ร้านขนมเค้กโฮมเมดที่ยืนหนึ่งในใจยกให้ Piggy Baker มาพร้อมคอนเซ็ปต์ "Your luscious creations" เป็นร้านที่สามารถใส่จินตนาการเพื่อครีเอตหน้าเมนูอร่อยได้ในสไตล์เรา โดยขนมเค้กของร้านรังสรรค์ด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอน พร้อมเว้นช่องว่างไว้ให้เพื่อนๆ ได้สอดแทรกความ Creative เข้าไปในผลงานชิ้นเอกนี้ ไม่ว่าจะสั่งกลับไปกินเองที่บ้าน หรือเพื่อมอบเป็นของขวัญอันแสนวิเศษให้คนพิเศษ แนะนำให้สั่งล่วงหน้า 1-2 วัน เพราะทุกเมนูอบสดใหม่ตามออเดอร์ รับประกันเรื่องคุณภาพเกินราคาแน่นอน เริ่มต้นที่ Banoffee รสชาติขายดีมีทุกออเดอร์ เสิร์ฟเค้กปอนด์ใหญ่ที่ให้เครื่องแบบเน้นๆ โดยเฉพาะกล้วยที่เข้ากันได้ดีกับคาราเมลสูตรลับของร้าน และ Chocolate Ganache สุดเข้มข้น แถมหอมอบอวลด้วยกลิ่นของเนยแท้เกรดพรีเมียม ด้านล่างมีครัมเบิลช่วยเพิ่มความกรุบกรับในปาก Honey Cheesecake เมนูซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาด เป็นเค้กน้ำผึ้งรสชาติไม่ซ้ำใคร ด้วยเนื้อเค้กที่เบาและเนียน มีความหอมหวานของน้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย และ Mascarpone Cheese เพิ่มรสเค็มนัวในทุกอณู กินเพลินคนเดียวจนหมดกล่อง และสุดท้าย Thai Tea Tiramisu คนรักชาไทยต้องหลงรัก เพราะทางร้านใช้ใบชาพิเศษที่ให้รสชาติเข้นข้ม มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ แต่ที่พิเศษสุดๆ คือตัว Lady Fingers หรือบิสกิตโฮมเมด ที่ร้านทำเอง เพื่อความสดใหม่ บ่งบอกถึงความพิถีพิถันในทุกๆ เลเยอร์ สอบถาม/สั่งซื้อได้ที่ ​Instagram : piggy_baker Facebook : piggy_baker Line official : @piggybaker

ซูชิโคเกะ (Sushi Koge) ร้านโอมากาเสะแห่งใหม่ย่านอารีย์ที่จะพาทุกคนรื่นรมย์ไปกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตั้งแต่สวนญี่ปุ่นจำลองหน้าร้าน การตกแต่งด้านในตั้งใจให้รู้สึกเหมือนได้เดินเข้ามาในบ้านขุนนางญี่ปุ่น ซึ่งเราจะเพลินตาเพลินใจไปกับงานดีไซน์ ทั้งโทนสีที่ใช้ พื้นไม้ โคมไฟ รวมถึงภาชนะที่เป็นงานคราฟต์ ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้ทุกคำ โอมากาเสะของที่ร้านเป็นแบบเอโดะมาเอะ ดูแลโดยเชฟชาวไทยผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการและร่วมงานกับเชฟญี่ปุ่นมานานกว่า10 ปี เราได้ลองคอร์ส Koge 15 คอร์สจากวัตถุดิบที่ดีที่สุด เปิดต่อมรับรสด้วย Junsai To Tomato มะเขือเทศบิจินดองรสเปรี้ยวสดชื่นช่วย กินพร้อมจุนไซหรือยอดบัวที่มีคอลลาเจนตามธรรมชาติ ยกขึ้นดื่มแล้วนุ่มลื่นคอ Sashimi of  the day ปลาดิบที่เชฟคัดสรรให้ในแต่ละวัน Kushiyaki ของย่างเสียบไม้ 3 แบบ ชิ้นบนเป็นหนวดปลาหมึกย่างเนื้อสัมผัสหนึบหนับแต่นุ่ม ตรงกลางคือลูกหอยเชลล์ย่าง แล้วจบด้วยเนื้อวากิว A5 ที่นุ่มฉ่ำ Hotate Isobe Yaki โฮตาเตะตัวอวบเต็มคำจากฮอกไกโดย่าง ห่อด้วยสาหร่ายย่างกลิ่นหอมและกรุบกรอบ Ebi Karage กุ้งหวานเนื้อสีชมพู ส่วนหัวเชฟทอดจนกรอบ ส่วนเนื้อนำไปทำเป็นลูกชิ้นกุ้ง บีบมะนาวชูรสชาติก่อนกิน อีกหนึ่งคำเด่นคือ Aori Ika ปลาหมึกหอมญี่ปุ่นหั่นเป็นเส้นเล็กๆ วางบนข้าว กินแล้วจะได้รสหวานของปลาหมึก ตามด้วยกลิ่นของผิวยูซุด้านบน ส่วนปลาเราได้ชิมทั้ง Aji ปลาหนังสีเงินเนื้อแน่นและมันจากจังหวัดนางาซากิ Kinmedai คินเมไดตาสีทองจากจังหวัดชิบะ และ Akami ส่วนเนื้อแดงของฮอนมากุโระจากจังหวัดมิเอะที่ผ่านการเอจไว้ 1 สัปดาห์แล้วสึเกะ (ดอง) กับโชยุจนรสชาติของปลาเข้มข้น ตามด้วย Mini Don ดงบุริไซส์มินิที่มีทั้งทูน่า ปลาบุรี อิคุระ และไชเท้าดองเสริมรส แล้วตามด้วย Tamago Castella ไข่หวานรสละมุน จบท้ายมื้อด้วยไอศกรีมวานิลลาเสิร์ฟพร้อมวาราบิโมจิและถั่วแดงกวน

เชื่อว่าช่วงนี้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ขอแนะนำ Bellio BKK แบรนด์ไอศกรีมสุดคิวท์ขวัญใจคนรักสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น Keto, Vegan หรือแม้กระทั่งผู้ที่ควบคุมน้ำตาล ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ก็สามารถกินได้ เพราะเป็นไอศกรีมน้ำตาล 0% โดยทางร้านใช้อิริทริทอล (Erythritol) หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำให้มีแคลอรีต่ำ อีกทั้งยังผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ที่จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ให้กับไอศกรีมทุกรสชาติ แม้ว่าส่วนผสมจะแตกต่างไปจากไอศกรีมทั่วไป แต่รับประกันเรื่องรสชาติที่มาพร้อมความอร่อยอันหอมหวานและเย็นชื่นใจแน่นอน โดยครั้งนี้เราสั่งเป็น Original Box Set เซ็ตสุดคุ้มกับไอศกรีม 10 รสชาติ มาในแพ็กเกจคุมความเย็นแสนน่ารัก เปิดกล่องมาเจอ Dark Chocolate ได้รสเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลต มีความหอมนัวๆ จาก Almond Milk ที่ใช้ทำเป็นเบส กินแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เพราะมีสารสกัดจากดอก Chamomile ถัดมาคือ Green Tea เบสเป็น Fresh Cream ได้กลิ่นหอมของ Innova Tea สารสกัดจากชาเขียวที่ช่วยเรื่องการเผาผลาญไขมัน Strawberry Cream Cheese หอมกลิ่นครีมนมสด มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ของสตรอว์เบอร์รี แถมยังมีส่วนผสมของ Rose Hip แหล่งรวมของวิตามินต่างๆ ที่ช่วยซ่อมแซมผิวเสียและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อด้วย Blueberry Yogurt รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด หอมกลิ่นครีมสด มีโปรไบโอติกส์และแลคโตบาซิลลัส ช่วยปรับสมดุลลำไส้และระบบขับถ่าย Yuzu Sorbet น้ำส้มยูซุแท้ 100% ให้รสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมสดชื่นจากยูซุ นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจาก Acerola Cherry ทำให้ผิวกระจ่างใส และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ใครชอบกลิ่นกาแฟต้องลอง Coffee Almond ไอศกรีมรสกาแฟสุดเข้มข้น หอมกลิ่นกาแฟชัดเจน มี Fibersol หรือเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยดีท็อกซ์และปรับสมดุลระบบดูดซึมสารอาหาร Avocado Milk ใช้เบสเป็น Pistachio Milk ได้ความหอมมันของอะโวคาโด ช่วยเพิ่มไขมันดีให้ร่างกาย Thai Tea ให้รสหวานเล็กน้อย แต่อัดแน่นด้วยกลิ่นหอมของชาไทยผสานกับกลิ่นของ Almond Milk กินแล้วช่วยลดความเครียดได้ Banana Walnut ไอศกรีมรสนวลๆ ยิ่งกินยิ่งฟิน หวานเย็นชื่นใจ อีกทั้งยังมี Vitamin B Premix ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท สุดท้ายคือ Pistachio รสหวานนิดๆ มีสารลูทีน ที่เปรียบเสมือนอาหารบำรุงสายตา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ประสาทตา ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว!   ข้อมูล ไอศกรีม 1 ถ้วย/85 กรัม ราคา 129 บาท (มีขนาดเดียว) ไอศกรีม 4 ถ้วย ราคา 499 บาท แถมฟรี Boxset สุดน่ารัก มีลายให้เลือกทั้ง Love และ Happiness ไอศกรีม 10 ถ้วย ราคา 1200 บาท แถมฟรี Boxset Original คุมความเย็น มีบริการจัดส่งในกรุงเทพฯ คิดตามระยะทางจริง ผ่าน App Food Delivery : Grab Express, Robinhood และจัดส่งต่างจังหวัดทาง Inter Express เพียง 240 บาท หน้าร้านที่ After You (ทุกสาขา), นับแคล และคีโตเฮ้าส์เกษตรนวมินทร์ สอบถาม/สั่งซื้อได้ที่ Facebook : Bellio.Bkk Instagram : bellio.bkk

“Sha Teahouse” ร้านมัตฉะน้องใหม่แกะกล่องที่ตั้งอยู่ใน Central Embassy หนึ่งในไลน์ธุรกิจของ Shabu baru ชาบูหม้อเดี่ยวพรีเมี่ยมชื่อดัง ที่ขยายไลน์ธุรกิจเอาใจทีเลิฟเวอร์ให้ได้ดื่มด่ำกับขนมญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมด มัตฉะและใบชาคุณภาพจากเมืองเกียวโต และชิซุโอกะแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย พร้อมเสพบรรยากาศสบายๆ สไตล์ญี่ปุ่นท่ามกลางบาร์ไม้สีน้ำตาลอ่อนอบอุ่น ที่ให้คุณมองเห็นการชงชาของทีมาสเตอร์ได้ถนัดตา เมนูแรกเราสั่งเป็น Usucha มัตฉะร้อนตีสดน่าลิ้มลอง ที่ครั้งนี้เราเลือกผงชาเขียวสายพันธุ์ Uji-Hikari จากเมืองโตเกียว เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ชาที่หายาก ให้รสเข้มอูมามิ ผสานกับกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ เสิร์ฟคู่วาราบิสไตล์โฮมเมด ขนมญี่ปุ่นเนื้อนุ่มเด้ง ราดน้ำตาลเคี่ยวญี่ปุ่นรสหวานพอเหมาะ ตามด้วย Matcha Plam Nectar มัตฉะรสเข้มหอม ผสานกับน้ำตาลสดรสหวานกำลังดี Matcha Coconut ที่หลายคนชอบก็มี โดดเด่นด้วยรสหวานฉ่ำจากน้ำมะพร้าวแท้ๆ ผสมกับผงมัตฉะคุณภาพจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ปิดท้ายด้วย Yamaki Sencha ใบชาที่ละมุนไปด้วยความหอม รสนุ่มอ่อนๆ นี้แฝงไปด้วยความ ฟรุตตีไลต์ๆ ตบท้ายด้วยความนัตตีของถั่วเกาลัด

กระแสการกินอาหารจากพืช หรือ Plant-based กำลังอยุ่ในกระแสความนิยมจากทั่วทุกมุมโลก เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ที่เราได้เห็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่นำเสนออาหารจากพืชหน้าใหม่เกินขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่ง Kynd Kulture คาเฟ่ภายในคอมมูนิตี้ EKM6 ภายในซอยเอกมัย 6 ก็เป็นหนึ่งในคาเฟ่เปิดใหม่ที่หันมาจริงจังกับการกินอาหารจากพืชและการกินเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ Kynd Kulture ต้อนรับด้วยบรรยากาศอบอุ่น สบาย ๆ ด้วยการหยิบสีเอิร์ธโทนเข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักภายในร้าน และเมื่อทอดสายตาทะลุบานกระจกใสออกไปก็จะเห็นสนามหญ้าสีเขียวสบายตา และที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือการประดับประดาฝาผนังด้านหนึ่งของร้านด้วยกระเบื้องหลากสี เรียงสลับซับซ้อนกันเหมือนเป็นงานศิลปะขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง ชื่อร้าน Kynd Kulture เป็นการพลิกแพลงและผสมผสานระหว่างคำว่า Kindness และ Culture เข้าด้วยกัน นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มผ่านคำว่า Kynd ซึ่งจะเป็นรูปแบบของอาหารจากพืชที่กินง่าย รสชาติดี และอัดแน่นไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ ส่วนอาหารในส่วนของ Kulture นั้น เป็นการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในจานอาหารด้วยวัตถุดิบหมักดอง แหล่งรวมโพรไบโอติกส์ (Probiotics) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร Krazy Spicy Caviar คือหนึ่งในตัวอย่างของเมนูแนว Kynd มาในแบบฉบับของพาสตาที่ให้รสชาติเผ็ดร้อนจากน้ำมันพริก กินแล้วคล้าย ๆ กับพริกเผาบ้านเรา สอดแทรกด้วยกลิ่นของของใบโหระพา และยังได้ความหวานสดชื่นของมะเขือเทศ ด้านบนท็อปด้วยชีสเม็ดมะม่วงหิมพานต์และคาร์เวียร์วีแกน ส่วนเมนูแนว Kulture นั้นมีทั้ง Youngblood toast อะโวคาโดโทสต์ที่เสริมวัตถุดิบเพิ่มโพรไบโอติกส์อย่างกิมจิเข้าไปได้อย่างกลมกลืน Kulture Bowl ก็เป็นอีกเมนูที่นำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ จากการผสมผสานอันหลากหลายในชามเดียว ทั้งเทมเป (ถั่วเหลืองหมักของอินโดนีเซีย) ฮุมมุส กิมจิ ฟักทอง ควินัว เห็ด และแตงกวา ซึ่งทางร้านได้นิยามเมนูนี้ไว้ว่า “Sexy และมีสารอาหารครบถ้วน” อีกเมนูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมยังเป็นเมนูใหม่ล่าสุดของร้านก็คือ Taco ที่ปรับนิดเปลี่ยนหน่อยจนได้ทาโก้ที่สายสุขภาพจะต้องประทับใจ ด้วยแผ่นแป้งทาโก้ปราศจากกลูเตน มาพร้อมกับ 3 รสชาติคือ เต้าหู้โกชูจัง ขนุนบูลโกกิ และกิมจิเห็ดเข็มทองน้ำมันพริก ที่ให้รสชาติครบเครื่องจนลืมไปเลยว่ามีแต่ผัก เมนูขนมหวานของร้านก็จัดเต็มมาในจานใหญ่ไม่แพ้ของคาว เรียกได้ว่าอิ่มท้องพอ ๆ กัน ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Bircher Pancake แพนเค้กทำจากข้าวโอ๊ต จับคู่มากับไอศกรีมคาเคาซอร์เบต์ ซึ่งเหมาะมากที่จะตัดรสชาติด้วยผลไม้รสเปรี้ยวอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ ส้ม กี่วี และแอปเปิ้ล ที่จัดเต็มมารอบจาน เมนูเครื่องดื่มของ Kynd Kulture ก็คงคอนเซปต์ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นเครื่องดื่ม Plant-based เช่นกัน ต้องบอลเลยว่าบางเมนูก็แปลกใหม่ไม่เหมือนใครสุด ๆ อย่างเช่น Melemele ซึ่งมีส่วนประกอบของผลไม้เมืองร้อน และเทมเป้ (ถั่วเหลืองหมักของอินโดนีเซีย) อยู่ในนั้นด้วย จึงออกมาเป็นเครื่องดื่มที่มีทั้งความมันกลมกล่อม ผสมผสานไปกับความเปรี้ยวสดชื่นจากผลไม้ หรือถ้ามองหาเครื่องดื่มที่เติมเต็มความสดชื่นได้เต็มพิกัด Jalapeño Fizzy นับเป็นแก้วที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะมีความซาบซ่าในตัวแล้ว เมื่อจิบเข้าไปก็จะสัมผัสได้ถึงความเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากพริกฆาลาเปญโญดองแถมมาด้วย สำหรับเมนูคาเฟอีนเติมพลังงาน ที่นี่ก็มี Cocopresso Black หรือกาแฟอเมริกาโนผสมน้ำมะพร้าวเผาและน้ำช่อดอกมะพร้าว ทำให้มีความหอมหวาน ดื่มง่าย เข้ากับเมล็ดกาแฟเบลนด์ที่ให้เทสต์โน๊ตแนวช็อกโกแลต ถั่ว และคาราเมล ส่วนอีกแก้วคือ Midori Chan : Dirty Matcha มัทฉะเดอร์ตี้ที่จับคู่กับนมจากพืชสุดเข้มข้นสูตรลับเฉพาะของร้าน ซึ่งพิเศษกว่านมทั่วไปด้วยกลิ่นหอมวานิลลาจากฝักวานิลลาแท้ นอกจากคาเฟ่ Kynd Kulture แล้ว ภายในโครงการ EKM6 ยังมีส่วนของร้านชำชื่อว่า Plenti ที่รวบรวมสินค้า Plant-based หลากหลายชนิดมาให้เลือกซื้อด้วย เรียกได้ว่าเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนกินพืชอย่างแท้จริง!

เรียกว่าเป็นร้านขวัญใจคนรักขนมปัง Shirokumaya Bakery ร้านเบเกอรี่ญี่ปุ่นในซอยไปดี-มาดี หรือที่หลายคนจำได้ว่าเป็นร้านขนมปังหมีขาว เมื่อก้าวเข้ามาในร้านจะเจอกับโชกุปังอบใหม่หอมๆ ปั๊มโลโก้พี่หมีรอต้อนรับทุกคนอยู่แล้วบนชั้นหน้าร้าน (ส่วนหลังร้านก็ยังคงอบแบบต่อเนื่อง) โชกุปังของร้านนี้เป็น Nama Shokupan ทำสดใหม่โดยเชฟญี่ปุ่น ไม่มีส่วนผสมของไข่ ขนมปังรสหวานละมุนจากนมสดและน้ำผึ้ง อีกทั้งใช้น้ำดื่มอัลคาไลน์ในการทำ ทำให้เนื้อแป้งฟูและบางเบากว่าขนมปังทั่วไป ทางร้านแนะนำว่าให้กินเปล่าๆ จะได้รสหวานอ่อนๆ ตามธรรมชาติและได้กลิ่นหอมของข้าวสาลีไปพร้อมกัน หรือจะลองทาเนยบนขนมปังแล้วโรยเกลือเล็กน้อยแล้วนำไปปิ้งจะได้ขนมปังกรอบๆ ส่วนตรงกลางจะมีความชุ่มฉ่ำ ที่ขายดีไม่แพ้กันคือ Marble Double Choco โชกุปังลายหินอ่อนที่ผสมผสานกันระหว่างดาร์กช็อกโกแลตและมิลค์ช็อกโกแลต ยังมีรส The Anko หรือถั่วแดงญี่ปุ่นกวนที่หวานๆ มันๆ เข้ากับเนื้อขนมปัง เหมาะสำหรับกินกับชาร้อน ลูกเกด 2 สี รสหวานอมเปรี้ยว ในแต่ละเดือนก็จะมีรส Special อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ขนมปังอร่อยเท่านั้น แต่ คาราเมลคัสตาร์ดพุดดิ้ง ของร้านนี้ดีงามสุดๆ เนื้อเนียนนุ่ม รสหวานกำลังดี บอกเลยว่าถ้วยเดียวไม่พอ  

'เพราะอาหารสามารถแต่งเติมจินตนาการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด' ด้วยแรงบันดาลใจนี้จึงเกิดเป็นแนวคิดหลักของร้าน ผลักดันให้ Origami ร้านอาหารญี่ปุ่นฟิวชันเปิดตัวสู่สายตาชาวโลก มาพร้อมคอนเซ็ปต์ 'Savor the Taste of Endless Possibilities' ที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เช่นเดียวกับชื่อร้าน Origami ที่แปลว่า การพับกระดาษในภาษาญี่ปุ่น เพราะทุกคนสามารถพับกระดาษให้ออกมาเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ เพียงใช้แค่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการเท่านั้น ภายในร้านจึงได้เตรียมกระดาษ พร้อมคำแนะนำสำหรับการพับไว้ให้บนโต๊ะ เพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคนฝึกจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน ในบรรยากาศแสนอบอุ่นของการจำลองบ้านชาวญี่ปุ่นด้วยวัสดุธรรมชาติ และโทนสีเย็นตาสบายใจ เพิ่มความโมเดิร์นด้วยการตกแต่งสไตล์ French Garden เสริมด้วยงานพับรูปสัตว์ต่างๆ ตั้งโชว์ทั่วทุกมุมห้อง ดูน่ารัก และชวนผ่อนคลายไม่น้อย สำหรับเมนูจะเน้นเป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชัน รังสรรค์รสชาติด้วยความสนุกสนานโดยเชฟมากฝีมือ ที่ตั้งใจบรรจงปรุงแต่งอาหารญี่ปุ่นให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการหยิบจับวัตถุดิบมาผสมผสาน พร้อมเชื่อมโยงรสชาติของวัฒนธรรมอาหารหลากสัญชาติเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แต่ละเมนูของที่นี่จึงมีมิติรสชาติที่แปลกใหม่แบบไม่รู้จบตามแบบฉบับของ Origami อีกทั้งยังพาเจริญอาหารได้ดีทีเดียว เริ่มต้นที่ Grilled Ginger Chicken Teriyaki with Asian Coleslaw, Somtum Dressing สลัดผักที่เคียงมาด้วยไก่เทอริยากิ ราดน้ำส้มตำรสเปรี้ยวอมหวาน และเผ็ดเล็กน้อย ต่อด้วย Quesadilla Shrimp with Spicy Mentaiko Sauce พิซซาสไตล์เม็กซิกัน ด้านในสอดไส้กุ้งผัดกับหัวหอม และพริก 3 สี ได้กลิ่นหอมของปาปริกา มีความหอมมันจากเชดดาร์ชีสและมอซซาเรลลาชีส Linguine Truffle with Wagyu Beef Tataki พาสตาผัดทรัฟเฟิล เข้ากันได้ดีกับเนื้อย่างแบบทาทากิ เสิร์ฟในระดับมีเดียมแรร์ อร่อยลงตัว ถัดมาคือ Salmon Lover Set เซ็ตของคนรักแซลมอน เสิร์ฟ 5 รูปแบบทั้งอะบุริ โรล ยำตะไคร้ ซาชิมิดิบและเบิร์นไฟเล็กน้อย ปิดท้ายด้วย Mizu Shingen Mochi โมจิเนื้อใส มีความนุ่มและเด้ง เสิร์ฟเย็นๆ ให้กินคู่ครัมเบิลถั่วตัดรสหวานกำลังพอดี ส่วนเครื่องดื่มแนะนำเป็น Wabi Yuzu ค็อกเทลยูซุ มีกลิ่นหอมของสับปะรด รู้สึกได้ถึงความเผ็ดที่ปลายลิ้นจากวาซาบิ และ Hana Yoru ค็อกเทลรสละมุน หอมกลิ่นซากุระผสมมะลิ เป็นรสชาติที่ชวนให้หลงใหลได้ไม่น้อย

นุ่มนิ่มละลายใจ โชกุปังของร้าน Lalai คาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นในซอยสุขุมวิท 49 ของคุณพอร์ช เจ้าของร้านที่หลงใหลในการทำขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นเป็นพิเศษ นอกจากจะเสิร์ฟเมนูคาวหวาน และเมนูเครื่องดื่มให้นั่งจิบได้เพลินๆ แล้ว ที่นี่ยังมีไฮไลต์เป็นโชกุปังที่ปรับสูตรให้นุ่มจนแทบ ‘ละลาย’ ในปากเหมือนชื่อร้าน อยากให้ลอง โชกุปังออริจินอล นอกจากความนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์แล้วยังกินได้ยันขอบ เพราะใช้แป้งสาลีญี่ปุ่นในการทำจึงมาพร้อมกลิ่นหอม บวกกับความนุ่มนวลของนมฮอกไกโดและเนยแท้ เมื่อฉีกขนมปังแล้วจะเห็นเส้นใยเส้นๆ อีกทั้งยังกินได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีสารกันบูดหรือสารเสริม อีกรสห้ามพลาดคือ Azuki อะสึกิ (ถั่วแดงญี่ปุ่น) เคี่ยวแบบหยาบให้ยังมีเนื้อถั่วแดงให้ได้เคี้ยว หวานกำลังดี และ Cranberry & Walnut วอลนัตกวนรสมันๆ หวานๆ ตัดด้วยรสเปรี้ยวจากแครนเบอร์รี่อบแห้งนำเข้าจากนิวซีแลนด์ มีโชกุปังแล้ว ลองจับคู่กับ Matcha Spread สเปรดที่ใช้มัตฉะนำเข้าจากฟาร์มของเพื่อนคุณพอร์ชที่ชิซุโอกะรสเข้มข้นเป็นพิเศษ (มีรสชาไทยด้วย) หรือจะลองแยมผลไม้โฮมเมดก็เปรี้ยวหวานสดชื่นไปอีกแบบ

ใครปลื้มโชกุปังเป็นพิเศษ อย่าพลาดร้านนี้ Crumbs ร้านเบเกอรี่สีชมพูบนทางเชื่อมของ BTS ชิดลมที่มีโชกุปังนุ่มๆ ให้เลือกหลากรสชาติ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมโชกุปังของร้าน Crumbs จึงนุ่มอร่อย เพราะจริงๆ แล้วขนมของครัมส์เริ่มต้นจากขนมปังในไลน์เบรคฟาสต์ของโรงแรม ก่อนที่ธุรกิจหยุดชะงักไปในช่วง COVID-19 เชฟเบเกอรี่จึงนำขนมปังมาต่อยอดเป็นขนมปังแบรนด์ Crumbs เริ่มต้นจากการออกบูธและขายแบบเดลิเวอรี่ จนได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น ตอนนี้เราจึงได้เห็นร้านขยายไปแล้วมากกว่า 10 สาขา โชกุปังของที่ร้านผลิตโดยกรรมวิธียูดาเนะแบบญี่ปุ่นที่ทำให้ขนมปังเหนียวนุ่มแบบไม่ต้องพึ่งพาสารเสริมเติมแต่ง ที่ขายที่สุดยังเป็น Original Shokupan รสหวานอ่อนๆ เนื้อนุ่มขอบบางสีขาวน่ากิน แต่ที่ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักต้องยกให้ Truffle Honey Shokupan แค่เปิดถุงกลิ่นหอมจรุงใจของทรัฟเฟิลก็ลอยฟุ้งขึ้นมาทันที เนื้อโชกุปังนุ่ม มีรสเค็มเล็กๆ ตัดด้วยความหวานจากน้ำผึ้ง (เราลองเอาไปเข้าเตาปิ้งขนมปังแล้วก็ยังหอม) นอกจากนี้ยังมี Raisin Wholewheat Shokupan รสหวานอมเปรี้ยวจากลูกเกดเหลืองและลูกเกดดำ และ Nutella Shokupan สำหรับคนรักนูเทลล่า แถมทุกวันอังคารยังเป็น Cheat (Cheese) Day ที่มีโชกุปังรสชีสให้ฟินกันด้วย! ข้อมูล Line official : Crumbs

หลังจากประสบความสำเร็จที่ทรงวาด ถึงเวลาที่ ‘อี-กา’ จะพาทุกคนโบยบินต่อมาที่บ้านหลังที่ 2 ในซอยสาทร 12 โดยยังคงบอกเล่าเรื่องราวอาหารผ่านการเดินทางของ คุณแจะ ศิริวรรณ และรสชาติที่ลึกล้ำจากวัตถุดิบท้องถิ่นทั่วประเทศได้อย่างน่าประทับใจ ความพิเศษของอี-กา สาทร 12 คือที่นี่มี “อี_กา กินเช้า” อาหารเช้าที่ทั้งอร่อยและสนุกซึ่งคุณแจะเปรียบไว้ว่า ‘เหมือนเรามีเสื้ออยู่ 1 ตัวแล้วปักเลื่อมวิบวับ’ คุณพ่อและคุณแม่ของคุณแจะอยู่ที่อุดรธานีซึ่งมีเมนูเช้าแบบอุดร-เวียดนามอย่าง ไข่กระทะ ข้าวเกรียบปากหม้อ แต่ตัวเธอเติบโตที่ลำปลายมาศที่มีเมนูดังเป็น ผัดหมี่ลำปลายมาศ และ ขนมจีนแกงไก่ใส่เลือด มื้อเช้าของอี-กาจึงมาจากความทรงจำและการเดินทาง เราไม่อยากให้พลาด ข้าวผัดอเมริกัน จี_ไอ blues ข้าวผัดอเมริกันจากวัยเยาว์ที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานกับทหาร G.I. รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม แถมยังให้ลูกเกดจุใจแบบไม่หวง เคียงด้วยน่องไก่ทอด ไส้กรอกทอด และไข่ดาว หรือจะลอง Breakfast ทหารจี_ไอ ไข่ดาว 2 ฟองเยิ้มๆ จุ๊ด้วยแม็กกี้ กินกับไส้กรอกทอด และขนมปัง ต่อด้วย ข้าวเกรียบปากหม้อญวณ แป้งนุ่มหนึบไส้แน่นตามแบบฉบับอุดรธานี กินกับน้ำจิ้มรสหวานนิดๆ ก็ถูกใจ พลาดไม่ได้กับ สตูว์ไก่ สไตล์กุ๊กช็อป น่องไก่ชิ้นใหญ่เพิ่มรสชาติด้วยซอสไก่งวง แนะนำให้สั่งกินคู่กับ ข้าวหมูยอทอด ช่างเป็นมื้อเช้าที่รื่นรมย์ ส่วนเมนูอื่นของอี-กาก็ยังมีตัวตนชัดเจน คุณแจะเล่าว่ามีหลายเมนูที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรจากต้นตำรับซึ่งทางร้านจะคงสัดส่วนและวัตถุดิบเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นน้ำวูดู พริกแกง กะปิ (ที่มี 7-8 ยี่ห้อแล้วแต่เมนูที่ทำ) อย่าพลาด ข้าวยำปักษ์ใต้ จากตำบลเจ๊ะเห ตากใบ นราธิวาส ข้าวหุงด้วยใบยอและใบย่านาง เคียงด้วยเครื่องเคราอย่างดอกดาหลา ส้มโอ แตงกวา ถั่ว ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแพว ผักชี ปลาทูคั่วจนแห้ง มะพร้าวคั่ว และน้ำวูดู นอกจากนี้ยังมี ไก่คั่วตะไคร้ขมิ้น ยำปลาฉิ้งฉ้าง ที่ได้สูตรเด็ดจากคุณปู อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ รวมถึง หมี่กรอบ ต้มส้มปลากระบอก สะตอผัดกุ้ง จากร้านกิมเล้ง สี่แยกคอกวัว   ก็ล้วนน่าลองเป็นอย่างยิ่ง

ถือเป็นข่าวดีสำหรับสายหวานอย่างเราเพราะ Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารฝรั่งเศสดีกรีมิชลินสตาร์เขารังสรรค์ “Bespoke Afternoon Tea Experience” ชุดน้ำชายามบ่ายสไตล์ฝรั่งเศส ให้คนรักของหวานรื่นรมย์เต็มพิกัด เอ็นจอยกับอาหารคาว-หวานจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ฝีมือเชฟคริสตอฟ กรีโล (Christophe Glio) Executive Bakery and Pastry Chef  คนใหม่ที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์จากร้านเบเกอรีชื่อดัง และโรงแรม 5 ดาวทั่วโลก ดื่มด่ำกับอาฟเตอร์นูนโฮมเมด ที่เสิร์ฟใน Blue Lounge บรรยากาศสบายๆ และอบอุ่น โซฟาหนานุ่มสีขาวนวล เข้ากันดีกับผนังและโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม ผสานไฟสีส้มโคซี่ และผ่อนคลาย มีผ้าม่านสีขาวกันเพื่อความเป็นส่วนตัว เริ่มต้นที่ของคาวกันก่อน Smoked Salmon & Pomelo แป้งสไตล์ฝรั่งเศสกรุบกรอบ เข้ากันดีกับรสเค็มของแซลมอนรมควัน ครีมชีสคุณภาพ และส้มโอ The Tamago & Caviar ไข่ม้วนในแบบฉบับญี่ปุ่นรสเค็มกลมกล่อม สอดไส้มายองเนส ท็อปด้วยคาเวียร์เลอค่า ตามด้วย The Duck Terrine & Sourdough ขนมปังซาวโดวจ์โฮมเมด ประกบเทอร์รีนเป็ดเนื้อแน่น รสเค็มนุ่มนวล หอมกลิ่นสโมกอ่อนๆ ผสานรสหอมมันของตับไก่บด ก่อนทาด้วยซอสสูตรเฉพาะที่ปรุงจากไวน์มาเดรา Plain Scones สคอนรสดั้งเดิมลูกโต เนื้อแน่นนุ่ม หรือใครชอบ Almond Scones สคอนอัลมอนด์หอมฟุ้ง กินคู่สตรอว์เบอร์รีแช่อิ่มรสเปรี้ยว และคล็อตเต็ดครีมที่เรารัก ยังมีของหวานตามฤดูกาลอย่าง Pineapple Polenta เค้กเนื้อฟองน้ำนุ่มฟู สลับชั้นกับสับปะรดย่างหอมๆ และคัสตาร์ดครีม The Roast Peach and Thyme Tartlet ฐานล่างเป็นแป้งทาร์ต หอมกลิ่นเนยเตะจมูก ด้านบนวางด้วยเนื้อพีชย่างรสหวานหอม Almond Croissant กรอบนอกนุ่มใน และขนมอบแบบฝรั่งเศสประจำวัน (Vienoisserie Du Jour) ช่วงนี้มี Chocolate Tart ครีมช็อกโกแลตรสเข้มพอดี มิ๊กซ์แป้งทาร์ตรสช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยทองคำเปลวหรูหรา ตามด้วยคาราวานของหวานบนรถเข็น ที่คุณสามารถเติมได้ไม่อั้น มีทั้ง Rum Savarin ขนมฝรั่งเศสโบราณ เนื้อฟูๆ ละม้ายคล้ายขนมปัง แช่ในน้ำเชื่อมรสหวานฉ่ำ ก่อนเติมเหล้าและผิวเลมอนเพื่อความหอม กินคู่วิปครีมตีสด Fraisier เค้กสตรอว์เบอร์รีในแบบฉบับของประเทศฝรั่งเศส เค้กสปันจ์อัลมอนด์ สลับชั้นเพสตรี้ครีม และสตรอว์เบอร์รีรสเปรี้ยวอมหวาน Lemon Tart ได้รสเปรี้ยวละมุนจากเลมอนเคิร์ดโฮมเมด ตัดกับรสหวานของเมอแรงต์เบิร์นไฟ นอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลต และบิสกิตสัญชาติฝรั่งเศสต่างๆ โดนใจสวีตเลิฟเวอร์ทุกชิ้น จิบคู่ Hot Chocolate ช็อกโกแลตร้อนเลื่องชื่อประจำ Blue by Alain Ducasse ที่ส่งตรงจากกรุงปารีส เติมวิปครีมวานิลลาโฮมเมด และนมสดชั้นดีนิดหน่อยเป็นอันดีงาม หรือจะเป็น House-Made Sodas อิตาเลียนโซดาโฮมเมดรสต่างๆ ก็ฟินไม่แพ้กัน ส่วนใครที่เป็นทีเลิฟเวอร์ต้องนี่ Silver Needle ชาขาวเข็มเงินรสนุ่มละมุน  ปราศจากคาเฟอีนแห่งแบรนด์ Chaidim ชาออร์แกนิกส์ขึ้นชื่อของเมืองไทยนั่นเอง

สมกับเป็นเมืองที่จำลองความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ได้ทั้งบรรยากาศและร้านอาหาร เพราะที่ Harajuku Thailand สุวินทวงศ์ มีร้าน Tonkotsu Kazan ร้านราเมนสุดเจ๋งจากจังหวัดโอซากาที่เปิดตั้งแต่ ค.ศ.1966 มาเปิดสาขาที่นี่ด้วย ไฮไลต์ของร้านนี้คือ ‘ราเมนภูเขาไฟ’ ราเมนเส้นสดในชามหินกระทะร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาเสิร์ฟจะครอบด้วยฝาสีแดงทรงสูง ไอระอุจากน้ำซุปร้อนๆ ในชามหินจะพวยพุ่งขึ้นด้านบน อดใจรอประมาณ 1 นาที เส้นราเมนและเครื่องในชามจะร้อนได้ที่ กินเส้นหมดแล้วเติมข้าวลงไปในน้ำซุปเป็นการปิดท้าย เราแนะนำ Kazan Karamiso เส้นใหญ่เหนียวนุ่มในน้ำซุปกระดูกหมูรสเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นแบบเผ็ด กลิ่นหอมและเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ส่วนใครชอบความอลังการอย่าพลาด คะซังสุกี้ยากี้หมู น้ำซุปหวานและกลมกล่อมจากผักและเนื้อหมูสามชั้นที่วางเรียงทรงสูงเหมือนภูเขา รอให้น้ำซุปเดือดปุดแล้วสาวเส้น เข้าปากได้เพลินๆ ปิดท้ายด้วย Chashu Shoyu Ramen ราเมนที่มีทีเด็ดเป็นหมูชาชูชิ้นนุ่มที่ผ่านการตุ๋นในซอสสูตรลับของทางร้านจนฉ่ำจนแทบจะละลายในปาก ส่วนน้ำซุปก็ดีงาม ซดได้จนหยดสุดท้าย

เพียงไม่กี่ก้าวจาก BTS ทองหล่อ เป็นที่ตั้งของร้าน Shokupan ร้านสีน้ำเงินไซส์มินิที่แค่เห็นชื่อก็รู้ทันทีว่าร้านนี้มีโชกุปังเป็นพระเอก ซึ่งเป็นสูตรที่เจ้าของร้านเรียนกับร้านโชกุปังชื่อดังของญี่ปุ่น ก่อนจะมาเปิดร้านของตัวเองในช่วงที่โชกุปังยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรามากนัก เลยนำชื่อขนมปังมาตั้งเป็นชื่อร้านเสียเลย ส่วนผสมหลักๆ ของโชกุปังที่ร้านคือแป้งญี่ปุ่น นม น้ำตาล ซึ่งกว่าจะได้โชกุปัง 1 โลฟใช้เวลาในการทำราว 4 ชั่วโมง เราอยากให้ทุกคนได้ลอง Shokupan Original เนื้อเหนียวนุ่มและมีความฟูยืดจากวัตถุดิบนำเข้า บวกกับอุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิห้อง และอุณหภูมิของเตาที่พอเหมาะพอดี กินเปล่าๆ ก็อร่อย หรือจะเพิ่มรสชาติด้วยแยมผลไม้โฮมเมดของทางร้านก็เข้ากันดี อีกรสที่เราชอบมากคือ Choco & Banana ที่มีเนื้อกล้วยหอมจากฟาร์มออร์แกนิกของไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศ หั่นเป็นชิ้นๆ ให้ได้เคี้ยว รสหอมหวานตามธรรมชาติ ผสมกับช็อกโกแลตรสเข้มข้น  ส่วนคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพแนะนำ Whole Wheat ที่ใช้จากแป้งโฮลวีตนำเข้าเช่นกัน กินง่ายไม่ฝืดคอ แถมยังใส่ธัญพืช 6 ชนิด มีประโยชน์แล้วยังเคี้ยวเพลินอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโชกุปังรส Cranberry & Mix Seeds, Butter & Snowman, Truffle รวมถึงไส้พิเศษอย่าง Ham & Olive ที่มีขายทุกวันศุกร์ กระซิบอีกนิดว่าที่ร้านยังมีขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกอีกหลายแบบ  อาทิ ขนมปังไส้แกงกะหรี่ ที่ใช้การอบแทนการทอด ขนมปังไส้ครีม ขนมปังไส้ช็อกโกแลต ขนมปังไส้มันม่วง และ เมลอนปัง ก่อนกลับอย่าลืมซื้อแยมผลไม้โฮมเมดติดไม้ติดมือไปด้วยนะ

ช่างเป็นการพบกันที่ชวนให้หัวใจพองโต เมื่อ Sretsis Parlour ห้องน้ำชาสุดแฟนตาซีของ Sretsis แบรนด์เสื้อผ้าคาแรกเตอร์โดดเด่นของ 3 สาวพี่น้อง คุณอิ๊บ คุณเอ๋ย คุณแอ้ ชวน After You Dessert Café ร้านขนมหวานร้านโปรดของหลายคนเนรมิตพื้นที่บนชั้น 2 เซ็นทรัล เอ็มบาสซีให้กลายเป็น Sretsis Parlour Pop-up ป๊อปอัพคาเฟ่ในสวนจำลองบรรยากาศรื่นรมย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากลายพิมพ์ Sretsis Labyrinth โดยมีคุณ LUDO สัตว์ในจินตนาการยืนรอต้อนรับทุกคนอยู่ เมนูที่เสิร์ฟที่นี่จึงเป็นเมนูคลาสสิกของ After You ที่เพิ่มความแฟนตาซีด้วยการแตกแต่ง รวมถึงเสิร์ฟในแก้ว ถ้วย จาน ลายสวยจากสเรทซิส เทเบิล ได้แรงบันดาลใจมาจากลายพิมพ์ไอคอนิก Sretsis Labyrinthรวมถึงเมนูสุดพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น อาทิ LUDO CHOCOLATE CHIP COOKIE ช็อคโกแลตชิปคุกกี้ของ After You ราดด้วยช็อกโกแลตซอสแล้วตกแต่งด้วยไวต์ช็อกโกแลตให้เป็นหน้าของคุณ LUDO (ที่น่าเอ็นดูจนไม่กล้าตัก) Caramel Custard คัสตาร์ดเนื้อนุ่มเด้ง ราดด้วยซอสคาราเมลหอมหวาน เสิร์ฟบนจานลายสวยที่เพิ่มความรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี KENNY BISCOFF PARFAIT ไอศกรีมพาเฟต์รสนวลเนียนหอมหวาน ท็อปด้วย Lotus Biscoff บิสกิต แล้วประดับด้วยคัตเอาต์คาแรกเตอร์จาก Sretsis รวมถึง ZEN MOUSSE CAKE เค้กช็อคโกแลตลาวาสุดเข้มข้นที่สายหวานห้ามพลาด ก่อนกลับอย่าลืมชอปปิงของตกแต่งบ้านคอลเลคชั่นใหม่ของ Sretsis Parlour ที่มาโทนสีเขียวมอสกรีนซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อน ทั้งแก้วน้ำ ถ้วยชามเซรามิก ติดไม้ติดมือไปด้วยนะ

ใครปลื้มขนมโฮมเมดฝีมือ คุณแพร-ดวงกมล เวปุลละ วาเกนเซ่น ตอนนี้คุณแพรกลับมาเปิดห้องครัวสุดรักของเธออีกครั้ง พร้อมด้วยขนมเค้กโฮมเมดรสชาติละมุนละไมกว่า 10 รสชาติที่หมุนเวียนไปในแต่ละเดือน อาทิ Lemon Blueberry , Chocolate & Salted Caramel Truffle , เค้กชาเย็น ฯลฯ ซึ่งล้วนทำจากวัตถุดิบคัดสรรเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเนย Lurpak เนยพรีเมียมจากประเทศเดนมาร์ก ไข่ Cage Free ปลอดสารเคมีและฮอร์โมนจาก KTF กลับมาครั้งนี้ คุณแพรมาพร้อมเค้กรสใหม่ Strawberry Lover ความลงตัวของเค้กช็อกโกแลต คัสตาร์ดครีมหวานน้อย และสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต มาพร้อมการ์ดและกล่องลวดลายสวยเก๋ ออกแบบโดยคุณยูน ปัณพัท ศิลปินไทยที่ดังในระดับโลก นอกจากเค้กแล้ว คุณแพรยังมีขนมปังยีสต์สดอบใหม่จาก Imm’s Oven ที่มีทั้ง Baguette ขนมปังฝรั่งเศสเปลือกด้านนอกกรอบ เนื้อด้านในนุ่มหนึบ และ Sourdough ซาวร์โดจากยีสต์ธรรมชาติที่เหนียวนุ่ม รสเปรี้ยวนิดๆ กำลังอร่อย จับคู่กับ Truffle Pate’ สุดยอดไอเท็มฮิตของคุณแพร เนื้อเนียนละลายในปาก แค่เปิดฝาขวดก็ได้กลิ่นหอมจรุงของทรัฟเฟิลลอยมาเตะจมูก เหมาะกับมื้อเช้าอันรื่นรมย์   สั่งขนมผ่าน Line @praeskitchen และ Line @immsoven มีบริการส่งต่างจังหวัดด้วยรถห้องเย็น รายละเอียดเพิ่มเติม FB : Praeskitchen, IG : Praeskitchen และ FB : Immsoven, IG : Imm.Oven

เมื่อ “BEARHOUSE” ร้านขนมและชานม “ไข่มุกโมจิ” เจ้าแรกของเมืองไทย ได้ฤกษ์เปิดสาขาที่ไอคอนสยาม (บริเวณชั้น 5) สายหวานตัวจริงอย่างเราจะพลาดไปเยือนได้อย่างไร ฟินกับชาคุณภาพกับไข่มุกโมจิข้าวไทย ความภาคภูมิใจของคุณชาน-คุณกานต์ เจ้าของร้าน ที่มีจุดเด่นตรงทำสดใหม่วันต่อวัน ปราศจากสารกันบูด และให้สัมผัสหนึบหนับที่ทำเอาสาวกชานมไข่มุกติดใจกันทุกราย เริ่มชิมจาก โมจิโรลนมฮอกไกโด โรลโมจิข้าวไทยเหนียวนุ่ม เคล้าครีมสดรสนมฮอกไกโก รสหวานมันกินอร่อย แต่สำหรับใครที่เป็นช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องนี่ โมจิโรลช็อกโกแลต เปลี่ยนจากรสนมหอมมันมาเป็นรสช็อกโกแลตรสเข้มก็ฟินได้ไม่แพ้กัน จิบคู่เครื่องดื่มชื่นใจที่คราวนี้เราสั่ง ‘Fruit Tea Series’ ซีรีส์ชาผลไม้ เมนูใหม่แกะกล่องจากทางร้าน แก้วแรกเป็น ชาเนื้อส้มนุ่มชีส ชาส้มยูซุหอมๆ รสเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีกับชีสรสครีมมี มีความหวานเล็กๆ ไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ต่อด้วย ชาเสาวรสมะม่วงนุ่มชีส ได้ความเปรี้ยวสดชื่นของเสาวรส ผสมความหวานฉ่ำของผลไม้ฤดูร้อนอย่าง มะม่วง ท็อปด้วยชีสเนื้อเนียนสุดฟิน ชาพีชลิ้นจี่นุ่มชีส ก็เข้าที ชาพีชรสหอมหวาน ไปด้วยกันได้ดีกับชีสเนื้อละมุนหอมมัน จิบเพลินๆ ยังมี ชาหอมนุ่มชีส ชาเขียวไลท์ๆ สดชื่น มิ๊กซ์กับความมันนัวของชีสที่เรารัก สุดท้ายเป็น ชาดำนุ่มชีส เมนูคลาสสิกที่ได้ใจสายหวานตลอดกาล ได้รสเข้มพอเหมาะจากชาดำชั้นดี ตัดกับรสหวานมันของชาชีสนุ่มๆ

“CRAZE MAMA” ร้านอาหารไทยเปิดใหม่ในไอคอนสยาม ที่นำ ‘มาม่า’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขวัญใจสายฟู้ดตลอดกาล มารังสรรค์เป็นจานอร่อยรสแซ่บ ในบรรยากาศโรงงานมาม่าขนาดใหญ่ ทั้งสีแดงอมส้มร้อนแรงเสมือนน้ำซุปของมาม่าต้มยำ โคมไฟถ้วยมาม่าเก่ไก๋ส่องสว่าง และหมอนอิงมาม่ารสสุดป็อปต่างๆ ที่ฟู้ดดี้เห็นแล้วต้องร้องคิวท์! เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา สัมผัสกรุบกรอบคลุกเคล้ากับน้ำปลาหอมๆ ได้รสเค็มกลมกล่อม ตามด้วยเมนูขายดี แตงโมน้ำตก แตงโมรสหวานฉ่ำ ราดซอสน้ำตกรสเข้มข้น ได้กลิ่นหอมๆ ของข้าวคั่วเต็มเปา กุ้งฟุต นี่เป็นเมนูเหมาะสำหรับคนรักกุ้งโดยแท้ ตัวเนื้อหวานเสียบไม้ ย่างให้หอมจนได้เนื้อฉ่ำใน ราดซอสสูตรเฉพาะรสหวานได้ที่ มาม่าซอตหอยแมลงภู่ มาม่าต้มยำที่เรารัก ผัดพร้อมเครื่องเคราผัดฉ่ารสเด็ดดวง มีพระเอกของจานคือหอยแมลงภู่ตัวอวบอ้วน พลาดไม่ได้กับ ต้มยำทะเลหม้อไฟ ซีฟู้ดสดเด้งละลานตาเสมือนขนทะเลขึ้นบก อาทิ ปลาหมึกหนึบหนับ กุ้งตัวอวบ หอยแมลงภู่เนื้อหวาน อยู่ในน้ำซุปต้มยำรสเผ็ดกำลังดี พร้อมสาวเส้นมาม่าเหนียวนุ่มเพลินๆ ไจแอ้น ทะเลถัง เครื่องเคราทะเลต่างๆ อย่าง กุ้งตัวโต  มิ๊กซ์กับซอสสไปซี่รสเค็มเผ็ดกำลังดี เครื่องดื่มแนะนำ แตงโมปั่น สีสวย รสหวานชื่นใจ และ อัญชันมะนาว รสเปรี้ยวอมหวาน ดับร้อนได้ดี ตอนเย็นทางร้านมีเสิร์ฟค็อกเทลด้วยนะ

ลึกไปจากปากซอยปรีดี พนมยงค์ 31 ไปไม่เท่าไร อาคารพาณิชย์แถวหนึ่งเก่าริมถนนที่คึกครื้นตลอดทั้งวันได้กลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ในย่าน ถ.สุขุมวิท 71 ที่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากำลังเป็นย่านที่เติบโตและมีสีสันขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากหน้าหลายตา ซึ่ง No Tuesday in Pridi ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น No Tuesday in Pridi เป็นชื่อที่ชัดเจนราวกับตะโกนออกมาเลยว่าร้านนี้ ไม่เปิดในวันอังคาร เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะแวะเวียนมา ก็อย่าลืมเช็กวันเวลากันให้ดี ๆ ภายใต้ชายคาของอาคารเก่า ร่องรอยแห่งวันวานนั้นอบอวลไปทุก ๆ มุม ไม่ว่าจะเป็นพื้นหินขัด ราวระเบียงเหล็กดัด และโครงสร้างดั้งเดิมของเพดานสูงและชั้นลอย แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกไปด้วยกลิ่นอายของความร่วมสมัย จากบาร์เครื่องดื่มและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหรือเก้าอี้ มีบรรยากาศสบาย ๆ เหมือนนั่งดื่มกาแฟที่บ้าน อาหารและเครื่องดื่มของ No Tuesday in Pridi นั้นเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความแปลกใหม่ กินมื้อเช้าก็ได้หรือมื้อสายก็ดีอย่างเช่น French Toast โชคุปังเนื้อนุ่มเคลือบไข่และน้ำตาลทรายแดงโทสต์จนผิวนอกกรอบ ราดเมเปิ้ลไซรัป ท็อปด้วยครีมชีส แต่ถ้าอยากได้ความอิ่มท้องกว่านี้ ก็มี Before Lunch ที่ใช้โชคุปังแบบเดียวกัน มาพร้อมครีมชีสและเมเปิ้ลไซรัปเหมือนกัน แต่ที่แถมมาคือ เบคอน ที่ทำให้จานนี้กลายเป็นของคาวที่กินรองท้องก่อนมื้อกลางวันได้อย่างดีเยี่ยม เครื่องดื่มของร้านที่แปลกใหม่ไม่แพ้กัน ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่หุ้นส่วนร้านชื่นชอบ จับโน่นผสมนี่จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น Cinnoffee กาแฟลาเต้เบลนด์โคลอมเบียที่มาพร้อมกับเทสต์โน๊ตของแอลกออล์และกล้วย เมื่อนำมาจับคู่กับซินนามอนหรืออบเชย พอดื่มแล้วจะให้รสชาติคล้ายกับกินบานอฟฟี่ มีความครีมมี่เล็ก ๆ Maprow Dirty กาแฟเดอร์ตี้ที่ไม่ธรรมดา เพราะเพิ่มความพิเศษมาด้วยไซรัปมะพร้าว ทำให้ตัวนมที่เย็นและเข้มข้นอยู่แล้วมีความานัวเพิ่มเข้าไปอีกเหมือนได้รสชาติของกะทิ อีกแก้วหนึ่งคือ Thai Tea ชาไทยที่ร้านตั้งใจเบลนด์ตัวชาให้มีรสชาติเข้มข้น ไม่หวานมาก แล้วท็อปด้วยครีมเพื่อให้มีความหอมมัน หรือถ้าใครอยากได้เครื่องดื่มซ่า ๆ มาเบรก ที่ร้านก็มี Lamon Fizzy น้ำมะนาวโซดาเย็นสดชื่นเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะ No Tuesday in Pridi แต่มาแล้ว Happy Everyday (ที่เปิด) แน่นอน

Tag:

KanVale (กานเวลา) คราฟต์ช็อกโกแลตแบรนด์ไทยแท้จากเชียงใหม่ เดินทางมาเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ ที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ไม่ต้องรอไปกินที่เชียงใหม่แล้ว! ภายในสาขาใหม่ของกานเวลานี้ มาพร้อมกับซอฟต์เสิร์ฟ ที่รังสรรค์จากดาร์กช็อกโกแลต 70% ไม่เข้มเกินไปและไม่หวานจนเกินไป เป็นเมนูพิเศษสร้างสรรค์เพื่อคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือเมนูเครื่องดื่มช็อกโกแลต ที่มีตัวเลือกของช็อกโกแลตทั้งร้อน-เย็น ให้เลือกถึง 3 ตัวกันคือ "Thailand Origin" การผสมผสานระหว่างโกโก้จากเชียงใหม่และประจวบคีรีขันธ์ ผ่านการหมัก 6 วันจนได้รสชาติของอัลมอนด์และองุ่นแห้ง "Chiang Mai Origin" ทำจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ให้รสชาติของผลไม้เมืองร้อน สอดแทรกด้วยรสเปรี้ยว และ "Klong Loi Origin" จากต้นโกโก้ในหมู่บ้านคลองลอย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีกลิ่นอายของซินนามอน คาราเมล มะพร้าวคั่ว และผลไม้สีแดงโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มจากชาโกโก้ มาเพิ่มความสดชื่นด้วยอีกหลากหลายเมนู และแน่นอนว่ารอบ ๆ ร้าน ก็มีผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตมาอวดโฉมกันอย่างละลานตา รวมทั้งช็อกโกแลตบาร์ที่เพิ่งได้รับรางวัลการันตีในระดับนานาชาติมาสด ๆ ร้อน ๆ อย่าง "กึ๊ดเติง" ช็อกโกแลตนมรสแกงฮังเล "แอ่วดอย" ซีตรัสช็อกโกแลตนมผสมของสมุนไพรท้องถิ่นภาคเหนือ และ "Honey Milk Chocolate with Riceberry cracker" ช็อกโกแลตที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมจากน้ำผึ้ง คนรักช็อกโกแลตไม่ผิดหวังแน่นอน            

ท่ามกลางความคึกครื้นในยามราตรีบนถนนเยาวราช อาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นสูงตระหง่าน ณ หัวมุมที่ตัดระหว่างถนนเยาวราชและถนนมังกร ได้เปลี่ยนจากร้านขายทองเดิมเป็นอาคารโฉมใหม่พร้อมชื่อและป้ายเก๋ ๆ ว่า ‘โกลด์สมิท’ เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากป้ายโกลด์สมิทเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายไฟเขียนว่า Chop Chop Cook Shop เป็นตัวอักษรสีแดงเปล่งประกายแข่งกับแสงไฟทุกดวงบนนถนนเยาวราช ที่นี่คือร้านอาหารแห่งใหม่คอนเซปต์จัดจ้านภายใต้การสร้างสรรค์ของเชฟเดวิด ทอมป์สัน ชวนย้อนเวลาหาอดีตกับร้านอาหารสไตล์กุ๊กช็อป เสิร์ฟอาหารทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก จีน หรือไทย ยุคทองของร้านกุ๊กช็อปนั้นเคยมีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงปี ค.ศ. 1930 – 1970 ของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะตามย่านชุมชนจีนเช่นเยาวราช คนทำอาหารมักจะเป็นคนจีนไหหลำ เอกลักษณ์ของกุ๊กช็อปเลยออกมาเป็นอาหารตะวันตกสไตล์จีนปนไทยตามใจคนกิน และจะเสิร์ฟเป็นคอร์สแบบตะวันตก แยกจานใครจานมัน ไม่ได้แชร์กันอย่างอาหารไทย กุ๊กช็อปในสไตล์ของ Chop Chop Cook Shop ถอดเอากลิ่นอายจีนของเยาวราชมาใส่ไว้ในร้านอย่างเต็มพิกัด ทั้งหลอดไฟนีออนตัวอักษรภาษาจีน รูปวาดมังกรบนบานกระจก ผนังที่เต็มไปด้วยสร้อยคอทองคำ แม้แต่พนักงานในร้านก็ยังใส่เครื่องประดับทองคำไปทั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศรอบ ๆ ก็ยังแฝงไปด้วยภาพของร้านไดเนอร์แบบอเมริกันและสีสันแบบป๊อบอาร์ตที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง ในเมื่อเชฟเดวิด ทอมป์สันเอาคอนเซปต์ของกุ๊กช็อปมาเล่นอย่างจริงจัง เมนูในร้านจึงให้กลิ่นอายของตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกส่วนผสมและวัตถุดิบบางอย่างที่กินแล้วถูกปากคนเอเชียแบบเรา ๆ สำหรับ Starters นั้นให้รสชาติออกไปทางตะวันตกเสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นด้วยเมนูที่ใช้ซอสแมรี่โรสสไตล์อังกฤษแท้ ๆ แบบดั้งเดิมเลยคือ Crab Marie Rose ซึ่งเป็นซอสที่มักจะเสิร์ฟกับกุ้ง แต่ที่ Chop Chop Cook Shop ปรับใหม่เป็นเนื้อปูม้า มาพร้อมกับจานเคียงเป็นขนมปังนมญี่ปุ่น เนื้อเหนียวนุ่มพร้อมกับเนย ต่อมาเป็นการจับคู่ระหว่าง Devil on Horseback และ Angel on Horseback ซึ่งเป็นจานรวมเมนูเก่าแก่ระกับร้อยปีจากอังกฤษเช่นกัน เมนูได้ชื่อว่า Devil นั้นมาในรูปลักษณ์ที่ดำทะมึนสมชื่อนั้นทำจากลูกพรุนพันเบค่อน ส่วนด้านในสอดไส้ด้วยตับไก่และอัลมอนด์ ส่วน Angel นั้นเป็นหอยนางรมพันโพรชุตโต้ย่างเนยสมุนไพร ฝั่งอาหารจานหลักนั้นค่อนข้างสร้างความแตกต่างไปจากจานเรียกน้ำย่อยไม่น้อย ด้วยส่วนผสมสไตล์เอเชียนหลาย ๆ อย่างที่ใส่มาในจานอย่างโดดเด่น เช่น Butter Prawn กุ้งแม่น้ำสดใหม่ราดซอสเนย เครื่องเทศ และพริกเสฉวน Debal Curried Sausage เป็นจานที่รวมทั้งอาหารอังกฤษดั้งเดิม อาหารโปรตุกีส และอาหารมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นไส้กรอกในซอสเกรวี่หัวหอมที่และเครื่องเทศ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงกะหรี่แบบมะละกา ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังจับคู่มากับ Side Dish อย่าง Chop Chop Mash มั่นฝรั่งบดสไตล์จีน ใส่หอมแดง หัวไชเท้า รวมทั้งเครื่องพะโล้ บดในครกจนเนื้อเหนียวก่อนจะนำไปผัดในกระทะอีกทีเพื่อให้กลิ่นหอม และอีกจานคือ Sugar Snap Pea Salad สลัดถั่วลันเตาหวาน คลุกเคล้ามาในน้ำสลัดบัตเตอร์มิลก์ เพิ่มความเผ็ดร้อนแบบไทยเข้าไปนิดหน่อยด้วยพริกหนุ่มย่าง ขนมหวานปิดท้ายมื้ออาหารนั้นน่าสนใจไม่แพ้ของคาว ไม่ว่าจะเป็น Beehive Sponge with Banana Custard สปอนจ์เค้กคาราเมลและกล้วยเนื้อหนึบ ราดซอสคัสตาร์ดรัมเรซิน หรือ Ginger Milk Curd with Macadamia Tuile ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเต้าฮวยน้ำขิง แต่ตัวคัสตาร์ดนั้นทำมาจากนมแพะสดและใส่น้ำขิง ท็อปบนแก้วด้วยตุอีล หรือขนมเบื้องแมคคาเดเมียบางกรอบ ส่วนเครื่องดื่ม Chop Chop Spiced Coffee & Tea ปิ๊งไอเดียมาจากเครื่องดื่มตามคาเฟ่ในฮ่องกง เป็นชาผสมกับกาแฟสดใส่นมในแบบฉบับหวานน้อย โดยใช้ชาและกาแฟที่คัดสรรส่งตรงมาจาก จ.เชียงใหม่ ส่วนชั้นที่ 2 ของอาคารโกลด์สมิทนั้นเป็นที่ตั้งของบาร์ชื่อเดียวกัน ประดับประดาสไตล์จีนเข้ากับย่านเยาวราช แต่ที่พิเศษสุด ๆ คือการจับมือกับแบรนด์ผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน ในการออกแบบลวดลายเบาะเก้าอี้ โซฟา ไปจนถึงลวดลายบนฝาผนัง ไปด้วยกันได้ดีกับโคมไฟสไตล์จีน สร้างบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มไปกับเครื่องดื่มอย่างไม่รู้เบื่อ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของโกลด์สมิทบาร์นั้นมีให้เลือกจากเมนูหลายหน้าเลยทีเดียว แต่ที่แนะนำว่าต้องลองก็คือแก้วที่ชื่อว่า Goldsmith ตามชื่อของอาคารและบาร์แห่งนี้  ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวอดก้าญี่ปุ่น เหล้าแบล็กเบอร์รี่ และเหล้าสมุนไพร ไซรัปปีโนต์ นัวร์-ชิตาเกะ บลูเบอร์รี่  และเลมอน ให้รสชาติของผลไม้และสมุนไพรชัดเจน แถมยังมีอูมามิด้วย High Tea In The High Tower เป็นแก้วที่มีปริมาณแอลกอฮอล์แบบเบา ๆ จากส่วนผสมของสาเก เหล้าบ๊วย ชาอู่หลง โรสแมรี ที่ให้รสชาติดื่มง่าย หอมกลิ่นดอกไม้ และให้ความสดชื่นได้ดีทีเดียว Kirb Stomp ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวอมหวานแบบผลไม้ทรอปิคัล จากมะม่วง ชบา เกรนาดีน โทนิค และน้ำเกลือ เป็นมุมใหม่ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศสนุกสนานและคึกครื้นของเยาวราช และในขณะเดียวกันก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยเมนูอาหารสไตล์กุ๊กช็อปที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว