อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่นิยมไปทั่วทุกมุมโลก นอกจากจะอร่อย โดดเด่น ยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารสุขภาพชั้นเยี่ยม คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีอายุยืน และอายุยืนมากจนกินเนสส์บุ๊กได้บันทึกไว้ ความเป็นอาหารสุขภาพของคนญี่ปุ่นอยู่ในวิถีชีวิตที่กินกันทุกวัน คนญี่ปุ่นกินปลาดิบที่จัดว่ามีโอเมกา-3 สูง กินสาหร่ายที่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก กินเต้าหู้ที่เป็นโปรตีนจากพืชชั้นเยี่ยม กินอาหารตามธรรมชาติและฤดูกาล เครื่องปรุงสำคัญล้วนมีประโยชน์ เช่น มิโซะ และนัตโตะ   มิโซะ ถั่วเหลืองหมักและบดที่ใส่ในซุปมิโซะเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่นัตโตะก็เป็นถั่วเหลืองหมักที่ยังเป็นเมล็ดอยู่ ถ้าจัดประเภทก็น่าจะเป็นพี่หรือน้องของมิโซะ และอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับเทมเป้ ถั่วหมักสุขภาพของชาวอินโดนีเซีย เต้าเจี้ยวของจีน ถั่วเน่าของชาวล้านนา   นัตโตะ กำลังฮิตในวัยรุ่นที่รักสุขภาพ แม้ว่าในอดีตจะมีคนไม่กล้าลองชิมเพราะมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวสูง นัตโตะเป็นถั่วเหลืองหมักดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น วิธีการทำเริ่มแรกต้องนำถั่วไปนึ่งให้สุกก่อน แล้วหมักด้วยเชื้อแบคทีเรีย Bacillus Subtilis จากนั้นนำไปบ่มโดยการห่อด้วยฟางข้าวจนเมล็ดถั่วเหลืองเป็นเมือกมียางเหนียวๆ ซึ่งเกิดจากการย่อยโปรตีนระหว่างการหมัก และมีกลิ่นฉุนมากจนเหมือนของที่เสียแล้ว คนทั่วไปเรียกกันว่า “ถั่วเน่า”   แต่เมือกเหนียวๆ ที่อยู่บนเมล็ดถั่วเหลืองกลิ่นฉุนๆ นี่เองที่มีประโยชน์สุดยอด เพราะเป็นแหล่งของโปรตีนชั้นดีเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ มีวิตามินบี 12 วิตามิน K2 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพของกระดูก ช่วยเรื่องกระดูกพรุนและข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุได้อย่างดี มีโปรไบโอติกส์ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ช่วยปรับสภาพสมดุลในลำไส้ และช่วยลดทั้งดวามดันโลหิตและคอเลสเตอรอล นัตโตะ 100 กรัม ให้พลังงาน 212 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่น โปรตีน 18 กรัม คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม ไขมัน 11 กรัม แคลเซียม 217 มิลลิกรัม เหล็ก 8.6 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 729 มิลลิกรัม   ด้วยกลิ่นฉุนอันร้อนแรงนี้คนญี่ปุ่นกินกันอย่างไร? กลิ่นดูจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับชาวญี่ปุ่นเลยเพราะมีวิธีการกินนัตโตะที่ง่ายมาก เพียงแค่ใส่โชยุ มัสตาร์ดเล็กน้อย คนจนเป็นยางเหนียวยืด วางบนข้าวร้อนๆ และคลุกให้เข้ากันก็เป็นอาหารเช้าอันโอชะ หรือใส่ไข่ดิบคนให้เข้ากัน ใส่โชยุ ต้นหอมญี่ปุ่นซอยกินกับข้าว ซึ่งชาวญี่ปุ่นหลายคนบอกว่าตอนเด็กๆ แม่จะทำให้กินก่อนไปโรงเรียน   แต่สำหรับคนต่างวัฒนธรรมเช่นบ้านเราจะมีวิธีกินอย่างไรดี? เด็กวัยรุ่นที่ชอบทดลองอาหารใหม่ๆ หลากหลาย การกินแบบคนญี่ปุ่นดูไปด้วยกันได้ แต่สำหรับคนไม่คุ้นชินกับกลิ่นอาจจะมีวิธีกินหลากหลาย เช่น ผสมในมันฝรั่งบดทำเป็นโครเกตต์ ผสมกับเนื้อทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ แต่เมนูที่ฮอตฮิตและดูจะถูกใจคนไทย ชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นยุคใหม่เองคือกินกับกิมจิ ผักดองของเกาหลีที่จัดเป็นอาหารสุขภาพเช่นกัน   วิธีการนั้นง่ายมากเพียงแค่ทำตามการกินของคนญี่ปุ่น แล้วท็อปกิมจิ เหยาะน้ำมันงาเล็กน้อย คลุกให้เข้ากันกินกับข้าวร้อนๆ รสของกิมจิที่เค็ม เปรี้ยว เผ็ด เข้ากันได้ดีหรือช่วยกลบกลิ่นและรสของนัตโตะ ทำให้ชวนกิน กินอร่อยขึ้นมาทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าเป็นการดับเบิลโปรไบโอติกส์ไปในมื้อเดียวกัน   เมนูนี้จึงจัดได้ว่าเป็นเมนูสุขภาพของคนรักสุขภาพอย่างไม่มีพรมแดนก็ว่าได้ เพราะกินกันได้ทั่วโลก วิธีทำนั้นก็ง่ายมากไม่ต้องปรุงผ่านความร้อนใดๆ เลย คนที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลาทำกับข้าวดูจะใช้อ้างไม่ได้กับเมนูนี้   นัตโตะและกิมจิล้วนเป็นอาหารดั้งเดิมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ชวนให้คิดว่าอาหารสุขภาพที่เราค้นหาอยู่ใกล้ตัวนี้เอง เป็นของธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องปรุงแต่งมาก   เชื่อไม่เชื่อก็ดูได้ว่าคนญี่ปุ่นมีอายุยืนกันมานานแล้ว นัตโตะ & กิมจิ ส่วนผสม ข้าวหุงสุก (ร้อน) 1 ถ้วย นัตโตะ 1 กล่องเล็ก กิมจิ 3/4 ถ้วย น้ำมันงาเล็กน้อย งาบดสำหรับโรยหน้าเล็กน้อย วิธีทำ แกะนัตโตะออกจากกล่อง ใส่โชยุและมัสตาร์ดที่อยู่ในกล่อง คนไปทางเดียวกันจนเป็นเมือกยืดสีขาว วางบนข้าวร้อนๆ วางกิมจิ เหยาะน้ำมันงา โรยงา คลุกทั้งหมดให้เข้ากัน รับประทานทันที

จานหลักต้องไม่พลาด “ข้าวยำปักษ์ใต้” เมนูข้าวกับเครื่องสมุนไพรซอยและกลีบดอกดาหลา ดอกไม้พื้นถิ่นที่มีรสเปรี้ยวอ่อนๆ ใช้ข้าวสังข์หยดผสมกับเนื้อเกาลัด ราดซอสน้ำบูดูรสชาติเค็มหวานกลมกล่อม ท็อปด้วยไข่หอยเม่นเพื่อเพิ่มความครีมมี่ จัดจานสไตล์แบบมินิมอล   ส่วนผสมข้าว (สำหรับ 2-4 ที่) ข้าวสักข์หยด 2 ถ้วย เนื้อเกาลัดหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย น้ำสต๊อกทะเล 2 1/2 วย วิธีหุงข้าว ใส่ข้าวและน้ำสต๊อก หุงจนข้าวสุกเมล็ดร่วน ใส่เนื้อเกาลัดผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้ ส่วนผสมน้ำบูดู น้ำบูดู 1 ถ้วย น้ำตาลมะพร้าว 1/2 ถ้วย หอมแดง 2 หัว ตะไคร้บุบ 2 ต้น ข่าบุบ 2-3 แว่น ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ วิธีทำน้ำบูดู ใส่ส่วนผสมทั้งหมดต้มรวมกันให้เดือดประมาณ 10-20 นาที (หมั่นช้อนฟองออก) จนข้นขึ้น กรองออกแล้วพักให้เย็น เตรียมไว้ เครื่องสมุนไพรข้าวยำ ใบมะกรูด ดอกดาหลา ตะไคร้ ใบชะพลู หอมแดง มะม่วงเปรี้ยว เนื้อส้มโอ ถั่วฝักยาว และรากบัว ซอยละเอียดอย่างละเล็กน้อย มะพร้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ เนื้อกุ้งแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวพอง 1 ช้อนโต๊ะ ไข่หอยเม่น 2 ตัว วิธีจัดจาน ตักข้าวใส่ในพิมพ์วงกลม วางลงกลางจาน วางไข่หอยเม่นบนหน้า วางเรียงเครื่องเคียงสมุนไพรอย่างละเล็กน้อยไว้รอบจาน ราดด้วยน้ำบูดู

ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) ข้าวเหนียวแช่น้ำ 1 คืน 1 ถ้วย ข้าวหอมมะลิ 1/2 ถ้วย วิธีหุงข้าว ล้างข้าวเหนียวให้สะอาดจนน้ำใส นำไปผสมกับข้าวหอมมะลิ ห่อใส่ผ้าขาวบางที่ชุบน้ำแล้ว นำไปนึ่งน้ำเดือดประมาณ 15-20 นาที จนข้าวสุก ปิดไฟแล้วพักไว้ ส่วนผสมหมูตุ๋น เนื้อหมูสันคอหั่นชิ้นเล็ก 500 กรัม กระเทียมจีน 3 กลีบ รากผักชี 2 ราก พริกไทย 1 1/2 ช้อนชา (ตำรวมกัน) น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ ผงพะโล้ 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ถ้วย น้ำมันเล็กน้อย วิธีทำ ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่น้ำตาล เครื่องที่ตำไว้ ผัดจนหอมและน้ำตาลเป็นคาราเมล ใส่เนื้อหมู ผัดต่อสักครู่ ใส่ซอสปรุงรสต่างๆ เติมน้ำให้พอท่วม เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที หรือจนเนื้อนุ่ม เครื่องเคียง (สำหรับ 1 ชิ้น) ผักกาดคอส 2-3 ใบ ปาท่องโก๋ 2 ชิ้น กุนเชียงหั่นเส้น 1 ชิ้น เต้าหู้อบกรอบ 1 ช้อนโต๊ะ หัวไชเท้าดองหั่นเส้น 1 ช้อนโต๊ะ แตงกวาดอง 1 ช้อนโต๊ะ หมูตุ๋น 2 ช้อนโต๊ะ มายองเนสเล็กน้อย งาดำสำหรับโรยหน้า วิธีทำ ตักข้าวประมาณ 1 ถ้วย วางบนเสื่อม้วนข้าวที่ห่อด้วยพลาสติกสำหรับห่ออาหาร เกลี่ยข้าวให้ทั่ว หนาประมาณ 1 เซนติเมตร ราดมายองเนสเล็กน้อย วางเรียงเครื่องต่างๆ ไว้ตรงกลาง ม้วนข้าวให้แน่น แล้วห่อด้วยพลาสติกสำหรับห่ออาหาร ม้วนปลายทั้งสองด้านให้แน่น เตรียมไว้ แกะพลาสติก โรยงาดำให้สวยงาม เสิร์ฟทันที

เมนูกะเพราที่เราคุ้นเคย เสิร์ฟแปลกใหม่ในชามหินร้อนแบบข้าวยำเกาหลีบิบิมบับ ผัดข้าวกับซอสหอมกลิ่นกะเพรา กินคู่กับเนื้อวัวออสเตรเลียย่างสุกปานกลาง พร้อมไข่แดงดองน้ำปลาโฮมเมด และกะเพรากรอบ   ส่วนผสมซอสผัด (สำหรับ 2 ที่) ซอยหอยนางรม 4 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำซอสผัด ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เตรียมไว้ ส่วนผสมไข่ดอง (สำหรับไข่ 6 ฟอง) น้ำปลา 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 2 ถ้วย น้ำตาลมะพร้าว 3 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 6 ฟอง กระเทียมหั่นแว่น 3 กลีบ พริกขี้หนูสวนซอย 3 เม็ด วิธีทำไข่ดอง ตั้งหม้อใส่น้ำปลา น้ำเปล่า และน้ำตาลมะพร้าว คนให้เข้ากัน ต้มไฟปานกลางประมาณ 10 นาที พอเดือดปิดไฟ พักให้เย็น ใส่ไข่แดง กระเทียม และพริกขี้หนูลงแช่น้ำดองในภาชนะที่มีฝาปิด แช่ตู้เย็นนาน 1 คืน ส่วนผสมข้าวผัดกะเพรา ข้าว 2 ถ้วย เนื้อวัวออสเตรเลีย 1 ชิ้น พริกขี้หนูสวน 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ พริกแห้ง 1 ช้อนชา ใบกะเพรา 1/4 ถ้วย ซอสสำหรับผัด 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืชสำหรับผัดเล็กน้อย เกลือทะเลและพริกไทยดำเล็กน้อย ใบกะเพราทอดกรอบสำหรับตกแต่ง วิธีทำ สับกระเทียม พริกขี้หนูสวน พริกแห้ง และใบกะเพราเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เครื่องที่สับไว้ลงผัดให้พอมีกลิ่นหอม ใส่ข้าว ผัดให้เข้ากัน ใส่ซอสที่เตรียมไว้ ผัดให้ทั่ว ชิมรส ปิดไฟ ตักใส่ชามหินบิบิมบับ โรยเกลือและพริกไทยบนเนื้อ พักไว้สักครู่ ย่างบนกระทะด้วยไฟแรงให้สุกตามชอบ ตักเนื้อขึ้นพักไว้ หั่นเสิร์ฟขนาดพอดีคำ วางเนื้อบนข้าว โรยใบกะเพราทอดกรอบ วางไข่ดองน้ำปลา เสิร์ฟทันที

เนื้อทูน่าสดเกรดซาชิมิหั่นชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับน้ำยำและสมุนไพรไทย ปรุงด้วยน้ำปลาสูตรลดโซเดียม (Low Sodium) เสิร์ฟพร้อมข้าวไรซ์เบอร์รีผสมควินัว เมนูยำเพื่อสุขภาพ รสชาติถึงเครื่องและอร่อย   ส่วนผสม ข้าวไรซ์เบอร์รีผสมควินัว (หุงสุก) 80 กรัม เนื้อปลาทูน่าสดหั่นเต๋า 100 กรัม   ผักสลัด แตงกวาญี่ปุ่นหั่นเต๋า 40 กรัม พริกหวานเหลืองหั่นเต๋า 20 กรัม มะเขือเทศเชอร์รีผ่าครึ่ง 30 กรัม แอปเปิลแดงหั่นเต๋า 30 กรัม   ส่วนผสมน้ำยำสมุนไพร น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลาสูตรลดโซเดียม 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายสูตรแคลอรีต่ำ 1 ช้อนชา พริกขี้หนูแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา ตะไคร้ซอย 1 ช้อนชา ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนชา หอมแขกซอย 2 ช้อนโต๊ะ ต้นหอมซอย 1 ช้อนชา ผักชีเล็กน้อยสำหรับตกแต่ง วิธีทำ ทำน้ำยำโดยผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย และพริกขี้หนูลงในชามผสม คนให้เข้ากัน คลุกเนื้อปลาทูน่าหั่นเต๋ากับน้ำยำให้ทั่ว ใส่ผักชีฝรั่ง ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแขก และต้นหอม คลุกให้เข้ากัน ทำสลัดโดยคลุกผักทั้งหมดเข้าด้วยกัน จัดจานเสิร์ฟโดยวางยำปลาทูน่าสมุนไพร เสิร์ฟพร้อมข้าวไรซ์เบอร์รีผสมควินัว และผักสลัด ตกแต่งด้วยผักชีให้สวยงาม

วันก่อนมีงานเลี้ยงเน้นที่อาหารทำจากเนื้อปู จึงเกิดเมนูนี้ขึ้นมา อร่อยแปลกไปจากข้าวผัดปูธรรมดา ครั้งนี้ไม่ได้ให้สัดส่วนไว้นะคะ ผัดตามรสที่แต่ละบ้านชอบ เครื่องปรุง ข้าว กรรเชียงปู ไข่ ซีอิ๊วฉูปัง เกลือ น้ำตาลทราย ผงปรุงรส รสหมู พริกไทย กระเทียม ต้นหอม ผักชี พริกชี้ฟ้าแดง น้ำมันหมู เครื่องปรุงปูกรอบ กรรเชียงปู ไข่ (ตีจนไข่เป็นเนื้อเดียวกัน) แป้งทอดกรอบ เกล็ดขนมปังแบบเกล็ดเล็กๆ น้ำมันปาล์มสำหรับทอด วิธีทำ คลุกข้าวกับไข่ดิบให้เข้ากัน ไข่ดิบจะทำให้ข้าวกระจายไม่เกาะกัน ใส่น้ำมันหมูลงในกระทะ เจียวกระเทียมให้หอม ใส่ซีอิ๊วฉูปังนิดหน่อยลงไป คนให้หอม ใส่ข้าวลงผัดให้ไข่ที่หุ้มข้าวสุก ใส่กรรเชียงปู ปรุงรสด้วยผงปรุงรส เกลือ น้ำตาลทราย และพริกไทย ชิมให้ได้รสที่ชอบ ใส่ต้นหอมซอย ผัดให้สุกเขียว ตักข้าวผัดปูใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ทำปูกรอบโดยคลุกกรรเชียงปูกับแป้งทอดกรอบแบบแห้ง เสร็จแล้วนำไปชุบลงในไข่ดิบ จากนั้นคลุกกับเกล็ดขนมปัง ทอดปูในกระทะที่ใส่น้ำมันจนท่วม น้ำมันต้องร้อนถึงอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ทอดจนเกล็ดขนมปังเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดแต่งบนจานข้าวผัดปูของเรา โรยผักชี และพริกชี้ฟ้าแดงให้สีสวย

ด้วยกระแสตอบรับอย่างล้นหลามกับร้านอาหารไทยชื่อดัง “สำรับสำหรับไทย” ที่นำเสนอเมนูไทยโบราณ ซึ่งต้องจองคิวนานกว่าเดือน ทำให้เชฟปริญญ์ ผลสุข เดินหน้าสร้างโปรเจ็กต์ที่ 2 กับร้านอาหารไทยแนวใหม่อย่าง วิลาศ (VILAS)  อาหารไทยโบราณที่ผสมผสานวัตถุดิบของต่างชาติ นำเสนอในรูปแบบใหม่ที่เชฟให้คำนิยามว่า “อาหารไทยประดิษฐ์” ก้าวแรกเมื่อเดินเข้าไปในร้านให้ความรู้สึกเรียบง่าย ทางเดินสีครีมดูสะอาดตา ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สไตล์วาบิซาบิ เชฟปริญญ์เข้ามาทักทายด้วยท่าทางสบายๆ กับเสื้อยืดสีฟ้าดูสดใส ก่อนที่จะคุยกันถึงร้านวิลาศเราไม่พลาดถามถึงเส้นทางการทำอาหารของเชฟกว่าจะเดินทางมาจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร เชฟเล่าด้วยท่าทางสบายๆ ว่าตอนเด็กๆ ชอบทำกับข้าวกับคุณยาย พอโตขึ้นไปเรียนด้านวิศวกรแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยพื้นฐานการทำเบเกอรี่ซึ่งที่บ้านทำขายจึงได้ไปเรียนคอร์สระยะสั้น 3 เดือนที่โรงแรมโอเรียนเต็ล หลังจากนั้นมีโอกาสไปทำงานร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาวที่ร้านน้ำ (Nahm) ในกรุงลอนดอน กับเชฟเดวิด ทอมสัน (David Thompson)   หลังจากนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำอาหารในประเทศต่างๆ บวกกับความสนใจของตนเองที่มีต่ออาหารไทยโบราณ และศึกษาจากตำราโบราณหลายเล่มอย่างแม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ตำราหม่อมส้มจีน เป็นต้น จนนำมาทำเป็นเมนูในร้านสำรับสำหรับไทย   ด้วยความที่ชอบศึกษาเรียนรู้เรื่องอาหารทั้งไทยและเทศ เมื่อศึกษาอย่างจริงจังถึงที่มาของอาหารและวัตถุดิบเชฟก็บอกว่า “ที่มาของส่วนผสมและวัตถุดิบที่เราเห็นไม่ได้เป็นของชาติใดชาติหนึ่ง เรารับและแลกเปลี่ยนกันมาตั้งแต่อดีต” ส่วนในปัจจุบันคนไทยก็นิยมอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเสะจึงนำความคิดนี้มาสอดแทรกอยู่ในเมนูของร้านวิลาศ เป็นอาหารไทยที่ใช้วัตถุดิบญี่ปุ่นซึ่งอยากจะล้อเลียน เมื่อให้เชฟให้คำจำกัดความอาหารของร้านวิลาศ เชฟปริญญ์ให้คำตอบว่า “ผมไม่อยากจำกัดความว่าร้านของผมเป็นร้านอะไร และเป็นอาหารแนวไหน เพียงแค่อยากให้มาลองชิมอาหารของผมเท่านั้น อาจพูดว่าเป็นอาหารไร้สัญชาติก็ว่าได้ เพราะใช้วัตถุดิบจากทั่วทุกพรมแดน” แต่ละเมนูของร้านวิลาศจึงอาจจะเซอร์ไพรส์คนกิน เช่น เมี่ยงไข่หอยเม่น เสิร์ฟบนกลีบบัวหลวงสีม่วงคล้ายเมี่ยงคำ แต่มีใบโอบะใช้ห่อมะพร้าวคั่วและเครื่องสมุนไพรต่างๆ บนหน้าวางไข่หอยเม่น วัตถุดิบญี่ปุ่นราคาแพงที่คนไทยนิยมชมชอบ และถ้ามองให้ดีกลีบบัวนี้วางอยู่บนแผ่นที่มีร่องคล้ายสังกะสีซึ่งดูขัดแย้งกันและอาจจะอยากล้อเลียน เช่นเดียวกับขนมเบื้องวิลาศ แป้งขนมเบื้องวางเสิร์ฟบนภาชนะที่เป็นทรงขนมปังบาแกตต์ กินกับตับปลาต้มเค็มที่ซูวีดจนเนื้อนุ่ม ความคิดหยอกล้อขัดแย้งเช่นนี้มีสอดแทรกอยู่ในทุกเมนู ดูเหมือนกับเมนูที่เชฟนำเสนอในฉบับนี้ แกงกะหรี่ไท (ไท แปลว่า อิสระ) ซึ่งอยากจะล้อเลียนแกงกะหรี่ญี่ปุ่น แกงกะหรี่ที่ไม่ใส่ผงกะหรี่ แต่ใส่สมุนไพรและขมิ้นให้มีกลิ่นหอมเด่น เนื้อแกงข้นจากลูกเกาลัดที่บดใส่ลงไปในแกง ซึ่งได้แนวคิดมาจากตำราโบราณ แกงกะหรี่ไทนี้กินกับข้าวญี่ปุ่นหุงกับกะทิ และยำผักดองอย่างดอกเกสรชมพู่มะเหมี่ยวและมะเฟืองที่ตัดรสเข้ากันลงตัว   เรียกได้ว่าเป็นเมนูสร้างสรรค์จากอดีตที่ล้อเลียนปัจจุบันบนความสนุกสไตล์เชฟปริญญ์ แกงกะหรี่ไท ส่วนผสมเนื้อตุ๋น (สำหรับ 1-2 ที่) เนื้อแก้มวัว 1 กิโลกรัม  หัวกะทิ 1/2 ลิตร น้ำ 1 ลิตร ข่าบุบ 1/3 ถ้วย    ตะไคร้ 1/3 ถ้วย หอมแดง 1/3 ถ้วย วิธีทำ จี่เนื้อแก้มวัวบนกระทะร้อนจัดด้านละ 1 นาที นำเนื้อที่จี่แล้วใส่หม้อ ใส่น้ำ หัวกะทิ ข่าบุบ ตะไคร้ และหอมแดง ตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่ม (เก็บน้ำที่ตุ๋นเนื้อไว้) ส่วนผสมพริกแกง (สำหรับ 2-4 ที่) พริกชี้ฟ้าแห้ง 2-3 เม็ด กระเทียมไทยปอกเปลือก 2 ช้อนโต๊ะ หอมแดงปอกเปลือก 1/3 ถ้วย รากผักชี 2 ช้อนชา ขมิ้นสด 4 ช้อนชา พริกไทยขาว 1/4 ช้อนชา ลูกผักชีคั่ว 2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา เกาลัดคั่วสุก 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมแกงกะหรี่ไท พริกแกงกะหรี่ 1/3 ถ้วย หัวกะทิ 1 ถ้วย น้ำตุ๋นเนื้อ 1 ถ้วย เนื้อแก้มวัวตุ๋นหั่นประมาณ 1 1/2 ถ้วย  น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนชา น้ำปลา 2 ช้อนชา เกาลัดอบสุก 5 เม็ด น้ำมะพร้าว น้ำส้มเขียวหวาน น้ำส้มซ่า และเม็ดเกาลัดอบสุก ปริมาณตามชอบ หอมแดงเจียว และเกาลัดหั่นบางทอดกรอบสำหรับตกแต่ง วิธีทำ ตำส่วนผสมพริกแกง (ยกเว้นเกาลัด) เข้าด้วยกันจนละเอียด จากนั้นใส่เม็ดเกาลัดคั่วสุก ตำให้เข้ากัน ตั้งกระทะผัดพริกแกงกับหัวกะทิพอแตกมัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าวและน้ำปลา เติมน้ำตุ๋นเนื้อแก้มวัว ใส่เนื้อแก้มวัว เคี่ยวต่อจนน้ำเข้าเนื้อประมาณ 1-2 ชั่วโมงจนเนื้อเปื่อยนุ่ม ปิดไฟ ชิมรส ปรุงรสตามชอบ ใส่เกาลัดอบสุก ตามด้วยน้ำมะพร้าว น้ำส้มเขียวหวาน และน้ำส้มซ่า ตักใส่ชามเสิร์ฟ โรยด้วยเกาลัดทอด และหอมเจียว เสิร์ฟคู่กับข้าวญี่ปุ่นหุงกะทิ และยำผักดอง

“มิโซะ” เต้าเจี้ยวบด เครื่องปรุงรสที่ขาดไม่ได้ในครัวญี่ปุ่น ถั่วเหลืองหมักรสเค็มนี้นอกจากใช้ทำซุปมิโซะที่เราคุ้นเคยแล้ว ยังนำมาผสมกับเครื่องปรุงนานาชาติอย่างมัสตาร์ดรสฉุนผสมกับมิโซะทำเป็นซอสราดหอยเชลล์ย่างแบบดงบุริได้อร่อย หรือมิโซะผสมกับฮัมมัสถั่วบดเครื่องจิ้มสไตล์ตะวันออกกลางทำเป็นดิปรสเค็มมันกินกับผักย่าง หรือใช้มิโซะผสมกับโคชูจัง เครื่องปรุงรสเผ็ดเค็มของเกาหลี ปรุงเป็นน้ำซุปราเมงมีรสชาติหอมอร่อยแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) หอยเชลล์ญี่ปุ่น 500 กรัม น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ เนยจืด 1/2 ช้อนโต๊ะ MARUKOME IKKYU SAN MISO 2  ช้อนโต๊ะ มิริน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 1/2    ช้อนโต๊ะ โชยุ 1/2 ช้อนชา มัสตาร์ด 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่าเล็กน้อย ข้าวญี่ปุ่นสำหรับเสิร์ฟ งาขาวคั่ว และต้นหอมซอยสำหรับโรยหน้า วิธีทำ ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอก และย่างหอยเชลล์ให้สุกสีเหลืองสวย ตักขึ้นพักไว้ ในกระทะใบเดิมใส่เนย MARUKOME IKKYU SAN MISO มิริน น้ำส้มสายชู โชยุ มัสตาร์ด และน้ำเปล่า คนให้เข้ากันแล้วต้มพอเดือด ใส่หอยเชลล์ลงคลุกให้เข้ากันและซอสเคลือบหอยทั่ว ตักหอยเชลล์และซอสราดบนข้าว โรยด้วยงาขาว และต้นหอมซอย

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ข้าว 2 ถ้วย Ryotei No Aji FD Karyu (มิโซะชนิดเม็ดหยาบกึ่งสำเร็จรูป) 2 ช้อนตวง (ช้อนตวงที่มากับผลิตภัณฑ์) เนื้อปลาเก๋าหั่นชิ้น 4-6 ชิ้น กุ้ง 4 ตัว ปลาหมึกหั่นแว่น 4-6 ชิ้น ต้นหอมญี่ปุ่นซอย 1/4 ถ้วย สาหร่ายจีน 1/4 ถ้วย วิธีทำ ต้มข้าวในน้ำจนนุ่ม ใส่มิโซะชนิดเม็ด Ryotei No Aji FD Karyu ลงไป คนให้เข้ากัน ชิมและใส่เพิ่มได้ตามชอบ ลวกเนื้อปลา กุ้ง และปลาหมึกในน้ำเดือดให้พอสุก ใส่ซีฟู้ดลงในข้าว ต้มรวมกันสักครู่ ใส่ต้นหอมญี่ปุ่นซอย และสาหร่ายจีน

  ข้าวผัดไข่เค็ม เครื่องปรุง ข้าว 3 ถ้วย ไข่เค็มดิบ 2+4 ฟอง ไข่ไก่ 2 ฟอง ผงลาบเหนือ 2-3 ช้อนชา กุนเชียง 1 คู่ หั่นแว่นหรือเต๋าเล็ก ทอดให้สุก กระเทียมสับ 1 หัว หอมหัวใหญ่หั่นเส้น 1 หัว เซเลรีหั่นแว่น 1 ก้าน แครอตหั่นเต๋าจิ๋ว 1/2 ถ้วย ซีอิ๊วจีน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายตามชอบ ต้นหอม ผักชี น้ำมันหมู วิธีทำ ทอดกุนเชียงให้สุก พักไว้ ตอกไข่เค็มดิบ 2 ฟอง แยกไข่แดงออก คลุกไข่ขาวกับข้าว ส่วนไข่แดงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตอกไข่ไก่ 2 ฟอง คลุกกับข้าวในข้อ 2 ใส่น้ำมันหมูพอสมควรลงในกระทะ รอให้น้ำมันร้อน ใส่ข้าวลงไปผัด ระวังอย่าให้ข้าวจับตัว ไข่ดิบช่วยให้ข้าวกระจายตัวอยู่แล้ว เมื่อข้าวสุกส่งกลิ่นหอม ใส่กุนเชียงที่ทอดแล้วและน้ำตาลทรายลงไปผัดนิดหน่อยเพื่อให้รสกลมกล่อม ตักข้าวขึ้นมาพักไว้ ใส่น้ำมันหมูแล้วใส่กระเทียมตอนน้ำมันเย็น เจียวกระเทียมแค่พอสุก ใส่ผงลาบเหนือของตราแซบทะล้าลงไปผัดจนหอม ถ้าชอบเผ็ดก็ใส่มากหน่อย ใส่หอมหัวใหญ่ แครอต เซเลรี และไข่แดงเค็มลงไปผัดพอสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วจีนชื่อฉูปัง และน้ำตาลทรายเล็กน้อย ใส่ข้าวที่ผัดไว้ลงไปคลุกให้เข้ากัน เหยาะพริกไทย ตักใส่ภาชนะ โรยต้นหอม ผักชี เตรียมรับประทาน ทอดไข่เค็มเท่าจำนวนคนที่จะรับประทาน เวลาจะทอดไข่เค็มให้ตั้งน้ำมันค่อนข้างร้อนแต่ไฟกลาง เทไข่ใส่ 1 ฟอง ปิดฝากระทะทันที พอสิ้นเสียงระเบิดก็เปิดฝา ตักไข่ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ถ้าจะให้เมนูนี้ยิ่งอร่อยควรรับประทานกับไข่เค็มราดซอสมะขาม

  เมื่อประมาณ 70-80 ปีที่แล้ว ของว่างหรืออาหารทานเล่นของไทยที่ทำด้วยข้าวเจ้ามีหลายชนิด เช่น ข้าวปิ้ง ข้าวทอด ข้าวหลามเค็ม เป็นต้น แต่ปัจจุบันอาหารว่างเหล่านี้หาทานแทบไม่ได้แล้วนอกจากทำทานตามบ้าน   นอกจากข้าวปิ้งแล้วยังมีข้าวทอด ซึ่งมักจะห่อด้วยแป้งเปาะเปี๊ยะและพับเป็นรูปซองจดหมาย ฉบับนี้เราจะทำข้าวปิ้งกัน ข้าวปิ้งเมนูนี้ส่วนผสมหลักมีข้าว น้ำพริกกะปิ และหมูหวาน พอคลุกรวมกันแล้วจะห่อด้วยใบตองนำไปปิ้งจะได้ข้าวร้อนๆ หอมกรุ่น   เวลาทานจะเสิร์ฟพร้อมน้ำพริกกะปิ ซึ่งแต่ละบ้านมักจะมีสูตรประจำบ้านอยู่แล้ว ควรตำให้มากสักหน่อยเพราะเมื่อนำไปคลุกข้าวแล้วยังต้องตักใส่ถ้วยเสิร์ฟสำหรับให้เติม พร้อมกับหอมแดงซอย หมูหวาน มะนาว และพริกขี้หนู เพื่อช่วยเพิ่มรสตามชอบ และควรต้องมีแกงจืดด้วย จะเป็นแกงจืดฟัก แกงจืดตำลึงก็ได้เพื่อช่วยให้คล่องคอขึ้น   ใครที่ชอบกินข้าวกับน้ำพริก ข้าวปิ้งนี้จะอร่อยและหอมกลิ่นใบตองชวนทานขึ้นอีก   หมูหวาน ส่วนผสม หมูสามชั้น 500 กรัม หอมแดงซอย 150 กรัม น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1 ช้อนชา วิธีทำ ต้มหมูสามชั้นในน้ำพอท่วมจนหมูสุก หั่นเป็นชิ้นกว้าง 1 เซนติเมตร หนา 1/4 เซนติเมตร ใส่หมูที่หั่นแล้วกลับไปในน้ำที่ต้ม เติมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลทราย เคี่ยวไฟอ่อนๆ จนน้ำเริ่มงวด ใส่น้ำมะขามเปียก หอมแดงซอย และพริกไทย ชิมรสให้จัด หวานนำตามด้วยเค็ม ตั้งไฟต่อ พอน้ำงวด ปิดไฟ ข้าวปิ้ง ส่วนผสม ข้าวหุงสุก (หุงให้แห้ง) 5 ถ้วย น้ำพริกกะปิ ประมาณ3/4 ถ้วย หมูหวาน ประมาณ 1 ถ้วย (หรือมากกว่าถ้าชอบ) ไข่ (ตีให้เข้ากัน)4 ฟอง ใบตองเช็ดให้สะอาด ไม้กลัด วิธีทำ คลุกข้าว (ควรเป็นข้าวร้อนๆ) กับน้ำพริกกะปิ หมูหวาน ไข่ และกระเทียมเจียว คลุกให้เข้ากัน ตักข้าวใส่ใบตอง พับให้สนิท กลัดไม้กลัด ปิ้งไฟอ่อนๆ จนใบตองเหลืองเกรียม ตักน้ำพริกกะปิ หมูหวาน กระเทียมเจียว  กุ้งแห้งตำ และหอมแดงซอยใส่ถ้วยไว้สำหรับเสิร์ฟ แกะใบตองออก วางข้าวใส่จาน ทานกับหอมแดงซอย ถ้าชอบรสจัดเพิ่มน้ำพริกกะปิ หมูหวาน กระเทียมเจียว มะนาว หรือพริกตามชอบ

  ข้าวขยำสูตรนี้นำข้าวไปขยำกับไข่ไก่ให้เป็นสีเหลืองสวยและผัดจนมีกลิ่นหอม อร่อยแบบเต็มอิ่มด้วยเนื้อปู ใส่เครื่องอย่างหอมแดง กระเทียม และผักชีให้มีกลิ่นหอมชวนกิน เติมรสจัดจ้านลงตัวด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ข้าวหอมมะลิ 3 ถ้วย ไข่ไก่ (ไข่แดง) 1 ฟอง น้ำมันพืชสำหรับผัด 2 ช้อนชา เนื้อปูนึ่ง 200 กรัม หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย กระเทียมซอย 1/4 ถ้วย ผักชีเด็ดใบประมาณ 2 ต้น น้ำจิ้มซีฟู้ด หอมแดงซอย กระเทียมซอย พริกขี้หนูซอย ผักชี และผักสลัด สำหรับเสิร์ฟ ส่วนผสมน้ำขยำ น้ำปลา 1 ช้อนชา | น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา | น้ำมะนาว 2 ช้อนชา | พริกขี้หนูซอย 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากัน วิธีทำ ขยำข้าวกับไข่แดงให้เข้ากันจนข้าวมีสีเหลืองทั่ว ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้พอร้อน ใส่ข้าวลงผัดให้มีกลิ่นหอม และไข่สุก ตักขึ้นใส่ชามผสม ใส่เนื้อปูลงไปในข้าวเล็กน้อย ใส่หอมแดงซอย กระเทียมซอย และน้ำขยำ ใช้มือขยำข้าวและเครื่องคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ผักชี เคล้าเบาๆ ตักข้าวใส่จาน วางเนื้อปูที่เหลือบนข้าว วางหอมแดง กระเทียม พริกขี้หนูซอย ผักชี และผักสลัดไว้รอบจาน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด

  โปเก ปลาดิบหั่นเต๋าปรุงรสสไตล์ฮาวาย สูตรนี้ใช้แซลมอนเกรดซาชิมิ ปรุงรสด้วยโชยุและน้ำมันงาให้มีกลิ่นหอม วางสลับชั้นกับข้าวญี่ปุ่นเม็ดสั้นนุ่มหนึบ และอะโวคาโดสุกรสมัน   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ข้าวญี่ปุ่น 2 ถ้วย แซลมอนหั่นเต๋า 300 กรัม อะโวคาโดหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 2 ผล งาขาวคั่ว และผงโรยข้าวญี่ปุ่นสำหรับโรยหน้า ส่วนผสมซอส โชยุ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ | น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ | มิริน 2 ช้อนโต๊ะ | น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 ช้อนโต๊ะ | น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ | ขิงขูด 1 ช้อนชา วิธีทำ ผสมส่วนผสมซอสให้เข้ากัน ตักซอสใส่แซลมอนประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ เคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที วางพิมพ์วงกลมขนาดประมาณ 3 นิ้วบนจาน ตักข้าวใส่และกดเบาๆ ให้ข้าวอยู่ทรง ตักแซลมอนปรุงรสใส่พิมพ์ ตักอะโวคาโดใส่ ยกพิมพ์ออก โรยด้วยงาขาวและผงโรยข้าวตามชอบ

  ข้าวผัดกะเพราคลุกรสเผ็ดจัดจ้าน หอมกลิ่นของเบคอนและกะเพรา ตัดรสให้นวลละมุนขึ้นด้วยการโรยชีสและอบจนชีสละลาย เมนูอร่อยที่เหมาะกับวันหยุด   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ข้าวหอมมะลิ 2 ถ้วย คุกแฮม 3 แผ่น เบคอน 3 แผ่น ใบกะเพราซอย 1/2 ถ้วย กระเทียมสับ 4 กลีบ พริกสับ 4-5 เม็ด น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ส่วนผสมสำหรับโรยหน้า ชีสมอซซาเรลลาขูด 1/2 ถ้วย | ชีสพาร์เมซานขูด 1/4 ถ้วย | เบคอนทอดกรอบ 1/4 ถ้วย | ใบกะเพราทอดกรอบ 1/4 ถ้วย วิธีทำ ผัดเบคอนในกระทะ (ไม่ต้องใส่น้ำมัน) ให้เบคอนพอเหลือง และมีน้ำมันออก ใส่แฮม และกระเทียมลงผัดให้พอมีกลิ่นหอม ใส่พริกและข้าวลงผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลทราย ชิมและปรุงรสเพิ่มได้ตามชอบ ใส่ใบกะเพราซอย ผัดให้เข้ากันจนมีกลิ่นหอม ตักขึ้นใส่ชามสำหรับอบ โรยชีสทั้ง 2 ชนิดให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาทีจนชีสเป็นสีเหลืองสวย ยกลง โรยหน้าด้วยเบคอนทอดกรอบ และใบกะเพราทอดกรอบ

  ข้าวห่อสาหร่ายเมนูกินง่ายใส่ไส้ได้หลากหลายตามชอบ นอกจากม้วนเป็นโรลแบบที่คุ้นเคยแล้ว ยังใช้วิธีห่อและพับคล้ายซองจดหมาย ห่อเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมแล้วตัดเป็นชิ้นใส่กล่อง พกพาได้สะดวก   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) สาหร่ายโนริแผ่นสำหรับห่อข้าว 4 แผ่น ข้าวญี่ปุ่น 3 ถ้วย น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือทะเล 1 ช้อนชา ส่วนผสมไส้หมูบุลโกกิ สันคอหมูสไลซ์บาง 400 กรัม | ซอสบุลโกกิ 1/4 ถ้วย | กิมจิ 1/4 ถ้วย | แตงกวาซอยยาว 1/4 ถ้วย | แครอตซอยยาว 1/4 ถ้วย | น้ำมันพืชสำหรับผัดเล็กน้อย ส่วนผสมไส้ทูน่า ทูน่าในน้ำมันพืช 1 กระป๋อง | มายองเนส 1/4 ถ้วย | ไข่กุ้ง 3 ช้อนชา | เซเลรีหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1/4 ถ้วย วิธีทำ ตักข้าวญี่ปุ่นหุงสุกร้อนๆ ใส่ชามผสมปรุงรสด้วยน้ำมันงา และเกลือ เคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น ทำไส้หมูบุลโกกิโดยหมักสันคอหมูสไลซ์กับซอสบุลโกกิพักไว้ประมาณ 30 นาที ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย พอกระทะร้อนใส่หมูหมักลงผัดจนสุก ตักขึ้นพักไว้ ทำไส้ทูน่าโดยบีบน้ำมันออกจากทูน่า ใส่มายองเนส และเซเลรีลงคนผสมให้เข้ากัน ใส่ไข่กุ้ง คนเบาๆ ให้เข้ากัน ปูพลาสติกแร็ปบนเขียง วางสาหร่ายในแนวทแยงให้มุมสาหร่ายหันเข้าหาตัวโดยหงายด้านหยาบขึ้น ตักข้าวใส่ตรงกลางให้เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 3-4 นิ้ว เกลี่ยข้าวให้แบน กดให้แนบกับสาหร่าย ตักไส้หมูบุลโกกิวางบนข้าว วางกิมจิ แตงกวาและแครอตซอย ตักข้าวใส่อีกชั้นแล้วเกลี่ยให้เท่ากัน พับสาหร่ายจากมุมล่างขึ้นไปตรงกลาง พับมุมซ้าย ขวา และพับมุมบนปิดลงมาเหมือนซองจดหมาย ห่อด้วยพลาสติกแร็ปที่รองไว้ให้แน่น พักไว้ ไส้ทูน่าทำแบบเดิมโดยชั้นแรกเป็นข้าว ตักไส้ทูน่าใส่ ประกบด้วยข้าว และห่อตามขั้นตอนเดิม เมื่อจะเสิร์ฟใช้มีดคมๆ จุ่มน้ำเล็กน้อยให้พอเปียก ตัดครึ่งข้าวห่อสาหร่าย ดึงแผ่นพลาสติกออก เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง เช่น กิมจิ หรือผักดองตามชอบ

  ข้าวต้มแห้งซีฟู้ดเสิร์ฟคู่กับน้ำซุปกระดูกหมู ใส่ไชเท้าและปลาหมึกแห้ง กลิ่นหอม รสกลมกล่อม และน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสูตรเด็ด   ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) ข้าวหอมมะลิหุงสุก 2 ถ้วย กุ้งแชบ๊วย 2-4 ตัว ปลาหมึกกล้วยหั่นแว่น 6 ชิ้น เนื้อปลาเก๋าหั่นชิ้น 6 ชิ้น ไข่ออนเซ็น 2 ฟอง กระเทียมเจียว ตั้งฉ่าย และขึ้นฉ่ายซอยสำหรับโรยหน้า ส่วนผสมน้ำซุป กระดูกหมู 300 กรัม | หัวไชเท้าหั่นแว่น 1 หัว | ปลาหมึกแห้งหั่นชิ้นยาว 1/2 ตัว ส่วนผสมและวิธีทำน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ขิงแก่สับ 1 ช้อนชา | กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ | เต้าเจี้ยว 1/4 ถ้วย | พริกขี้หนูซอย 5-6 เม็ด | น้ำมะนาว 2 1/2 ช้อนโต๊ะ | น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา | น้ำซุปเล็กน้อย ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน วิธีทำ ทำน้ำซุปโดยต้มน้ำให้เดือด ลวกกระดูกหมูแล้วเทน้ำออก ใส่น้ำให้ท่วมหมู ใส่หัวไชเท้า และปลาหมึกแห้ง ต้มไฟแรงจนเดือด แล้วลดไฟอ่อน ต้มนาน 1-2 ชั่วโมง (เติมน้ำได้) จนน้ำซุปใส ชิมและปรุงรสด้วยเกลือหรือซีอิ๊วขาวได้ตามชอบ ตักข้าวใส่ถ้วย ลวกซีฟู้ดทั้งหมดในน้ำเดือด ตักขึ้นจัดวางบนข้าว วางไข่ออนเซ็น โรยกระเทียมเจียว ตั้งฉ่าย และขึ้นฉ่ายซอย เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปและน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว

  ข้าวหุงรวมมิตรนิยมรับประทานในฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากเป็นฤดูของผักหัวต่างๆ และเห็ดในญี่ปุ่น รสชาติของข้าวมาจากเครื่องปรุงรสพื้นฐานที่ผสมไปในน้ำหุงข้าว ส่วนผสมที่ใส่ลงไปหุงกับข้าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ   ส่วนผสม ข้าวญี่ปุ่น 350 กรัม เห็ดหอมแห้ง 3 ดอก แครอตหั่นเต๋า 60 กรัม คอนยักกุหั่นเต๋า 70 กรัม เต้าหู้ทอดหั่นเต๋า 2 แผ่น โกโบหั่นเต๋า 50 กรัม หน่อไม้ต้มซอย 50 กรัม น้ำสต๊อกดาชิ 350 มิลลิลิตร มิริน 2 ช้อนโต๊ะ สาเก 2 ช้อนโต๊ะ โชยุ 2 ช้อนชา งาขาวคั่ว สำหรับเสิร์ฟ ต้นหอมซอย สำหรับเสิร์ฟ วิธีทำ ล้างเห็ดหอมแห้งผ่านน้ำแล้วแช่ให้นุ่มดี บีบน้ำออก แล้วหั่นเต๋า หั่นคอนยักกุเป็นชิ้นเล็กใส่หม้อ ใส่น้ำให้ท่วม ตั้งไฟพอเดือด ยกออกจากเตา สะเด็ดน้ำ พักไว้ ตั้งน้ำร้อนนำเต้าหู้ทอดลงไปต้มเพื่อล้างน้ำมันจากการทอดเต้าหู้ที่ติดอยู่ สะเด็ดน้ำ บีบน้ำส่วนเกินออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หั่นโกโบเป็นเต๋าเล็กๆ แช่ในน้ำสะอาด ผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อยประมาณ 5 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้สีคล้ำ สะเด็ดน้ำ ล้างข้าวญี่ปุ่นจนน้ำใสดี สะเด็ดน้ำใส่ลงในหม้อหุงข้าว พักไว้ 10 นาที เติมน้ำสต๊อกดาชิ มิริน สาเก และโชยุ จัดเรียงคอนยักกุ เต้าหู้ทอด เห็ดหอม แครอต โกโบ และหน่อไม้ต้มลงบนหน้าข้าว หุงจนสุกดี เมื่อข้าวสุกดีตักออกใส่ชามผสมใบใหญ่ เคล้าให้ส่วนผสมกระจายทั่วข้าวดี ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยงาขาวคั่ว และต้นหอม

  เวลาที่มีเป็ดย่างหรือหมูแดงเหลืออยู่ เราจะหุงข้าวพิลาฟแบบง่ายๆ ปรุงเป็นข้าวพิลาฟหน้าเป็ดย่างหมูแดง   เครื่องปรุง ข้าวประมาณ 500 กรัม น้ำเปล่าประมาณ 750 มิลลิลิตร ซุปก้อนรสไก่หรือหมู 2 ก้อน หอมหัวใหญ่ 1 หัว กระเทียมบุบ 2-3 กลีบ น้ำมันหมูหรือไก่ 1 ช้อนโต๊ะ เนยแท้ 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทย | แซฟฟรอน (ถ้าไม่มีใช้ดอกคำฝอย) เครื่องเทศฝรั่ง เช่น โพรวองซ์หรือไทม์ เป็ดย่าง และ/หรือหมูแดง ซอสญี่ปุ่น เช่น เทอริยากิ ผักชีสำหรับโรยหน้า วิธีทำข้าวพิลาฟ ผสมน้ำกับซุปก้อน ใส่พริกไทยนิดหน่อย ชิมและปรุงเพิ่มจนได้รสอร่อย ซาวข้าวให้สะอาด เกรอะเอาน้ำออก ผัดหอมหัวใหญ่กับกระเทียมในน้ำมันผสมเนยจนสุกใส ใส่ข้าวลงไปผัดจนเห็นเป็นไตเล็กๆ ขาวๆ ใส่เครื่องเทศสมุนไพรที่เตรียมไว้ ผัดจนข้าวเป็นไตขาวเล็กๆ หุงข้าวที่ผัดไว้กับน้ำสต๊อกในหม้อหุงข้าวแบบธรรมดาๆ ใส่น้ำสต๊อกแล้วคนเบาๆ จะใช้น้ำน้อยกว่าการหุงข้าวปกตินิดหน่อย หุงไปได้ครึ่งทางให้ใช้พายไม้กลับข้าวก้นหม้อขึ้นเอาข้างบนลง หุงต่อจนสุก เทข้าวใส่กะละมัง คนเบาๆ ให้ทั่ว ชิมรสดูอีกครั้ง ข้าวจะอร่อยแต่รสไม่จัด ที่สำคัญคือหอมมาก วิธีทำข้าวอบ ตั้งกระทะเทฟลอน ใส่เนยลงไป 2 ช้อนโต๊ะ พอเนยละลาย เทให้เนยเคลือบทั่วกระทะ เทเนยที่เหลือใส่ถ้วย ตักข้าวพิลาฟใส่กระทะเท่าที่ต้องการ หั่นเป็ดย่างคลุกกับซอสเป็ดย่าง แนบกระทะร้อนๆ ให้เป็ดหอม วางเป็ดบนด้านหนึ่งของข้าว หั่นหมูแดงบางๆ คลุกกับซอสหมูแดงและซอสอื่นๆ เช่น เทอริยากิ นาบกระทะพอให้หมูหอม วางให้ปิดหน้าข้าวอีกด้านหนึ่ง ราดหน้าด้วยเนยที่ละลายไว้ ปิดฝากระทะ ตั้งบนเตา เปิดไฟอ่อนๆ เปลี่ยนจุดสัมผัสไปเรื่อยๆ จนข้าวร้อนระอุ ส่งกลิ่นหอม โรยพริกไทยและผักชี ข้าวพิลาฟนี้ทำหน้าอื่นๆ เช่น ไก่ย่าง ปลาแซลมอนย่างก็อร่อยค่ะ

  ชวนทำเมนูมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่น สะดวกทำง่ายแถมอิ่มสบายท้อง ไม่ต้องทอดน้ำมันแค่ย่างให้สุกหอม อร่อยได้ทุกเพศทุกวัย   ส่วนผสม (สำหรับ 5 ชิ้น) สาหร่ายแผ่นตัดขนาดเท่าชีสแผ่น 5  แผ่น ชีสแผ่น 5 แผ่น ฮอตดอก 5 ชิ้น ข้าวญี่ปุ่นหุงสุก 3 ถ้วย เกลือป่น  1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น  1/2  ช้อนชา โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ มิริน 1 ช้อนโต๊ะ งาขาวและงาดำ 2 ช้อนชา วิธีทำ ปรุงรสข้าวโดยผสมข้าวกับเกลือและพริกไทย คลุกให้เข้ากัน เตรียมไว้ เรียงชีสโดยวางแผ่นชีส สาหร่าย วางชีสอีกแผ่นประกบกัน เตรียมไว้ ใส่ฮอตดอกแล้วม้วน เตรียมไว้ แผ่ข้าวบนพลาสติกที่รองด้วยเสื่อม้วนข้าว วางไส้กรอกห่อชีสแล้วห่อให้แน่น เสียบไม้ เตรียมไว้ ตั้งกระทะทาน้ำมันบางๆ พอร้อน วางข้าวห่อลงย่าง ทาด้านนอกด้วยโชยุผสมมิรินบางๆ โรยงา ย่างจนเหลืองหอม จัดใส่จาน เสิร์ฟกับซอสตามชอบ

  โจ๊กชามนี้ได้กลิ่นหอมและรสหวานของปูทะเล ข้าวหอมมะลิใหม่ต้มกับน้ำซุปที่เคี่ยวจากเปลือกกุ้งจนเนื้อโจ๊กนุ่มละมุนลิ้น ได้รสอร่อยจากทะเลเต็มๆ   ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่) ปูทะเล 2 ตัว ข้าวหอมมะลิใหม่ 1 ถ้วย น้ำต้มเปลือกกุ้งหรือน้ำสต๊อกปลา 2 1/2-3 ถ้วย ขิงหั่นแว่น 3-4 ชิ้น เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย ขิงซอย ต้นหอมซอย และพริกไทยป่นสำหรับเสิร์ฟ วิธีทำ ต้มข้าวกับน้ำสต๊อกให้ข้าวสุกประมาณ 70% ปิดฝาไว้สักครู่ ล้างปู สับเป็นชิ้น เก็บมันปูไว้ ต้มข้าวให้เดือด ใส่ขิงหั่นแว่น ปู กระดองปู และมันปู ปรุงรสด้วยเกลือ (เติมน้ำเพิ่มได้ตามชอบ) ต้มจนสุกทั้งหมด ปิดฝาไว้สักครู่ ตักใส่ชาม โรยขิงซอย ต้นหอมซอย และพริกไทยป่น