เครื่องดื่มเย็นสดชื่นสีสันสดใสชวนดื่มเป็นอีกไฮไลต์ของงานปาร์ตี้ เตรียมเครื่องดื่มใส่โหลแก้วใบสวย ใส่ผลไม้สดให้ดูน่ากิน เมื่อถึงเวลาปาร์ตี้แค่เติมน้ำแข็งก็ได้เครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมเสิร์ฟแล้ว ส่วนผสมและวิธีทำน้ำพิงก์เบอร์รี (สำหรับ 6 ที่) ราสป์เบอร์รีสด 1/2 ถ้วย แบล็กเบอร์รีสด 1/2 ถ้วย น้ำพิงก์เลมอนเนด 6 ถ้วย น้ำแข็งก้อนสำหรับเสิร์ฟ ผสมราสป์เบอร์รีสด แบล็กเบอร์รีสด และน้ำพิงก์เลมอนเนดในโหลแก้ว คนให้เข้ากัน เมื่อจะเสิร์ฟ จึงเติมน้ำแข็งก้อนลงในโหล ส่วนผสมน้ำเลมอนเนดวิสกี้ฮันนี่ เลมอนหั่นแว่น 1 ผล น้ำเลมอนเข้มข้น (Lemon Cordial) 2 ถ้วย วิสกี้น้ำผึ้ง (Jack Daniel’s Honey) 1 ถ้วย โซดาแช่เย็น 6 ถ้วย น้ำแข็งก้อนสำหรับเสิร์ฟ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ชิมและปรับรสเพิ่มได้ตามชอบ ใส่น้ำแข็งก้อน ส่วนผสมน้ำองุ่นไชน์มัสแคต น้ำองุ่น 3 ถ้วย น้ำกีวี  3 ถ้วย มะนาวหั่นแว่น 2 ผล องุ่นไชน์มัสแคต (Shine Muscat) หั่นแว่น 1 ถ้วย ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วย น้ำแข็งก้อนสำหรับเสิร์ฟ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ชิมและปรับรสเพิ่มได้ตามชอบ ใส่น้ำแข็งก้อน

กินคลีนฟู้ดแล้วจะกินอะไรได้อีกบ้าง นอกจากเนื้ออกไก่ ปลา ถั่ว ผักสลัด บรอกโคลี มะเขือเทศ พริกหวาน ฟักทอง น่าจะเป็นคำรำพึงรำพันของคนกินคลีนฟู้ดที่มองหาเมนูใหม่ๆ   ว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเพราะความคิดเรื่องคลีนฟู้ดเป็นแนวคิดของคนตะวันตกที่เกิดขึ้นจากกระแสต่อต้านอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งทำอาหารแปรรูปและสำเร็จรูปพร้อมกิน ปรุงแต่งรสชาติให้เค็มจัด หวานจัดจากน้ำตาลนานาชนิด ทั้งยังใส่สารเสริมอีกสารพัดเพื่อให้อาหารเหล่านี้ดูน่ากิน ทั้งสีสวย เนื้อนุ่มเด้ง และเมื่อค้นพบว่าอาหารเหล่านี้เป็นตัวก่อปัญหาโรคอ้วน อันจะทำให้เกิดโรคยอดฮิตอีกหลายโรคที่ทุกคนกลัวตามมา เราก็ต้องเปลี่ยนวิถีการกินเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น ความคิดเรื่องคลีนฟู้ดจึงเกิดขึ้น   หลักการของคลีนฟู้ดจึงต้องกินอาหารอย่างธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ปรุงแต่ง ไม่แปรรูป ถ้าเก็บมาจากต้นที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือออร์แกนิกยิ่งตรงกับหลักการ ถ้าจำเป็นต้องปรุงแต่งจริงๆ ก็ต้องเป็นวิธีการธรรมชาติ หรือปรุงแต่งแต่น้อย เช่น ของทอดก็ต้องใช้น้ำมันน้อยๆ และด้วยความคิดที่มาจากตะวันตก พืชผักซึ่งนิยมกันจึงเป็นผักที่ชาวต่างชาติกินกัน   แต่ถ้าถามว่ากินคลีนฟู้ดอย่างท้องถิ่นได้ไหม ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่าได้ และในแต่ละประเทศก็มีอาหารท้องถิ่นตามธรรมชาติของตนเอง อย่างเช่นบ้านเราถ้ากลับไปหาอาหารท้องถิ่นน่าจะเป็นน้ำพริก ผักจิ้ม และมีตัวอย่างให้เห็นว่าบรรพบุรุษที่กินอาหารท้องถิ่นหรือน้ำพริกไม่เคยเป็นโรคอ้วน ถ้าใช้หลักการของคลีนฟู้ดมาปรับเข้ากับเมนูน้ำพริกก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารคลีนฟู้ดของไทยได้ โดยเฉพาะน้ำพริกปลากรอบ เริ่มจากปลากรอบเป็นปลาเนื้ออ่อน เติบโตในแม่น้ำตามธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกเพาะเลี้ยงในฟาร์มเหมือนกับปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลากะพง แน่นอนว่าปลาเนื้ออ่อนสดๆ ต้องอร่อยตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อต้องการเก็บไว้กินได้นานก็ต้องนำมาถนอมอาหารด้วยวิธีการรมควัน ใช้ความร้อนค่อยๆ ทำให้เนื้อปลาแห้ง ทั้งยังมีกลิ่นหอมที่ชวนกิน   ส่วนผสมสำคัญของน้ำพริกต้องมีหอม กระเทียม สูตรนี้ต้องนำทุกอย่างมาเผาจะทำให้มีรสหวาน กลิ่นหอมมากขึ้น และนำทั้งหมดมาตำรวมกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปึก และน้ำมะนาว ซึ่งสามารถหาชนิดที่ปลูกอย่างธรรมชาติหรือออร์แกนิกได้ และปรุงไม่ให้รสจัดเกินไป   สิ่งที่มาเสริมให้เมนูนี้เติมเต็มความเป็นคลีนฟู้ดมากขึ้นคือผักจิ้มต่างๆ เช่น ถั่วพู มะเขือเปราะ แตงกวา หน่อไม้รวกต้ม สายบัว เป็นต้น ผักเหล่านี้เป็นผักพื้นบ้าน หรือผักริมรั้วที่ปลูกได้ตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงใดๆ และผักบางชนิดยังมาพร้อมกับฤดูกาล เช่น หน่อไม้ และสายบัว ผักพื้นบ้านเหล่านี้ล้วนมีวิตามินและเส้นใยสูง   เมนูนี้เสริมโปรตีนด้วยไข่ต้ม นอกจากเนื้อปลากรอบที่ใส่ในน้ำพริก ส่วนคาร์โบไฮเดรตเลือกกินได้กับข้าวซ้อมมือ หรือข้าวออร์แกนิกต่างๆ ที่ปัจจุบันมีอยู่มากมาย   ในสูตรโบราณนั้นจะใส่แมลงดา แมลงที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษช่วยเพิ่มกลิ่นอะโรมาให้กับน้ำพริกถ้วยนี้ ว่ากันว่าช่วยเสริมรสชาติให้กินผักสดกันได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่น่าเสียดายว่าปัจจุบันหาแมลงดาได้ยากมากหรือไม่ได้เลย   คนที่กินคลีนฟู้ดและมองหาเมนูอาหารใหม่ๆ ต้องบอกว่าอาหารพื้นบ้านของไทยนี่แหละที่จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศและช่วยเจริญอาหารได้อย่างดี น้ำพริกปลากรอบ ส่วนผสม พริกชี้ฟ้าเขียว แดงรวมกันประมาณ 15 เม็ด ปลาเนื้ออ่อนย่างแกะเฉพาะเนื้อ 1/2 ถ้วย กระเทียมไทย (ขนาดกลาง) 3 หัว หอมแดง (ขนาดกลาง) 11 หัว น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปึก 2 ช้อนชา เครื่องจิ้ม & ผักจิ้ม ไข่ต้มยางมะตูม หน่อไม้รวกต้ม ผักสด เช่น ถั่วพู มะเขือเปราะ ขมิ้นขาว แตงกวา สายบัว หรือผักพื้นบ้านตามชอบ วิธีทำ เผาพริก หอมแดง กระเทียม (เผาทั้งหัว) ให้สุกหอม ลอกเปลือกพริกและเม็ดพริกออก ลอกเปลือกหอมและกระเทียมออก บิปลาเนื้ออ่อนที่เผาเป็นชิ้นเล็ก โขลกพริกให้เนื้อหยาบ ใส่หอม กระเทียม ตำรวมกันหยาบๆ ใส่ปลาเนื้ออ่อน ตำพอเข้ากันหยาบๆ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปึก คลุกให้เข้ากัน ชิมและปรุงรส (ไม่ควรรสจัดเกินไป)

  แจ่วพื้นฐาน แจ่วแซ่บ แจ่วเทอริยากิ เมนูวันนี้ใช้ Air Fryer หรือฝาครอบเทอร์โบมาอบก็ได้ค่ะ   เครื่องปรุงไก่ สะโพกไก่ 5 ชิ้น กระเทียม พริกไทย รากผักชี ตะไคร้ และเกลือ ตำให้เข้ากัน กะสัดส่วนตามสบายอย่าให้เค็ม หมักไก่อย่างน้อย 40 นาที งาขาวคั่วหรือไม่คั่วก็ได้ เครื่องปรุงแจ่วพื้นฐาน น้ำมะขามเปียก 100 กรัม น้ำตาลปี๊บ 120 กรัม น้ำมะนาว 50 กรัม น้ำปลา 80 กรัม ผงลาบแซ่บทะล้า (ผงลาบเหนือ) คั่วแล้วตำ 30 กรัม ข้าวคั่ว 10 กรัม หอมแดงสดซอย 25 กรัม หอมแดงเผาตำ 50 กรัม กระเทียมจีนเผาตำ 50 กรัม พริกจินดาเผาตำ 5 เม็ด ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง วิธีทำ ผสมทุกอย่างที่หั่น ซอย และตำเอาไว้ ชิมและปรุงรส แจ่วแซ่บ แจ่วพื้นฐาน 60 กรัม ปลาร้าปรุงรส 20++ กรัม มะเขือเทศเผา หั่นเป็นชิ้นๆ ตามสมควร น้ำมะนาว ผงลาบเหนือ (ใช้พริกป่นแทนได้แต่หอมน้อยกว่า) พริกขี้หนูสวนตำ วิธีทำ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ถ้ามีมะดันสดหรือตะลิงปลิงสดซอยใส่จะยิ่งแซ่บ แจ่วเทอริยากิ แจ่วพื้นฐาน 60 กรัม น้ำซอสเทอริยากิ (ยี่ห้อยามาโมริ) 50 กรัม กระเทียมสดสับและพริกสดสับ วิธีทำ ผสมแจ่วพื้นฐานกับน้ำซอสเทอริยากิ แล้วให้คนกินเติมกระเทียมและพริกสดเอง วิธีอบไก่ บั้งไก่ด้านเนื้อคลุกเครื่องหมักไว้อย่างน้อย 40 นาที วางไก่ที่หมักแล้วเอาด้านเนื้อขึ้นบนตะแลงแกง เอ๊ย! ตะแกรง ตั้งความร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส ปล่อยให้หม้อทำงานประมาณ 10 นาที ทาซอสเทอริยากิบางๆ แล้วกลับเอาด้านหนังขึ้น อบต่อจนหนังเหลืองกรอบ ใส่ซอสเทอริยากิในจาน คีบไก่ร้อนๆ ขึ้นมาชุบตัวในน้ำซอส ความร้อนจะทำให้ไก่ดูดน้ำซอสแบบไม่เกรงใจ โรยงาขาวให้ทั่วหนังไก่ (Optional แต่ช่วยให้หอมน่ากิน) ใส่ไก่ลงไปอบโดยเอาด้านหนังขึ้น อบที่ความร้อน 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 นาที บรรจงหั่นใส่จาน หรือจะเสิร์ฟทั้งชิ้นก็ได้ นับ 1, 2, 3 ประจัญบานกันได้เลย เด็กวัยรุ่นอย่างเด็กหญิงวันจันชอบแบบเทอริยากิ พวกฮาร์ดคอร์ในครัวชอบแบบแซ่บ แถมแอบเติมพริก

  หวานละมุนกลมกล่อม ไปกับสังขยาชาไทย ที่มีวิธีการทำสุดแสนจะง่าย และสะดวก นำมาจับคู่กับขนมปังปิ้งร้อนๆ อร่อยกินได้ไม่เบื่อเลยล่ะ   ส่วนผสม น้ำชาไทยเข้มข้น  1 ถ้วย ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา กะทิ  3/4 ถ้วย แป้งข้าวโพด 5 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ คนไข่ไก่กับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน   ใส่แป้งข้าวโพด กะทิ และน้ำชาไทย คนให้เข้ากัน นำไปตุ๋นบนหม้อน้ำร้อน คนให้เข้ากันจนส่วนผสมสุกข้น ยกลง เสิร์ฟกับขนมปังปิ้ง

  อีกหนึ่งน้ำจิ้มสูตรเด็ด รสเผ็ดปนหวาน กินกับลูกชิ้นปิ้งหอมๆ แซ่บซี้ด แชร์เก็บแล้วนำไปทำตามกันได้เลย   ส่วนผสม พริกขี้หนูแดงสด 60 กรัม กระเทียม 80 กรัม กระเทียมดอง 1 หัว รากผักชี 3 ราก น้ำมะขามเปียกเข้มข้น 1/2 ถ้วย น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย เกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 1/2 ถ้วย ผักชีซอย  1 ต้น แป้งมันละลายน้ำ 1/3 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ถ้วย วิธีทำ สับพริกขี้หนู กระเทียมและรากผักชีด้วยเครื่องบดสับ สับให้พอละเอียด พักไว้ สับกระเทียมดองเป็นชิ้นเล็กๆ ตั้งหม้อน้ำใส่น้ำตาลทราย ซอสพริก น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ เปิดไฟให้เดือดและน้ำตาลละลายหมด  ใส่เกลือ พริกกระเทียมรากผักชีที่บด ต้มให้เดือดสักครู่ ใส่กระเทียมดองสับ เคี่ยวไฟอ่อนให้เดือดนาน 10 นาที   ใส่แป้งมันละลายน้ำ คนให้เข้ากันจนแป้งสุกข้น ยกลง ตักใส่ชาม ใส่ผักชีคนให้ทั่ว เสิร์ฟกับลูกชิ้นปิ้งตามชอบ  

  เผ็ดซี้ด ไปกับสูตรน้ำจิ้มลูกชิ้นพริกป่น รสจัดจ้าน นำมากินกับลูกชิ้นทอดหอมๆ แซ่บโดนใจ   ส่วนผสม พริกขี้หนูป่น 1/2 ถ้วย มะขามเปียก 150 กรัม สับปะรดสับ 1 ถ้วย กระเทียมดองสับ 2 หัว น้ำตาลมะพร้าว 3/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เกลือทะเล 2 ช้อนชา ถั่วลิสงคั่วป่น 1/2 ถ้วย แป้งมันละลายน้ำ 1/4 ถ้วย น้ำเปล่า 3 ถ้วย วิธีทำ ต้มน้ำกับมะขามเปียกให้เดือดจนมะขามนิ่ม บี้ให้เนื้อมะขามละลาย ตักกากและเมล็ดออก ใส่สับปะรด กระเทียมดอง ต้มต่อจนสุกนุ่ม ใส่น้ำตาลทราย น้ำตาลมะพร้าว และเกลือ ต้มต่อจนละลาย ใส่พริกป่น คนให้เข้ากัน พอเดือด ใส่แป้งมันละลายน้ำ คนให้ส่วนผสมข้น ใส่ถั่วลิสงป่น คนให้เข้ากัน ยกลง จัดลูกชิ้นปลาระเบิดใส่จาน ราดด้วยน้ำจิ้ม

  มาแรงจนบุรีรัมย์แทบแตก สำหรับ น้ำจิ้มพริกเผาสูตรเด็ด ที่ใครๆ ก็อยากตามไปลิ้มลอง G&C ก็ไม่พลาดที่จะเอาสูตรมาฝากแฟนเพจ รับรองว่าอร่อย แซ่บ ไม่แพ้ใครแน่นอน   ส่วนผสม พริกขี้หนูแห้ง 30 กรัม หอมแดง 130 กรัม กระเทียมกลีบใหญ่ 80 กรัม น้ำมะขามเปียก 3/4 ถ้วย เกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วย น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ แป้งมันละลายน้ำ 1/3 ถ้วย  น้ำเปล่า 2 ถ้วย วิธีทำ คั่วพริกขี้หนูแห้งกับน้ำมันครึ่งหนึ่งให้กรอบหอม ตักขึ้นพักไว้ ใส่น้ำมันที่เหลือ ใส่กระเทียมกับหอมแดงลงคั่วต่อใส่ให้สุกหอม ตักขึ้นพักไว้ ตำพริกแห้งคั่วพอแหลก ใส่หอมแดงและกระเทียมคั่วลงตำต่อให้พอแหลก ตั้งหม้อใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำมะขามเปียก น้ำปลา และเกลือ ต้มให้พอเดือด ใส่น้ำเปล่า 1 ถ้วย ต้มต่อจนน้ำตาลละลาย ใส่พริกแห้งคั่วตำ กระเทียมและหอมแดงตำ คนให้เข้ากัน เดือดอีกครั้ง เติมน้ำเปล่าที่เหลือ ต้มให้เดือด ใส่แป้งมันละลายน้ำ คนให้แป้งสุกและข้น ยกลง ใส่พริกแห้งคั่ว เสิร์ฟกับลูกชิ้นทอด

  อาจาดเมนูนี้มีสีสวย ได้ 5 สีของเครื่องลายครามเบญจรงค์ แถมเป็นโปรไบโอติกส์ด้วย ถ้าไม่สามารถทำ Pineapple Vinegar เองให้สั่งซื้อ Organic Pineapple Vinegar ได้ที่อาจารย์ Taipida Moodhitaporn ค่ะ   เครื่องปรุง พริกหวานสีเขียว พริกหวานสีเหลือง พริกชี้ฟ้าแดง แรดิชสีขาวเปลือกสีชมพู หัวหอมแดง องุ่นดำ เซเลรี แครอตขูดเป็นเส้นสั้นๆ น้ำดองอาจาด น้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรด (Pineapple Vinegar) 250 มิลลิลิตร น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายออร์แกนิก 3 1/2 ช้อนโต๊ะ ดอกเกลือ 1 1/4+ ช้อนชา (ถ้าเป็นเกลือป่นให้ใส่น้อยลง) วิธีทำ ผสมน้ำดองก่อน คนให้ละลายเข้ากัน ไม่ต้องตั้งไฟ รักษาพวกแบคทีเรียนิสัยดีให้มีชีวิตอยู่ หั่นผักต่างๆ ใหญ่เล็กเท่าที่ชอบ กะปริมาณให้สมดุลกับน้ำอาจาด ดองอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง เสร็จแล้วใส่ตู้เย็นได้ค่ะ เก็บได้นาน กินเป็นอาจาดแนมกับหมูสะเต๊ะ แกงกะหรี่และอื่นๆ นอกจากสวยแล้วยังช่วยย่อยอาหารด้วยค่ะ

  สลัดโรล วันนี้เราจะมาทำน้ำจิ้มสลัดโรลสามรสคือซีฟู้ด น้ำจิ้มมิโซะ และวาซาบิซอส รับรองว่าอร่อยแน่นอน   ส่วนผสมน้ำจิ้มซีฟู้ด กระเทียม 200 กรัม | รากผักชี 200 กรัม | มะนาว 200 กรัม | น้ำปลา 200 กรัม | เกลือ 1 ช้อนชา | พริกขี้หนูสวน 35 กรัม | น้ำตาลทราย 25 กรัม | น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม | ผงปรุงรส 1 ช้อนชา | น้ำมะขามเปียกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ *ปรุงให้เสร็จก่อนแล้วจึงเติมมะขามเปียกให้ได้รสเปรี้ยวที่ต้องการ ส่วนผสมมิโซะซอส สลัดครีม (เบสท์ฟู้ดส์ ) 500 กรัม | ซุปเต้าเจี้ยวกึ่งสำเร็จรูป 50 กรัม | น้ำเชื่อม 3 1/2 ช้อนโต๊ะ | พริกไทย 1/4 ช้อนชา | มัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ | วูสเตอร์ซอส 2 ช้อนชา | น้ำจิ้มซีฟู้ดเอาแต่เนื้อประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ | ผงลาบเหนือประมาณ 3 ช้อนชา (ขึ้นอยู่กับความเผ็ด) | มะนาว 2 ช้อนโต๊ะ (ถ้ามีซีอิ๊วจีน “ฉูปัง” ใส่ลงไป 1 ช้อนชา แต่ไม่ใส่ก็ได้) | *น้ำเชื่อม : น้ำตาลทราย 1 ส่วน + น้ำ 1 ส่วน ส่วนผสมวาซาบิซอส สลัดครีม (เบสท์ฟู้ดส์) 500 กรัม | วาซาบิ 4 ช้อนโต๊ะ | น้ำ 4 ช้อนโต๊ะ | น้ำจิ้มซีฟู้ด 2-3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดก่อนโดยตำรากผักชี ตามด้วยพริกและกระเทียมจนแหลก เอาใส่เบลนเดอร์แล้วใส่เครื่องที่เหลือลงไปทั้งหมด ปั่นหยาบๆ (ที่ตำก่อนเพราะจะทำให้หอม) เเต่งรสด้วยน้ำมะขามเปียก พักไว้ ทำซอสวาซาบิโดยผสมผงวาซาบิกับน้ำเปล่า เสร็จแล้วผสมกับสลัดครีมและน้ำจิ้มซีฟู้ดตามอัตราส่วนที่ระบุไว้ จะปรับรสบ้างก็ได้ค่ะ มิโซะซอสจะยุ่งยากหน่อยแต่ก็อร่อยแปลกดี วิธีทำนะคะ ต้มน้ำเชื่อม ใช้น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ผสมทุกอย่างตามที่ระบุไว้ ซีฟู้ดซ้อนเอาแต่เนื้อมีน้ำติดมาบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วนผงลาบเหนือก็ให้ค่อยๆ เติม คนด้วยตะกร้อให้เนียนเข้ากันดีก็เสร็จค่ะ เราใช้ผงลาบเหนือเพราะมีสมุนไพรที่ซับซ้อนมาก แต่ถ้าเป็นเจ้าที่ใส่พริกป่นมามากให้ลดปริมาณลงนะคะ จะเผ็ดเกินไป เราใช้ของคุณแม่ทองดี โพธิยอง เธอปลูกสมุนไพรเองและมีความรู้เรื่องยาไทยอย่างดี

  หน้าร้อนในเดือนเมษายนมีผลไม้ตามฤดูกาลที่นิยมหลากหลายชนิดทั้งมะม่วง ทุเรียน มังคุด วันนี้จะมาทำน้ำปลาหวาน 2 สูตรยอดนิยมให้เลือกทำได้ตามชอบ และที่ขาดไม่ได้คือต้องมีมะม่วงเปรี้ยวกินคู่กับน้ำปลาหวานถึงจะอร่อย   น้ำปลาหวานกุ้งแห้ง ส่วนผสม น้ำตาลมะพร้าว 300 กรัม หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย กุ้งแห้งป่น 1 1/4 ถ้วย น้ำปลา 1/4 ถ้วย พริกขี้หนูซอย 1/4 ถ้วย น้ำเปล่าเล็กน้อย 1/4 ถ้วย วิธีทำ ใส่น้ำตาลมะพร้าวลงในหม้อ ใส่น้ำ ต้มให้น้ำตาลละลาย ใส่น้ำปลา ต้มต่อจนเดือดและข้นเล็กน้อย ปิดไฟ ใส่กุ้งแห้งป่น หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมมะม่วง   น้ำปลาหวานกะปิ ส่วนผสม น้ำตาลมะพร้าว 300 กรัม         กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย กุ้งเคยแห้ง 1 1/2 ถ้วย น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูซอย 1/4 ถ้วย วิธีทำ ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา และกะปิลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด คนจนน้ำตาลและกะปิละลายหมด พอส่วนผสมข้น ปิดไฟ  ใส่กุ้งเคยแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมมะม่วงเปรี้ยว   

  ส่วนผสมน้ำสลัด Creamy Garlic Pepper กรีกโยเกิร์ต หรือซาวร์ครีม 1/3 ถ้วย น้ำเลมอน 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 ช้อนโต๊ะ ดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมสับ 2  ช้อนโต๊ะ เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา พริกไทยดำบด 1/2 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 3/4 ถ้วย วิธีทำ ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนเป็นครีมเนียน ใส่ขวดแก้ว ปิดฝา ส่วนผสมสลัดน้ำใส น้ำมันมะกอก 1 ถ้วย น้ำส้มสายชูไวน์แดง 6 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 3  ช้อนโต๊ะ กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ หอมแดงสับ 3 ช้อนโต๊ะ ไทม์แห้ง 2 ช้อนชา เกลือและพริกไทยดำบดอย่างละ 1/4 ช้อนชา วิธีทำ ผสมส่วนผสมทั้งหมดแล้วตีด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ใส่ขวดแก้ว ปิดฝา

คำว่า Chili ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพริกชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นชื่อของสตูเนื้อรสจัดจ้านและแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกา เรียกกันทั่วไปว่า Chili Con Carne  แปลตรงตัวว่าเนื้อกับพริก   ชาวเท็กซัสอ้างว่าอาหารจานนี้เกิดขึ้นในรัฐของเขา พวกเม็กซิกันก็ว่ามาจากประเทศเม็กซิโก แต่ไม่มีใครรู้แน่ว่าต้นกำเนิดมาจากที่ใด แต่ที่แน่ก็คือส่วนผสมของชิลลี่ต้องมีเนื้อวัว หอมหัวใหญ่ กระเทียม มะเขือเทศ   ถั่วแดงเม็ดใหญ่ (Red Kidney Beans) และที่ขาดไม่ได้คือ Chili Powder ซึ่งมีขายทั่วไป และถ้าหาซื้อไม่ได้ก็ผสมเองได้ไม่ยาก ประกอบด้วยยี่หร่า พริกปาปริกา หอม กระเทียม ออริกาโน (Oregano) ถึงแม้จะมีส่วนผสมหลายอย่างแต่ทำไม่ยาก เมื่อทำแล้วเก็บไว้ได้นาน หรือแช่แข็งก็ได้   ถั่วที่ใช้ทำสตูเนื้อนี้ใช้ได้หลายชนิดรวมกัน  เช่น ถั่วพินโต ถั่วดำ ถั่วขาว ผสมกัน หรือจะใช้ถั่วชนิดเดียวก็ได้ บางรัฐใส่ข้าวโพดด้วย ถั่วนี้ถ้าไม่ใช้ถั่วดิบมาต้มจนสุกจะซื้อถั่วต้มสุกชนิดกระป๋องมาทำก็ได้สะดวกดี เมื่อทำทุกอย่างตามขั้นตอนแล้วต้องต้มไฟอ่อนจนสตูข้น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือจะใส่หม้อเหล็ก ปิดฝาแล้วอบก็ได้   เมื่อต้มจนได้ที่น้ำขลุกขลิกแล้วตักชิลลี่ใส่ชาม ตักครีมเปรี้ยว (Sour Cream) หรือกรีกโยเกิร์ตวางบนหน้า ใส่เนยแข็งขูด อะโวคาโด พริกดอง มะเขือเทศสับ ซัลซา เสิร์ฟพร้อมตอร์ติญาชิป หรือจะราดบนข้าว เส้นพาสตา มันฝรั่งอบก็ได้   นอกจากนี้ชิลลี่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Chili Dogs และ Sloppy Joes เป็นต้น เรียกว่าทำเมนูเดียวแต่ทานได้หลากหลาย     ส่วนผสม เบกกิงโซดา 1 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ เนื้อไม่ติดมัน 1 กิโลกรัม เบคอน  200 กรัม หอมหัวใหญ่สับหยาบ 2 ถ้วย กระเทียมสับ 1  ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 5 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato Paste)  170 กรัม มะเขือเทศสับ 800 กรัม ( 2 กระป๋อง) ส่วนผสมถั่ว (Beans) ถั่วแดงเม็ดใหญ่ (Red Kidney Beans) 400 กรัม ถั่วพินโต (Pinto Beans) 400 กรัม ถั่วดำ (Black Beans) 400 กรัม ถั่วขาว (White Beans) 400 กรัม ข้าวโพด 1 1/2 ถ้วย ซุปเนื้อ 3 ถ้วย แอปเปิลไซเดอร์ 1 ถ้วย น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ เกลือและพริกไทย ส่วนผสม Chili Powder ยี่หร่าป่น 2 ช้อนโต๊ะ ลูกผักชี 1 ช้อนชา ใบไทม์ 2 ช้อนชา ออริกาโน 2 ช้อนโต๊ะ พริกปาปริกา 2 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1/2-1 ช้อนชา น้ำส้มสายชูจากไวน์ (Wine Vinegar ) 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทอดเบคอนจนกรอบ ตักขึ้น พักไว้ หั่นเนื้อเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ผสมเบกกิงโซดากับน้ำ ใส่ลงคลุกกับเนื้อ พักไว้ 5 นาที จี่เนื้อในกระทะทีละน้อยจนหมด ใส่น้ำมันมะกอกในกระทะ ผัดหอมหัวใหญ่จนสุกใส ใส่กระเทียมสับ ผัดจนหอม ใส่เบคอนและเนื้อที่จี่ไว้ลงผัดพร้อมส่วนผสม Chili Powder (ยกเว้นน้ำส้มสายชูจากไวน์) จนหอม เติมมะเขือเทศเข้มข้น มะเขือเทศสับ ถั่ว ข้าวโพด ซุปเนื้อ แอปเปิลไซเดอร์ น้ำส้มสายชูจากไวน์ น้ำตาล เกลือ พริกไทย ต้มไฟอ่อนจนข้น น้ำขลุกขลิก ประมาณ 2 ชั่วโมง (ต้องคนเป็นระยะ ระวังติดหม้อ)  หรือใส่หม้อเหล็ก ปิดฝา อบที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียสประมาณ 2 ชั่วโมง       

  เมนูเครื่องจิ้มสไตล์เม็กซิกันทำง่ายโดยหั่นส่วนผสมเป็นชิ้นเล็กเท่าๆ กัน เสิร์ฟกับตอร์ติญาชิปข้าวเกรียบที่ทำจากข้าวโพดเนื้อกรุบกรอบ ใส่ถั่วพินโต้เนื้อนุ่มกับเมล็ดข้าวโพดหวาน เพิ่มพริกฮาลาเปโยให้มีรสเผ็ดนิดๆ กินแล้วหยุดแทบไม่ได้   ส่วนผสม (สำหรับ 2-4 ถ้วย) ถั่วพินโต้ต้มสุก 1 ถ้วย เมล็ดข้าวโพดหวาน 3/4 ถ้วย หอมหัวใหญ่หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 3 ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าแดงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ พริกฮาลาเปโยหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 2-3 ช้อนโต๊ะ                        น้ำส้มสายชูหมัก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3/4 ช้อนโต๊ะ ผักชีซอยและเกลือทะเลเล็กน้อย ตอร์ติญาชิปสำหรับเสิร์ฟปริมาณตามชอบ วิธีทำ ทำซัลซาโดยผสมถั่วพินโต้กับเมล็ดข้าวโพดหวาน หอมหัวใหญ่ พริกชี้ฟ้าแดง และพริกฮาลาเปโย ใส่น้ำส้มสายชูหมัก น้ำมะนาว เกลือ น้ำตาล เกลือ และผักชีซอย เคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมตอร์ติญาชิป

  ฮุมมุสเป็นเครื่องจิ้มสไตล์ตะวันออกกลางที่มีส่วนผสมหลักคือถั่วลูกไก่ (Chickpea) ซึ่งมีคุณค่ามากทางโภชนาการ สูตรนี้ดัดแปลงเพิ่มมิติให้กับสีสันและรสชาติด้วยการใส่บีตรูตเข้าไปด้วย จะรับประทานกับพิตาเบรด ขนมปัง หรือผักต่างๆ ก็แล้วแต่ชอบเลยครับ   ส่วนผสม บีตรูต 1 หัว ถั่วลูกไก่ 1 กระป๋อง น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ + สำหรับเสิร์ฟ เกลือสำหรับปรุงรส พริกไทยดำสำหรับปรุงรส น้ำมะนาวเลมอน 2 ช้อนชา กระเทียม 1 กลีบ งาขาวคั่วสำหรับเสิร์ฟ พาร์สลีย์สำหรับเสิร์ฟ วิธีทำ ทาน้ำมันมะกอกบนบีตรูต โรยเกลือเล็กน้อย นำไปอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสนาน 50 นาที พักไว้ให้เย็นลง ลอกผิว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำบีตรูตใส่เครื่องบดสับกับถั่วลูกไก่และกระเทียม ปรุงด้วยเกลือ พริกไทยดำ น้ำมะนาวเลมอน ปั่นพอเข้ากัน ใส่น้ำมันมะกอกลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นต่อให้เนื้อเนียนดี ก่อนเสิร์ฟ พรมด้วยน้ำมันมะกอก โรยงาขาวคั่วและพาร์สลีย์ รับประทานในรูปแบบที่ต้องการ

  ตอนเป็นเบบี้ แม่ครัวบ้านเราเป็น ‘จาวเหนีย’ นางก็จะทำน้ำพริกอ่องซึ่งรสชาติไม่เหมือนที่กินในปัจจุบัน วันนี้ไม่ได้ใช้หมูสามชั้น หันมาใช้หมูสับ แต่ยังคงรสชาติดังเดิมที่เปรี้ยวหวานจากมะเขือเทศ เค็มจากกะปิและถั่วเน่าเอาไว้อย่างครบถ้วน   ส่วนผสม หมูสับ 500 กรัม ผงพริกลาบเหนือ 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีใช้พริกป่น 2 ช้อนชา) หอมแดงซอย 60 กรัม | กระเทียม 30 กรัม ถั่วเน่า 2 แผ่น (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นิ้ว) มะเขือเทศเปรี้ยวหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 200 กรัม มะเขือเทศท้อหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 600 กรัม น้ำมะเขือเทศดอยคำขนาด 200 มิลลิลิตรประมาณ 2 กล่องเล็ก กะปิ 20 กรัม เกลือพอสมควร น้ำตาลปี๊บพอสมควร น้ำมะขามเปียกเล็กน้อย น้ำมันหมูเล็กน้อย ต้นหอมและผักชี วิธีทำ  เอาถั่วเน่าปิ้งไฟให้สุกหอม ตำให้ละเอียด เอาน้ำมันหมูใส่กระทะ ผัดพริกลาบหรือพริกป่นให้หอม ใส่กะปิลงผัดให้หอม ตำหอมแดงกับกระเทียมให้แหลกคามือ เติมถั่วเน่าที่ตำไว้และกะปิผัด ตำให้เข้ากัน ตักใส่อ่าง ผสมกับเนื้อหมูสับ ขยำจนเข้ากันดี หมักทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันหมูลงไปไม่มาก ใส่ส่วนผสมในข้อ 4 และมะเขือทั้งหมดลงไป ผัดไฟกลางค่อนข้างอ่อน พอเริ่มมีกลิ่นหอมค่อยๆ เติมน้ำมะเขือเทศดอยคำลงไป ผัดให้เข้ากัน เคี่ยวไฟอ่อนๆ เติมน้ำมะเขือเทศลงไปเรื่อยๆ พอมะเขือเทศสลายตัว ชิมรส ปรุงตามอำเภอใจ ใส่ต้นหอมและผักชี คนให้เข้ากัน จิ้มผักสดประดามี แต่ที่ขาดไม่ได้คือถั่วพูกับขมิ้นขาว ทีเด็ดของน้ำพริกอ่องครกนี้คือรสจัด และมีความหวานอร่อยของมะเขือเทศเต็มพิกัด

  ปลากระป๋องนอกจากจะเก็บได้นานแล้ว ลองทำน้ำพริกปลากระป๋องที่คั่วแห้งๆ ใส่สมุนไพรอย่างหอมกระเทียม ใบมะกรูด ที่ทอดมาหอมๆ กรอบๆ ผสมคลุกกับเนื้อปลาที่คั่วจนแห้ง กินกับข้าวสวยร้อนๆ ยิ่งอร่อย   ส่วนผสม ปลาซาดีนในซอสมะเขือเทศ 2 กระป๋อง พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด กระเทียมซอย  1/3 ถ้วย หอมแดงซอย 1/3 ถ้วย ใบมะกรูดฉีกหั่นหยาบ  5 ใบ        น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย ผักสดตามชอบ วิธีทำ แยกเนื้อปลาซาดีนกับซอสมะเขือเทศ นำเนื้อปลามาคั่วกับน้ำมัน 1/2 ช้อนโต๊ะจนแห้ง พักไว้ เจียวกระเทียมซอยและหอมแดงซอยทีละอย่างให้เหลืองหอม ตักขึ้น ใส่ใบมะกรูดและพริกขี้หนูแห้งลงทอดต่อจนกรอบ ตักขึ้น  ตำพริกแห้งทอดจนละเอียด แบ่งหอมแดง กระเทียมเจียว และใบมะกรูดทอดอย่างละครึ่งตำรวมกันพอแหลก ตักเครื่องที่ตำมาคั่วกับปลากระป๋องที่คั่วไว้ ใส่กระเทียมเจียว หอมแดง และใบมะกรูดที่เหลือ คั่วเข้าด้วยกันจนแห้ง ใส่น้ำตาล คลุกให้ทั่ว ยกลง ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมผักสดตามชอบและข้าวร้อนๆ

  ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) แอปเปิลแดง 1 ผล สตรอว์เบอร์รี 8-10 ผล แยมราสป์เบอร์รีหรือสตรอว์เบอร์รี 2 ช้อนโต๊ะ ผิวเลมอนขูด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเลมอน  1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อย ส่วนผสมตอร์ติญาชิปอบเชย แป้งตอร์ติญา 4-6 แผ่น น้ำตาลทราย  2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ผงอบเชย 1/2 ช้อนชา สเปรย์น้ำมันเล็กน้อย วิธีทำ ทำตอร์ติญาชิปอบเชยโดยผสมน้ำตาลทราย เกลือป่น และผงอบเชยให้เข้ากัน พ่นสเปรย์น้ำมันให้ทั่วแผ่นตอร์ติญา (หรือใช้แปรงทาน้ำมันพืชบางๆ ให้ทั่วแผ่นตอร์ติญาก็ได้) โรยน้ำตาลที่ผสมไว้แล้วให้ทั่ว ตัดแป้งเป็นชิ้นสามเหลี่ยมเล็ก เรียงบนถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสประมาณ 7-10 นาทีจนเหลืองกรอบ ยกออกจากเตา พักไว้ หั่นแอปเปิลและสตรอว์เบอร์รีเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก เคล้ากับส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดให้เข้ากัน เสิร์ฟพร้อมตอร์ติญาชิปอบเชย

  กุ้งแห้งกุ้งเสียบเป็นวัตถุดิบอีกชนิดที่สามารถทำเมนูได้หลากหลาย ใส่ในน้ำพริกกะปิ ทำน้ำปลาหวานกินกับมะม่วง ทำยำ หรือทำเมนูน้ำพริกแห้งๆ ที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้   ส่วนผสม(สำหรับ 2 ที่) กุ้งเสียบ 100 กรัม พริกขี้หนูเขียวแดง 8 เม็ด กระเทียมกลีบใหญ่  3 กลีบ ใบมะกรูดซอย 2 ช้อนชา น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ  2 ช้อนชา น้ำเปล่า  1/4 ถ้วย น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ตำพริกขี้หนูกับกระเทียมเข้าด้วยกันให้ละเอียด ผัดกับน้ำมันให้เหลืองหอม ใส่น้ำพริกเผาและน้ำ ผัดให้น้ำพริกเผาละลาย ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ผัดให้เกือบแห้ง ใส่กุ้งเสียบผัดให้เข้ากันทั่วและน้ำพริกเคลือบกุ้งเสียบ ใส่ใบมะกรูดซอย คลุกให้เข้ากัน   ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมข้าวร้อนๆ

  เมนูนี้คิดถึงตอนเด็กๆ ควักน้ำตาลปี๊บกับกะปิที่บ้านทำเองใส่ถ้วยแล้ววิ่งไปที่สวน เก็บมะม่วงขบเผาะซึ่งเรากินแบบสมชื่อจริงๆคือเอาฟันขบทั้งเปลือกให้มันแตกเผาะออกมา ดึงเม็ดอ่อนออกแล้วจิ้มกะปิหวานที่เตรียมไป เปรี้ยวหวานเค็มอร่อยประสาเด็ก แต่วันนี้ทำให้อร่อยตามประสาผู้ใหญ่นะคะ   ส่วนผสม น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม กะปิอย่างดี 60 กรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้งป่นประมาณ 3/4 ถ้วย หอมซอย 1 ถ้วย พริกป่น 2ช้อนชา พริกขี้หนูสวนตามชอบ วิธีทำ ผสมน้ำตาล กะปิ และน้ำปลาในอ่างกระเบื้อง ใส่เตาไมโครเวฟประเดี๋ยวเดียวแค่พอน้ำตาลอ่อนตัว  ยกออกมาคนให้เข้ากัน ใส่กุ้งแห้ง หอมซอย พริกป่น และพริกขี้หนู คนให้เข้ากัน ปอกมะม่วงจิ้มกินได้เลย อร่อยแซ่บมาก

  “มะขามป้อม” ผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย ช่วยให้คอชุ่มชื่น มะขามป้อมมีรสเปรี้ยวและฝาด บางคนกินเป็นผลไม้ บางคนนำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น น้ำพริกถ้วยนี้      ส่วนผสม เนื้อมะขามป้อม 1 ถ้วย หอมแดงหัวใหญ่ซอย 3 หัว กระเทียม 4-5 กลีบ กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสวนเขียวแดง 15-20 เม็ด น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ปลาสลิดกรอบ 4-5 ชิ้น ผักสด : ถั่วพู แตงกวา  แครอต ผักกาดขาว มะเขือต่างๆ  วิธีทำ ตำเนื้อมะขามป้อมให้ละเอียด ตักขึ้น พักไว้ ใส่หอมแดง กระเทียม และพริกขี้หนูสวน ตำต่อให้ละเอียด ใส่กะปิและปลาสลิดกรอบ ตำให้เข้ากันจนละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ตำต่อพอเข้ากัน ใส่เนื้อมะขามป้อมที่ตำไว้ ตำให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมผักสด