความนิยมมาก ๆ คือ I am Farang  มีเบสของจินนำไปอินฟิวส์กับชาเอิร์ลเกรย์ จึงไม่ต้องแปลกใจที่แก้วนี้จะเสิร์ฟมาในกล่องชาลวดลายวิจิตร และแน่นอนว่าต้องมีส่วนผสมของน้ำฝรั่งอยู่ในแก้วนี้ด้วยให้สมกับชื่อ     Lychee  แก้วนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเพราะดื่มง่าย ได้รสหวานอบเปรี้ยวของลิ้นจี่ ซีตรัส องุ่นเขียว เบสด้วยวอดก้า ได้รสชาติซ่าบซ่า     ราชินีแห่งผลไม้ก็มีให้ลิ้มลองเหมือนกันในแก้วที่มีชื่อว่า Rambutan  เบสด้วยวอดก้า รัม ผสมผสานกับรสชาติของเงาะ เชอร์รี่ และน้ำใบเตย แก้วนี้เลยมีความหวานละมุนดื่มง่าย     สำหรับค่ำคืนสุดพิเศษ ลองมาเยือนสิริมหรรณพสักครั้งเพื่อสัมผัสความหรูหราและกลิ่นอายของการเดินทาง ในราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิด

  หากอยากได้โมเมนต์หวานๆ กับคนรู้ใจ หรือมุมแฮงก์เอาท์สนุกๆ กับกลุ่มเพื่อน แนะนำที่ Barracuda Rooftop Bar บนชั้น 18 ของโรงแรมอครา ย่านพญาไท รูฟทอปบาร์ที่แวะมาเอ็นจอยได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ แถมยิ่งดึกก็ยิ่งสวยด้วยแสงไฟระยิบระยับจากตึกสูงที่ล้อมรอบและยวดยานบนท้องถนนที่เคลื่อนไหวสลับกับหยุดนิ่งในบางเวลา ภาพของเมืองหลวงที่มีทั้งสีสันและความวุ่นวาย แต่ก็ทำให้เราเพลิดเพลินจนไม่อาจละสายตาเลยล่ะ               ส่วนอาหารนำเสนอสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนและนานาชาติ อาทิ Cold Cut Skewer เมนูเสียบไม้คล้ายบาร์บีคิวเก๋ๆ มีแฮมดองเค็มหลายแบบ สลับกับมะกอกดำ กินแกล้มกับขนมปังอิตาเลียนที่เหนียวนุ่มเป็นเอกลักษณ์       ส่วนเมนูที่จับคู่กินกับเครื่องดื่มแล้วเข้ากันทุกชนิดยกให้ Tuna Tataki ทูน่าจี่กระทะให้สุกแค่ผิวนอก ส่วนด้านในอวดสีชมพูสวยชวนกิน เชฟหั่นชิ้นหนาให้เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ ก่อนส่งเข้าปากอย่าลืมแตะซอสพอนสึรสเปรี้ยวจะชูรสชาติความอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว       Seafood Mixed Grilled Herb Crusted ยกทะเลขึ้นโต๊ะให้กินแบบจุใจ มีทั้งกุ้งแม่น้ำ หอยเชลล์ฮอกไกโด หอยลาย แซลมอน หมึก ปูนิ่ม ทั้งหมดจี่พอสุก กินกับผักย่างและซอสสูตรลับ บีบเลมอนเพิ่มรสเปรี้ยวอีกนิด กระปรี้กระเปร่าได้ทั้งคืน       ส่วนค็อกเทลร้อนแรงที่ให้คะแนนแทบไม่ทันยกให้ Sri Sangria และ Barracuda Spritzer ทั้งสดชื่นและหอมหวาน หรือจะดื่มม็อกเทลก็มีให้เลือกหลายรสชาติ     เติมสีสันให้ชีวิตได้ทุกวันที่ “บาราคูด้า”

Goji Kitchen & Bar ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ แห่งโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ประทับใจสายกิน (อย่างเรา) มากมาย ด้วยอาหารคุณภาพชั้นเลิศจากทั่วโลกที่ผ่านการรังสรรค์จาก เชฟอิทธิ นิตยาพร เชฟใหญ่แห่งโกจิคิทเช่นแอนด์บาร์ ผู้มีประสบการณ์ด้านการปรุงอาหารมานานกว่า 10 ปี มีทั้งอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น ตะวันตก อินเดีย แถมยังมีเมนูเด็ดจากทวีปเอเชีย และตะวันตก       ส่วน ซีฟู้ด ก็เป็นที่เลื่องลืออยู่ไม่น้อย ด้วยความสดใหม่ละลานตาราวกับขนทะเลขึ้นบก มีให้เลือกทั้งแบบย่าง และมุมอาหารทะเลสด อย่าลืมชีสคุณภาพ ขนมหวานก็มีให้เลือกหลากหลายไม่น้อยหน้าอาหารเช่นกัน และที่สำคัญทุกเมนูปรุงสดใหม่ด้วยวัตถุดิบออร์แกนิค ผ่านครัวเปิดที่โชว์ความพิถีพิถันของเชฟอย่างเต็มพิกัด เรียกได้ว่าทั้งเอ็นจอยไปกับการกิน และการนั่งมองเชฟทำงานไปอย่างเพลินๆ       บวกกับบรรยากาศสบายๆ กว้างขวาง ไม่แออัด ห้องอาหารแห่งนี้สามารถจุลูกค้าได้ถึง 200 กว่าที่นั่ง แต่หากใครต้องการต้องการจะจัดงานสังสรรค์ อาทิ ดินเนอร์กับคนรู้ใจ ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือรับประทานมื้ออร่อยกับครอบครัว โกจิคิทเช่นแอนด์บาร์ก็จัดให้ได้ เพราะเขามีโซนไพรเวทแยกต่างหากสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แถมมีวิวสวยๆ จากสวนเบญจสิริที่ทั้งร่มรื่นและรีแรกซ์มาให้นั่งชมอีกด้วย       อุ่นเครื่องกันกับ ติ่มซำ เต็มคำทุกชิ้น ที่มีทั้ง ขนมจีบกุ้ง เนื้อหวาน ขนมจีบปู เนื้อแน่น และ ไข่แดงแต้มหน้าหมู ที่รสชาติดีอย่าบอกใคร ตามด้วยเมนูซิกเนเจอร์ประจำห้องอาหารอย่าง ต้มยำกุ้ง กุ้งแชบ๊วยตัวโต อยู่ในน้ำต้มยำรสกลมกล่อม จัดจ้านกำลังดี บีบมะนาวซีกเล็กน้อย อร่อยครบรส       ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เป็นเมนูที่พลาดไม่ได้ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุป ทางโรงแรมใช้เนื้ออย่างดี เคี่ยวกับเครื่องสมุนไพรต่างๆ ที่ส่งกลิ่นหอม รสเค็มละมุน ซูดพร้อมเส้นเล็กเหนียวนุ่ม สุดเพลิน แต่อย่างลืมชิมเนื้อเปื่อย และลูกชิ้นที่อยู่ในชามด้วยล่ะ       ฟัวกราส์ ตับห่านคุณภาพเยี่ยมยอดจากประเทศฝรั่งเศส ย่างบนเตาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องอาหาร เนื้อสุกกำลังดี รสชาติครีมมี่ เข้ากันได้ดีกับซอสไวน์แดงรสหวานเค็ม สายเนื้อต้องนี้ สเต็กเนื้อ มีเดียม แรร์ นุ่มชุ่มฉ่ำ สุกกำลังพอเหมาะ กินคู่กับซอสไวน์ขาว รสครีมมี่ มันบดเนื้อเนียน และผักย่าง         ยังไม่อิ่มเดินไปสั่ง Lamb ขาแกะย่างหอมกรุ่น เนื้อมีเดียมสีชมพูสวยดูน่าหม่ำ ราดซอสไวน์แดงรสอร่อย เสิร์ฟพร้อมมันบด และผักย่างอีกเช่นเคย แม้จะต่อคิวยาวหน่อย แต่ก็ขาดจานนี้ไปไม่ได้เลย กุ้งเผา กุ้งแม่น้ำไซส์บิ๊กเบิ้ม เนื้อสดหวาน หอมฟุ้งจากเตาถ่าน กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ แต่ถ้าใครชอบแบบสดๆ ขนทะเลขึ้นแบบสไตล์ On Ice อาทิ หอยนางรม ตัวใหญ่จุใจ ให้คุณเลือกฟิน 2 สไตล์ จะกินแบบบีบเลม่อนซีก ตามด้วยใบกระถินแบบดั้งเดิม หรือราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดก็แล้วแต่ กุ้ง หอยหวาน ปูอลาสก้า ก็มีนะ           แฟนคลับอาหารญี่ปุ่นต้องเลิฟ ซาชิมิ ที่มีให้คุณเลือกฟินอย่างเอ็นจอย ทั้ง แซลมอน ที่คุ้นเคย ปลาฮามาจิ และ ทูน่า จิ้มวาซาบิ รสเผ็ดซ่า ผสานไปกับโชยุรสเค็มกลมกล่อม ยังมี ซูชิ ต่างๆ ให้คุณเลือกลิ้มลองด้วยนะ ซูชิปลาไหล ก็ดี ซูชิแซลมอนโรล ก็โดน     ล้างปากไปกับเหล่าขนมหวานกันบ้าง มีมากมายจนชิมไม่หมด ทั้ง บ้าบิ่น หวานละมุน เค้กมะพร้าว เนื้อนุ่มฟู กรุ่นกลิ่นมะพร้าว บราวนี่ รสเข้ม ได้ใจสาวกช็อกโกแลต ทาร์ตเลมอน สดชื่น และ ทิรามิสุ ที่เรารัก ไม่ต้องกลัวเลี่ยนเพราะทุกเมนูของหวาน ห้องอาหารเขาทำไซส์มินิ ไว้ให้หม่ำได้เรื่อยๆ         ได้ใจสายกินมากๆ เลยร้านนี้

ย้อนเวลากลับไปสัมผัสกลิ่นอายของวัยรุ่นอเมริกันยุค 50 กับคาเฟ่สีสันสดใส “Queen’s Chula Café” โดดเด่นด้วยโทนสีฟ้าและแดงที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา แถมยังได้เพลิดเพลินไปกับดนตรีคลาสิกและมุมถ่ายรูปสุดเก๋ ตอบโจทย์เหล่าคาเฟ่ฮอปปิ้งเป็นที่สุด       ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดวินเทจตามแบบฉบับภาพยนตร์อเมริกันย้อนยุค โซฟาสีแดงสดตัดกับพื้นลายตารางหมากรุกสีขาวดำ ตามผนังมีป้ายสัญลักษณ์ตกแต่งอยู่ทั่วร้าน  ยิ่งเสริมความเท่ให้กับร้านเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว           เริ่มต้นที่เมนูอิ่มท้องอย่าง Big Queen รวมเซ็ตอาหารเช้าและของทอด 6 อย่างไว้ด้วยกัน ประกอบไปด้วย ไข่ดาวสุกกำลังดี2ฟอง ไก่ป๊อป นักเก็ต มินิค็อกเทล ฯลฯ เป็นอเมริกันฟาสต์ฟู้ดที่กินได้ 2-3 คนเลย       ต่อมา ข้าวหน้าเนื้อทอด ข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมเนื้อทอดกรอบ สูตรเฉพาะของทางร้าน กินง่าย อร่อยถูกปากคนรักเนื้อ       อีกเมนูที่พลาดไม่ได้ Queen’s shake จุดเด่นอยู่ที่การผสมน้ำแดงเฮลบลูบอยลงในมิลค์เชค ทำให้เหมือนได้กินน้ำแข็งใสผสมกับไอศกรีม ดื่มแล้วได้ความหวานละมุนของนมวานิลลา และความสดชื่นจากน้ำแดง       ปิดท้ายด้วย Queen’s sweet แพนเค้กหลากสีจัดเรียงมาเป็นชั้น ราดด้วยน้ำผึ้งแท้หอมๆ เสิรฟ์พร้อมไอศกรีม เป็นเมนูของหวานสุดน่ารัก สีสันสวยงามชวนลิ้มลอง  

ไม่ว่าจะเป็นแฟนละครหรือเป็นคนรักการกิน เราก็ไม่อยากให้พลาดความอร่อยฝีมือหนุ่มมากความสามารถ “เพชร - กรุณพล เทียนสุวรรณ” ที่ "On A Cloud Cafe" คาเฟ่กึ่งร้านอาหารน่านั่งแห่งซอยราษฎร์บูรณะ 4 ที่เขาทุ่มเทและปลุกปั้นด้วยตัวเอง     โดยคอนเซ็ปต์อาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มของที่นี่คือการแบ่งปันความชอบและความอร่อยของเพชรที่บอกเลยว่า ถึงหน้าตาจะดูธรรมดา ไม่หวือหวา แต่รับประกันความอร่อยแบบชิมแล้วเหมือนอยู่บนปุยเมฆในสวรรค์เลยทีเดียว ที่สำคัญบรรยากาศแสนเป็นกันเองและมิตรไมตรีจากเจ้าของร้านก็ยิ่งทำให้เราอยากแวะมาเยือนที่นี่บ่อยๆ อีกด้วย       ใครเป็นทาสของหวาน แต่ไม่ชอบกินหวานมากต้องโดนใจ เพราะสูตรเด็ดของเพชรคือ ลดความหวานลงครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงความอร่อยกลมกล่อมหอมมัน เราแนะนำเมนูซิกเนเจอร์ Young Coconut Cake เค้กมะพร้าวอ่อนสูตรเด็ด หอมหวานกำลังดี และ Dark Beer Cake เค้กเบียร์ดำเนื้อแน่นท็อปด้วยครีมชีสและสตรอว์เบอร์รี (ทั้งสองเมนูนี้แอบกระซิบว่าให้รีบสั่ง เพราะหมดเร็วมาก)       ส่วนสายชีสเค้กต้องลอง New York Cheesecake เนื้อชีสเค้กนุ่มนวลละมุนลิ้น ท็อปด้วยสตรอว์เบอร์รีสดรสเปรี้ยวนิดๆ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว     แต่หากอยากอิ่มแบบจัดเต็ม ที่นี่มีเมนูอาหารโฮมเมดแบบจานเดียวกินง่าย ไม่ว่าจะเป็นข้าวไข่ข้นกุ้งผัดพริกขี้หนู จานเด่นยอดนิยมที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องสั่ง ข้าวผัดกิมจิ รสชาติไม่เหมือนใคร เพราะเพิ่มรสชาติจัดจ้านด้วยการใส่พริกขี้หนูและซอสพริกศรีราชา แถมยังเลือกได้ทั้งเนื้อและหมู       รวมทั้งสปาเกตตีหมึกดำ เมนูโปรดของเพชรที่คัดสรรหมึกดำมาอย่างดี อร่อยแบบไม่เลี่ยน เพราะจานนี้ใส่พริกเพิ่มรสชาติเช่นกัน เรียกว่าจะของหวานหรือของคาวก็อร่อยครบจบมื้อแบบประทับใจ  

อีกหนึ่งร้านอร่อยแห่งท่าเตียนที่อยู่ไม่ไกลริมน้ำเจ้าพระยาและมิวเซียมสยาม บรรยากาศกว้างขวางนั่งสบายอบอวลไปด้วยความเป็นกันเอง ที่สำคัญ “บ้านท่าเตียน คาเฟ่” (Baan ThaTien Café) ยังโดนใจลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ด้วยรสชาติระดับมาตรฐานในราคาย่อมเยาเข้าถึงง่ายและพร้อมให้เรามาอร่อยกันได้ทุกวัน         จานเด่นพลาดไม่ได้ของบ้านท่าเตียน คาเฟ่ คือ Shrimp Pad Thai เส้นผัดไทยเหนียวนุ่มกำลังดี มาพร้อมกุ้งตัวโตเนื้อแน่น และ Chicken Green Curry แกงเขียวหวานไก่รสกลมกล่อมไม่เผ็ดมาก เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ แล้ว       นอกจากนี้เรายังอยากให้ลองเมนูขายดีอย่าง Stuffed Omelet ไข่ยัดไส้หมูสับผัดกับแครอต หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศ หวานเปรี้ยวเค็มครบรส และ Egg Bomb ไข่ระเบิดหรือไข่ดาวทรงเครื่องราดด้วยผัดหมูสับผัดกับแครอตและข้าวโพดอ่อน ที่เลือกได้ทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ดสำหรับเด็กๆ       ส่วนใครอยากมานั่งจิบกาแฟเบาๆ เราแนะนำ Americano กาแฟดำร้อนรสเข้มที่ช่วยให้หายง่วงได้เป็นอย่างดี และ Iced Cappuccino คาปุชชิโนเย็นที่ใช้กาแฟแบบดับเบิลช็อต เพิ่มความละมุนด้วยครีมนมหอมมัน เรียกว่าโดนใจทั้งสายกินและคอกาแฟไปพร้อมกัน    

การเดินทางจากละแวกเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราเพื่อเข้าเมืองไปรับประทานอาหารดี ๆ สักมื้อดูจะไม่ง่ายเท่าไร Palette Table จึงเกิดขึ้นในซอยโยธินพัฒนา ด้วยความต้องการให้คนที่อาศัยอยู่ชานเมืองได้รับประทานอาหารคุณภาพดี และมีราคาเป็นมิตรและไม่ต้องเดินทางไกล       นอกจากจะมีความสะดุดตาตั้งแต่ภายนอกแล้ว ภายในก็ดูอบอุ่นและสบายตาด้วยผนังสีเขียวเข้มประดับลวดลายภาพวาดของใบไม้และดอกไม้ในโทนสีเดียวกัน เข้ากับโครงเหล็กดิบ ๆ บนเพดานและโต๊ะไม้สีเข้ม ส่วนประตูและหน้าต่างกระจกบานใหญ่รอบร้านก็เป็นตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้แสงส่องลอดเข้ามา ทำให้ร้านไม่ดูทึมทึบจนเกินไป และหากมองไปด้านนอกจากมองเห็นพื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ สไตล์ British Cottage แต่นำเอาพืชพรรณไม้ท้องถิ่นมาใช้ได้อย่างน่าประทับใจ       เมนูอาหารของร้านมีให้เลือกทั้งเมนูตะวันตกและเมนูไทยแท้รสชาติถึงพริกถึงขิง เริ่มต้นด้วยเมนูทานเล่นเพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ  มันม่วงฟรายส์ เสิร์ฟพร้อมซอสทรัฟเฟิลกลิ่นหอม แต่ด้วยความหวานจากธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในตัวมันม่วง ไม่ต้องจิ้มซอสก็อร่อยเพลินได้เหมือนกัน     ต่อด้วยเมนูเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ สลัดอะโวคาโด ชามโตมาพร้อมผักสดหลากสีและไข่ต้ม แถมยังได้สัมผัสกรุบ ๆ จากคีนัว ราดด้วยน้ำสลัดแอปเปิ้ลฮันนี่โฮมเมดได้รสเปรี้ยวอมหวาน     ซุปหัวหอม เป็นเมนูซุปที่ขึ้นชื่อของร้านด้วยกรรมวิธีทำสุดพิถีพิถัน ด้วยการนำหัวหอมไปผัดถึง 3 ครั้งให้ได้สีที่ถูกต้องตามตำรับของซุปหัวหอม และปรับรสชาติให้เข้าปากคนไทยมากขึ้น จึงได้รสหวานจากหัวหอมแทรกกับความเค็มที่แสนกลมกล่อม     Fettuccine Carbonara พาสตาเส้นเฟตตูชินีในซอสคาโบนาร่าสุดครีมมี่ มีความพิเศษเพราะใส่เห็ดทรัฟเฟิล จานนี้จึงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนั้นยังมีเห็ดออรินจิและแชมปิญองมาเสริมความอร่อยให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น     อีกไฮไลต์ของร้านคือสเต๊กที่บรรจงคัดสรรเนื้อมาอย่างดี นอกจากเนื้อวัวจากออสเตรเลียแล้ว สเต๊กหมูสันนอกติดกระดูก หรือ พอร์คชอป ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพราะทางร้านใช้เนื้อหมูดำนำมาหมักและนวดด้วยสูตรลับเฉพาะของร้าน ทำให้ย่างออกมาได้เนื้อหมูที่นุ่มลิ้น ติดมัน รับประทานคู่กับซอสเห็ด  อีกหนึ่งตัวชูโรงในจานนี้ต้องยกให้กับมันฝรั่งบด ที่มีเคล็ดลับคือนำมันฝรั่งไปต้มกับนมตั้งแต่ขั้นตอนแรกจึงทำให้นมแทรกซึมเข้าไปในเนื้อ ทำให้มีเนื้อเนียนนุ่มละมุนลิ้น     แต่ถ้าใครเป็นสายเนื้อวัวและอยากกินเมนูไทย ๆ ผัดกะเพราเนื้อสันในวัวออสเตรเลีย เป็นตัวเลือกที่ขอแนะนำ เพราะจานนี้จัดเต็มทั้งรสชาติของพริก กระเทียม ใบกะเพราะ เข้ากับเนื้อวัวจากออสเตรเลียนุ่ม ๆ อร่อยเพลินจนอยากจะขอข้าวสวยเพิ่มอีกจาน     อีกหนึ่งเมนูไทยที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดคือ ปลาช่อนผัดพริกขิง เนื้อปลาช่อนหั่นบาง ๆ นำไปทอดจนกรอบ จากนั้นนำมาผัดกับพริกขิง โรยหน้าด้วยใบมะกรูดและพริกแห้ง จานนี้จะกินกับข้าวสวยหรือกินเล่นก็ดีทั้งนั้น     นอกจากอาหารจะเด่นแล้ว เครื่องดื่มดับกระหายหลากหลายเมนูก็น่าสนใจ เช่น น้ำอัญชันมะนาว รสชาติออกเปรี้ยวชื่นใจ และ น้ำพีช ที่มีรสชาติหวานและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของลูกพีชนั่นเอง     ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่แสนคุ้นหน้าคุ้นตา แต่อัดแน่นด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพคุ้มค่า คุ้มราคา เมื่อใส่ในจานสวย ๆ หลากสีสมชื่อร้าน Palette Table แล้ว ยิ่งช่วยให้อาหารตรงหน้าดูน่ากินขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

ไม่ว่าใครที่ขับรถผ่านไปมาบนถนนสุวินทวงศ์ ย่านหนองจอก ชานเมืองกรุงเทพฯ จะต้องมองเห็นอาคารหลังคาไม้ไผ่โดดเด่นอยู่ริมทางอย่างแน่นอน เพราะร้านแบมบูใหญ่นั้นใหญ่สมชื่อ       นอกจากโครงสร้างไม้ไผ่ทั้งหลังแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาด้านในจะเห็นโครงสร้างสไปรัลสานจากหวายเป็นรูปปลากัดแหวกว่ายอยู่บนเพดานอย่างสง่างาม เข้าคู่กันดีกับซุ้มอาหารที่สานจากหวายโดยช่างฝีมือคนไทย มีโซนวีไอพีในห้องกระจกและโซนโอเพ่นแอร์ให้เลือกนั่งได้ตามใจชอบ แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงมาด้วย ก็จะมีโซนด้านนอกสุดให้บริการ อยู่ติดกับสนามหญ้ากว้าง ๆ ให้พวกเขาได้วิ่งเล่น       แบมบูใหญ่ ให้บริการทั้งเมนูอาหารไทยทั้ง 4 ภาคและอาหารตะวันตกสุดหลากหลาย เริ่มต้นเบา ๆ กับ มอร์นิงฟาร์ม สลัด ที่ใช้ผักออร์แกนิกปลูกเอง ท็อปด้วยกุ้งและไก่ลวก ราดด้วยน้ำสลัดรสแซ่บแล้วเพิ่มความหอมมันด้วยมะพร้าวคั่ว     ต้มข่าปลาสลิดใบมะขามอ่อน เป็นอีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ประจำร้านเพราะเป็นแกงไทยที่หาทานได้ยากในปัจจุบัน น้ำแกงเข้มข้นด้วยกะทิอย่างดี มีรสเปรี้ยวจากใบมะขามอ่อน ได้ข้าวสวยร้อน ๆ สักจานจะยิ่งสมบูรณ์แบบ     ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน ก็ไม่น้อยหน้าเมนูอื่น ๆ  เพราะครบรสด้วยเครื่องแกงทำเอง แล้วนำมาผัดกับน้ำมะพร้าว ปลาหมึก กุ้ง หอย และเนื้อมะพร้าวอ่อนจนรสกลมกล่อม เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าวกลิ่นหอมยั่วยวน     มาลองอาหารเหนือกันบ้างกับ ลาบเหนือ หรือ ลาบหมูคั่ว ซึ่งใช้กรรมวิธีในการคั่วแห้งไม่ใช้น้ำมัน ปรุงรสจนเข้มข้นแล้วโรยหน้าด้วยไส้อ่อนทอดและสามชั้นทอด มาพร้อมเครื่องเคียงผักสดเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น     ปิดท้ายด้วยเมนูตะวันตกฟิวชัน สปาเกตตีต้มยำทะเล ที่ได้ความกลมกล่อมของครีมซอสต้มยำ รสเปรี้ยว หวาน และเผ็ดมาเสริมให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น ยิ่งมาพร้อมกับซีฟู้ดแน่น ๆ ก็ยิ่งทำให้หยุดปากไม่ได้     อย่าลืมเผื่อพื้นที่กระเพาะอาหารให้กับของหวานที่ทางร้านทำเองเช่นกัน เค้กน่ากินมากมายอวดโฉมเรียงรายอยู่ในตู้โชว์ โดยมี เค้กมะพร้าว เป็นหนึ่งตัวเลือกยอดนิยม เพราะเนื้อนุ่มแถมยังสอดไส้ด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนแบบจัดเต็ม ด้านบนราดด้วยซอสครีมมะพร้าวสุดหอมหวาน     หรือจะจัดเต็มกับ Honey Toast ขนมปังอบเนยโฮมเมด กรอบนอกนุ่มในราดไซรัปจนชุ่มฉ่ำกินคู่กับผลไม้ตามฤดูกาล ไอศกรีม และวิปปิ้งครีม ก็น่าจะถูกใจสายของหวานไม่แพ้กัน     นอกจากอาหารจะโดดเด่นแล้ว เครื่องดื่มก็เด่นไม่แพ้กัน ด้วยม็อกเทลสไตล์เอเชีย แก้วแรกชื่อว่า Honey Rose เครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างไซรัปกลิ่นกุหลาบ โซดา และน้ำผึ้งป่าที่จะให้ความหอมหวานแตกต่างจากน้ำผึ้งธรรมดา     อีกแก้วนั้นคือ Lamon Glass ออกแนวสมุนไพรเพราะมีส่วนผสมของน้ำตะไคร้ และได้ความเปรี้ยวอมหวานจากน้ำเลมอนและน้ำส้มสด ยกขึ้นมาจิบได้เรื่อย ๆ ไม่รู้เบื่อ  

บนถนนสาทรที่แสนจะเร่งรีบ มีร้านคาเฟ่สไตล์ Industrial Loft ที่เราอยากแนะนำให้คุณลองแวะไปจิบกาแฟดีๆ สักแก้วเติมพลังกันสักหน่อย Ground Coffee คาเฟ่ห้องกระจกใสโทนสีดำ เทา ที่เปี่ยมไปด้วยความดิบเท่ แต่กลับให้ความอบอุ่นผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ       การตกแต่งของร้านมาในคอนเซ็ปต์ บ้านพี่สาวและบ้านน้องชาย  โดยบ้านพี่สาวคือ The Yard Restaurant  ร้านอาหารบ้านเก่าโบราณอายุ 80 ปี ที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านน้องชาย คือ Ground Coffee ร้านกาแฟสไตล์ลอฟท์ ดิบเท่ ซึ่งมีสระน้ำและสวนคั่นระหว่างกลางทำให้เมื่อนั่งจิบกาแฟก็สามารถมองเห็นวิวสระน้ำและบ้านเก่าโบราณ ให้ความรู้สึกอบอุ่น ชวนให้ผ่อนคลาย     เมนูแรกที่เราอยากแนะนำ RIP (Rest in Peach) แก้วนี้ได้ความหอมของเนื้อพีชสด รสขมของเอสเปรสโซ่ช็อตตัดกับความหวานของน้ำพีชเข้มข้น ออกมาเป็นรสชาติที่ลงตัว กลมกล่อม เป็นเมนูเครื่องดื่มเรียกความสดชื่นที่ตอบโจทย์คนรักพีช     ต่อด้วย Ground Toast ขนมปังโทสต์ที่ซ่อนไข่อยู่ด้านใน มาพร้อมแฮมและมอสซาเรลล่าชีส แค่กินคำแรกก็ฟินในความนุ่มของเนื้อขนมปังและกลิ่นหอมๆ ของซอสทรัฟเฟิล     อีกหนึ่งเมนูอาหารเช้าห้ามพลาด  Ground breakfast  ประกอบไปด้วย ขนมปังปิ้งหอมเนย เบคอนกรุบกรอบ ไข่ดาวสุกกำลังดี 2 ฟอง ไส้กรอกหมู และไส้กรอกหมูชีส รับรองว่าอิ่มอร่อยสบายท้องกันตั้งแต่เช้า     Hot Cappuccino หน้าตาน่ารัก ได้กลิ่นกาแฟหอมๆ และรสชาตินุ่มละมุนจากฟองนมด้านบน จุดเด่นของเมนูนี้หนีไม่พ้นทรงแก้วที่ดูไม่เป็นรูปร่าง แต่ตั้งใจให้เป็นเอกลักษณ์     ปิดท้ายด้วยของหวาน เอาใจช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ Brownie Cake โรยหน้าด้วยผงโกโก้และถั่วพิสตาชิโอ ด้านในเนื้อสัมผัสนุ่มเบา รสชาติช็อกโกแลตเข้มข้น มีความครีมมี่เล็กน้อย เหมาะเป็นของว่างยามบ่ายกินคู่กาแฟได้ดีเลย  

ณ เชอราตันหัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา รีสอร์ทริมทะเลชะอำ-หัวหิน ที่นอกจากจะหรูหรา บรรยากาศดีแล้วยังมีอาหารอร่อยๆ ให้สายฟู้ดดี้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย ใครผ่านไปย่านนั้นแต่ยังไม่มีที่ฝากท้องมื้อเที่ยง หรือดินเนอร์ G&C ขอแนะนำนี่เลยห้องอาหาร “ลูน่า ลาไนย์” ที่เขาเพิ่งพลิกโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่าเคย จากเดิมที่เคยมีแต่พื้นที่โล่งกว้างรับวิวทะเลเต็มๆ อย่างเดียว ปัจจุบันมีแอเรียที่เป็นห้องอาหารและบาร์สุดชิลในห้องแอร์เย็นฉ่ำแล้ว       ก้าวเท้าเข้ามาคุณจะเจอกับบาร์ใหญ่สไตล์โมเดิร์ล เฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำทะเลที่ตั้งอยู่บนกระเบื้องสีทราย มีแสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟฟิลธรรมชาติ  ผนังรอบๆ ร้านนั้นเป็นกระจกใส ที่สามารถเปิดออกไปเจอที่นั่งแสนสบาย เหมาะสำหรับใครอยากดื่มด่ำกับวิวทะเลเต็มตา มองท้องฟ้ากว้างใหญ่ หาดทรายขาว และน้ำทะเลสีครามแบบพาโนรามาจากระเบียงกระจกใส       ส่วนใครที่เลือกนั่งโซนเอ้าท์ดอร์ก็จะได้ผ่อนคลายไปกับกาเซโบ้ขนาดใหญ่ และเตียงอาบแดดที่บังความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยร่มสีฟ้า สัมผัสลมทะเลเย็นๆ และสูดกลิ่นไอทะเลเบื้องหน้า ฉากหลังเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่สไตล์ลากูน สวยงามตระการตาไม่แพ้กัน พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับอาหารไทยและตะวันตก ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่ จนกลายมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์เลื่องชื่อ อาทิ     ยำกุ้งฟู กุ้งเนื้อสดเด้ง สับให้เป็นชิ้นพอดีคำ ชุบแป้งแล้วนำไปทอดจนเป็นสีเหลืองทอง น่ากินเป็นที่สุด ราดด้วยน้ำยำรสชาติเปรี้ยว จัดจ้าน เผ็ดกำลังดี เหมาะมากที่จะเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยในจานแรก     คนรักปลาท้องเลิฟ ปลาทรายทอดกระเทียมกรอบ ปลากรายเนื้อหวาน กรอบนอกนุ่มใน หอมกรุ่นกลิ่นกระเทียม รสเค็มกลมกล่อม ตัดด้วยซอสมะม่วงรสเปรี้ยวอมหวาน     คั่วสับปะรดทะเล ซีฟู้ดสดเด้ง ซดพร้อมน้ำแกงคั่วที่มีทั้ง รสเปรี้ยว หวาน เค็ม กินเพลิน เสิร์ฟมาในลูกสับปะรดสุดน่ารัก ต่อกันกับจานที่หลายคนโปรดปราน ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย ปูนิ่มผัดพร้อมกระเทียมพริกไทย รสเผ็ดร้อนพอเหมาะ หอมฟุ้งชวนน้ำลายสอ กินกับข้าวสวยสุดเข้ากัน       ผัดกะเพราเนื้อแก้มวัว แก้มวัวเนื้อนุ่ม สู้ฟันกินอร่อย เข้ากันได้ดีกับรสเผ็ดละมุนของพริก หอมกลิ่นใบกะเพรา และ ผัดไทยกุ้ง สาวเส้นเล็กเหนียวนุ่ม พร้อมเครื่องแน่นๆ ฟินไปกับกุ้งแม่น้ำเนื้อหวานตัวโต       หันไปชิมอาหารตะวันตกขึ้นชื่อของที่นี่กันบ้าง ซี่โครงแกะออสเตรเลียย่าง ก็น่าสนใจ ซี่โครงแกะคุณภาพ นำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย คุ้กจนได้เนื้อนุ่มฉ่ำในไร้กลิ่นสาบ ราดซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน รสหวานหอม     สเต็กอกไก่ ก็เข้าที อกไก่เนื้อแน่น ย่างจนหอม กินคู่กับซอสสูตรเด็ดของทางร้าน มันฝรั่งทอด และผักลวกต่างๆ อาทิ หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี่ เบเบี้แครอท และดอกคะน้า     ของหวานเป็น Tiramisu & Vanilla Ice Cream ทีรามิสุเนื้อนุ่มชุ่มไปด้วยรสเข้มของกาแฟ ผสานกับความครีมมี่ของวิปครีมสุดละมุน เสิร์ฟพร้อมครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ผลไม้สด และไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด รสหวานสุดฟิน     อย่าลืมจิบค็อกเทลซิกเนเจอร์ด้วยนะ ที่นี่เขาอร่อยหลายตัวเลย

The Bridge Bistro & office space คาเฟ่และออฟฟิศสเปซ ย่านสายไหม ในตึก 4 ชั้น ที่คุณโม ธัญวรรณ เดชอมรธัญ และ คุณโอ๋ ไผทมาศ เดชอมรธัญ สองพี่น้องเจ้าของร้าน ออกแบบมาเพื่อสานฝันคนชอบภาพยนตร์ แฮรี่ พอตเตอร์ ภายในร้านเน้นโทนสีน้ำตาลเข้มสไตล์ British Classic ดูเรียบหรู ซ่อนความลึกลับผสานความเท่ห์ชวนให้ค้นหา เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ อยากใช้เวลาในการรับประทานอาหาร นั่งทำงานและถ่ายภาพสวยๆ คู่กับร้านได้ทั้งวัน     บรรยากาศร้านเต็มไปด้วยของตกแต่งที่สะท้อนเรื่องราวของภาพยนตร์ชื่อดัง Harry Potter และของสะสมเก่าของครอบครัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็แฝงด้วยความคลาสสิค คล้ายหลุดเข้าไปอยู่อังกฤษยุคเก่าเลยล่ะ     เริ่มต้นเมนูแรกด้วย American breakfast เมนูน้องใหม่ล่าสุด ทำมาเพื่อตอบโจทย์คนอยากสั่งอาหารเช้ามากินได้ทั้งวัน ไส้กรอกโฮมเมด เนื้อแน่นเต็มคำ รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟมาพร้อมเบคอนกรุบกรอบ ไข่ดาว สลัดผัก และขนมปังกินคู่แยมบลูเบอร์รี่     จานต่อไป ข้าวแมวขโมย เมนูสุดน่ารักราคาเบาๆ เสิร์ฟมาด้วยข้าวมหาสารคามนุ่ม ปลาทูตัวใหญ่ไร้ก้าง ไข่ต้มสุกกำลังดี และเครื่องเคียงอื่นๆ แนะว่าก่อนกินให้บีบมะนาวลงบนข้าว รับรองว่าถูกใจคนชอบรสชาติจัดจ้าน     อีกเมนูกินเล่นน่าลอง ไส้กรอกอีสานมหาสารคาม ไส้กรอกสั่งทำพิเศษ ที่อัดแน่นด้วยเนื้อหมูล้วน หากินได้แค่ที่ร้านเท่านั้น รสชาติกลมกล่อม อร่อยเพลินๆ     มาถึงเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษที่เปิดตัวเดือนตุลาคมนี้ Midnight Forest ชาชั้นดีผสมผงช็อกโกแลตคัดพิเศษ เพิ่มวิปครีมและโรยด้วยทองคำเพิ่มความหรูหรา แก้วนี้ได้รสชาตินวลละมุน และกลิ่นหอมของช็อกโกแลต     ปิดท้ายด้วย Sleeping Beauty เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชาคาโมมายด์ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แถมความสดชื่นจากสีสันสวยงามชวนลิ้มลองไม่น้อย  

ริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 ทางเข้าที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงต้นไม้สีเขียว ทำให้เราเกือบมองเลยผ่านไปเสียแล้ว สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลังคือ SUNKISS คาเฟ่และโฮสเทลขนาดย่อมแสนอบอุ่นติดคลองบ้านไทร บรรยากาศนั้นเงียบสงบเหมาะสำหรับการมาผ่อนคลายอย่างแท้จริง       การออกแบบด้วยปูนเปลือยสีเทาดูกลมกลืนไปกับสีของหน้าต่างกับประตูไม้ และต้นไม้สีเขียวน้อยใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ที่นี่ดูเป็นกันเองและได้กลิ่นอายแห่งการพักร้อนด้วยสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใสคั่นกลางระหว่างตัวคาเฟ่และที่พัก ราวกับอยู่เมืองริมทะเลเลยทีเดียว     ที่นี่จริงจังเรื่องกาแฟไม่น้อย เห็นได้จากกาแฟเบลนด์ที่มีให้เลือกตามใจชอบโดยใช้เมล็ดกาแฟจากหลากหลายพื้นที่ ทั้งในประเทศไทย ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่จันใต้ ดอยสะเก็ด และจากต่างประเทศ ที่มาจากทั้งประเทศเอธิโอเปียและโคลอมเบีย เมนูกาแฟของร้านที่น่าลองมีทั้ง Dirty กาแฟเย็นไม่ใส่น้ำแข็ง ได้รสชาติหวานมันเข้มข้นจากนมฟูลครีมท็อปด้วยเอสเพรสโซหนึ่งช็อตเข้ม ๆ จากเมล็ดกาแฟเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และดอยสะเก็ด แก้วนี้จึงมีรสชาติฟรุ๊ตตี้     อีกหนึ่งเมนูเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่น่าลองคือ Naughty Chai ซึ่งเป็น Vanilla Chai ที่มีกลิ่นหอมผสมผสานกับกลิ่นและรสชาติเครื่องเทศเบาๆ ดื่มง่าย     ติดกับเครื่องชงกาแฟ จะเห็นตู้กระจกเล็กๆ ภายในเรียงรายด้วยขนมอบหลากหลายแบบ ทั้งครัวซองต์ สโคน คุกกี้ และขนมเค้ก ทั้งหมดเป็นโฮมเมดที่ทางร้านอบเองสดใหม่ทุกวัน     อาหารของ SUNKISS เป็นแนวฟิวชันที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มต้นที่เมนูสำหรับมื้อเช้า เบนนี่ครัวซองต์ ที่ประกอบไปด้วยครัวซองต์เนยสดชิ้นใหญ่ สอดไส้แฮมรมควัน โพชเอ้ก ราดด้วยซอสฮอลันเดสโฮมเมดรสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมสลัดผัก     Soba Mushroom Salad เป็นสลัดเส้นโซบะเหนียวนุ่มมาพร้อมเห็ดโคนญี่ปุ่น และยังเพิ่มความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปอีกขั้นด้วยน้ำสลัด soy vinaigrette โปะหน้าด้วยต้นอ่อนทานตะวัน     สปาเกตตี้ซอสพริกเผามันกุ้ง ก็เป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ รสชาติไม่เผ็ดมากและยังเพิ่มมันกุ้งเข้าไปจนได้รสชาติครีมมี่ จานนี้แนะนำให้บีบเลมอนเพื่อให้ได้รสเปรี้ยวตัดเลี่ยนแถมด้วยกลิ่นหอม ๆ เข้ากับซอสพริกเผาอย่างลงตัว     สำหรับเมนูเค้กสุดขึ้นชื่อ มีทั้ง Orange Yogurt Cake ที่เน้นดึงรสจากส้มมาใช้จริงๆ ทำให้เค้กแต่ละชิ้นอาจจะมีรสชาติที่แตกต่างกัน ราดด้วยซอสเลมอนเปรี้ยวๆ เข้ากันดี อีกหนึ่งรสชาติคือ Caramel Duate Cake เค้กอินทผลัม เนื้อนุ่มแน่นราดด้วย Salted Caramel ได้รสชาติหวานชุ่มฉ่ำลิ้น       นอกจากกาแฟแล้ว ก็แนะนำเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น เช่น First Kiss ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวกำลังดีด้วยส่วนผสมจากแครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ และเอลเดอฟลาวเวอร์ หรือจะลอง Lemon Lime Bitter มะนาวโซดาหยดบิทเทอร์เพิ่มความหอม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสำหรับยามบ่ายเช่นกัน       ส่วนโฮสเทลของ SUNKISS มีห้องทั้งหมด 3 แบบ Superior Poolside, Standard Double Room และ Standard Twin Room เหมาะสำหรับการมาเป็นคู่รัก หรือกลุ่มเพื่อนเล็กๆ  สามารถจองผ่านเฟซบุ๊กได้เลย    

แวะเวียนมาจังหวัดปทุมธานีแล้วทำทีผ่าน “คำเสน่ห์” ไปเฉยๆ ไม่ได้ ร้านอาหารไทยสูตรคุณแม่ของ คุณโจ วิรัช เปรมจิตต์ ที่เน้นเสิร์ฟรสชาติจัดจ้าน และอาหารตะวันตกที่อร่อยไม่น้อยหน้าร้านไหน ผสานไปกับบรรยากาศสไตล์อินดัสเทรียล ลอฟท์ โครงเหล็กกระจกใสถูกติดรอบผนัง มีพื้นและเคาน์เตอร์บาร์ปูนเปือย ที่ถูกเบรกด้วยต้นไม้กระถางน้อยใหญ่ที่มองแล้วสบายตา         ออกไปโซนเอ้าท์ดอร์ด้านหลังนอกจากมีที่นั่งในสวนสวยสุดร่มรื่นในยามกลางวัน แต่พอตกเย็นนั้นคำเสน่ห์จะกลับกลายเป็นร้านนั่งชิลที่เต็มไปด้วยฟิลโรแมนติก มีมุมถ่ายรูปมากมายให้สายโซเชียลได้แชะภาพกันแบบรัวๆ ทั้งเปลญวนริมน้ำเก๋ไก๋ ชมวิวสวยๆ จากธรรมชาติรอบนอก และเชยชมความงดงามยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าสู่ผืนแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถนัดตา       จานแรกลองชิม ซี่โครงหมูอบคำเสน่ห์ ซี่โครงหมูชิ้นโตๆ หมักกับซอสสไปซี่สูตรพิเศษของทางร้าน รสเค็มกลมกล่ม เผ็ดกำลังดี ยิ่งเปล่าๆ ก็เพลิน หรือจะจิ้มรสมะเขือเทศก็เสริมชาติซี่โครงให้โดดเด่นไปอีกแบบ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอด และผักย่าง อาทิ หัวหอม พริกหวาน มะเขือเทศ และหน่อไม้ฝรั่ง     หันมาลิ้มลองอาหารไทยกันบ้างกับ ปูนิ่มทอดกระเทียม ปูนิ่มกินง่ายที่เรารัก เนื้อกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นกระเทียมพริกไทย ราดซอสพริกรสเปรี้ยว หรือซีฟู้ดรสจัดจ้านก็แสนจะเข้ากัน     หันไปซดน้ำซุปร้อนๆ จากเมนู ต้มยำปลาคัง ปลาคังเนื้อสดเด้ง อยู่ในน้ำต้มยำน้ำใสรสเปรี้ยวแซ่บสะใจ เสิร์ฟมาในหม้อไฟร้อนๆ กินกับข้าวสวยสักจานสุดอิ่มเอม     อย่าลืมสั่ง มะนาวอัญชันโซดา เครื่องดื่มสีม่วง นี้มีรสเปรี้ยวสดชื่นจากน้ำมะนาวสด ปนน้ำอัญชันที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ บวกกับความซาบซ่าจากน้ำโซดา ที่จิบกี่คราก็สดชื่น และ เสาวรสปั่น เสาวรสคุณภาพที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ผสานไซรัป และน้ำผึ้ง รวมกันเป็นรสเปรี้ยวอมหวาน จิบแล้วชื่นใจดี       บอกแล้วไงว่าใครไม่แวะร้านนี้ถือว่าพลาด

Glück ในภาษาเยอรมันหมายถึง ความสุข ความโชคดี และความเบิกบานใจ คาเฟ่แห่งใหม่ในย่านทองหล่อแห่งนี้ก็เป็นเสมือนแหล่งรวมความสุขแห่งใหม่ แต่เตือนไว้ก่อนว่าคุณจะไม่เจอขาหมูเยอรมันหรือไส้กรอกเยอรมันที่นี่แน่นอน     คาเฟ่สไตล์ตะวันตกแห่งนี้คัดสรรวัตถุดิบออร์แกนิกที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณ Christina Grawe นักข่าวชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 16 ปี ที่อยากมีคาเฟ่ที่มอบแต่สิ่งดี ๆ ให้กับทุกคน “เราไม่อาจพูดได้ว่าเราใช้วัตถุดิบออร์แกนิกทั้งหมด แต่เราพยายามจะใช้ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้” เธอบอก     นอกจากนั้นคือบรรยากาศที่เป็นมิตรกับครอบครัว เด็ก ๆ ไปจนถึงหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ จะเห็นได้จากมุมเด็กเล่นที่มีทั้งเปลนอน ของเด็กเล่นครบครัน อีกด้านหนึ่งก็มีบาร์ติดหน้าต่างบานใหญ่พร้อมปลั๊กไฟให้คนได้เข้ามานั่ง ผนังข้าง ๆ มี “โยลันดา” ภาพวาดวัวหลากสีสันประดับอยู่ทำให้ร้านไม่ดูโล่งจนเกินไป แถมมองออกไปยังมีวิวพื้นที่สีเขียวซึ่งเราไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในย่านทองหล่อ     กาแฟของ Glück จะใช้เมล็ดคั่วกลางและเข้มจากภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้กาแฟแต่ละแก้วนั้นเข้มข้นหอมกรุ่น แถมยังมีนมวัว นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ให้เลือกใส่กาแฟตามใจชอบโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ     เริ่มต้นด้วยอาหารมื้อเช้าสุดคลาสสิกคู่ครัวชาวเยอรมัน Schnittchen แซนด์วิชสไตล์เยอรมัน ตัวซิกเนเจอร์ของร้านมีชื่อว่า Berlin ที่ประกอบไปด้วยขนมปังซาวโดวจ์ทาเนย แฮม ชีส แล้วโปะหน้าด้วยไข่ทอด คริสติน่าบอกกับเราว่าเมนูนี้ก็เหมือนกับ ข้าวมันไก่ที่คนไทยมักจะกินกันในตอนเช้า     ส่วนอีกตัวเลือกที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ Brotchen ขนมปังสไตล์เยอรมัน เสิร์ฟพร้อมเนย ผลไม้ และสามารถเลือกท็อปปิ้งได้ตามใจชอบ 3 อย่าง ซึ่งขนมปังนั้นมีทั้งซาวโดวจ์ ขนมปังเซซามิ และขนมปังเชียบัตต้า ส่วนท็อปปิ้งนั้นน่าสนใจมากด้วยวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพจริง ๆ เช่น พีนัทบัตเตอร์โฮมเมด ชีสนมแพะ หมูบดปรุงรส และตับบดสูตรโฮมเมด     ด้วยเจตนารมณ์ที่อยากให้ร้านเป็นพื้นที่สำหรับเด็กด้วย นอกจากโซนเด็กเล่นแล้ว ก็ยังมีอาหารสำหรับเด็กแบบง่าย ๆ เช่น พาสตาเส้นลูกหมีเสิร์ฟพร้อมกับซอสมะเขือเทศโฮมเมด แถมนมร้อนหรือ Babycino โรยมาร์ชแมลโลว์เหมาะสำหรับคุณหนูตัวน้อย       คนเยอรมันกินมันฝรั่งเสมือนคนไทยกินข้าว อาหารกลางวันยอดนิยมจึงเป็น Potato Salad เมนูประจำชาติที่ผสมผสานระหว่างมันฝรั่งออร์แกนิก แตงกวา และผักชีลาว ให้รสชาติสดชื่นทานเล่นได้ง่ายๆ     แอปเปิ้ลก็เป็นผลไม้ที่ชาวเยอรมันนั้นแสนโปรดปราน เพราะฉะนั้นขนมหวานตัวเด็ดของร้านจึงเป็น Apple Crumble สูตรของคุณยาย ที่การันตีเลยว่านี่คือรสชาติแบบออริจินัลจริง ๆ  มีสูตรใส่กรอบรูปติดผนังโชว์กันให้เห็น     และแอปเปิ้ลยังเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดฮิตช่วงฤดูร้อนในเยอรมนีชื่อว่า Apfelschorle น้ำแอปเปิ้ลโซดารสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยโดยไม่พึ่งน้ำตาล มาพร้อมความซ่าแสนลงตัว หรือจะลองเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง Strawberry Water Kefir Soda ที่ให้ความซ่าคล้ายคอมบูชาแต่ว่ารสชาติเบาและดื่มง่ายกว่า       เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนรักสุขภาพจริงๆ

ยกให้เป็นคาเฟ่น่านั่งแห่งท่าน้ำวังหลัง สำหรับ N10cafe’ คาเฟ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมบ้านวังหลังริเวอร์ไซด์ ที่หากใครเคยแวะมาเยือนก่อนหน้านี้ก็คงสังเกตได้ว่าที่นี่เพิ่งแปลงโฉมใหม่ตั้งแต่ภายในร้านเรื่อยไปถึงโซนริมน้ำด้านนอกให้มีพื้นที่กว้างขวางนั่งสบาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังใช้โทนสีที่ให้ความรู้สึกเรียบเท่อย่างสีดำและสีอิฐเป็นหลัก มีกิมมิกไทยๆ เป็นหมอนอิงสามเหลี่ยมล้อไปกับคาแรกเตอร์ของโรงแรม         ที่ร้านเสิร์ฟทั้งอาหารไทยและตะวันตก รวมถึงเครื่องดื่มและเบเกอรี่อบใหม่ แต่ที่นับเป็นไฮไลต์คงต้องยกให้เค้กที่ผลัดกันมาโชว์โฉมในแต่ละวัน แนะนำ Macadamia Cheese Pie ชั้นล่างเป็นพายกรุบกรอบ เราชอบที่เนื้อชีสเค้กไม่แน่นเกินไป เมื่อเจอกับความมันของแมคคาดาเมียและรสหวานจากคาราเมลแล้วไปด้วยกันได้ดี     Red Velvet Cake เค้กสีแดงสวยสลับชั้นกับครีมชีสให้รสหวานซ่อนเปรี้ยว หรือจะลอง Blueberry Cheesecake ก็น่าจะถูกใจคนรักชีสเค้กเป็นพิเศษ       ส่วนเครื่องดื่ม ห้ามพลาดแก้วนี้ Triple Choc Crunchy รวมช็อกโกแลตที่หลายคนโปรดปรานไว้ในแก้วเดียว ทั้ง Hershey’s , Ferrero Rocher และ KitKat นำมาปั่นจนเข้มข้นแบบคูณ 3 แล้วเพิ่มความละมุนด้วยวิปครีมด้านบน อย่าพลาดเมนูใหม่ Ruby Tight ใช้ไซรัปโฮมเมดจากสตรอว์เบอร์รี่และกระเจี๊ยบรสเปรี้ยวอมหวานผสานกับความซ่าจากโซดา       จิบแล้วชื่นใจหายเหนื่อย

ใครที่กำลังคิดถึงรสชาติอาหารบนน่านฟ้าของสายการบินไทย ตอนนี้จะได้คลายความคิดถึงกันแล้ว เพราะฝ่ายการบินไทย ได้เปิดตัว Royal Orchid Dining Experience ที่ปรับห้องอาหารพนักงานบนสำนักงานใหญ่การบินไทย ให้กลายเป็น Flagship Store แห่งแรกของครัวการบินไทย     ความน่าสนใจคือการจำลองห้องอาหารให้เหมือนเมื่อครั้งที่ยังให้บริการบนเครื่องบินมากที่สุด ตั้งแต่การเริ่มจองตั๋ว โดยให้สแกน QR Code เพื่อรับ E-Boarding Pass และมีไฮไลท์สุดพิเศษตรง ทางเข้าห้องอาหารที่ใช้รถบันไดสำหรับขึ้นเครื่องบินมาทำ เป็นจุดถ่ายรูปเก๋ๆ รวมถึงการนำวัสดุ อุปกรณ์ และอะไหล่ของเครื่องบินที่หมดอายุการใช้งานแล้วมาตกแต่งสถานที่     ในส่วนของห้องอาหารแบ่งเป็น 2 โซน ชั้นล่างจะเป็นเซ็ตเมนูแบบ Self Service และโซนชั้นลอยสำหรับชั้นเฟิรส์คลาส เป็นเซ็ตเมนูแบบ Full Service ที่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า สำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว       สำหรับอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นอาหารนานาชาติ ปรับเปลี่ยนเมนูให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละเดือน เมนูแรกแนะนำ ซีฟู้ดยากิโซบะ เส้นโซบะเเหนียวนุ่มเข้ากับซอสรสชาติเปรี้ยวอมหวานเข้มข้น กินกับซีฟู้ดที่มีทั้งหอยเชลล์ กุ้ง และปลาหมึก ชิ้นโตเต็มคำ     เมนูต่อไป เนื้อย่างจิ้มแจ่ว เนื้อย่างความสุกระดับมีเดียมแรร์ สีชมพูกำลังน่ารับประทาน กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสชาติจัดจ้านเข้มข้นเข้ากันอย่างลงตัว     ส่วนใครที่ชื่นชอบอาหารอินเดีย ไก่ทิกก้าราดซอสแกงกะหรี่อินเดีย เสิร์ฟมาพร้อมแป้งนานนุ่มๆ กินคู่กันแล้วได้ความหอมมัน และกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ ฟินแน่นอน     ด้านของหวานก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ชีสเค้กมะม่วง สีสันสดใส เสิร์ฟมาพร้อมซอสมะม่วงเข้มข้น เป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานที่ควรมาลิ้มลอง     นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่าง ซีซาร์สลัดทูน่า ไก่ชาวามา พาสต้าคาโบนาร่า และขนมจีนน้ำพริก ให้เลือกตามความชอบ รวมไปถึงของหวาน เช่น ชีสเค้กบลูเบอรี่ มาการอง ฯลฯ     ใครที่เป็นแฟนคลับอาหารบนสายการบินไทย อย่าลืมตามมาเช็คอินลองสัมผัสรสชาติอาหารของครัวการบินไทยในบรรยากาศที่ต่างออกไปดูสักครั้ง

คุณแพน รัชนา คุณูปการ และคุณกุ๊บกิ๊บ ศรัณยา คุณูปการ พี่น้องสายหวานที่มีหัวใจรักในการทำขนม ศิษย์เก่าแห่งสถาบันสอนทำอาหารเลื่องชื่อ Le Cordon Bleu มีจุดเริ่มต้นจากการขายขนมหวานในโลกออนไลน์จนประสบความสำเร็จ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเปิด The White Oven ร้านอาหารฟิวชั่น พร้อมให้คุณหม่ำเค้กโฮมเมดและเครื่องดื่มสุดสดชื่น ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชั้นล่างสุดของอพาร์ตเมนต์ประจำครอบครัว ใจกลางอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร     กระจกใสบานใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าทำให้ร้านสว่างไสว เดินเข้าไปคุณจะพบกับเนื้อที่กว้างขวางที่เน้นการตกแต่งร้านด้วยสีขาวสบายตา มีสีทองช่วยสร้างความหรูหรา แซมมาด้วยสีเขียวที่สื่อถึงต้นไม้ใบหญ้าและธรรมชาติ ทั้งหมดนี้เป็นการรวมความโปรดปราณของทุกคนในบ้านคุณูปการ รวมเป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกสบายและอบอุ่น เสมือนอยู่ในห้องครัวของบ้านที่หอมกรุ่นกลิ่นอาหาร ดูแล้วช่างเข้ากับชื่อร้าน “เตาอบสีขาว” The White Oven เสียนี่กระไร       แต่หากจะพูดถึงในเรื่องของอาหาร ร้านจะเสิร์ฟอาหารฟิวชั่นที่ผสมผสานระหว่างสไตล์ตะวันตก และไทยเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ให้คนพื้นที่นั้นรับประทานง่าย โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากแถบมหาชัย ซีฟู้ดสดใหม่ที่คุณแม่ของคุณแพน-คุณกุ๊บกิ๊บ ประมูลมาจากตลาดเช้าในทุกๆ วัน ส่งให้เชฟนั้นรังสรรค์เมนูฟิวชั่นที่ถูกปากคนไทยออกมา แต่ขายให้ลูกค้าจ่ายในราคาที่เป็นมิตร อาทิ     Prawn Bisque (160 บาท) ส่วนต่างๆ ของกุ้ง อาทิ เปลือง หัว และเนื้อ นำไปเคี่ยวจนได้ที่ จากนั้นนำไปปั่นละเอียดจนได้เนื้อซุปข้นกุ้งที่เนื้อเนียน รสเค็มกลมกล่อม มีความสไปซี่เล็กๆ เสิร์ฟมาในถ้วยที่ด้านบนปกคลุมด้วยแป้งพัฟเนื้อฟูๆ หอมกรุ่น ตักกินกับซุปเข้ากันดี     สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้งแม่น้ำ (270 บาท) เส้นสปาเก็ตตี้สุกพอดีกิน ผัดพร้อมเนื้อกุ้งแม่น้ำสดเด้ง ที่ทางร้านแกะมาให้กินสะดวก รสหวานละมุน ครีมมี่ หอมกลิ่นเครื่องต้มยำ     มาถึงอีกหนึ่งเมนูขายดี พิซซาคั่วกลิ้ง (200 บาท) พิซซาบางกรอบสไตล์โฮมเมด โรยหน้าด้วยคั่วกลิ้งหมูที่คงรสในแบบฉบับดั้งเดิม ฟุ้งไปด้วยกลิ่นพริกแกงที่ส่งตรงมาจากภาคใต้ เพียงแต่ไม่มีรสเผ็ดร้อน เพื่อให้รสชาติไปด้วยกันได้ดีกับชีสหอมมัน ใบมะกรูด และพริกแห้ง     เสต็กแซลม่อน (340 บาท) จานนี้เราชอบมาก เนื้อแซลมอนล้วนๆ คุ้กอย่างดีจนได้เนื้อที่ชุ่มช่ำ ไม่ด้านแต่อย่างใด ตัดเลี่ยนด้วยซัลซ่าส์​มะเขือเทศ​ รสเปรี้ยวสดชื่น และน้ำจิ้มซีฟู้ดสไตล์ตะวันตก ที่ทำมาจากผักชีฝรั่ง รสจี๊ดจ๊าดกำลังดี กินคู่ไปกับหนังแซลม่อนกร๊อบกรอบ มันบดเนื้อเนียน และผักย่าง     ไก่ขมิ้น (160 บาท) เมนูน้องใหม่ที่ใครๆ ต่างก็เรียกหา ไก่เนื้อสะโพกหมักกับเครื่องเทศและสมุนไพรหอมๆ ย่างอย่างดีจนได้เนื้อที่จูสซี่ ราดน้ำอาจาดสูตรเด็ดของทางร้าน รสเปรี้ยวอมหวาน แซมด้วยรสเผ็ดพอเหมาะ     ใครชอบของหวานต้องนี่ Once in Moscow (160 บาท) ชีสมูสหวานมัน สีแดงอมชมพูเข้มรูปโดมอวบๆ น่ารัก ที่ด้านในมีซอสมิ๊กซ์เบอร์รี่รสเปรี้ยวชื่นใจ ตักกินไปพร้อมกับครัมเบิ้ลกรุบกรอบที่ทำมาจากผลไม้แห้ง และ Chocolate Madness (110 บาท) มูสช็อกโกแล็ตรสเข้ม ละลายในปากสุดฟิน โดนใจสวีตเลิฟเวอร์เป็นที่สุด เข้ากันกับเนื้อเค้กนุ่มๆ ที่อยู่ภายใน และครัมเบิ้ลฐานล่าง       สลับกับจิบ  Lychee on My Mind (75 บาท) เครื่องดื่มสุดป็อปประจำร้านนี้คือ ชาลิ้นจี่รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นผลไม้ ท็อปด้วยลิ้นจี่สดๆ ลูกโตเนื้อฉ่ำ ปิดท้ายด้วย Pink Lemonade (85 บาท) น้ำเลม่อนโซดาสีหวาน รสเปรี้ยวซาบซ่า จิบคลายร้อนสุดสดชื่น       นอกจากอาหารจะรสชาติดีแล้ว การบริการของพนักงานยังดีมากๆ อีกด้วยนะ

ใครผ่านไปมาซอยท่านผู้หญิงพหลฯ แต่ยังไม่เคยแวะลิ้มลองอาหารโฮมเมดของร้าน Thee Café ถือว่าพลาดเลยล่ะ เพราะทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และบรรยากาศล้วนชวนให้อยากใช้เวลาชิลไปกับความโฮมมี่ของร้านมาก จะเลือกนั่งในตัวบ้านไม้สีน้ำตาลก็รู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านเพื่อน หรือหากแดดร่มลมตกจะอิงบรรยกาศธรรมชาติใต้ร่มเงาต้นปีปขนาดใหญ่ก็เพลินไม่น้อย     คุณเอ๋- วีระยุทธ คำปัญญา ผู้เป็นเจ้าของร้านเล่าว่าอยากมีร้านที่ไม่ว่าใครเดินเข้ามาแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน เข้าง่าย-ออกง่าย รู้สึกได้ถึงความสบายเหมือนอยู่บ้าน แต่สิ่งสำคัญคือรสชาติอาหารต้องอร่อยกว่าที่ทำกินเองในบ้าน คุณเอ๋จึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกวัตถุดิบมาก ยังคงจ่ายตลาดทุกวัน และเข้าครัวปรุงอาหารเอง พิถีพิถันมากแม้กระทั่งข้าวผัดแต่ละชนิดก็เลือกใช้น้ำมันที่ผัดข้าวต่างกัน อย่างข้าวผัดมันกุ้ง (180 บาท) ก็ใช้น้ำมันจากการผัดเปลือกกุ้งนำมาผัดข้าว หรือข้าวผัดเนื้อเค็ม (90 บาท) ก็ใช้มันเนื้อมาเจียวเป็นน้ำมันสำหรับผัดข้าวเช่นกัน       เมนูท็อปฮิตที่ลูกค้านิยมสั่งมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านต้องยกให้ สปาเก็ตตีเบคอนพริกคั่ว (120 บาท) เส้นสปาเก็ตตีคลุกเคล้าพริกคั่วจนหอม เบคอนทอดชิ้นใหญ่กรุบกรอบ ใครชอบกลิ่นหอมของสมุนไพรแนะนำ เพนเนทะเลซอสเพสโต (220 บาท) ที่หอมกลิ่นซอสเพสโตเข้มข้นเคลือบเส้นพร้อมกุ้งและหมึกชิ้นโต อยากกินเมนูเบาๆ ลองสั่ง ซีซาร์สลัด (120 บาท) ที่ได้ผักสลัดสดกรอบอร่อย หรือจะเป็นไก่กรอบซอสเผ็ด (120 บาท) ก็รสชาติดีไม่น้อยหน้าใคร       เครื่องดื่มร้อนแนะนำ Crystal Pink (80 บาท) ชาร้อนสีสวยกลิ่นหอมชวนดื่ม เบลนด์จากรูบาร์บและผลกุหลาบป่า รสเปรี้ยวนำ แต่หากอยากดับร้อนต้องลอง ลาเต้ไซรัปดอกมะพร้าว (95 บาท) หอมน้ำหวานดอกมะพร้าวจางๆ รสชาติกลมกล่อม หรือชาไทยเย็น (70 บาท) ที่ได้กลิ่นชาไทยหอมๆ ผสมกับนมสด หวานอ่อนๆ กำลังพอดี ใครไม่อยากดื่มชากาแฟต้องสั่ง รูบาร์บน้ำผึ้งโซดา (80 บาท) รสชาติดีเรียกความสดชื่นได้ไม่น้อย           อย่าลืมสั่งขนมหวานมาละเลียดความอร่อยไปพร้อมๆ กัน ทั้งแครอตเค้ก (120 บาท) แป้งน้อยหวานน้อยเน้นเนื้อแครอต เลมอนครีมชีสครัมเบิล (120 บาท) รสเปรี้ยวหวานหอมมัน เค้กมะพร้าว (150 บาท)  เค้กช็อกโกแลต (150 บาท) และอีกมากมาย เบเกอรี่ทุกอย่างเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่ได้คุณผึ้ง-กมลนัยน์ วัฒนะจันทร์ ภรรยาคู่ใจมาช่วยดูแลและปรับสูตรจนได้รสชาติที่ลงตัว       เติมเต็มครบจบทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่ม แล้วจะไม่ฟินได้อย่างไร