ถือเป็นข่าวดีสำหรับสายหวานอย่างเราเพราะ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสดีกรีมิชลินสตาร์เขารังสรรค์ “Bespoke Afternoon Tea Experience” ชุดน้ำชายามบ่ายสไตล์ฝรั่งเศส ให้คนรักของหวานรื่นรมย์เต็มพิกัด เอ็นจอยกับอาหารคาว-หวานจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ฝีมือเชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Glio) Executive Bakery and Pastry Chef  คนใหม่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์จากร้านเบเกอรีชื่อดัง และโรงแรม 5 ดาวทั่วโลก ดื่มด่ำกับอาฟเตอร์นูนโฮมเมด ที่เสิร์ฟใน Blue Lounge บรรยากาศสบายๆ และอบอุ่น โซฟาหนานุ่มสีขาวนวล เข้ากันดีกับผนังและโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม ผสานไฟสีส้มโคซี่ และผ่อนคลาย มีผ้าม่านสีขาวกันเพื่อความเป็นส่วนตัว เริ่มต้นที่ของคาวกันก่อน Smoked Salmon & Pomelo แป้งสไตล์ฝรั่งเศสกรุบกรอบ เข้ากันดีกับรสเค็มของแซลมอนรมควัน ครีมชีสคุณภาพ และส้มโอ The Tamago & Caviar ไข่ม้วนในแบบฉบับญี่ปุ่นรสเค็มกลมกล่อม สอดไส้มายองเนส ท็อปด้วยคาเวียร์เลอค่า ตามด้วย The Duck Terrine & Sourdough ขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมด ประกบเทอร์รีนเป็ดเนื้อแน่น รสเค็มนุ่มนวล หอมกลิ่นสโมกอ่อนๆ ผสานรสหอมมันของตับไก่บด ก่อนทาด้วยซอสสูตรเฉพาะที่ปรุงจากไวน์มาเดรา Plain Scones สคอนรสดั้งเดิมลูกโต เนื้อแน่นนุ่ม หรือใครชอบ Raisin Scones สคอนลูกเกดหอมฟุ้ง กินคู่สตรอว์เบอร์รีแช่อิ่มรสเปรี้ยว และคล็อตเต็ดครีมที่เรารัก ยังมีของหวานตามฤดูกาลอย่าง Pineapple Polenta เค้กเนื้อฟองน้ำนุ่มฟู สลับชั้นกับสับปะรดย่างหอมๆ และคัสตาร์ดครีม The Roast Peach and Thyme Tartlet ฐานล่างเป็นแป้งทาร์ต หอมกลิ่นเนยเตะจมูก ด้านบนวางด้วยเนื้อพีชย่างรสหวานหอม Almond Croissant กรอบนอกนุ่มใน และขนมอบแบบฝรั่งเศสประจำวัน (Vienoisserie Du Jour) ช่วงนี้มี Chocolate Tart ครีมช็อกโกแลตรสเข้มพอดี มิ๊กซ์แป้งทาร์ตรสช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยทองคำเปลวหรูหรา ตามด้วยคาราวานของหวานบนรถเข็น ที่คุณสามารถเติมได้ไม่อั้น มีทั้ง Rum Savarin ขนมฝรั่งเศสโบราณ เนื้อฟูๆ ละม้ายคล้ายขนมปัง แช่ในน้ำเชื่อมรสหวานฉ่ำ ก่อนเติมเหล้าและผิวเลมอนเพื่อความหอม กินคู่วิปครีมตีสด Fraisier เค้กสตรอว์เบอร์รีในแบบฉบับของประเทศฝรั่งเศส เค้กสปันจ์อัลมอนด์ สลับชั้นเพสตรี้ครีม และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน Lemon Tart ได้รสเปรี้ยวละมุนจากเลมอนเคิร์ดโฮมเมด ตัดกับรสหวานของเมอแรงต์เบิร์นไฟ นอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลต และบิสกิตสัญชาติฝรั่งเศสต่างๆ โดนใจสวีตเลิฟเวอร์ทุกชิ้น จิบคู่ Hot Chocolate ช็อกโกแลตร้อนเลื่องชื่อประจำ Blue by Alain Ducasse ที่ส่งตรงจากกรุงปารีส เติมวิปครีมวานิลลาโฮมเมด และนมสดชั้นดีนิดหน่อยเป็นอันดีงาม หรือจะเป็น House-Made Sodas อิตาเลียนโซดาโฮมเมดรสต่างๆ ก็ฟินไม่แพ้กัน ส่วนใครที่เป็นทีเลิฟเวอร์ต้องนี่ Silver Needle ชาขาวเข็มเงินรสนุ่มละมุน  ปราศจากคาเฟอีนแห่งแบรนด์ Chaidim ชาออร์แกนิกส์ขึ้นชื่อของเมืองไทยนั่นเอง

ใครเป็นแฟนคลับ Cath Kidston แบรนด์เก่าแก่แห่งเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษอยู่แล้วน่าจะถูกใจ “Cath Kidston’s Tea Room” ทีรูมสไตล์อังกฤษแสนอบอุ่นโปรเจกต์ล่าสุดของแบรนด์ ตั้งอยู่ในเซ็นทรัลเวิลด์ (บริเวณชั้น 1) ให้คุณเพลิดเพลินกับห้องน้ำชาบรรยากาศคิวท์ ที่ตกแต่งด้วยของแต่งบ้านจาก Cath Kidston Home กับลายปริ้นท์ที่ไม่เหมือนใครตามคอนเซ็ปต์ Lifestyle with Cath เสิร์ฟพร้อมเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีและเบเกอรีโฮมเมดอุ่นๆ จากเตา ขอเริ่มจาก Cath Kidston Tea Set ชุดน้ำชายามบ่ายซิกเนเจอร์ประจำร้าน ที่ให้คุณละเลียดของคาว-หวานได้อย่างตามใจ ทั้ง Ham & Cheese Ciabatta Sandwich ขนมปังเซียบัตตาสัญชาติอิตาเลียนที่เรารัก ประกบแฮมและชีส รสเค็มผสานครีมมี ตามด้วย Egg & Mayo Sandwich แซนด์วิชไข่มาโย ชิ้นโตๆ จุใจ และ Veggie Sandwich แซนด์วิชผัก ไว้เอาใจชาววีแกน ต่อด้วยขนมหวานฟินๆ อย่าง Raspberry & Elderflower Mousse Cake มูสราสป์เบอร์รีสีแดงสดไซส์มินิ รสเปรี้ยวอมหวาน ฐานล่างเป็นคุกกี้กรุบกรอบฟุ้งกลิ่นเนยสด Thai Tea Choux ชูซ์ครีมชิ้นพอดีคำ แป้งกรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ชาไทยรสหอมหวาน ชิ้นนี้เราเลิฟ Lemon Cube Pound Cake เค้กเลมอนเนื้อแน่นนุ่ม ราดเลมอนเกรซ รสหวานอมเปรี้ยว ยังมี Vanilla Scone และ Cranberry Scone สคอนวานิลลา และสคอนแครนเบอร์รี เสิร์ฟคู่คลอตเต็ดครีม และแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมด ยังไม่ซะใจสายหวาน เราขอสั่งขนมจานอะลาคาร์ตมาลิ้มลองด้วย ตัวนี้น่าสนใจ Green Tea Mousse Cake มูสชาเขียวเนื้อนุ่ม รสหวานพอดีที่ทำมาจากผงมัตฉะคุณภาพแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ไปด้วยกันได้ดีกับความหวานมันของไวต์ช็อกโกแลต Strawberry Cream Patisserie Tart ทาร์ตสตรอว์เบอร์รีน่าอร่อย ตัวแป้งกรุบกรอบหอมกลิ่นเนย ภายในสอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสหวานมัน ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รีลูกโตๆ รสเปรี้ยวอมหวาน และวิปครีมปุกปุย คนรักช็อกโกแลตต้องชิม Chocolate Cake with Rocher Glaze เค้กช็อกโกแลตรสเข้มข้นเนื้อนุ่ม ภายนอกห่อหุ้มด้วยช็อกโกแลตเกรซสัมผัสกรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน ท็อปด้วยวิปครีมช็อกโกแลตหอมๆ เครื่องดื่มเราแนะนำ Iced Strawberry Lemonade Fizzy อิตาเลียนโซดารสหวานอมเปรี้ยวที่ได้มาจากน้ำสตรอว์เบอร์รี และมะนาวสด Iced Citron & Honey ได้รสหวานฉ่ำจากน้ำผึ้งแท้ๆ ผสมน้ำผลไม้ตระกูลซิตรัสและโซดาซาบซ่า Iced Thai Tea Latte ก็น่าสนใจ ชาไทยรสหวานมัน เครื่องดื่มสุดป็อปของคนรักของหวานตลอดกาล หรือใครชอบชาร้อนต้องนี่เลย Organic Black Tea and Earl Gray ชาเอิร์ลเกรย์ออร์แกนิกส์รสนุ่ม ที่ได้ความหอมจากมะกรูด เปลือกส้ม และดอกคอร์นฟลาวเวอร์

เป็นขวัญใจคนรักชาเขียวเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ สำหรับ  “Seven Suns” บาร์มัตฉะรสเข้มข้น ที่มัดรวมผงชาเขียวคุณภาพกว่า 70 สายพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่นไว้ในที่เดียว โดยมีทีมาสเตอร์มือฉมังเรื่องชาคอยให้ความรู้และแนะนำอยู่เช่นเคย ครั้งนี้เราแวะไปเช็คอินสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ภายใน ‘ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)’ ชั้น LM ใกล้บริเวณข้างทางเข้า Atrium นั่นเอง เมนูแรกที่จิบเป็น Elderflower Matcha Tonic ไซรัปดอกไม้หอมๆ รสเปรี้ยวอมหวาน ผสมกับผงมัตฉะสายพันธุ์อุจิรสเบานุ่มนวล และโทนิคซ่าๆ จิบแล้วชื่นใจดี ใครชอบแบบไลต์ๆ ต้องนี่เลย Matcha Latte Lite มัตฉะลาเต้ที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งรังสรรค์มาจากมัตฉะเบลนด์สูตรเฉพาะของทางร้าน ร่วมกับนมสดหอมมัน รสหวานกำลังดี แก้วนี้เราชอบมาก Matcha Malt มัตฉะซิกเนเจอร์เบลนด์มิ๊กซ์กับนมมอลต์หอมฟุ้ง รสเข้มข้น ถูกใจสายชาเขียวโดยเฉพาะ ปิดท้ายด้วย Dark Chocolate Hojicha ชาข้าวคั่วเข้ากันดีกับรสเข้มของดาร์กช็อกโกแลต

ชวนผ่อนคลายอารมณ์ พร้อมจิบชาญี่ปุ่นสุดพรีเมียมใน 'Koto Tea Space - 琴' พื้นที่ของคนรักชาขนาดย่อมย่านเจริญกรุง ที่มีจุดเด่นเป็น Tea Experience Courses คอร์สแพริ่งชาและขนมหลากหลายรูปแบบ ซึ่งผ่านการคัดสรรอย่างดีจากคุณป๊อบ - ดนิษฐา และ คุณยูซึเกะ - นากานิชิ แฟนหนุ่มชาวญี่ปุ่น ผู้หลงรักวัฒนธรรมการดื่มชาอย่างหมดหัวใจ แม้หลักๆ จะเปิดเป็น Tea Experience Courses และ Tea Workshops ให้จับจองที่นั่งเพียงวันละน้อยรอบ แต่สำหรับใครที่อยากวอล์คอินเข้ามาชิม Regular Menu ทางคุณป๊อปก็จัดคู่เซ็ตชาและขนมที่เข้าคู่กันให้ได้เลือกตามความชอบ ซึ่งยังคงสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองในเรื่องของชาอย่างเป็นกันเอง ไม่แพ้กับการจองคอร์สเข้ามาเลยล่ะ เริ่มด้วย Mizudashi Sencha ที่มีเฉพาะใน Tea Experience Courses ชาเขียวเซ็นฉะที่ผ่านการชงด้วยน้ำเย็น เพื่อรักษากลิ่น และรสชาติของตัวชาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด มีรสชาติที่ขมฝาดเล็กน้อย กลิ่นหอม ดื่มแล้วสดชื่น กินกับ Yokan วากาชิสุดโด่งดังจากโทระยะ ร้านวากาชิเก่าแก่ในจังหวัดโตเกียว โดยทำจากถั่วแดง เมืองโทคาจิ จังหวัดฮอกไกโด และน้ำตาลอ้อยจากจังหวัดโทคุชิมะ เนื้อสัมผัสหนึบ ถั่วแดงแน่นเต็มคำ ในส่วนของเซ็ตชาและขนมแนะนำ Hot Hojicha X Warabi Mochi ชาโฮจิฉะร้อน รสเบาสบาย จับคู่มากับวาราบิโมจิกวนสดใหม่ จากแป้งมันหวานคาโกชิมะ ราดด้วยน้ำตาลดำโคคุโตะ ของจังหวัดโอกินาวา เนื้อนุ่มกินแล้วละลายในปาก หรือจะเลือกป็น Genmaicha X Koi-cha Chocolate Cube เก็นไมฉะรสเบาบาง เสิร์ฟพร้อมช็อกโกแลตโคอิฉะคิวบ์ ที่เลือกใช้เป็นมัตฉะเกรดพิธีชงชาผ่านการบดอย่างพิถีพิถัน กินแล้วจะรู้สึกถึงความเข้มข้น แต่ไม่ขมจนเกินไป

เบื่อบรรยากาศรถติดบนท้องถนน ชวนแวะมานั่งจิบชาชิลๆ สั่งอาหารและเบเกอรี่มานั่งกินสไตล์ลูกคุณ ที่ Fruitea Café and Liqueur Bar ย่านพร้อมพงษ์ คาเฟ่ที่นำเสนอทั้งอาหารและเครื่องดื่มแบบฟิวชั่นระหว่างอาหารอิตาเลียนและอาหารญี่ปุ่น ที่มีเจ้าของร้านเป็นคนนำเข้าเหล้าบ๊วยและชา พร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้เข้าไปลิ้มลองกัน Fruitea คาเฟ่แนว Botanical (ดอกไม้นานาพันธุ์) ตกแต่งผนังด้วยวอลเปเปอร์รูปดอกไม้และป่าดูร่มรื่น วางประดับด้วยแจกันดอกไม้หลากสีสันดูสะดุดตา ดูโดดเด่นด้วยชั้นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยขวดเหล้าบ๊วย วิสกี้ และชา ซึ่งความพิเศษของชามีส่วนผสมของดอกไม้และผลไม้ตระกูลเบอร์รี มีกลิ่นหอมหวานซ่อนเปรี้ยว ทำให้เหมือนไปเดินอยู่ในสวนอุเอโนะ (ueno park) ประเทศญี่ปุ่นเลยทุกคน ร้าน Fruitea มีบาร์สำหรับดริปกาแฟและชงเครื่องดื่มที่มีให้เลือกอีกหลากหลายเมนู ทั้งค็อกเทลและม็อกเทล โดยเฉพาะเครื่องดื่มซิกเนอเจอร์อย่าง อุเมะชู (เหล้าบ๊วย) ที่ส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้แพริ่งกับอาหารสไตล์บิสโทร (Bistro) ของที่ร้านที่มีหัวหน้าพ่อครัวเป็นคนญี่ปุ่นมาปรุงอาหารเองอีกด้วย  อาทิ เริ่มด้วยเมนูแรก จานพาสตาที่เหมาะสำหรับใครหลายคนอย่าง Mentaiko (Cod Roe) Spaghetti เส้นสปาเก็ตตีคลุกกับซอสไข่ปลาค้อดและมายองเนสสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติเข้มข้นหวานมัน แสดงให้เห็นถึงการฟิวชันของเชฟได้อย่างลงตัว ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน  Zakuzaku Doughnut แป้งโดนัทสอดไส้ชิ้นโตทรงลูกรักบี้ คลุกขนมปังหั่นเต๋า นำไปทอดจนเหลืองกรอบ ซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 4 ไส้ อาทิ Zakzaku Curry Doughnut ไส้แกงกะหรี่เนื้อออสเตรเลียผัดกับผงกะหรี่หอมเครื่องเทศญี่ปุ่น Zakzaku Pizza Doughnut ไส้พิซซาหมูผัดกับซอสมะเขือเทศ Zakzaku Cream Stew Doughnut เนื้อไก่ตุ๋นในครีมทำเป็นสตูไก่รสชาติเข้มข้น หอมมัน และตัวสุดท้าย Zakzaku Red Bean Doughnut ไส้ถั่วแดงกวน รสหวานมัน สายถั่วแดงเลิฟเวอร์ต้องไปลอง บอกเลยว่าทั้งหมดนี้คือเมนูเด็ด ถ้ามาแล้วไม่สั่งคือพลาดมาก รับรองว่าอร่อยทุกรส จัดหนักกับเมนู Pork-Cutlet Sandwich เนื้อหมูนำไปซูวีดนานกว่า 5 ชั่วโมงจนเนื้อชุ่มฉ่ำ จากนั้นนำไปคลุกแป้งและเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบ ประกบด้วยแผ่นขนมปังฮอกไกโดเนื้อหนานุ่ม กินคู่กับซอสทาร์ทาร์ เข้ากันได้ดีกับหมูทอด เมื่อกัดเข้าไปเต็มๆ คำ อร่อยถูกใจจนต้องสั่งกลับบ้าน นั่งสักพักสั่ง Beef Tongue Stew Pie มาลิ้มลอง เป็นพ็อตพาย (Pot Pie) ด้านในเป็นลิ้นวัวตุ๋นกับผักต่างๆ จนเปื่อยนุ่ม ลิ้นวัวละลายในปาก รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องเทศและสมุนไพร เข้ากันได้ดีกับแป้งพาย สายเนื้อต้องลองกับเมนู Black Angus Hamberger Steak on Cheese with Tomato Sauce เนื้อวัวแองกัสบดผสมกับมันเนื้อวัววากิวบด คลุกกับเครื่องเทศ นำไปย่างสุกกำลังดีท็อปด้วยชีส เสิร์ฟคู่กับผักย่าง ขนมปังอบชีส และซอสมะเขือเทศโฮมเมด สูตรเฉพาะของทางร้าน สายหวานห้ามพลาดกับเมนู Hojicha Basque Cheesecake ชีสเค้กเนื้อเนียนละมุนลิ้น รสเปรี้ยวหวานลงตัว หอมกลิ่นชาโฮจิฉะ ซึ่งความพิเศษทางร้านจะผสมใบชาลงไปในเนื้อเค้กด้วย จับคู่กับชากุหลาบหอมๆ สักแก้ว บอกเลยว่าฟิน เอาใจสายดื่มด้วย Infinity Gin Cocktail เมนูค็อกเทลที่ผสมกาแฟเอสเปรสโซและเหล้าจินเข้าด้วยกัน เติมไซรัปวานิลลาและครีม ตกแต่งด้วยก้านอบเชยเผาบนปากแก้ว เมนูนี้รสชาติหวานมัน หอมกลิ่นวานิลลา Black Vanilla กาแฟเอสเปรสโซผสมกับไซรัปวานิลลา นำไปเขย่าเพื่อให้เนื้อสัมผัสเบายิ่งขึ้น วางบนหน้าด้วยแผ่นน้ำตาลเผา มีกลิ่นหอมคาราเมล Berry So Bliss เครื่องดื่มสีแดงสดใสที่ได้จากชากุหลาบ นำไปผสมกับไซรัปกลิ่นมะลิ รสชาติเปรี้ยวหวานนิดๆ หอมชาและกลิ่นดอกมะลิ เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้หญิงสไตล์น่ารักสดใส เป็นร้านที่ผสมผสานระหว่างอาหารอิตาเลียนและอาหารญี่ปุ่นเข้ากันได้อย่างลงตัว

สุดสัปดาห์นี้ใครไปเยือนเขาใหญ่ต้องไม่พลาดแวะชิมชาที่ Cha Nhapha Khaoyai ร้านชาสุดคูลที่ผสานงานศิลป์ไว้ในทุกอณู ผลงานการสร้างสรรค์โดยอาจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) ประจำปี 2564 ร้านชาแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ หน้าผา เขาใหญ่ รีสอร์ต ซึ่งอาจารย์ถาวร ตั้งใจออกแบบพื้นที่เล็กๆ นี้ให้เป็นจุดดึงดูดทุกคนที่เดินผ่าน มีความมินิมอลผสานกับความโฮมมี่จากไม้เก่าและเฟอร์นิเจอร์ที่เคยเป็นเครื่องใช้ในบ้าน นำมาบูรณะซ่อมแซมและอิมโพไวส์ทุกอย่างให้เข้ากันกลายเป็นงานไม้สวยๆ และชั้นโชว์ผลงานศิลปะที่แต่งแต้มร้านให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น อีกมุมซึ่งเป็นวิวไฮไลต์ของห้อง เบื้องหลังกระจกใสเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ที่อาจารย์ถาวรแฝงมุมมองและแง่คิดไว้ให้ลูกค้าแต่ละคนได้ตีความ เป็นการผสมผสานและเชื่อมโยงความเป็นยุคหินสู่ยุคเทคโนโลยี โดยเลือกเอาสแตนเลสที่มีความเรียบมัน เงาวาว มาเป็นตัวแทนของเทคโนโลยียุคใหม่ ผสมผสานเข้ากับหน้าผาหินขนาดใหญ่ เป็นเสมือนกระจกสะท้อนสภาวะที่แปรเปลี่ยน เพราะเมื่อเข้าไปยืนดูใกล้ๆ เราจะเห็นความบิดเบี้ยวของหน้าตา ซึ่งจะเชื่อมโยงกับหลักธรรมในพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า “ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน” หินที่แข็งแกร่งก็ถูกทำลายได้ และเทคโนโลยีก็จะถูกทำลายเช่นกัน เป็นการสะท้อนความไม่เที่ยงแท้ของตัวตน ดังนั้นห้องนี้จึงเป็นห้องศิลปะที่มีชาอร่อยให้ได้กินดื่มและซึบซับความงามไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งอาจารย์ถาวรยังมีแนวคิดให้พื้นที่แห่งนี้เป็นจุดแสดงผลงานให้กับศิลปินหน้าใหม่ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความสนใจซึ่งกันและกันได้ด้วย ซึมซับบรรยากาศร้านกันพอประมาณ มาดื่มด่ำกับขนมและเครื่องดื่มกันต่อ ทางร้านเลือกใช้ชาเขียวมัตฉะคุณภาพดีจากชิซุโอกะ ทำเป็นเครื่องดื่มร้อนและเย็น เลือกได้ทั้งแบบใส่นมและไม่ใส่นม มีไอศกรีมรสชาติดีที่ได้ชิมเป็นต้องติดใจ ทั้งไอศกรีมชาเขียว ไอศกรีมนม ขนมปังโฮมเมดที่หน้าตาดูธรรมดาแต่ชิมแล้วต้องถวิลหา ชีสเค้กเนื้อเนียนครีมมีกำลังดี ทุกเมนูบ่งบอกถึงความใส่ใจตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การปรุงอย่างพิถีพิถัน การคัดสรรภาชนะ การเสิร์ฟและการบริการอย่างเอาใจใส่ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ อาจารย์ถาวรพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราทำอะไรด้วยการใช้ศิลปะเป็นตัวตั้ง ทุกอย่างมันจะงดงาม”  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากการแวะมา Cha Nhapha Khaoyai ร้านชาสุดคูลแห่งนี้จริงๆ

ลึกเข้าไปในถนนสายเล็กในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น ก็จะได้สัมผัสอีกบรรยากาศหนึ่งราวกับหลุดพ้นจากความวุ่นวายทั้งปวง ด้วยตัวอาคารสีขาวสะอาดท่ามกลางลานหญ้าสีเขียว มีเทือกเขาพระพุทธบาทน้อยตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง พิมพิมาน นั้น เป็นห้องอาหารแนว East meet West ภายในร้านประดับประดาด้วยข้าวของสไตล์ตะวันออก พร้อมโทนสีที่จัดจ้าน ด้วยแนวคิด Color Therapy ส่วนเมนูอาหารไทยโบราณของที่นี่จะปราศจากเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ป่า รวมถึงสัตว์อายุยืนทั้งหมด สอดคล้องไปกับแนวคิดแห่งการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ สำหรับอาหารไทยโบราณที่ขึ้นชื่อของพิมพิมาน เริ่มต้นด้วยจานเรียกน้ำย่อย มังกรคาบแก้ว หรือม้าฮ่อ ไส้ผัดส่วนผสมข้าด้วยกันจนเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ยัดเป็นไส้ในส้มผ่าซีก รสชาติหวานเค็มตัดกับความเปรี้ยวของผลไม้อย่างลงตัว ต่อด้วย ปลาแห้งแตงอุลิต หรือ แตงโมปลาแห้ง อีกหนึ่งของว่างชาววังโบราณ เหมาะสำหรับกินยามบ่ายคลายร้อน ด้วยความเย็นชุ่มฉ่ำของแตงโม ผสานกับกลิ่นหอม ๆ จากปลาแห้งที่คั่วกับหอมเจียวและน้ำตาลทราย เข้าสู่อาหารจานหลัก เมนูแรกเปิดด้วย ห่อหมกปู พริกแกงไทยจัดจ้าน หอมกลิ่นสมุนไพร อัดแน่นด้วยเนื้อปูเน้น ๆ เช่นเดียวกับ หลนปู เมนูน้ำพริกเค็มมันจากกะทิที่มาพร้อมเนื้อปูเต็มปากเต็มคำเสริมความเค็ม ๆ มัน ๆ เข้าไปอีกด้วยไข่ปูแบบไม่มีหวง เคียงกับผักสดหลากชนิดที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน ปิดท้ายด้วย แกงรัญจวนไก่ อีกหนึ่งแกงโบราณที่หากินได้ยากในปัจจุบัน ความโดดเด่นอยู่ที่น้ำซุปกลมกล่อม หอมรัญจวนจากเครื่องแกงกะปิ ใบโหระพา และตะไคร้ซอย ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน สำหรับของหวานนั้น ก็ยังคงความเป็นไทยไว้อย่างเหนียวแน่น เริ่มต้นด้วย ขนมโคกะทิสด มีทั้งไส้กระฉีกหอมหวานและไส้ถั่วมาในถ้วยเดียว หอมทั้งกลิ่นกะทิและงาในหนึ่งคำ แล้วจบด้วย ข้าวเหนียวมะม่วง เมนูของหวานสุดคลาสสิก ข้าวเหนียวมูนหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ ราดกะทิหวานมัน กินคู่กับมะม่วงที่ฉ่ำไม่แพ้กัน โรยหน้าด้วยถั่วทองทอดเพิ่มความกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน เครื่องดื่มที่เป็นความพิเศษเฉพาะของร้าน เริ่มด้วย พิมพิมาน มาในสีเหลืองทองจากน้ำสับปะรด น้ำเก๊กฮวย และไซรัปวานิลลาที่ผสมผสานกันในแก้วเดียว ท็อปด้วยโฟมนุ่มสีขาวจากไข่ขาวและแปะทองคำเปลวดูหรูหรา รพีจรัส น้ำมะตูมและน้ำกระเจี๊ยบ เพิ่มความหวานหอมด้วยไซรัปกลิ่นเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ พฤกษาขจี เครื่องดื่มสีเขียวสด มีส่วนผสมของตระไคร้ ใบเตย และน้ำแอปเปิ้ล เพิ่มความซ่าด้วยเลมอนเนด สุดท้ายคือ ช่ออำพัน ที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมตะไคร้ น้ำส้มยูซุ และน้ำอัญชัน นอกจากจะโดดเด่นเรื่องเมนูไทยโบราณ ที่นี่ยังมีเมนูตะวันตกอีกหลากหลายเป็นอีกตัวเลือกด้วยเช่นกัน เริ่มต้นจาก Salmon Passion Ceviche สลัดแซลมอนสดหั่นเต๋า คลุกเคล้าในซอสเสาวรสที่รสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน ให้ความสดชื่นเหมาะกับการเป็นจานเรียกน้ำย่อย จานต่อมา Duck a’ L’Orange เป็ดอบซอสส้ม ที่ทางร้านเลือกใช้น่องเป็ดติดสะโพก นำไปเซียจนหนังเป็นสีทอง แล้วอบไฟอ่อน ๆ กับซอสส้มและเฮิร์บต่าง ๆ อีกประมาณ 4 ชั่วโมงจนเนื้อเปื่อยยุ่ยกินง่าย เข้ากับซอสส้มที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ปิดท้ายด้วยพาสตา Spaghetti Aglio e Olio with Carbmeat สปาเก็ตตีเส้นหมึกดำกับปูซอสกระเทียมพริกแห้ง ผัดกับ Olive oil มะเขือเทศอบแห้ง มะเขือเทศเชอรี่ และพาสลีย์ ส่วน เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม ห้องชายามบ่ายที่อยู่ภายในโครงการเดียวกัน ภายในดูอบอุ่นสบายตา เหมาะกับการมานั่งจิบชาอย่างไม่เร่งรีบ แน่นอนว่าภายในยังคงการตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออก พร้อมกับสะท้อนองค์ประกอบการใช้สีทั้ง 7 สีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว (Symphony of Color)  ผ่านการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ชุดชายามบ่ายของ เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม นั้นบอกเล่าแนวคิดของการเดินทางบนเส้นทางสายไหม ผ่านเมนูของว่างมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะคาวหรือหวาน เช่น มาการอง ที่มีช็อกโกแลตรูปขนนกติดด้านบน สื่อถึงการบันทึกเรื่องราวการเดินทาง โอเปร่าเค้ก ที่ห่อด้วยแผ่นน้ำตาลลายผ้าไหม เป็นตัวแทนสินค้าที่นิยมขายบนเส้นทางสายไหม ช็อกโกแลต ทรงกลมที่สื่อถึงลูกโลก การโคจรมาเจอกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก และ ตำลึงทอง ที่ทำจากไวต์ช็อกโกแลต ที่หมายถึงเงินตราในสมัยก่อน ของหวานเซ็ตใหญ่นี้จะมาคู่กับสโคนอุ่น ๆ กับชา TWG หลากหลายรสชาติ รวมถึงเมนูชาผลไม้แบบเย็น เช่นเมนูซิกเนเจอร์ชื่อ เดอะ ฮาร์โมนี่ ที่มีส่วนประกอบของชาเขียว ลูกพีช น้ำใบเตย คาโมมายด์ มะลิ และดอกลิลลี่ และอีกแก้วหนึ่งที่สีสันสวยสดงดงามไม่แพ้กันคือ ลิ้นจี่ ลา โรส ซึ่งเป็นชาอู่หลง ผสมน้ำลิ้นจี่ และกุหลาบ นอกเหนือไปจากห้องอาหารพิมพิมาน และ เดอะ ฮาร์โมนี่ ไลบรารี่ แอนด์ ทีรูม ที่นี่ยังเปิดให้บริการห้องพักวิวเทือกเขาพระพุทธบาทน้อยของ เดอะ โซล รีสอร์ต (The Soul Resort) (อ่านรีวิว : https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/1818) เพื่อการพักผ่อนท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติ และปล่อยใจเป็นอิสระจากความวุ่นวายทั้งปวง

สายอาฟเตอร์นูนทีทั้งหลายรู้ยังว่า บนชั้น L ของโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร (Bts ช่องนนทรี) เขามีห้องน้ำชาดีไซน์เก๋ด้วยนะ ชื่อว่า Tease ทีรูมสีขาว-ดำสไตล์อาร์ตเดโคซึ่งเป็นผลงานของ ไฮเม่ ฮายอน (Jaime Hayon) นักออกแบบชาวสเปนและทีมออกแบบของ The Standard โดดเด่นด้วยผนังกระเบื้องลายกราฟิกเรขาคณิต เข้าคู่ไปกับเฟอร์นิเจอร์ลายทาง งานศิลป์รูปทรงกระบองเพชรชิคๆ หรือแม้แต่ชุดกาน้ำชาที่ล้วนแล้วแต่เป็นสีขาว-ดำคลาสสิคทั้งสิ้น เรียกว่าสายโซเชียลนี่ถ่ายรูปเพลินๆ กันไปเลย ต้อนรับด้วย Refreshing Drink น้ำสีม่วงน่าชิมนี้รังสรรค์มาจากน้ำมงคุดรสเปรี้ยวอมหวาน ผสานไปกับมันม่วงท็อปด้วยโฟมครีมนุ่มๆ จิบแล้วชื่นใจ พร้อมฟินไปกับ Afternoon Tea Set ที่ประกอบไปด้วย Beetroot Macaron มาการองสีแดงสดสวยนี้ได้มาจากบีตรูต สอดไส้ซอสตับห่านรสเค็มละมุน Blackcurrant Jube เยลลี่รสแบล็คเคอร์แรนท์น่าชิม ชิ้นนี้อร่อย Quail & Whiskey Party Pie พายสไตล์โฮมเมดพอดีคำ แป้งบางๆ หอมเนย กัดพร้อมไส้เห็ดนานาพันธุ์ รสเค็มพอดี กินได้เรื่อยๆ Aperol Jube วุ้นสีม่วงรสองุ่นฟินๆ King Salmon Crudo ขนมปังกรอบท็อปด้วยปูเนื้อหวาน แซลมอนหั่นเต๋า ราดน้ำยำรสเผ็ดเปรี้ยว Green Goddess Crisp ผักนานาชนิดคลุกเคล้ากับซอสสูตรเฉพาะ เข้าปากพร้อมขนมปังกรอบ ยังมี Jerusalem Artichoke Panna Cotta พานนาคอตตาที่ทำมาจากอาร์ทิโชก ฐานล่างเป็นขนมปังกรอบ ชวนชิมไม่น้อยเลย ชิ้นสีเหลืองสว่างนั่นคือ Mango Delice ได้รสหวานฉ่ำจากซอสมะม่วงสุก และความหอมมันจากมะพร้าว สายชาเขียวต้องเลิฟ Matcha Slice เค้กมัตฉะเนื้อนุ่มฟู สลับชั้นกับซอสส้มยุซุและสตรอว์เบอร์รี Chocolate Praline เราชอบมาก ทาร์ตช็อกโกแลตรูปดอกไม้น่ารัก รังสรรค์มาจากช็อกโกแลตนม ภายในสอดไส้ซอสมิ๊กซ์เบอร์รีและเนยถั่ว Fluer De Noissette ชิ้นพอเหมาะ รสหวานพอดี The Egg พานนาคอตตาทรงไข่ใบโตๆ เปลือกนอกทำจากมาจากไวท์ช็อกโกแลตรสหวาน สอดไส้ด้วยซอสมะม่วงเยิ้มๆ Scones สคอนที่นี่อร่อยมาก เนื้อสัมผัสนุ่ม มีความแน่นเล็กๆ ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเนย ทากับคล็อตเต็ดครีมทำเองรสหอมมัน และแยมราสป์เบอร์รีสไตล์โฮมเมด จิบคู่กับชาแบรนด์คนไทยอย่าง Araksa ใบชาออร์แกนิคจากเมืองเชียงใหม่ ครั้งนี้เราเลือก Cheeva Tea ชาใบมะกรูดเบลนด์กับผลไม้ตระกูลซิตรัส ดื่มแล้วให้แล้วรู้สึกสดชื่น และ Lhong Lai Tea ชาอู่หลงบอดี้เข้ม หอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ หรือใครจะสั่งค็อกเทลอย่าง Bye Bye Blue ค็อกเทลสีสดใสนี้เป็นการรวมตัวระหว่างน้ำอัญชันและวอดก้า ถูกใจสายดื่ม

สุดสัปดาห์นี้หากยังไม่มีที่เที่ยวในใจ เราชวนทุกคนออกจากกรุงเทพฯ ไปนั่งจิบชาในธีมอวกาศ ที่ Oort Cloud Tea Room โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา (Grande Centre Point Space Pattaya)โรงแรมธีมอวกาศที่ฮอตที่สุด ณ เวลานี้! ชื่อ Oort Cloud หมายถึงชั้นเมฆในอวกาศที่ล้อมรอบระบบสุริยะนั้นล้ออไปกับธีมสุดล้ำของโรงแรมได้เป็นอย่างดี เราจะได้เห็นห้องน้ำชาที่ดีไซน์จากลวดลายของเปลือกน้ำแข็ง หินอุกกาบาต และดาวหาง ส่วนด้านนอกจัดเป็นสวนสวย จำลองระบบสุริยะเช่นกัน (คุมธีมอะไรขนาดนี้!) ได้ชื่อว่าเป็น Tea Room ทั้งที ชาออร์แกนิคของที่นี่จึงคัดสรรมาเป็นพิเศษกว่า 20 ชนิด อาทิ Shade of Summer ชาทับทิมบลูเบอร์รี่ ชากลิ่นหอม รสออกเปรี้ยวนิดๆ จิบแล้วสดชื่น Wild Wild Flower ชาเขียวมะลิ กุหลาบ ลาเวนเดอร์ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้และกลิ่นผ่อนคลายจากชาเขียว หรือจะเป็น Lemongrass Lavender Mint ชาตะไคร้ ลาเวนเดอร์ ใบมินต์ จิบแล้วสบายคอ   เราแนะนำเซ็ต Afternoon Tea ที่มาครบทั้งของว่างคาวและหวานทั้งแซนวิช สโคน บิสกิต  พร้อมด้วยชาร้อนเลมอนเคลือบน้ำตาลเบิร์นไฟ ส้มอบแห้ง และซินนามอนพันน้ำผึ้งหอมหวาน (แน่นอนว่านาฬิกาทรายจับเวลาก็ยังเป็นธีมอวกาศ) และที่ไม่อยากให้พลาดคือม็อกเทลที่ทำได้สวยจับใจ โดยเฉพาะ Rose Lover ซิกเนเจอร์เมนูสีชมพูรสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นส้ม ประดับด้วยดอกไม้กินได้ เข้ากับบรรยากาศเชียวล่ะ

ภารกิจสุดวุ่นวายในแต่ละวันอาจทำให้ความสุขของเราหายไปบ้าง แต่ถ้าปลีกเวลาได้อยากให้มาชาร์ตพลังที่ Sriyan Tearoom ทีรูมเปิดใหม่ในบ้านโบราณสไตล์โคโรเนียลอายุประมาณ 100 ปีที่ใช้ไม้ซุงเป็นรากฐาน ไม่มีการลงเสาเข็ม ตัวบ้านสร้างจากไม้สักแท้ทั้งหลังและไม่เคยรีโนเวท นอกจากทาสีใหม่บางส่วน โดยเน้นสีโทนเดิมเพื่อคงสเน่ห์ของวันวาน เมื่อเดินเข้ามาจึงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีตที่เรียบง่าย เนิบช้า ไม่วุ่นวาย แถมยังมีชาชั้นดีและของว่างแสนอร่อยให้ละเลียดเพลินๆ อีกด้วย       ช่วงนี้เปิดให้นั่งชิลบริเวณชั้นล่าง ส่วนชั้นบนกำลังตกแต่งเพื่อรองรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากขึ้น แต่ถ้าชอบนั่งรับลมแนะนำโซนด้านนอกที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และยังได้เงาของตัวบ้านช่วยบดบังแสงอาทิตย์ ลมพัดเย็นๆ นั่งยืดแขนขาสบายๆ ก่อนสั่งเมนูชูโรง เริ่มด้วยเลือกชาที่ชื่นชอบจับคู่กับครัวซองต์ เมนูไฮไลท์ที่เชฟครีเอทมาทั้งแบบคาวและหวานให้สั่งมาเอนจอยได้ครบจบที่เดียว           เราเลือก Golden Earl Grey ชาดำคัดเฉพาะยอดอ่อน เบลนด์กับกลิ่นมะกรูดและน้ำผึ้ง หอมหวานสดชื่น     ส่วนครัวซองต์เริ่มที่เมนูคาว Smoked Salmon Cream Cheese ครัวซองต์แซลมอนรมควัน ราดด้วยครีมชีส อะโวคาโด เคเปอร์ โรยหน้าด้วยอิคุระ     ต่อด้วย Scrambled Eggs ครัวซองต์สแครมเบิลเอ้ก ใส่แฮมชีส แชมปิญอง ผักร็อกเก็ต และมะเขือเทศย่าง อย่าลืมเพิ่มรสเปรี้ยวสดชื่นด้วยเลมอน     ปิดท้ายด้วยครัวซองต์รสหวาน Yuzu Cream Cheese ครัวซองต์คิวบิกก้อนโตที่กินคนเดียวไม่ได้ เพราะมีจุก ผิวนอกกรอบ ด้านในนุ่มนิ่ม ไฮไลท์อยู่ที่ไส้ยูสุและครีมชีสอุ่นๆ ที่พร้อมทะลักยั่วน้ำลายทันทีที่เราเอามีดกดลงไป รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน ยกให้เป็นของหวานปิดท้ายมื้อสุดประทับใจ     ก่อนกลับแวะย่อยอาหารด้วยการเดินชมสตูดิโอเสื้อผ้าแบรนด์ไทยชั้นนำ Sappaya (สัปปายะ) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ตัดเย็บจากผ้าเดนิมทอมือและใช้กระบวนการย้อมผ้าภูมิปัญญาชาวบ้านที่ปราศจากสารเคมี 100% ออกแบบสวย ใส่สบาย ไม่แน่ว่าเสื้อบางตัวกำลังรอเราเป็นเจ้าของอยู่ก็ได้  

สายชาต้องมาสักครั้ง! เพราะ "Grow teastudio" ไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเจอร้านชาเล็กๆ ลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านคึกคักอย่างสุทธิสารเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่คนรักการดื่มชาญี่ปุ่นและชาสไตล์ตะวันออกได้ลงลึกถึงความอร่อยของชาในแบบสบายอารมณ์อีกด้วย         ด้วยความมุ่งมั่นของสองเจ้าของร้านและทีมาสเตอร์ อดีตฟู้ดดีไซเนอร์และฟู้ดสไตลิสต์ ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์และแรงบันดาลใจผสานความหลงใหลในเสน่ห์ของชาถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการออกแบบร้านสุดฮิปโทนสีขาว ดำ และเทา ที่คงกลิ่นอายญี่ปุ่นดั้งเดิมผ่านบาร์ชา หม้อเหล็กร้อน และอุปกรณ์ชงชาแบบดั้งเดิม ไปจนถึงการคัดเลือก "Uji Matcha" ชาจากไร่ชาแห่งเมืองอุจิ ประเทศญี่ปุ่นที่ยังคงความคลาสสิกที่สืบทอดกระบวนการปลูกชามาหลายร้อยปีจนได้ชาที่มีความสมดุลทั้งรส กลิ่น และสัมผัส รวมทั้งเอกลักษณ์ของชาจากเมืองนี้ที่มีกลิ่น Ooika คล้ายกลิ่นสาหร่ายคอมบุและผักเขียวสดชื่น           เราแนะนำเมนู Grow Signature ทั้ง Umami Cold Whisk กลมกล่อมละมุนละไม ให้รสเปรี้ยว หวาน เค็ม ขม อูมามิอย่างสมดุลสมชื่อ และ Grower Cold Whisk เข้มข้นแต่สว่าง ดื่มแล้วเบาสบาย ด้วยการชงกับเครื่องปั่นแล้วราดบนน้ำแข็งเสิร์ฟ หรือจะลอง Grow Earth เมนูแนวม็อกเทลสุดเก๋ที่นำมัตฉะมาผสมผสานกับนมอัญชันและน้ำมะพร้าวคั้นสดหอมหวาน (น้อย) ได้กลิ่นอายเหมือนขนมไทย               ส่วนใครชอบชาไต้หวัน ต้องลอง Charcoal Tiguanyin ชาหมักคั่วเข้ม จิบแล้วกลิ่นดอกไม้และน้ำตาลไหม้หอมฉ่ำติดจมูก ชงกับน้ำอุณหภูมิ 100 องศา และ Dong Fang Mei Ren หอมกลิ่นดอกไม้ป่า มีความสโมกกี้มากขึ้น และทิ้งรสเปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆ หรือหากอยากลองแนวผลไม้ เราแนะนำ Yuzu ใช้ยูสุสายพันธุ์ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เปรี้ยวเข้นข้นสดชื่น แต่แฝงความนุ่มนวลและความหอมเมื่อยกดื่ม ชงกับน้ำผึ้งหอมดอกไม้ป่าที่ช่วยดึงรสชาติของยูสุออกมาได้อย่างลงตัว           ที่สำคัญอย่าลืมสั่งเมนูขนมหนึ่งเดียว (ในตอนนี้) อย่าง Dora'caron โดรายากิสูตรเด็ด แป้งด้านนอกกรอบกำลังดี ด้านในนุ่มแน่น สอดไส้ถั่วแดงหอมหวานละมุนลิ้น ยิ่งกินคู่กับชาแล้วสุดแสนจะฟิน  

ณ มุมเล็ก ๆ ใจกลางย่านอโศก Monsoon Tea ต้อนรับเราด้วยกรอบประตูไม้ที่ด้านบนประดับด้วยงานศิลปะสีสันสดใส เป็นภาพของคนกำลังเก็บชาอยู่ในป่า       Monsoon Tea เป็นแบรนด์ชาที่เน้นเรื่องการอนุรักษ์ผืนป่าให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นใบชาทุกใบที่นำมารังสรรค์เป็นเบลนด์ต่าง ๆ กว่าร้อยรสชาติจึงล้วนมาจากผืนป่าใน จ.เชียงใหม่ ทางภาคเหนือของไทย จุดเริ่มต้นนั้นมาจาก “ใบเมี่ยง” หรือ “ชาอัสสัม” ซึ่งเป็นชาพันธุ์ท้องถิ่นที่ผู้คนในแถบนั้นมีประวัติศาสตร์การบริโภคชาสายพันธุ์นี้กันมาเนิ่นนาน และนิยมปลูกให้เจริญเติบโตคู่กับต้นไม้ในป่าใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องถางป่าเพื่อทำไร่ชาเป็นทิวแถวอย่างที่เคยคุ้นตา ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจของ Monsoon Tea ในทุกวันนี้ ที่มุ่งเน้นการใช้ชาจากผืนป่า นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อคนดื่มชาจากทั่วโลก แล้วนำรายได้กลับคืนสู่ชุมชน       ภายในร้านนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนของชารสชาติต่าง ๆ ภายใน Monsoon Tea สาขาอโศกนั้นเปิดพื้นที่ชั้นล่างเป็นร้านค้า ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ สามารถสั่งชามาจิบได้ในราคาสบายกระเป๋า โดยมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เปิดไว้เป็นพื้นที่สำหรับการเวิร์กชอปชิมชา และบาร์คอมบูชะโดยเฉพาะ         เรามีโอกาสได้ลองชิมชาทั้งหมด 5 เบลนด์ด้วยกัน ที่นี่ต้มชาแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มีแค่กาต้มน้ำ น้ำร้อน และใบชา   Jungle Black  เป็นใบชาที่ให้รสชาติต้นตำรับของชาสายพันธุ์ไทยมากที่สุด เพราะไม่ได้เพิ่มกลิ่นหรือรสชาติใด ๆ เพิ่มเติมทั้งนั้น ถ้าอยากได้กลิ่นหอมธรรมชาติของใบชาที่เติบโตท่ามกลางผืนป่า ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จึงเหมาะที่จะนำไปหมักเป็นคอมบูชะที่สุดด้วย     Doi Suthep Blend (ดอยสุเทพเบลนด์) เป็นหนึ่งในเบลนด์ที่มาจากคอลเลคชั่น Chiang Mai Blends  ส่วนประกอบหลักคือ ชาเขียว จิบแล้วจะได้รสชาติหวานนิด ๆ จากสตรอว์เบอร์รี่ และกลิ่นหอมจากลาเวนเดอร์ ดอกบัว มะลิ และกุหลาบ     Monsoon Blend Oolong เป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของแบรนด์โดยใช้ชาอู่หลงจากเชียงใหม่เป็นหลัก นำมาเบลนด์เข้ากับพีช แตงโมง มะลิ กุหลาบ และขิง ได้ทั้งกลิ่นหอม ๆ เย้ายวนและรสชาติที่ลงตัว     Sukhumvit Blend (สุขุมวิทเบลนด์) เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่น Bangkok Blends ที่หยิบจับเรื่องราวของย่านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มานำเสนอผ่านการเบลนด์ โดยสุขุมวิทที่เปี่ยมด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา ก็จะเป็นชาดำที่เบลนด์กับมะม่วงและเครื่องเทศ ที่พอจิบแล้วจะได้ความสดชื่นพร้อมกับกลิ่นเครื่องเทศอย่างชัดเจน     Rainbow Blend หนึ่งในเบลนด์ที่ขายดีที่สุด จุดเด่นคือ เป็นการรวมตัวกันของชา 5 ชนิด ได้แก่ ชาชาว ชาเขียว ชาเหลือง ชาดำ และชาอู่หลง มาพร้อมกลิ่นหอมหวานของผลไม้ที่ได้จากมะม่วง เสาวรส มะละกอ และมะลิ การรวมกันของชาหลากชนิดนี้ก็มาจากแรงบันดาลใจของความหลากหลายทางเพศ และเป็นอีกแรงสนับสนุนสิทธิของชาว LGBT อีกด้วย     จบการการชิมชาแล้วก็มาต่อกันที่คอมบูชะ ชาหมักที่ยกให้เป็นเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ ด้วยคุณประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร โดยบริเวณชั้น 2 ของ Monsoon Tea Asok นั้นมีมุมหนึ่งที่เรียงรายด้วยขวดโหลสีทองที่หมักเจ้าคอมบูชะนี้อยู่เต็มชั้น     คอมบูชะของที่นี่ เน้นหมักจากใบชาที่ไม่ผ่านการเบลนด์กับรสอื่น ๆ เพื่อให้ได้รสชาติดั้งเดิมของชาอย่างแท้จริง สามารถเลือกสั่งได้ทั้งแบบคอมบูชะสด แบบใส่น้ำแข็ง และแบบใส่โซดา เสิร์ฟพร้อมกับผลไม้ประจำฤดูกาล     ที่นี่มีกิจกรรมให้ร่วมทั้งเวิร์กชอปชิมชาและเวิร์กชอปทำคอมบูชะ ถ้าเป็นคนชอบดื่มชา และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนชุมชนและอนุรักษ์ผืนป่าทางภาคเหนือของไทย ลองมาชิมกันได้ที่ร้าน Monsoon Tea ซึ่งตอนนี้มีทั้งในกรุงเทพฯ ที่สาขาอโศก สาขาเอ็มควอเทียร์ และในเชียงใหม่ ที่สาขาวัตเกท และสาขาวันนิมมาน  

หลังจากส่งต่อความอร่อยระดับพรีเมียมของชาเขียวมัตฉะออร์แกนิกจากจังหวัดชิซุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นจนมัดใจคนรักชาได้อยู่หมัด ตอนนี้ Chaya & Co.” เปิดร้านชาในรูปแบบทีเฮาส์ในซอยซอยประดิพัทธ์ 14 ให้เราได้ดื่มชาและเรียนรู้วิธีชงชา รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมของดินแดนซากุระอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในชื่อ “Chaya Teahouse” ที่เพียงแค่ก้าวเข้าไปก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในบ้านของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว       ไฮไลต์ของ Chaya Teahouse คือการใช้ชาสายพันธุ์เดียว (Single Estate) ที่ปลูกแบบออร์แกนิกจากฟาร์มเดียว การคัดสรรถ้วยชาอาร์ติซานคุณภาพดี ไปจนถึงพื้นที่ชงชาที่ใช้เสื่อตาตามิซึ่งออกแบบตามวัฒนธรรมการชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อชงชาเมนูพิเศษแล้ว ยังเหมาะสำหรับจัดเวิร์กช็อปเรียนรู้การชงชา (ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น) อีกด้วย       มาถึงทีเฮาส์แบบนี้ เราไม่อยากให้พลาด Usucha ที่ชงและเสิร์ฟบนพื้นเสื่อตาตามิ โดยเฉพาะมัตฉะสายพันธุ์ Gokou ที่ให้สัมผัสนุ่มเบาและรสชาติอูมามิและครีมมีกลมกล่อมติดปลายลิ้น เสิร์ฟพร้อม Nerikiri ขนมวากาชิรูปดอกไม้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมทำจากถั่วขาวบด ด้านในสอดไส้ถั่วแดงบดหวานกำลังดี           ส่วนใครอยากเพิ่มความสดชื่น เราแนะนำ Sparkling Sakura ชาเขียวมัตฉะเบลนด์เข้มข้นผสมผสานไซรัปซากุระรสเปรี้ยวอมหวาน     สำหรับคนรักของหวานสไตล์ญี่ปุ่นต้องลองเมนูซิกเนเจอร์ Dorayaki Fresh Matcha Cream โดรายากิหนานุ่มสอดไส้ครีมมัตฉะเข้มข้นละมุนลิ้น Dango ดังโงะเสียบไม้เหนียวนุ่มราดซอสถั่วเหลืองรสเค็มหวานกินเพลิน และ Koicha with Vanilla Ice-cream ชาชงแบบโคอิฉะเข้มข้นครีมมีที่เข้ากันได้ดีกับไอศกรีมวานิลลามาดากัสการ์ (ใครอยากสัมผัสความอร่อยของบ้านแห่งชาหลังนี้ แนะนำให้โทรไปจองก่อนนะ)      

ร้านชาเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งจิบชาชั้นดีอยู่ที่ญี่ปุ่น ไม่เพียงได้อิ่มเอมกับรสชาติต้นตำรับแต่ยังได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวการเดินทางของชาชนิดต่างๆ จากพนักงานระหว่างที่ชงชาไปด้วย เรียกว่านั่งเพลินจนไม่อยากลุกไปไหน             แก้วแรกคือ Sencha Yuzu ใช้ใบชาเซนฉะที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มมากที่สุด ชงผ่านน้ำร้อน ผสมกับไซรัปยูสุและยูสุ 100% รสชาติออกหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ เวลาดื่มยังได้กลิ่นหอมสดชื่นจากผิวยูสุขูดที่โรยไว้ด้านบน       Hojicha Iced Lemon ชาโฮจิฉะคือชาเซนฉะคั่วไฟแรงทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ หลังคั่วแล้วคาเฟอีนจะลดลง เด็กๆ ก็ดื่มได้ ยิ่งใส่เลมอนเข้าไปด้วย ยิ่งเพิ่มความสดชื่นอีกเท่าตัว       Matcha Iced Latte Azuki ชาเขียวนมเข้มข้นหอมมัน ได้รสฝาดแบบชาเขียวแท้ติดปลายลิ้นเล็กน้อย รสออกหวานไม่มากไปและไม่น้อยเกิน ด้านบนวางถั่วแดงกวนลูกโตที่ยังคงเทกเจอร์หนึบหนับของเนื้อถั่วแดงให้เคี้ยวเล่นเพลินๆ       ปิดท้ายด้วย Matcha Icecream ไอศกรีมเนื้อแน่น รสเข้มข้นแบบชาเขียว หวานน้อยแต่อร่อยมาก ตักเข้าปากคำแรกแล้วอยากกินต่อเรื่อยๆ หากติดใจชาของร้านจะซื้อกลับไปชงดื่มเองที่บ้านก็ได้  

TWG หรือ เดอะ เวลบีอิ้ง กรุ๊ป (The Wellbeing Group) เป็นทั้งร้านชาค้าปลีก และทีรูมหรูหราที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดยมีสายพันธุ์ชาในครอบครองจากทุกๆ ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตชามากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาผสมที่คัดสรร หรือชาตามฤดูกาลจากไร่ชาปลูกเอง รวมไปถึงอุปกรณ์การชงชาดีไซน์สวยงาม ทันสมัยและประณีต น่าสะสม เหมาะสำหรับซื้อหาเป็นของขวัญให้คนพิเศษอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้เรามีโอกาสมานั่งจิบ TWG Tea ที่ชั้น M แห่งห้าง Siam Paragon     ร้านกว้างขวางไม่แออัด มีกลิ่นอายแห่งความหรูหราเต็มพิกัด แต่ก็คงไว้ซึ่งความเรียบง่าย พื้นกระเบื้องหินอ่อนสีดำแวววาว เฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลเข้ม และสีเหลืองทอง มีชั้นวางผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของทีดับเบิลยูจี ที อาทิ ใบชาต่างๆ กาน้ำชา ที่พร้อมให้คุณเลือกไว้ครอบครอง     ส่วนใครที่เลือกรับประทานอาหารที่ร้าน คุณจะได้เพลิดเพลินกับทุกๆ เมนูที่เชฟมืออาชีพรังสรรค์ ทั้งอาหารสไตล์ฝรั่งเศสเลิศรส ขนมโฮมเมด และเครื่องดื่มต่างๆ ล้วนมีความพิเศษจากการใช้ใบชาชั้นดีเป็นส่วนผสม ทีเลิฟเวอร์รู้แล้วต้องร้องว้าว! เลยใช่ไหมล่ะ แบบนี้สิถึงเรียกว่า “ห้องน้ำชา” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ       เรียกน้ำย่อยด้วย Tuna & Rocket Salad ทูน่าคุณภาพย่างจนได้เนื้อสีชมพูสวย สุกกำลังพอเหมาะ ไปด้วยกันได้ดีกับผักร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า ราดด้วยน้ำสลัดงาสูตรพิเศษที่ทำมาจาก ชาโตเกียวและสิงคโปร์ หอมกรุ่น รวมเป็นรสชาติเปรี้ยวสดชื่น     ตามด้วย Duck Confit ขาเป็ดตุ๋นสไตล์ฝรั่งเศส เนื้อนุ่มฉ่ำใน กินคู่กับกะหล่ำปลีแดงตุ๋นสูตรพิเศษ รสเปรี้ยว ผักโขมอบชีสครีมมี มันบดเนื้อเนียนกินเพลิน และซอสมะขามรสหวานอมเปรี้ยว ที่หอมฟุ้งกลิ่นชาคาราเมล     Wagyu Beef Noodle Soup ก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ประกอบไปด้วย เนื้อวากิวชั้นดี ให้สัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ เส้นเล็กเหนียวนุ่ม และผักต่างๆ อยู่ในน้ำซุปรสนุ่มนวลที่ทำมาจาก น้ำสต๊อกของเนื้อวัว มิ๊กซ์กับชาอู่หลง ที่ส่งตรงมาจากประเทศจีน     ของหวานเราแนะนำ Passion fruit Panna Cotta พานาคอตตา เนื้อนุ่มเด้ง หอมกรุ่นวานิลลา ท็อปด้วยผลไม้สดอย่าง สตรอว์เบอร์รี และองุ่น ล้อมรอบด้วยซอสเสาวรสสีเหลืองสดใส รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นชาเอิร์ลเกรย์ และชาบลอสซั่มอ่อนๆ     Matcha Nara เค้กชาเขียวหวานละมุน ด้านในประกอบไปด้วยอัลมอนด์กรุบกรอบ ไวท์ช็อกโกแลต และมัทฉะครีมหอมฟุ้ง ถูกใจทีเลิฟเวอร์อย่างยิ่ง     Earl Grey d’Amour เค้ก 3 เลเยอร์ที่รวมความฟินไว้ในชิ้นเดียว อาทิ ชั้นล่างสุดเป็นเฟโยติน แป้งบางกรอบในแบบของขนมหวานฝรั่งเศส ต่อมาเป็นแครมบรูเล รสหวานหอม ที่มีส่วนผสมของชาเอิร์ลเกรย์ฝรั่งเศส ส่วนชั้นบนสุดเป็นเค้กดาร์กช็อกโกแล็ต เคลือบด้วยโกโก้ไซรัปรสเข้มข้น     พร้อมกับจิบ Silver Moon Tea ชาร้อนรสนุ่ม ที่ได้มาจากชาเขียวเบลนด์กับสตรอว์เบอร์รี และวานิลลาฝักใหญ่ และ Vanilla Bourbon Tea ชาแดงไร้คาเฟอีน จากแอฟริกาใต้  ผสมกับวานิลลาฟักใหญ่ห๊อมหอม ชงแบบเย็นจิบคลายร้อนได้เป็นอย่างดี    

เราเชื่อว่าทีเลิฟเวอร์ตัวจริงไม่มีใครไม่รู้จัก MTCH (เอ็ม-ที-ซี-เอช) บาร์มัทฉะสุดจริงจัง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของ คุณจิว-สรวิศ พันธ์เกษม และ คุณจ๊ะเอ๋-เชฐธิดา เนตรมุกดา ซึ่งตอนนี้ร้านได้ย้ายโลเคชั่นใหม่ไปอยู่ พหลโยธิน 5 และแน่นอนว่าตัวร้านกว้างขวางขึ้น สามารถรองรับสาวกมัทฉะได้มากกว่าเดิม       โลเคชั่นใหม่นี้เป็นบ้านเก่าอายุ 40 ปี ที่ดัดแปลงให้เป็นแบบฉบับของ MTCH แท้ๆ สีขาวโพลนเป็นโทนหลักของร้าน ชั้นล่างเป็นบาร์ชาแบบเปิด ที่ให้คุณสามารถมองการชงมัทฉะอย่างจริงจัง สดใหม่แก้วต่อแก้วได้อย่างเพลิดเพลิน และยังมีม้านั่งไม้ไว้ให้ฟังเพลงชิลๆ สไตล์มินิมอล หรืออิเล็กทรอนิกส์ รอคิวสบายๆ สำหรับลูกค้า Take – Away       ก้าวย่างขึ้นไปชั้นบนคุณจะพบกับห้องสีขาวสะอาดอีกเช่นเคย โต๊ะพลาสติกใสๆ และเก้าอี้ไม้กิ๊บเก๋เข้าชุด เป็นเฟอร์นิเจอร์คูลๆ ที่คุณจิล เจ้าของร้านออกแบบด้วยตัวเอง ตกแต่งด้วยต้นไม้กระถางเขียวชอุ่ม สร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา รวมถึงการหากระจกเงาบานใหญ่มาวางเพื่อเพิ่มมิติให้แลดูกว้างไม่ทึบตันจนน่าอึดอัด นอกจากนั้นชั้นนี้ยังมีความพิเศษตรงที่ทั้ง 3 ห้องสามารถเดินทะลุหากันได้ราวกับคุณเดินชมภาพศิลปะในอาร์ตแกลลอรี ให้แฟนคลับมัทฉะที่แวะมาได้สนุกกับการดื่มชามากกว่าที่เคย       ต้อนรับด้วยเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Arashi  (180 บาท) อาราชิ ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “พายุ” ซึ่งสื่อความหมายถึงรสชาติเข้มข้นของมัทชะลาเต้แก้วนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นการรวมกันระหว่างชาเขียว 2 สายพันธุ์ คือ Tsuyu Hikari และ Asahi จิบแล้วจะได้กลิ่นหอมๆ ของสโมกกี้ มีความนัทตี้ของถั่วอย่าง ฮาเซลนัท และทิ้งทวนด้วย After Taste ของขนมอบ เป็นการปิดท้าย       ต่อกันด้วย  Matcha Sparkling Strawberry & Honey Lemon (140 บาท) ที่สร้างความประทับใจให้เราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว มัทฉะพันธุ์ซามิโดริ จากไร่ชาคุณภาพของเขตโกคะโช เมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต รสนุ่มนวล หอมกรุ่นกลิ่นผลไม้ (เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบชาเขียวกลิ่นถั่ว) ชงกับน้ำร้อนและตีด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ก่อนราดลงบนน้ำโซดา ซาบซ่า ผสานน้ำผึ้งป่าหมักสตรอว์เบอร์รีและเลมอน ที่ทางร้านหมักเอง รสเปรี้ยวอมหวาน จิบแล้วชื่นใจ       เอาใจคนรักขนมหวานกันด้วย Panna Cotta (135 บาท) พานนาคอตตามัทฉะโฮมเมด เนื้อเนียนนุ่มเด้ง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างชาเขียวสายพันธุ์โอคุมิโดริ รสอูมามิ หอมกลิ่นหญ้าอ่อนๆ และสายพันธุ์ยาบูกิตะ ที่ให้รสหวานจากธรรมชาติ กินคู่กับน้ำตาลคุโรมิสึ รสหวานละมุน ละเอียดกี่คำก็ฟินสุดใจ     ปิดท้ายด้วย Matcha Affogato (160 บาท) ไอศกรีมฮอกไกโดโฮมเมดสูตรลับฉบับของทางร้าน รสหวานหอม กินพร้อมกับซอสมัทฉะคุณภาพจากเมืองฟุกุโอกะ หอมกลิ่นละม้ายคล้ายคุกกี้ เข้ากันดีกับรสเปรี้ยวอมหวานของสตรอว์เบอร์รีอบแห้ง     ถูกใจสายชาเขียวอย่างเราจริงๆ

คนรักชาที่เบื่อเมนูชาเดิมๆ ที่ดื่มกันทุกวันและอยากลองความอร่อยแปลกใหม่ เราแนะนำให้มาเช็กอินที่ "Brew Bar" ร้านชาน้องใหม่สุดครีเอตสไตล์ Experience Tea Bar บนชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูชาและเครื่องดื่มสุดเก๋ไก๋ที่บอกเลยว่าไม่ใช่แค่หน้าตาสวยงามน่ากิน แต่รสชาติยังอร่อยสร้างสรรค์ไม่เหมือนใครสมกับสโลแกน “ไม่เคยชาแบบนี้มาก่อน”       นอกจากจะถูกใจสายชิมแล้ว เราเชื่อว่าร้านนี้ต้องโดนใจสายแชร์ที่ชอบถ่ายรูปเก๋ๆ โดยเฉพาะขั้นตอนการทำแต่ละแก้วที่มีเหล่า Tea Barista ผู้เชี่ยวชาญโชว์ฝีมือให้ชมกันสดๆ  ตลอดเวลา       สำหรับเมนูห้ามพลาดมีทั้ง Thongmanee ชาไทยฟิวชั่นสูตรเด็ด หอมกลิ่นขนมผิง แนะนำให้ลองดื่มด้วยทองม้วนที่วางมาบนแก้วแทนหลอดจะยิ่งอร่อย Gobori ชามะลิผสมส้มยูสุคั้นสด โรยพริกเกลือแซ่บๆ แบบไทยๆ ท็อปด้วยไอศกรีมรสยูสุเปรี้ยวสดชื่น และ Floral ชานมหอมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ มาพร้อมไข่มุกกุหลาบและครีมนมกุหลาบหอมหวานด้านบน      

Peace Oriental Teahouse ร้านชาสเปเชียลตี้คุณภาพของเมืองไทย ผลงานสุดภูมิใจของ คุณธี ธีรชัย ลิมป์ไพฑูรย์ ผู้มีวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับชามาตั้งแต่วัยเด็ก จนเกิดเป็นความหลงใหลและมีแรงบันดาลใจที่จะศึกษาศิลปะการชงชาด้วยตนเอง ประจวบกับว่า ณ ตอนนั้นมีน้อยคนนักที่จะเปิดร้านชาตะวันออกแบบดั้งเดิม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณธีตัดสินใจสร้างทีเฮ้าส์ที่มอบแต่ความสุขสงบแห่งนี้ขึ้นมา       Peace Oriental Teahouse ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สาขา สไตล์การตกแต่งหน้าร้านจะมี Mood and Tone ที่ต่างกันไป อย่างสาขาสุขุมวิท 49 เป็นห้องน้ำชาสไตล์ญี่ปุ่น ดูอบอุ่น เหมาะกับกลุ่มครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มานั่งจิบชายาวๆ ในช่วงค่ำ ต่อมาเป็นสาขา G-Tower พระราม 9 ตึกสำนักงานใจกลางเมือง สะดวกสไตล์ Grab & Go เน้นเครื่องดื่มสำหรับ Take away  สาขา King power รางน้ำ ที่ Peace ถูกเชิญให้ไปเปิดในช่วงปลายปี 2017 สาขานี้จะเน้นเป็นลูกค้าต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวจีน และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายใน King power     และสาขาล่าสุด ชิดลม/หลังสวน  (ภายในโครงการ Velaa Sindhorn Village)  ที่ทางพีซได้เปลี่ยนแนวการตกแต่งมาเป็นแบบตะวันออกดั้งเดิม โดยเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไม้สีน้ำตาลเข้ม ด้านหลังบาร์จิบชาที่นอกจากจะได้เห็นการทำงานของทีมาสเตอร์ได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผนังไม้อันประกอบไปด้วยเก๊ะเล็กๆ เป็นช่องๆ มองแล้วนึกถึงห้องปรุงยาในพระราชวังต้องห้ามของจีนอย่างไรอย่างนั้น ตอกย้ำว่า Peace ไม่ได้เป็นศูนย์รวมเฉพาะชาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีชาตะวันออกอื่นๆ ให้คุณได้ลิ้มลองอีกหลายชนิด       กว่า 20-30 ชนิดของชาที่ให้คุณได้เลือกสรร ล้วนมั่นใจได้เลยว่าดีทั้งในรสชาติและคุณภาพ  เนื่องจากทางร้านนั้นพิถีพิถันทั้งในเรื่องของการหาชา รวมถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่ทางร้านใส่ใจไม่ต่างกัน ในการนำมารังสรรค์เป็นเมนูสุดพิเศษ ทั้งการหมักน้ำผึ้ง ทำโยเกิร์ต การนวดแป้งโมจิ (ด้วยมือ) และไอศกรีมโฮมเมดที่ไม่ใส่สาร stabilizer หรือสารให้ความคงตัว (จึงทำให้ไม่สามารถ Take Away ไอศกรีมได้)     เมนูแรกที่ลิ้มลองคือ Rose Yoghurt (165 บาท) โยเกิร์ตโฮมเมดสไตล์จีน รสเปรี้ยวสดชื่น ตัดด้วยความหวานหอมจากธรรมชาติของน้ำผึ้ง ที่หมักกับกลีบกุหลาบจากมณฑลยุนนาน ประเทศจีน ตักกินพร้อมกับเก๋ากี้ สมุนไพรจีนมากประโยชน์ที่ถูกนำไปเชื่อมจนหอมหวานอวลไปในทุกคำที่ได้ทาน ชามนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นอาหารเช้า เป็นการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสมบูรณ์     ต่อกันกับ Froyu with Mocheezu (245 บาท) ไอศกรีมโยเกิร์ตโฮมเมด ผ่านกระบวนการโดยไม่ได้สัมผัสความร้อนแม้แต่น้อย ทำให้แบคทีเรียที่อุดมไปด้วยประโยชน์ในโยเกิร์ตยังอยู่ครบถ้วน โอบล้อมด้วย Yuzu Honey น้ำผึ้งสีนวลสวยที่หมักกับเปลือกยูสึอย่างพิถีพิถัน จนได้รสเปรี้ยวอมหวานสุดละมุน หอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้สีครีม กินกับ Mocheezu โมจินวดด้วยมือเนื้อหนึบหนับ สอดไส้ชีส Age สุดครีมมี่ในแบบฉบับโฮมเมด ที่ใช้เวลาหมักถึง 2 ปี ท็อปด้วยเปลือกส้มยูสึ โรยน้ำตาลและเบิร์นให้หอมฟุ้ง อร่อยสุดๆ ไปเลยกับเมนูนี้     Matcha Extremist (245 บาท) ไอศกรีมสุดฮิตตลอดกาล ไอศกรีมมัตฉะโฮมเมด ที่ถูกปั่นสดใหม่ในทุกๆ เช้า ทำให้ได้รสเข้มข้น หอมกลิ่นชาเขียวเป็นที่สุด (เราชอบมาก) ถูกเคลือบด้วยผงถ่านไม้ไผ่สีดำสนิท มีคุณสมบัติช่วยดูดซับคาเฟอีน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่เกินแก่ความต้องการ เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวดำรสหวานมันที่เรารัก     พักจากเมนูเย็นๆ ไปชิม Delicacies (190 บาท) ขนมสไตล์ตะวันสุดอร่อยอย่าง ขนมเปี๊ยะไส้พุทราจีนไข่เค็ม แป้งบางๆ หอมกลิ่นควันเทียน สอดไส้พุทราจีนเนียนละเอียด รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ตัดกับรสเค็มมันจากไข่เค็มได้อย่างพอดิบพอดี ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วไข่เค็ม ที่เราคุ้นเคย ถูกผ่าครึ่งให้กินได้ง่าย ไส้ถั่วเนื้อเนียนแน่น รสหวานหอม กินพร้อมไข่เค็มลูกใหญ่ และแป้งนุ่มๆ บางเฉียบกำลังดี     ขนมไส้สับปะรด หนึ่งในขนมขึ้นชื่อของประเทศไต้หวัน ถูกนำมาเป็นหนึ่งเมนูของร้าน แป้งนุ่มๆ หอมกรุ่นกลิ่นเนย เอาเข้าปากพร้อมกับสับปะรดที่กวนจนได้รสหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ หอม และสัมผัสหนึบหนับเคี้ยวสนุก ปิดท้ายด้วยขนมเปี๊ยะไส้เผือก ที่สอดไส้เผือกกวนเนื้อเนียน หวานกำลังดี ได้กลิ่นหอมละมุนของเผือกแท้ๆ     ทั้งหมดถูกเสิร์ฟคู่กับชา Single Set (125 บาท) ชาร้อนขนาดกำลังพอดีสำหรับการดื่มคนเดียว ที่คุณสามารถเลือกใบชาได้ตามใจ ในครั้งนี้ทีมาสเตอร์เลือก Roasted Tieguanyin หรือที่ทีเลิฟเวอร์รู้จักกันในชื่อ ทิกวนอิม หรือ กวนอิมเหล็ก ให้เรา เป็นชาอู่หลงเลื่องชื่อจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ดื่มง่าย ให้สัมผัสที่เบาบางแต่ก็นุ่มลึก ได้รสหวานเล็กๆ หอมกลิ่นดอกไม้สีขาวอ่อนๆ ดื่มแล้วชุ่มคอ แถมดีต่อสุขภาพ (ช่วยลดคอเลสเตอรอล และเผาผลาญไขมัน)     มาถึงเมนูขวัญใจแฟนคลับชาเขียวกันบ้าง Pastel Matcha (145 บาท) ผงมัตฉะชั้นดี ชงกับนมสด เติมความหวานจากน้ำตาลเล็กน้อยทำให้ได้รสกลมกล่อม และกลิ่นหอมหวาน ตัวชามีความครีมมี่ และเข้มข้น ก่อนเสิร์ฟทางร้านจะใช้วิธี age มัตฉะไว้ ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ชาค่อยๆ เผยรสอูมามิออกมาอย่างชัดเจน พร้อมเสิร์ฟในถ้วยมัตฉะดั้งเดิมแช่แข็งจนเย็นเฉียบที่ถูกปั้นด้วยฝีมือจากช่างชาวญี่ปุ่น ทำให้ได้รสสัมผัสแห่งชาเขียวคุณภาพอย่างแท้จริง     ใครชอบกาแฟอย่าลืมสั่ง Snow Pastel Coffee (185 บาท) กาแฟผสมผสานกับไวท์ช็อกโกแลตชั้นเลิศจากประเทศเบลเยียม ปั่นรวมกับน้ำแข็งจนเป็นเกล็ดหิมะ ดูดสนุก ได้รสกลมกล่อม หวานหอมแบบคับแก้ว     มีความสุขเสมอที่ไปเยือน

ภายในโครงการ Seenspace ซอยทองหล่อ 13 มีร้านชื่อ Sundance Lounge สวรรค์แห่งใหม่ของทีเลิฟเวอร์ทั้งหลาย ด้วยใบชาออร์แกนิกที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี มีชาหลากหลายให้คุณได้ลิ้มลอง อาทิ ชาเครื่องเทศ ชาดอกไม้ ชาผลไม้ เสิร์ฟมาในสไตล์ร้อนหรือเย็นก็สามารถเลือกได้ตามใจ พร้อมดื่มด่ำในบรรยากาศดีๆ พื้นที่กว้างขวาง มีฉากกั้นระหว่างสองโซนให้ความรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ชัวร์ว่าใครมาก็ต้องเพลิดเพลิน           เริ่มต้นความอร่อยด้วย ครัวซองต์ราสป์เบอร์รี จากร้าน Eric Kayser กรอบนอกนุ่มใน อบสดใหม่ทุกวัน     ต่อกันที่เมนูเพื่อสุขภาพอย่าง Very Berry สมูตตี้อาซาอิรสเปรี้ยวสดชื่น ท็อปด้วยกราโนร่ากรุบกรอบ เมล็ดเจีย และผลไม้สดต่างๆ อาทิ กล้วย สตรอว์เบอร์รีและบลูเบอรี     ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Sun ชาขาวเบลนด์กับมะม่วงและสัปปะรด หอมหวานชื่นใจ ดับร้อนได้อย่างดี     สำหรับใครที่เป็นสาวกพีชต้องนี่เลย You’re A “Peach” ชาพีชเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่า แก้วนี้ถูกใจใช่เลย     ทีเลิฟเวอร์ต้องลอง World ชาเขียวเบลนด์กับชาขาว มะลิและกุหลาบขาว รสนุ่ม หอมกรุ่นมาแต่ไกล     Two To“Mango” ชามะม่วงแสนหอม จิบอุ่นๆ สุดฟิน     ได้จิบชาดีๆ สักแก้ว แค่นี้ชีวิตก็แฮปปี้แล้ว!

ใครเป็นแฟนโรงงานชาแสนอร่อยแห่งพัทยาที่อยู่ในโครงการ A' La Campagne Pattaya หากไม่มีเวลาไปไกลถึงชลบุรี แค่แวะมาที่ซอยสุขุมวิท 39 ก็จะได้เพลิดเพลินกับเมนูเด็ดทั้งอาหารและเครื่องดื่มในสไตล์ของ “Tea Factory and More” ที่บอกเลยว่าอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสาขานี้สามารถพาสัตว์เลี้ยงแสนรักทั้งน้องหมาน้องแมวมาเอนจอยอีตติ้งด้วยกันได้ (สมกับอยู่ในโครงการ Trail and Tail คอมมูนิตี้สำหรับคนรักสุนัขและแมว)       โดยที่นี่ยังคงคอนเซ็ปต์โรงงานชาที่รวบรวมชาหลากชนิดจากไทยและหลายประเทศทั่วโลกมาให้ลิ้มลอง ทั้งศรีลังกา จีน  อินเดีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และชาคุณภาพดีของไทย ซึ่งได้มาจากการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกของเจ้าของร้านผู้เป็น Tea Lover ตัวยง       คนรักชาต้องลอง White Tea Trail ชาขาวดื่มง่ายที่ผสมผสานดอกลิลลีและดอกหอมหมื่นลี้จากเมืองจีนได้กลมกล่อมลงตัว และ Oolong Lychee Tea ชาอู่หลงของไทยสกัดเย็นกว่า 8 ชั่วโมง จนรสนุ่มได้ที่ ผสมลิ้นจี่พูเรที่ช่วยดึงรสเปรี้ยวที่แอบซ่อนออกมาได้อย่างเข้ากัน         ส่วนสายกินห้ามพลาด Spaghetti Lamb Stew เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มคลุกเคล้าสตูแกะที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มกินง่าย ไร้กลิ่นสาบ ถ้าไม่อิ่มแนะนำให้สั่ง Crab Cake Burger เบอร์เกอร์สอดไส้เนื้อปูชุบเกล็ดขนมปังทอด ที่เลือกขนมปังได้ทั้งบริยอชและชนมปังชาร์โคล เพิ่มความอร่อยสดชื่นด้วยสับปะรดย่าง เสิร์ฟพร้อมผักทอดกรอบนานาชนิด ดิปกับบราวน์ซอสและทาร์ทาร์ซอส       แต่ถ้ามองหาของหวานมากินคู่ชายามบ่าย เราแนะนำ Waffle Apple Crumble วัฟเฟิลกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมแอปเปิลซอส เกล็ดครัมเบิล และไอศกรีมวานิลลาลูกโต และ Irish Scone เนื้อนุ่มแน่นไม่ร่วน เลือกได้ทั้งรสเนย, แครนเบอร์รี และลูกเกด จะกินกับแยมโฮมเมดหรือคอตเทจครีมหอมมันก็อร่อยไม่แพ้กัน