มะเส็ง...ปีงูเล็กมาแล้ว! มาบอกว่าปีนี้ป้าเจี๊ยบได้ฤกษ์ครบ 6 รอบนะ ต้องรักษาสุขภาพให้มาก ถ้าอยากจะเที่ยวต่อไปอีก...อิอิ   ป้าเจี๊ยบจัดโปรแกรมทัวร์ต่างประเทศไว้เดือนละครั้ง หลีกเลี่ยงเสาร์ที่สามของเดือนไว้ เพราะวันครอบครัวที่เรียกกันติดปากว่า “รายการกินกันวันเสาร์” ซึ่งแต่เดิมเคยจัดทุกเสาร์ เปลี่ยนเป็นจัดเดือนละครั้งแล้วค่ะ เนื่องจากแม่ครัวขอเที่ยวมากขึ้นก่อนที่จะไม่มีแรงไป...ฮา!   เดือนไหนมีวันเกิดของสมาชิก ป้าเจี๊ยบจะจัดในวันเสาร์ที่สามของเดือนนั้นๆ บางทีตรงวัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ตรง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะทุกคนสนุกสนานเฮฮาฉลองกันได้ทั้งนั้น   เดือนเกิดของพี่มิ้นท์ หลานหมายเลขสาม ป้าเจี๊ยบทำพุดดิงมะตูมค่ะ   เริ่มด้วยการสับเนื้อมะตูม 100 กรัมจนละเอียด ใส่ในถ้วยกระเบื้อง เทน้ำร้อน 6 ช้อนโต๊ะ และตักโซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากันพักไว้ประมาณ 10 นาที แล้วนำมายีผ่านกระชอนให้เป็นของเหลวข้นๆ วางพักไว้   นำถาดอบวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว มาทาด้านในด้วยเนยจนทั่ว โรยแป้งสาลีอเนกประสงค์ให้เกาะติดกับเนยแล้วเคาะถาดให้แป้งส่วนเกินหลุดออกไป วางเตรียมไว้   เตรียมชามแห้งมีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน วางพักไว้   ทำชามเปียกโดยใช้ตะกร้อมือตีเนยสดรสจืด 40 กรัม (อุณหภูมิห้อง) กับน้ำตาลทรายแดง 20 กรัม (ร่อนแล้ว) และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วใส่ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟองลงไป ตีต่ออีกจนส่วนผสมกลมกลืนกัน   จากนั้นใส่ชามแห้งและมะตูมที่เตรียมไว้ ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เทลงถาดอบ ยกถาดกระแทกกับเคาน์เตอร์ 2-3 ครั้งเพื่อไล่ฟองอากาศ แล้วนำถาดเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มอุณหภูมิไว้ 165 องศาเซลเซียส ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 30 นาที   ระหว่างอบพุดดิงป้าเจี๊ยบทำซอสคาราเมล โดยใส่เนยสดรสเค็ม 60 กรัม น้ำตาลทรายแดง 60 กรัม น้ำเชื่อมข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ และนมข้นจืด 60 กรัมลงในหม้อเคลือบ นำไปตั้งไฟกลาง ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นปล่อยให้เดือดจนเป็นฟอง แล้วปิดไฟ   เมื่อได้ยินเสียงติ๊ง ป้าเจี๊ยบนำถาดออกมาคว่ำลงบนตะแกรงแล้วยกพุดดิงใส่ลงในจานเสิร์ฟ ใช้ไม้จิ้มฟันเจาะผิวหน้าพุดดิงเป็นรูๆ ห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ตักซอสคาราเมลอุ่นๆ ราดลงบนหน้าพุดดิงที่เพิ่งออกจากเตาอบ ป้าเจี๊ยบแบ่งซอสไว้ครึ่งหนึ่งสำหรับราดตอนเสิร์ฟ   หลังจากเพลงอวยพรและเป่าเทียนเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเสิร์ฟพุดดิงมะตูม พี่มิ้นท์ทำหน้าที่บีบวิปครีม ป้าเจี๊ยบเป็นฝ่ายราดซอสคาราเมล   ทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าอร่อยมาก หอมมะตูมทุกคำ...เย้!  

ผ่านคริสต์มาสไปแล้วแต่เมนูช็อกบอลลูกสน ยังน่ารักอิงไปกับทุกเทศกาล ช็อกโกแลตแน่นเต็มคำหน้าตาสวยงามถูกใจทั้งคนรับและคนให้   ส่วนผสม เค้กช็อกโกแลต 300 กรัม ดาร์กช็อกโกแลตละลาย 500 กรัม เนยเค็มละลาย 130 กรัม อัลมอนด์สไลซ์อบ 1/4 ถ้วย วิธีทำ ทำช็อกบอลโดยบดเนื้อเค้กช็อกโกแลตเป็นชิ้นเล็กๆ ละลายดาร์กช็อกโกแลต 200 กรัม เนยสด 50 กรัม บนหม้อน้ำร้อน คนให้ละลาย เทช็อกโกแลตละลายลงในเนื้อเค้ก ผสมให้เข้ากัน  ปั้นเป็นก้อน นำอัลมอนด์สไลซ์อบมาเสียบให้เป็นหนามรอบๆ เค้ก ละลายช็อกโกแลตกับเนยที่เหลือคนให้เข้ากัน ตักช็อกโกแลตละลายราดบนช็อกบอลให้ทั่ว พักไว้ จัดใส่จานเสิร์ฟ โรยเกลือหิมาลายันเล็กน้อย

อีกหนึ่งสูตรเค้กที่ไม่ต้องใช้เตาอบ แถมยังใช้วัตถุดิบน้อยกินง่ายแชร์กันได้หลายคน   ส่วนผสม แครกเกอร์ 200 กรัม วิปปิงครีม 3/4 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 1/2 ถ้วย ดาร์กช็อกโกแลตชนิดกระดุม 700 กรัม วิธีทำ ตีวิปปิงครีมให้พอขึ้นฟู ใส่น้ำตาลไอซิง ตีต่อให้เข้ากันจนอยู่ตัว แช่เย็นไว้ ละลายดาร์กช็อกโกแลตบนน้ำร้อน คนให้เข้ากัน ยกลงแล้วคนต่อจนช็อกโกแลตข้น ตักช็อกโกแลตละลายใส่ลงในพิมพ์  บีบวิปครีมบนแครกเกอร์นำไปวางเรียงใส่พิมพ์ช็อกโกแลต โดยวางแนวตั้งจนเต็มพิมพ์ ราดช็อกโกแลตละลายที่เหลือปิดทับแครกเกอร์ครีม นำไปแช่เย็นไว้จนอยู่ตัว ตัดเป็นชิ้นจัดใส่จานเสิร์ฟ

ขนมไทยชิ้นเล็กรูปมงกุฎที่นิยมเสิร์ฟในงานมงคลหรือการเฉลิมฉลอง ตัวขนมทำจากไข่แดง แป้ง กะทิ และน้ำตาลทราย นำไปกวนจนเนื้อเนียน วางอยู่บนแป้งทาร์ต รองด้วยเมล็ดแตงโมเคลือบน้ำตาลเป็นเกล็ดสวยงาม ส่วนผสมเมล็ดแตงโมเชื่อม เมล็ดแตงโม 50 กรัม | น้ำเปล่า 100 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม   วิธีทำ เลือกเมล็ดแตงโมที่เต็มเม็ด ไม่หัก ต้มน้ำเปล่ากับน้ำตาลทรายให้เป็นน้ำเชื่อม พักไว้ให้หายร้อน คั่วเมล็ดแตงโมในกระทะทองเหลืองด้วยมือเปล่า (เพื่อไม่ให้เมล็ดหัก) เมื่อเมล็ดแตงโมเริ่มอุ่น ใช้มือจุ่มลงในน้ำเชื่อมแล้วโรยลงบนเมล็ดแตงโม คั่วต่อจนเมล็ดแห้ง จนกระทั่งน้ำตาลเริ่มตกผลึกเคลือบรอบเมล็ดแตงโม (ใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง) จนขึ้นเกล็ดสวย ส่วนผสมฐานพาย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 45 กรัม | ไข่แดง 10 กรัม | เนย 10 กรัม | น้ำเปล่า 15-20 กรัม | เกลือเล็กน้อย   วิธีทำ ผสมแป้งกับเนยในชามผสมโดยใช้วิธีการซาบลาจ (Sablage) ขยำรวมกันเบาๆ จนเป็นเม็ดทราย ในชามอีกใบผสมน้ำเปล่ากับไข่แดง และเกลือเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อยๆ เทส่วนผสมชามเปียกลงในชามแห้ง คนให้เข้ากันจนเป็นโด พักไว้ในตู้เย็นสักครู่ รีดแป้งให้หนาประมาณ 2 มิลลิเมตร กดลงในพิมพ์รูปวงกลมขนาดตามต้องการ จิ้มแป้งด้วยไม้จิ้มฟัน นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 140-150 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที พักไว้ให้เย็น ส่วนผสมแป้งดาราทอง แป้งสาลีอเนกประสงค์คั่ว 100 กรัม (ร่อน) | กะทิกลาง 240 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม | ไข่แดงไข่ไก่ 100 กรัม (ประมาณ 5 ฟอง) | สีผสมอาหารสีเหลือง 1 กรัม | เทียนอบ | ทองคำเปลว (สำหรับตกแต่ง)   วิธีทำ วิธีทำน้ำเชื่อมกะทิ ผสมกะทิกลางกับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำขึ้นตั้งไฟอ่อนจนเดือด คนจนได้น้ำเชื่อมข้น พักไว้ในอุณหภูมิห้อง คั่วแป้งสาลีในกระทะด้วยไฟอ่อนจนแห้งและมีกลิ่นหอม พักให้เย็นลง ผสมไข่แดงกับน้ำเชื่อมกะทิ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลีคั่วและสีผสมอาหาร ผสมให้เข้ากันจนเนื้อเนียน นำส่วนผสมขึ้นตั้งไฟอ่อน คนต่อเนื่องจนส่วนผสมเป็นแป้งโดและหลุดออกจากขอบกระทะ พักแป้งให้หายร้อนสักครู่ ปั้นให้เป็นลูกกลม ใช้สันไม้พายกดให้เป็นร่องแล้วนำไปวางบนแป้งทาร์ต ตกแต่งด้วยเมล็ดแตงโมเคลือบให้สวยงาม นำขนมไปอบควันเทียนในภาชนะปิดประมาณ 15-20 นาทีจนขนมมีกลิ่นหอม ตกแต่งด้วยทองคำเปลว เอื้อเฟื้อสูตรและทำอาหารสำหรับถ่ายภาพ เชฟเน-อติคุณ ตันตระกูล เชฟผู้สอนประจำหลักสูตรวิชาการครัวไทย โรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต (Le Cordon Bleu Dusit)

ส่วนผสม (สำหรับ 3-4 ที่) แป้งเค้ก 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 ถ้วย ไข่ขาว 6 ฟอง นมรสจืด 1/2 ถ้วย วิปปิงครีม 1/3 ถ้วย น้ำมันคาโนล่า 1/4 ถ้วย วิปครีม 3 ถ้วย สตรอว์เบอร์รีสด 8-10 ผล กระดาษเวเฟอร์รูปไพ่กินได้ และน้ำตาลปั้นรูปหมากรุกสำหรับตกแต่ง วิธีทำ ผสมแป้งเค้ก วิปปิงครีม นมรสจืด และน้ำมันคาโนล่าให้เข้ากันจนเนื้อเนียน พักไว้ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายจนขึ้นฟูและตั้งยอดปานกลาง นำไปผสมกับแป้งเค้กที่เตรียมไว้ ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน แบ่งไว้ประมาณ 1/2 ถ้วย แล้วนำไปผสมกับผงชาร์โคล 2 ช้อนโต๊ะ ตักใส่ถุงบีบเตรียมไว้ บีบเนื้อเค้กสีดำเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาด 2 × 2 เซนติเมตร โดยบีบตามขวางจนเต็มแผ่นกระดาษไขที่รองในถาดอบขนาด 33 × 45 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 165-170 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 นาทีจนเซ็ตตัว จากนั้นเทเนื้อเค้กสีขาวทับเนื้อเค้กสีดำ เกลี่ยให้ทั่ว อบต่อจนสุก พักไว้ให้หายร้อน คว่ำเค้กลงบนกระดาษไข (ให้ด้านตารางอยู่ด้านนอก) ใส่วิปครีมและเรียงเนื้อสตรอว์เบอร์รีให้เป็นแถว จากนั้นค่อยๆ จับกระดาษไขแล้วม้วนให้เป็นทรงกระบอก พักไว้ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว ตกแต่งด้วยไพ่กระดาษเวเฟอร์กินได้และน้ำตาลปั้นหมากรุกให้สวยงาม

ขนมหวานที่เชฟพาโบล คิกเคล (Pablo Gicquel) เลือกใช้ช็อกโกแลตจากบราซิลทำเป็นรูปดาว สัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง ด้านในเป็นเนื้อเค้กชุ่มฉ่ำด้วยไซรัปบาบา (Baba Syrup) สลับชั้นกับช็อกโกแลตมูสและเฮเซลนัตพราลีน รสหวานหอมนุ่มละมุน ส่วนผสมและวิธีทำช็อกโกแลตกรอบ สตรูเซิลช็อกโกแลต (Struzel Chocolate) 299 กรัม | ฮาเซลนัตพราลีน 400 กรัม | ฮาเซลนัตนูกาแตง (Hazelnut Nougatine) 149 กรัม | ช็อกโกแลตกัวนาจาสับ (Guanaja Chocolate) 149 กรัม | เกลือทะเล 3 กรัม ใส่ส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากัน จากนั้นปาดลงแผ่นซิลิโคนให้หนาประมาณ 5 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบจนแห้งและกรอบ ตัดใส่พิมพ์รูปดาว เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำไซรัปบาบา (Baba Syrup) น้ำเปล่า 110 กรัม | น้ำตาลทราย 35 กรัม | ถั่วตองกาบดละเอียด 2 กรัม | วานิลลาเพสต์ 10 กรัม | เจลาตินที่ผสมกับน้ำแล้ว 19 กรัม ต้มน้ำตาลทราย น้ำเปล่า ถั่วตองกา และวานิลลาเพสต์ให้พอเดือด ใส่เจลาติน คนผสมให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น ส่วนผสมสปันจ์เค้ก น้ำตาลอินเวิร์ต (Inverted Sugar) 130 กรัม | ไข่ไก่ 454 กรัม | น้ำตาลทราย 226 กรัม | เฮเซลนัตป่น 130 กรัม | วิปปิงครีม 210 กรัม | แป้งเค้ก 226 กรัม | ผงโกโก้ 48 กรัม | ผงฟู 14 กรัม | เกลือทะเล 7 กรัม | น้ำมันเมล็ดองุ่น 130 กรัม | ดาร์กช็อกโกแลต 100% 48 กรัม | ช็อกโกแลตชิป 156 กรัม | โกโก้บดละเอียด (Grated Cocoa Nibs) 78 กรัม   วิธีทำ ผสมน้ำมันเมล็ดองุ่นและดาร์กช็อกโกแลตให้เข้ากัน นำไปอุ่นที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด (ยกเว้นช็อกโกแลตชิปและโกโก้บดละเอียด) คนส่วนผสมให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตชิปและโกโก้บดละเอียด คนผสมให้เข้ากัน เทใส่ถาดให้ได้น้ำหนัก 1,850 กรัม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบนาน 12-15 นาที พักให้เย็น ทาด้วยไซรัปบาบา ตัดเป็นรูปดาวแล้วนำไปวางบนแผ่นช็อกโกแลตกรอบในพิมพ์รูปดาวที่เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำดาร์กช็อกโกแลตแครมบรูเล่ วิปปิงครีม UHT 385 กรัม | นมรสจืด 385 กรัม | ถั่วตองกา 20 กรัม | ไข่แดง 154 กรัม | น้ำตาลทราย 45 กรัม | ช็อกโกแลตกัวนาจาสับ (Guanaja Chocolate) 380 กรัม อุ่นครีม นม และถั่วตองกาให้ร้อน ตีไข่แดงและน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่ในครีมที่อุ่นไว้ นำไปต้มต่อ วัดอุณหภูมิให้ได้ 84 องศาเซลเซียส แบ่งเท 3 ครั้งลงในช็อกโกแลต ผสมให้เข้ากันจนเนื้อเนียน เทใส่ช็อกโกแลตในพิมพ์รูปดาว พักในตู้เย็นจนเซ็ตตัว ส่วนผสมและวิธีทำเฮเซลนัตพราลีน เฮเซลนัต 650 กรัม | น้ำตาลทราย 350 กรัม | วานิลลา 2 ฝัก | เกลือทะเล 4 กรัม คั่วเฮเซลนัต ใส่เมล็ดจากฝักวานิลลา และน้ำตาลทราย เคี่ยวให้เป็นคาราเมล พักไว้ให้เย็น ใส่เกลือทะเล แล้วนำไปปั่นให้เนื้อเนียนละเอียด ส่วนผสมและวิธีทำมูสช็อกโกแลต ครีม UHT 230 กรัม | นมรสจืด 230 กรัม | ไข่แดง 92 กรัม | ช็อกโกแลต Hukambi 53% 1,100 กรัม | วิปปิงครีม UHT 900 กรัม อุ่นครีมและนมให้พอร้อนเทลงในไข่แดงทีละน้อย คนให้เข้ากัน ต้มต่อให้ได้อุณหภูมิ 84 องศาเซลเซียส แบ่งเท 3 ครั้ง ใส่ลงในช็อกโกแลต คนส่วนผสมให้เข้ากันจนเนื้อเนียน พักให้เย็นได้อุณหภูมิ 35-40 องศาเซลเซียส ใส่วิปปิงครีมแล้วคนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง นำไปแช่เย็น 4-6 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว ส่วนผสมและวิธีทำสเปรย์ช็อกโกแลต โกโก้ช็อกโกแลต 100% 500 กรัม | น้ำมันเมล็ดองุ่น 300 กรัม | เนยโกโก้ (Cocoa Butter) 300 กรัม | สีผสมอาหารสีแดงชนิดผง 6 กรัม | สีผสมอาหารสีดำชนิดผง 3 กรัม ละลายส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันที่อุณหภูมิ 34 องศาเซลเซียส เทใส่ปืนสเปรย์ สเปรย์ลงบนขนมที่ถอดออกจากพิมพ์รูปดาวจนทั่วชิ้น นำขนมไปแช่ตู้เย็นจนเซ็ตตัว ตกแต่งดาวด้วยเฮเซลนัตพราลีน เปลือกถั่วเฮเซลนัต และแผ่นทองให้สวยงาม

มาทำท้องฟ้ากินได้กัน ‘วุ้นก้อนเมฆ’ ที่ปุยเมฆเราจะทำให้เป็นวุ้นมะพร้าวหอมๆ ส่วนตัวท้องฟ้าก็ไล่สีด้วยน้ำอัญชัญให้เป็นสีคราม สวยงามกินได้ให้เป็นของขวัญยิ่งประทับใจ   ส่วนผสมวุ้นกะทิก้อนเมฆ น้ำมะพร้าว 3/4 ถ้วย ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนชา กะทิ 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนโต๊ะ เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย ส่วนผสมวุ้นใส น้ำมะพร้าว 3 1/2 ถ้วย ผงวุ้น 2 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย น้ำอัญชัน 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำวุ้นกะทิก้อนเมฆโดยแช่ผงวุ้นในน้ำมะพร้าว 10 นาที ตั้งไฟให้เดือดจนผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทรายและกะทิ ต้มให้เดือด ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน คนให้เข้ากัน ตักหยอดลงในพิมพ์รูปก้อนเมฆ แช่เย็นไว้ให้แข็งตัว ทำวุ้นใสโดยแช่ผงวุ้นในน้ำมะพร้าว 10 นาที ตั้งไฟให้เดือดจนผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทราย ต้มให้เดือด แบ่งน้ำวุ้นใส 1 ถ้วย ใส่น้ำอัญชัน คนให้เข้ากัน พักไว้ เทน้ำวุ้นใสที่เหลือลงในพิมพ์ครึ่งหนึ่ง รอจนวุ้นเริ่มเซ็ตตัว ใส่วุ้นก้อนเมฆแล้วเทน้ำวุ้นใสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ใส่วุ้นกะทิก้อนเมฆ รอจนเริ่มแข็งตัว ใส่น้ำวุ้นสีฟ้า พักไว้จนวุ้นแข็ง หรือแช่ตู้เย็นไว้ นำวุ้นออกจากพิมพ์ ตัดเป็นชิ้น จัดใส่จาน เสิร์ฟเย็นๆ

โปรไฟล์บนโซเชียลของป้าเจี๊ยบคือ happy learner & world traveler เขียนอย่างนี้เพราะมีปรัชญาชีวิตว่าต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ทุกวันจากสิ่งต่างๆ รอบตัวและรอบโลก    ในวาระครบ 71 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว ป้าเจี๊ยบถือโอกาสไปเรียนรู้ประเทศลำดับที่ 76 ของตัวเองแถวเอเชียกลางคือคาซัคสถาน (Kazakhstan) หนึ่งใน 15 ประเทศที่เกิดขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อปี ค.ศ. 1991   นอกจากธรรมชาติที่สวยงามและอากาศบริสุทธิ์จนหายใจเต็มปอดอย่างสดชื่นทุกวันแล้ว อาหารการกินที่นี่ก็ธรรมชาติและเรียบง่ายสุดๆ ป้าเจี๊ยบได้กินผักสดผลไม้สดเต็มที่ทุกมื้อ และได้กินเนื้อม้าเป็นครั้งแรกในชีวิต   ป้าเจี๊ยบกินขนมปังและข้าวที่จัดไว้ให้น้อยมาก แต่ก็มีโอกาสเข้าครัวของบ้านชาวคาซัค ไปดูเจ้าของบ้านทำขนมปังท้องถิ่น Baursaki ใช้วิธีทอดเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งเพื่อนร่วมเดินทางลงความเห็นว่าเหมือนปาท่องโก๋ เสียดายที่ไม่มีนมข้นหวานมาให้จิ้ม...ฮา!   ขนมปังท้องถิ่นแบบอบเรียกว่านาน (Nan) รูปร่างคล้ายจานบิน ลวดลายสวยงาม มีรอยบุ๋มตรงกลาง จะเหลือกินทุกมื้อ จนกระทั่งมาเจอร้านหนึ่งมีเมนูคล้ายโรตีกรอบเพิ่มให้อีกอย่าง ป้าเจี๊ยบมัวแต่กินเมนูสารพัดผัก พอคิดจะหยิบมาชิม แป้งทอดคล้ายโรตีกรอบเหลือเพียงชิ้นเล็กๆ แค่คำเดียว   แป้งทอดนี้อร่อยค่ะ เคี้ยวกรอบๆ รสเค็มนิดๆ หวานหน่อยๆ หลังจากสืบค้นข้อมูลแล้วก็พบว่าเป็นของหวานประจำถิ่นในบรรดาประเทศที่มีชื่อท้ายว่า “สถาน” ทั้งหลาย ภาษาถิ่นเรียกว่าคุชทิลิ (Kush Tili) แปลว่าลิ้นนก (Bird Tongue) แต่หลายประเทศในยุโรปเรียกว่าปีกเทวดา (Angel Wings) เพราะขึ้นรูปขนมลักษณะแตกต่างออกไป ป้าเจี๊ยบว่าวิธีทำใกล้เคียงกับกรอบเค็มของป้าเจี๊ยบเลย แต่ขั้นตอนน้อยกว่าเยอะ   ตามที่ป้าเจี๊ยบมีธรรมเนียมว่า กลับจากประเทศไหนสมาชิกครอบครัวจะได้กินอาหารประเทศนั้น ของหวานสำหรับเมนูคาซัคไม่หนี “ลิ้นนก-คุชทิลิ” แน่นอน   ป้าเจี๊ยบตอกไข่ไก่เบอร์สาม 2 ฟองลงในถ้วย ตามด้วยนมรสจืด 20 กรัม และเกลือป่น 1/2 ช้อนชา แล้วใช้ช้อนคนให้เข้ากัน วางพักไว้ จากนั้นชั่งแป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัมมาใส่ไว้ในชาม แหวกแป้งเป็นบ่อตรงกลาง เทส่วนผสมของเหลวที่ทำไว้ลงไป ใช้ส้อมค่อยๆ คนผสมแป้งให้เข้ากับของเหลวจนไม่เห็นฝุ่นแป้ง นำออกมานวดบนเคาน์เตอร์จนแป้งโดเนียน ไม่ติดมือ รวบเป็นก้อนกลมใส่ลงในกล่องปิดฝา พักแป้งโดไว้ครึ่งชั่วโมง   จากนั้นนำแป้งโดออกมาวางบนเคาน์เตอร์ที่โรยแป้งสาลีอเนกประสงค์บางๆ ไว้ ใช้ลูกกลิ้งแผ่แป้งเป็นแผ่นบางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ใช้มีดตัดแผ่นแป้งเป็นเส้นๆ ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตรโดยประมาณ แล้วม้วนแต่ละเส้นแบบบิดเข้าเป็นวงกลมคล้ายดอกกุหลาบหลวมๆ   นำแป้งที่ม้วนไว้ไปทอดค่ะ ป้าเจี๊ยบทอดทีละดอก ใช้กระทะใบเล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ใส่น้ำมันพืชระดับสูงประมาณ 4 เซนติเมตร ทอดไฟกลางค่อนข้างอ่อนจนแป้งสุกทั่วกันจึงตักออกมาวางบนแผ่นซับน้ำมัน พักไว้จนเย็นสนิทจึงใส่กล่องปิดฝา   หลังอาหารป้าเจี๊ยบเตรียมชาสมุนไพรคาซัค โดยใช้เครื่องชงกาแฟดริป ส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วบ้านจนทุกคนถามว่าป้าเจี๊ยบทำอะไรห้อมหอมมม อิอิ   ชาสมุนไพรคาซัคหอมยืนหนึ่ง เสิร์ฟพร้อมคุชทิลิโปรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิง พรึ่บเดียวเกลี้ยง!

ขนมถ้วยสูตรนี้ตัวขนมได้แรงบันดาลใจจากเปียกปูน โดยใช้ผงถ่าน หอมกลมกล่อมด้วยน้ำปูนใส พร้อมกับหน้ากะทิหอมมันในรูปแบบขนมถ้วย ส่วนผสมเปียกปูน                     แป้งข้าวเจ้า 25 กรัม      แป้งเท้ายายม่อม 1 1/2 ช้อนโต๊ะ แป้งถั่วเขียว 1 1/2 ช้อนชา  น้ำใบเตยเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ            น้ำตาลปี๊บ 70 กรัม                  น้ำปูนใส 115 กรัม                  ผงถ่าน 1 ช้อนชา หน้ากะทิ แป้งข้าวเจ้า 12 กรัม      กะทิ 165 กรัม เกลือ 1/4 + 1/8 ช้อนชา  วิธีทำ    ตั้งลังถึงใช้ความร้อนสูง นึ่งถ้วยตะไล (13 ถ้วย) ให้ร้อนเป็นเวลา 2 นาที ทำตัวขนมโดยผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้งถั่วเขียว และผงถ่าน กับน้ำใบเตยและน้ำปูนใสเล็กน้อย นวดส่วนผสมเป็นเวลา 3 นาที ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป นวดต่อให้น้ำตาลละลายดี ใส่น้ำปูนใสที่เหลือ คนให้ละลายเข้ากันแล้วกรอง ตักส่วนผสมใส่ถ้วยตะไล 3/4 ของถ้วย ปิดฝา นึ่งนาน 14 นาที ทำหน้าขนมโดยผสมแป้งข้าวเจ้า เกลือ และกะทิเข้าด้วยกัน หยอดหน้าขนม นึ่งต่ออีก 5 นาที พักให้เย็นลง แซะออกจากถ้วย จัดใส่จาน

วุ้นสังขยาหวานฉ่ำลิ้น เสิร์ฟในลูกฟักทองแบบสวยงาม กินแล้วสดชื่น   ส่วนผสม ฟักทองญี่ปุ่นขนาดกลาง 1 ผล เนื้อฟักทองนึ่งสุกบด 3/4 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา กะทิ 1/2 ถ้วย ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย วิธีทำ นึ่งฟักทองทั้งลูกให้สุก ตักเอาเนื้อออกมาแยกเมล็ด แล้วบดเนื้อให้ละเอียด ผสมไข่ไก่ น้ำตาลปี๊บ เกลือ และกะทิ ผสมให้น้ำตาลละลายหมด ผสมเนื้อฟักทองนึ่งบดและเนื้อฟักทองที่ตักจากผลให้เข้ากัน   ใส่ผงวุ้นลงในน้ำเปล่า ต้มให้ผงวุ้นละลายหมด ใส่ส่วนผสมสังขยาฟักทอง คนให้เข้ากัน เทลงในผลฟักทองนึ่ง พักไว้ให้แข็งตัว ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ

มาช้าแต่มานะ เมนูช็อกโกแลตดูไบ ที่ว่ากันว่าอร่อยมากแล้วทำไมยากด้วย เราใช้ทั้งดาร์กช็อกและไวต์ช็อกโกแลต สอดไส้เนย ซอสถั่วพิสตาชิโอ และเส้นคูนาฟ่า กินเล่นเพลินจนลืมนับแคล!    ส่วนผสม ถั่วพิสตาชิโออบแกะเปลือก 1 ถ้วย ไวต์ช็อกโกแลตละลาย 1/2 ถ้วย น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ เนยสดเค็ม 1/4 ถ้วย เส้นคูนาฟ่า 2 ถ้วย ช็อกโกแลตชนิดกระดุม 2 ถ้วย ถั่วพิสตาชิโออบสับ 1-2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ทำซอสพิสตาชิโอโดยใส่ถั่วพิสตาชิโออบ ไวต์ช็อกโกแลต และน้ำมันมะพร้าวลงในโถบดสับ ปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียดเนียน ทำไส้โดยใส่เนยสดลงในกระทะ พอเนยละลาย ใส่เส้นคูนาฟ่า ผัดให้เข้ากับเนย ใส่ซอสพิสตาชิโอ ผัดคลุกให้เข้ากัน พักไว้ ละลายช็อกโกแลตบนหม้อน้ำร้อน ตักใส่พิมพ์ซิลิโคน กรอกให้ทั่วพิมพ์ เทช็อกโกแลตส่วนเกินออก พักให้แข็งตัว ใส่ไส้คูนาฟ่าผัด กดเบาๆ ให้เต็มพิมพ์ ปิดทับด้วยช็อกโกแลตละลาย ปาดให้เรียบ โรยถั่วพิสตาชิโอสับ พักไว้ให้แข็งตัว แกะออกจากพิมพ์ จัดใส่จานเสิร์ฟ

ส่วนผสมเค้กชิฟฟอน (สำหรับ 4 ที่) แป้งเค้ก 90 กรัม | ผงฟู 1/2 ช้อนชา | น้ำลำไยสีทอง 50 กรัม | น้ำมันพืช 50 กรัม | ไข่แดง 3 ฟอง | กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา | เนื้อลำไยแห้ง (แช่น้ำจนนุ่ม) 3/4 ถ้วย | ไข่ขาว 3 ฟอง | ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา   ส่วนผสมเจลลีน้ำลำไย น้ำเย็น 600 มิลลิลิตร | ผงวุ้น 3 ช้อนชา | ผงเจลาติน 2 ช้อนชา | เนื้อลำไยสด 1 ถ้วย   วิธีทำ ผสมน้ำลำไยสีทอง น้ำมันพืช ไข่แดง และกลิ่นวานิลลาให้เข้ากัน จากนั้นร่อนแป้งเค้กกับผงฟู คนผสมให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์จนขึ้นฟูและตั้งยอดปานกลางผสมกับแป้งเค้กที่เตรียมไว้ ใส่เนื้อลำไย ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-18 นาทีจนสุก พักไว้ให้เย็นแล้วตัดด้วยพิมพ์วงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร เตรียมไว้ ทำเจลลีน้ำลำไยโดยผสมผงเจลาติน ผงวุ้น และน้ำเปล่าให้เข้ากัน พักไว้ 10 นาที จากนั้นต้มให้เดือดปิดไฟ พักให้หายร้อน วางเนื้อเค้กใส่แก้วเสิร์ฟ ราดเจลลีน้ำลำไย แช่ในตู้เย็น 30 นาทีจนเซ็ตตัว ตกแต่งหน้าด้วยเนื้อลำไยสดให้สวยงาม

สาเกเชื่อม ขนมเนื้อฉ่ำหวานเนียนที่หลายคนอาจลืมไปแล้ว นำมาผสมกับครีมอัลมอนด์ทำเป็นทาร์ตสาเกเชื่อม ได้ความหอมจากผงอัลมอนด์และเนื้อสัมผัสหนึบๆ จากสาเกเชื่อม   ส่วนผสมแป้งทาร์ต แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม | น้ำตาลไอซิง 80 กรัม | เกลือ 2 กรัม | เนยจืด 135 กรัม | ไข่ไก่ 20 กรัม | ผงอัลมอนด์ 80 กรัม   วิธีทำ ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน คลุมด้วยพลาสติกแรป พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที จากนั้นรีดเป็นแผ่นบางประมาณ 3 มิลลิเมตร กรุลงพิมพ์ทาร์ตขนาด 8 นิ้ว ตัดขอบให้สวยงาม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 15 นาที จนสุกเหลือง พักไว้ให้หายร้อน ส่วนผสมไส้อัลมอนด์ น้ำตาลไอซิง 100 กรัม | เนยจืด (นุ่ม) 100 กรัม | เกลือป่น 1/4 ช้อนชา | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ | ผงอัลมอนด์ 100 กรัม | ไข่ไก่ 1 ฟอง | ไข่ขาว 1 ฟอง | เนื้อสาเกเชื่อมหั่นเต๋า 1/3 ถ้วย   วิธีทำ ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เทใส่แป้งทาร์ต (ใส่เนื้อสาเกเชื่อมหั่นเต๋า) นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที หรือจนสุก ตกแต่งด้วยเนื้อสาเกเชื่อมบนหน้าให้สวยงาม

ขนมหวานอันเลื่องชื่อที่เปลี่ยนจากกาแฟเป็นน้ำใบเตย สไตล์ไทยโมเดิร์น ใช้เลดี้ฟิงเกอร์ชุบในน้ำใบเตยกับน้ำมะพร้าวอ่อน สลับชั้นกับครีมมาสคาร์โปเนกะทิเนื้อนุ่มฟูและสังขยาใบเตย ตกแต่งด้วยผงใบเตยดูสวยงาม   ส่วนผสมและวิธีทำครีมชีสมาสคาร์โปเนกะทิ ชีสมาสคาร์โปเน 1 1/2  ถ้วย | วิปครีม 2 ถ้วย | กะทิ 1/4 ถ้วย | ไข่แดง 6 ฟอง | น้ำตาลทราย 1 ถ้วย | กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายบนอ่างน้ำร้อนจนขึ้นฟู ยกออก ใส่ชีสมาสคาร์โปเน กะทิ กลิ่นวานิลลา และวิปครีม ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน ส่วนผสมและวิธีทำเลดี้ฟิงเกอร์ ไข่แดง 6 ฟอง | น้ำตาลทราย (1) 75 กรัม | แป้งเค้ก 60 กรัม | ไข่ขาว 6 ฟอง | น้ำตาลทราย (2) 50 กรัม ตีไข่แดงกับน้ำตาลทราย (1) จนขึ้นฟู พักไว้ จากนั้นตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) จนตั้งยอดอ่อน นำไปผสมกับไข่แดง ตะล่อมให้ส่วนผสมเข้ากัน ค่อยๆ ร่อนแป้งเค้กลงไปแล้วตะล่อมให้เข้ากันอีกครั้ง บีบใส่ถาดอบให้เป็นชิ้นยาวต่อกัน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 8 นาที ส่วนผสมและวิธีทำน้ำใบเตย น้ำใบเตย 1 ถ้วย | น้ำมะพร้าว 1 ถ้วย | น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำใบเตย น้ำมะพร้าว และน้ำตาลทรายให้เข้ากัน จากนั้นนำเลดี้ฟิงเกอร์ลงแช่ประมาณ 30 วินาที ใส่พิมพ์เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำไส้ครีมสังขยาใบเตย กะทิ 300 กรัม | นมรสจืด 150 กรัม | น้ำใบเตยเข้มข้น 50 กรัม | น้ำตาลทราย 80 กรัม | ไข่แดง 4 ฟอง | แป้งข้าวโพด 40 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | เจลาติน 2 แผ่น (แช่น้ำเย็น) ใส่ส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนส่วนผสมข้น ปิดไฟ แล้วกรองผ่านกระชอนจนเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแรปให้แนบหน้า พักไว้ให้หายร้อน วิธีประกอบเค้ก วางเลดี้ฟิงเกอร์ลงในพิมพ์สี่เหลี่ยมถอดก้น ขนาด 8×8 นิ้ว ราดครีมมาสคาร์โปเนกะทิ ใส่ครีมสังขยาใบเตย แล้วปิดด้วยเลดี้ฟิงเกอร์ให้ทั่ว ทำซ้ำให้ได้ 3 ชั้น ตกแต่งด้วยครีมมาสคาร์โปเน และโรยผงใบเตยสด ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมให้สวยงาม

คงจะมีน้อยคนที่ไม่รู้จักโมจิ ขนมญี่ปุ่นที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวซึ่งมีรูปแบบต่างๆ โมจิจะจัดว่าเป็นขนมประจำชาติของญี่ปุ่นก็ว่าได้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 และเป็นขนมสำคัญในงานพิธีต่างๆ ตลอดมา   ขนมที่ทำด้วยโมจิโกะ (Mochiko) หรือแป้งข้าวเหนียวของญี่ปุ่นนี้แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ อย่างประเทศจีน ฟิลิปปินส์ เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และในประเทศไทยที่โมจิได้กลายเป็นขนมแป้งจี่ แป้งข้าวเหนียวผสมมะพร้าว น้ำตาล ไข่ไก่ แล้วจี่บนกระทะเป็นชิ้นกลมแบนเล็กๆ   ฉบับนี้เราจะทำโมจิเค้กซึ่งนิยมไปทั่วโลก ต้นกำเนิดอยู่ที่ฮาวาย จากคนญี่ปุ่นซึ่งไปทำงานในไร่สับปะรดคิดทำขึ้น คนฮาวายมักเรียกโมจิเค้กว่า “Hawaiian Butter Mochi” เค้กนี้ทำไม่ยาก ส่วนผสมสำคัญมีกะทิ นมข้นจืด แป้ง และส่วนผสมอื่นๆ ตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ ไม่ต้องตีให้ฟู ปัจจุบันโมจิเค้กมาในหลากหลายรูปแบบ และส่วนมากเรียกชื่ออื่นจนไม่มีคำว่าโมจิ   โมจิเค้กที่ทำนี้มีหลากหลายรสชาติซึ่งส่วนผสมจะแตกต่างกัน แต่เนื้อสัมผัสจะเหมือนกันคือเหนียวหนึบมีรสหวานอ่อนๆ และรสชาติก็แตกต่างกันไปตามส่วนผสมที่ใส่ เช่น โมจิเค้กฟักทอง โมจิเค้กชาเขียว และโมจิเค้กช็อกโกแลต ส่วนผสม Pumpkin Mochi Cake (โมจิเค้กฟักทอง) แป้งโมจิโกะ (Mochiko) 455 กรัม ผงอบเชย 1 ช้อนชา ผงจันทน์เทศ (Nutmeg) 1/2 ช้อนชา ผงขิง 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ หยิบมือ ไข่ เบอร์ 0 3 ฟอง น้ำตาลทรายละเอียด 300 กรัม ฟักทองบด 255 กรัม นมข้นจืด 340 กรัม กะทิ 340 กรัม เนยละลาย 57 กรัม วานิลลา 2 ช้อนชา งาดำ เมล็ดฟักทอง สำหรับโรยหน้า อุปกรณ์ ถาดขนาด 9 × 13 นิ้ว ปูกระดาษไขและทาเนยให้ทั่ว   วิธีทำ ผสมแป้ง ผงอบเชย ผงจันทน์เทศ ผงฟู ผงขิง และเกลือ พักไว้ ในอ่างผสมใส่ไข่ (ตีให้เข้ากันก่อน) น้ำตาลทราย เนื้อฟักทองบด นมข้นจืด และวานิลลา ตีให้เข้ากันดีและเป็นสีเหลือง ใส่ส่วนผสมแป้งและตีให้เข้ากัน เติมกะทิและเนยละลาย ตีให้เข้ากัน เทใส่ถาดที่เตรียมไว้ โรยงาและเมล็ดฟักทอง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้บนตะแกรงจนเย็น (1 ชั่วโมง) เอาออกจากถาดและตัดเป็นชิ้น Note : จะใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเป็นเส้น สับปะรดกระป๋องสับละเอียดลงในส่วนผสมก่อนเทใส่ถาดก็ได้ ส่วนผสม Matcha Mochi Cake (โมจิเค้กชาเขียว) แป้งโมจิโกะ (Mochiko) 130 กรัม ผงชาเขียว 15 กรัม น้ำตาลทรายละเอียด 100 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ หยิบมือ ไข่ เบอร์ 0 1 ฟอง กะทิ 250 กรัม เนยละลาย 22 กรัม อุปกรณ์ ถาดขนาด 8 × 8 นิ้ว ปูกระดาษไขทาเนยให้ทั่ว   วิธีทำ  ผสมแป้ง ผงชาเขียว น้ำตาลทราย ผงฟู และเกลือให้เข้ากัน ใส่ไข่ (ตีให้เข้ากันก่อน) เติมกะทิและเนยละลาย คนให้เข้ากัน เทใส่ถาด นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้บนตะแกรงจนเย็น เอาออกจากถาดและตัดเป็นชิ้น Note : ถ้าจะให้เนื้อเค้กสีเขียวสวยต้องใช้อุจิมัตฉะ (Uji Matcha) ส่วนผสม Chocolate Mochi Cake (โมจิเค้กช็อกโกแลต) แป้งโมจิโกะ (Mochiko) 130 กรัม ผงโกโก้ 60 กรัม น้ำตาลทรายละเอียด 100 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ หยิบมือ ไข่ เบอร์ 0 2 ฟอง กะทิ 250 กรัม น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ วานิลลา 1 ช้อนชา อุปกรณ์ ถาดขนาด 8 × 8 นิ้ว ปูกระดาษไขทาเนยให้ทั่ว   วิธีทำ ผสมแป้ง ผงโกโก้ น้ำตาล ผงฟู และเกลือ คนให้เข้ากัน พักไว้ ในอ่างผสมอีกใบตีไข่ให้เข้ากัน เติมกะทิ น้ำมันพืช และวานิลลา ตีจนเป็นฟอง ใส่ส่วนผสมแป้ง ตีให้เข้ากันดี เทใส่ถาด นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้บนตะแกรงจนเย็น เอาออกจากถาดและตัดเป็นชิ้น Note : จะใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้นในส่วนผสมก่อนอบก็ได้

ส่วนผสม (สำหรับ 3-4 ที่) แป้งเค้ก 70 กรัม น้ำลูกตาลสด 30 กรัม กะทิ 20 กรัม น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ วิปปิงครีม 45 กรัม ไข่ขาว 3 ฟอง ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา วิปครีม 2 ถ้วย เนื้อลูกตาลสดหั่นเส้น 1 ถ้วย วิธีทำ ผสมน้ำลูกตาล กะทิ น้ำมันพืช และวิปปิงครีมให้เข้ากัน จากนั้นร่อนแป้งใส่ คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์จนขึ้นฟู ตักใส่แป้งเค้กที่เตรียมไว้ ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่ถาดขนาด 37×29 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาทีจนสุก พักไว้ให้เย็น ปาดวิปครีมหนาประมาณ 2 เซนติเมตรให้ทั่วเนื้อเค้ก วางเนื้อลูกตาลตรงกลาง ม้วนเนื้อเค้กพร้อมกับกระดาษไข จัดทรงให้สวยงาม พักไว้ในตู้เย็น 1-2 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว ตัดเสิร์ฟขนาดตามต้องการ

แตงไทย ผลไม้ไทยที่มีกลิ่นหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ นำมาทำเป็นเค้กสไตล์มินิมอล ไส้ตรงกลางเป็นแยมแตงไทยผสมกับเนื้อแตงไทยสด ตกแต่งด้วยครีมกะทิดูเรียบง่ายและสวยงาม   ส่วนผสมสำหรับเค้ก (สำหรับ 3 ที่) ไข่แดง 3 ฟอง | น้ำเมลอน 50 กรัม | น้ำตาลทราย (1) 50 กรัม | น้ำมันรำข้าว 50 กรัม | แป้งเค้ก 90 กรัม |  ผงฟู 1/2 ช้อนชา | เกลือ 1/4 ช้อนชา | กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา | ไข่ขาว 3 ฟอง | น้ำตาลทราย (2) 50 กรัม | ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา | วิปครีมและเนื้อแตงไทยสกูปสำหรับตกแต่งเล็กน้อย   วิธีทำ ผสมไข่แดงกับน้ำตาลทราย (1) น้ำเมลอน เกลือ กลิ่นวานิลลา และน้ำมันรำข้าวให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ใส่แป้งเค้กและผงฟู คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกรอบพักไว้ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) และครีมออฟทาร์ทาร์ ตีส่วนผสมจนขึ้นฟูและตั้งยอดปานกลาง นำไข่ขาวผสมกับแป้งเค้กที่เตรียมไว้ ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์เค้ก 1/2 ปอนด์ จำนวน 2 พิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที หรือจนเค้กสุก ส่วนผสมและวิธีทำแยมแตงไทย เนื้อแตงไทย 2 ถ้วย | น้ำตาลทราย 1 ถ้วย | กะทิ 1/4 ถ้วย | แป้งกวนไส้ (Modified Starch) 1 ช้อนโต๊ะ | เนื้อแตงไทยหั่นเต๋า 1 ถ้วย ผสมทั้งหมดให้เข้ากันลงในหม้อ (ยกเว้นเนื้อแตงไทยหั่นเต๋า) นำขึ้นตั้งไฟกวนส่วนผสมจนข้น พักไว้ให้เย็นแล้วปั่นให้เนื้อเนียน ใส่เนื้อแตงไทยหั่นเต๋าลงคลุกให้เข้ากัน วิธีตกแต่ง วางเค้กลงบนแท่นหมุน ใส่แยมแตงไทยตรงกลาง ปิดด้วยเนื้อเค้กอีกชิ้น จากนั้นตกแต่งด้วยวิปครีมให้ทั่วทั้งชิ้น วางเนื้อแตงไทยสกูปให้สวยงาม

เมนูขนมไทยทำไม่ยากที่เปลี่ยนจากหน้ากะทิเป็นหน้าสังขยาใบเตยหอมๆ รสชาติเข้มข้นละมุนละไม ได้ทั้งความกรอบและความนุ่มนวลในคำเดียว   ส่วนผสมแป้งขนมครก แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง กะทิ 3/4  ถ้วย น้ำปูนใส 3/4 ถ้วย ส่วนผสมสังขยาใบเตย กะทิ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ น้ำใบเตยข้นๆ 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา วิธีทำ ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งสาลี น้ำตาลทราย ไข่ไก่ และน้ำปูนใส คนให้เข้ากัน ใส่กะทิ คนให้เข้ากัน พักไว้ ตั้งเตาทาโกะยากิให้ร้อน ทาน้ำมันบางๆ ตักแป้งหยอดให้บางๆ รอจนสุกกรอบ ตักใส่จานพักไว้ ทำสังขยาใบเตยโดยผสมกะทิ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวโพด คนให้เข้ากัน ใส่น้ำใบเตยและเกลือ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตั้งเตาใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน คนไปเรื่อยๆ จนสังขยาสุกข้น ยกลง จัดแป้งขนมครกใส่จาน ใส่ไส้สังขยา เสิร์ฟ  

น่ารักอร่อยคูณ 2 เมื่อแป้งแพนเค้กนุ่มๆ มาจับคู่กับโมจิเนื้อหนึบหนับ ท็อปด้วยวิปครีมและผลไม้สดหรือฝอยทอง ถูกใจคนรักของหวาน   ส่วนผสมแป้งโมจิ แป้งข้าวโพด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย นมสด 2/3 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนโต๊ะ เนยสดเค็ม 1/3 ถ้วย ส่วนผสมแป้งแพนเค้ก แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย ไข่ไก่ 2 ฟอง ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา นมสด 1/3 ถ้วย น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ฝอยทอง ลูกเกด วิปครีม และผลไม้ตามชอบ วิธีทำ เตรียมแป้งโมจิโดยผสมแป้งข้าวโพด แป้งข้าวเหนียว นมสด และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน กรองใส่ชาม นำเข้าไมโครเวฟ 1-2 นาทีจนแป้งสุก ใส่เนยสดแล้วนวดให้แป้งนุ่ม พักไว้ ทำแป้งแพนเค้กโดยผสมแป้งสาลี น้ำตาลทราย และผงฟู ใส่เกลือ คนให้เข้ากัน ใส่นมสดและไข่ไก่ คนให้เข้ากัน เติมน้ำมัน คนให้เข้ากัน ตั้งกระทะพอร้อน ตักส่วนผสมแป้งแพนเค้กหยอดลงในกระทะ พอแป้งเริ่มสุกใส่แป้งโมจิ ใส่ฝอยทอง โรยลูกเกด พับครึ่ง จัดใส่จาน ทำหน้าครีมผลไม้โดยหยอดแป้งแพนเค้กลงในกระทะ พอสุกใส่แป้งโมจิ แล้วใส่วิปครีม แต่งด้วยผลไม้ตามชอบ

เมนูพุดดิงเพื่อสุขภาพเปลี่ยนจากเมล็ดเจีย (Chia Seed) เป็นเมล็ดแมงลักไทยจากสวน นำมาผสมกับกาแฟ กรีกโยเกิร์ต และครีม ท็อปด้วยชีสมาสคาร์โปเนผสมกับน้ำแก้วมังกรสีแดง เป็นเมนูทีรามิสุพุดดิงที่เข้มข้นและสวยงาม ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เมล็ดแมงลักไทย 1/3 ถ้วย ผงกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) 1 1/2 ช้อนโต๊ะ กรีกโยเกิร์ต 1 ถ้วย วิปปิงครีม 1 1/2  ถ้วย น้ำผึ้งป่า 3 ช้อนโต๊ะ น้ำแก้วมังกรสีแดง 1/3 ถ้วย ชีสมาสคาร์โปเน 1 ถ้วย ลูกฟิกสด 1-2 ผล วิธีทำ ปั่นเมล็ดแมงลักกับผงกาแฟสำเร็จรูป กรีกโยเกิร์ต และวิปปิงครีมให้เข้ากัน ใส่น้ำผึ้งป่า ปั่นต่อเล็กน้อย ชิมรสตามชอบ ตักใส่แก้วเสิร์ฟ พักไว้ในตู้เย็น 1 คืน (รอให้เมล็ดแมงลักพองขึ้น) ผสมชีสมาสคาร์โปเนกับน้ำแก้วมังกรให้เข้ากัน ตักใส่แก้วพุดดิงเมล็ดแมงลักที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยลูกฟิกสดและดอกไม้กินได้ให้สวยงาม