“อร่อยจังเลยค่ะ ป้าเจี๊ยบ”   ทันทีที่กิน คุกกี้สารพัดถั่ว ของป้าเจี๊ยบ น้องแพรและน้องก๋อน หลานหมายเลข 4 และ 5 พูดเหมือนกันเป๊ะ!   ป้าเจี๊ยบทำคุกกี้สารพัดถั่วเป็นของกินเล่นในวันครอบครัวสัญจรที่พูลวิลล่าจอมเทียนค่ะ การยกครอบครัวออกไปนอกบ้านครั้งแรกคือที่สัตหีบนั้น สมาชิกติดใจมากมาย ขอให้ป้าเจี๊ยบจัดครั้งต่อไปอีก ป้าเจี๊ยบยินดีสิคะ แต่ยกหน้าที่ผู้จัดให้ไม้ไผ่ ใบตอง หลานหมายเลข 1 และ 2 ทำแทน ป้าเจี๊ยบอยู่เฉยๆ เป็นสปอนเซอร์อย่างเดียว...ฮา!   แม้จะมอบหน้าที่ให้หลานๆ ไปแล้วป้าเจี๊ยบก็อยู่เฉยไม่เป็น หาเรื่องทำอาหารและขนมติดมือไปด้วย คุกกี้สารพัดถั่วที่ทำไปนั้นเป็นขนมที่ป้าเจี๊ยบแน่ใจว่าทุกคนจะต้องชอบถึงระดับเบรกแตก กินชิ้นเดียวหยุดไม่ได้!   วิธีทำของป้าเจี๊ยบเริ่มด้วยการกรุกระดาษไขรองอบในถาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 7×7 นิ้ว โดยให้กระดาษไขเกินออกมาทั้ง 4 ด้าน เพื่อจะได้ยกขนมที่เสร็จแล้วออกมาได้ง่าย เตรียมไว้ก่อน   จากนั้นเตรียมถั่วต่างๆ ค่ะ มีพีแคน 1/3 ถ้วยตวง พิสตาชิโอ 1/3 ถ้วยตวง อัลมอนด์ 1/3 ถ้วยตวง เฮเซลนัต 1/3 ถ้วยตวง วอลนัต 1/3 ถ้วยตวง และเมล็ดฟักทอง 1/3 ถ้วยตวง   ป้าเจี๊ยบจะอบบรรดาถั่วทั้งหลายทีละอย่างก่อนค่ะ อบรวมๆ กันไม่ได้เพราะถั่วแต่ละชนิดสุกไม่พร้อมกัน ใส่ถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อน 150 องศาเซลเซียส หรือ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 8-10 นาที ต้องคอยเฝ้าไม่ให้ไหม้ เมื่อสุกเป็นสีเข้มขึ้นแล้ว นำถาดออกมาวางพักไว้ให้เย็น ถ้าใช้ถั่วแบบอบแล้วข้ามขั้นตอนนี้ได้ แต่ป้าเจี๊ยบชอบซื้อแบบดิบมาอบเอง   ทำแป้งโดคุกกี้ มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 3/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา และน้ำตาลทรายละเอียด 6 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในชาม ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วเทเนยแท้รสจืด 1/2 ถ้วยตวงที่ทำให้ละลายแล้วใส่ลงไป ใช้พายซิลิโคนคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เทแป้งโดลงในถาดอบที่เตรียมไว้ ใช้มือเกลี่ยและกดให้ผิวเรียบแน่นเสมอกัน วางพักไว้ ต่อไปป้าเจี๊ยบเทน้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn Syrup) 1/2 ถ้วยตวง นมข้นจืด 1/3 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายแดง 3/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา แป้งเค้ก 1 ช้อนโต๊ะ และเนยแท้รสเค็ม 1/3 ถ้วยตวง ลงในกระทะ ตั้งไฟปานกลาง ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อสังเกตว่ามีความข้นเหนียวขึ้นจึงใส่ถั่วทั้งหมดที่พักไว้ลงไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วเทลงในถาดแป้งโดที่เตรียมไว้ เกลี่ยถั่วให้เสมอกัน   นำถาดเข้าเตาอบที่ปุ่มความร้อน 175 องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง และปุ่มเวลา 20 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง ก็ยกถาดออกมาวางพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงยกกระดาษไขขึ้นเพื่อนำขนมออกจากถาด ดึงกระดาษไขออกแล้วใช้มีดตัดแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ป้าเจี๊ยบตัดเป็นชิ้นพอคำได้ 36 ชิ้นค่ะ   น้องแพรและน้องก๋อนเบรกแตกไปเรียบร้อยแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ เบรกแตกตามมาติดๆ ฮา!   ป้าเจี๊ยบคิดว่านี่แหละ...เหมาะจะทำเป็นของขวัญแก่ญาติมิตรในโอกาสวันปีใหม่ที่จะถึงนี้เล้ยยยย…

เมนูคุกกี้ทำง่ายของหวานสุดเก๋ในช่วงคริสต์มาส   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เนยสดรสจืด 150 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง สีผสมอาหารชนิดเจล สีเขียวมินต์ 2-3 หยด ลูกปัดน้ำตาลตามชอบ วิธีทำ คนเนยสด น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกันจนเป็นครีม ใส่ไข่ไก่ ตีต่อให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลี ผสมให้เข้ากัน แบ่งไว้เล็กน้อย ใส่สีผสมอาหาร ผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ บีบเป็นรูปต้นสนและวงกลม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 155 องศาเซลเซียส เวลา 15 นาที หรือจนสุก พักคุกกี้ให้เย็น ใช้ไวต์ช็อกโกแลตละลายแต้มบนคุกกี้ ติดด้วยลูกปัดน้ำตาล 

ส่วนผสมและวิธีทำผลไม้แห้งแช่เหล้ารัม เนื้อเชอร์รีในน้ำเชื่อม 200 กรัม | เนื้อมะม่วงตากแห้ง 200 กรัม | เนื้อสับปะรดตากแห้ง 200 กรัม | เนื้อมะละกอตากแห้ง 200 กรัม | ลูกเกด 200 กรัม | มิกซ์เบอร์รีตากแห้ง 300 กรัม | เหล้ารัม 1 ลิตร ลวกขวดแก้วที่จะแช่ผลไม้ด้วยน้ำร้อน เช็ดให้แห้ง ใส่ผลไม้แห้งในขวด ใส่เหล้ารัมจนท่วมผลไม้แห้ง ปิดฝาให้สนิท วางไว้ในที่ไม่โดนแสงประมาณ 1 เดือน ส่วนผสมฟรุตเค้ก (สำหรับ 4 ปอนด์) บราวน์บัตเตอร์ 400 กรัม | น้ำตาลทรายแดง 450 กรัม | ไข่ไก่ 8 ฟอง | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 420 กรัม | ผงฟู 1 1/2 ช้อนชา | ผงอบเชย 3 ช้อนชา | ผลไม้แห้งแช่เหล้ารัม 900 กรัม | เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 450 กรัม | กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา | ผงออลสไปซ์ (All Spice) 1 ช้อนชา | ผงลูกจันทน์เทศ (Nutmeg) 1 ช้อนชา | ผลไม้สำหรับตกแต่งหน้าเค้กตามชอบ   วิธีทำ ตีบราวน์บัตเตอร์ น้ำตาลทรายแดง และไข่ไก่ด้วยหัวตีใบไม้ (Paddle) ในเครื่องผสมให้เข้ากัน ค่อยๆ ร่อนแป้ง และผงฟูใส่ลงไป ใช้ความเร็วต่ำตีผสมให้เข้ากัน ใส่ผงอบเชย กลิ่นวานิลลา ผงออลสไปซ์ และผงลูกจันทน์เทศ ผสมต่อให้เข้ากันสักครู่ ใส่เนื้อผลไม้แช่เหล้า และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผสมให้เข้ากันดี เทใส่พิมพ์ขนาด 4 ปอนด์ที่ทาเนยและร่อนแป้งเตรียมไว้ เทใส่ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 30-45 นาที จนเค้กสุก พักไว้บนตะแกรงให้หายร้อน นำเหล้าที่ได้จากการแช่ผลไม้แห้งพรมให้ทั่วเค้ก แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น ทำซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความชอบ) ตกแต่งบนหน้าเค้กด้วยผลไม้สดตามชอบให้สวยงาม

ชวนทำเมนูขนมปังฟักทอง หน้าตาน่ารักน่ากินเหมือนผลฟักทองจริงๆ อร่อยกันได้ทั้งบ้าน   ส่วนผสม เนื้อฟักทองนึ่งบด 1 ถ้วย แป้งขนมปัง 430 กรัม ยีสต์แห้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา นมสด 1/4 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 1 ฟอง เนยสด 1/4 ถ้วย   วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย ยีสต์ และเกลือลงในโถผสม ใส่เนื้อฟักทอง ตีให้พอเริ่มเข้ากัน ใส่ไข่ไก่ ตีไปเรื่อยๆ ใส่นมขณะเครื่องทำงาน พอส่วนผสมเข้ากันใส่เนยสด ตีจนแป้งเนียน พักแป้งไว้ 45 นาทีจนขึ้นเป็น 2 เท่า นำแป้งออกจากพิมพ์ ตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ คลึงให้กลม มัดด้วยเชือกให้เป็นทรงผลฟักทอง พักแป้งไว้ 15 นาที ทาแป้งด้วยไข่แดงผสมน้ำ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาทีจนสุก พักไว้ ติดขั้วด้วยแท่งขนมปังกรอบ  

เค้กหลุยส์ (Louise Cake) เป็นขนมที่อร่อยชนิดหนึ่งของประเทศนิวซีแลนด์ มีชื่อเสียงพอๆ กับพาฟโลวา ขนมที่ทำจากเมอแรงก์ เนื้อเบา กรอบ ถ้าใครไปเที่ยวนิวซีแลนด์ก็จะเห็นขายตามร้านขนมทั่วไป   ขนมนี้ประกอบด้วยฐานที่เป็น Shortbread ไส้ราสป์เบอร์รีหรือพลัม ปิดด้วยเมอแรงก์มะพร้าวและ/หรืออัลมอนด์ ว่ากันว่าทำขึ้นเพื่อฉลองการแต่งงานของเจ้าหญิงหลุยส์ ธิดาองค์หนึ่งของพระราชินีวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ปัจจุบันเค้กหลุยส์จะมาในหลายรูปแบบ ฐานบางทีเป็นเค้กมะพร้าว ไส้อาจจะเป็นผลไม้สด เช่น พีช แอปริคอต เชอร์รี และเมอแรงก์อัลมอนด์   เค้กนี้เมื่อทำเสร็จแล้วเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 2 สัปดาห์   Louise Cake ส่วนผสมฐานเค้ก เนยอุณหภูมิห้อง 130 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ผิวเลมอน 1 ผล ไข่แดงเบอร์ 0 3 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 110 กรัม ผงอัลมอนด์ 35 กรัม ผงฟู 5 กรัม เกลือ 3 กรัม นมข้นจืด 80 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา อุปกรณ์ พิมพ์ถอดได้ขนาด 12×10 นิ้ว กรุกระดาษไข ทาเนย เตรียมไว้   วิธีทำ ตีเนยกับน้ำตาลทรายจนฟู ใส่ไข่แดงทีละฟอง ตีพอเข้ากัน ผสมแป้ง ผงอัลมอนด์ ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ลงในส่วนผสมเนยสลับกับนมข้นจืด ใส่ผิวเลมอน และวานิลลา เทใส่พิมพ์แล้วเกลี่ยหน้าให้เสมอกัน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส อบนาน 20-30 นาที นำออกจากเตา พักสักครู่ให้คลายร้อน ส่วนผสมไส้ผลไม้ ลูกพลัมสด 10 ผล แยมผลไม้สีแดง 3 ช้อนโต๊ะ เหล้ารัม 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ หั่นพลัมออกเป็นผลละ 8 ชิ้น ใส่แยมและเหล้ารัมในกระทะ ตั้งไฟพอเดือด ใส่ลูกพลัม คนจนน้ำแห้ง พักไว้   ส่วนผสมเมอแรงก์ ไข่ขาว 140 กรัม เกลือ หยิบมือ น้ำตาลทราย 180 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา อัลมอนด์สไลซ์ 60 กรัม มะพร้าวอบแห้ง 20 กรัม วิธีทำ ใส่เกลือในไข่ขาว ตีจนตั้งยอดอ่อน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายจนหมด ตีจนยอดแข็ง ใส่วานิลลา แป้งข้าวโพด และน้ำส้มสายชู ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่อัลมอนด์และมะพร้าวอบแห้ง ตะล่อมให้เข้ากัน วิธีประกอบเค้ก ตักลูกพลัมวางบนฐานเค้ก จะวางเรียงให้เป็นระเบียบก็ได้ ไข่ขาวหรือเมอแรงก์จะเกาะมากกว่า แต่อย่าวางซ้อนกัน ตักเมอแรงก์วางบนหน้า นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที หรือจนหน้ามีสีเหลืองสวย นำออกจากเตาอบ พักไว้อย่างน้อย 30 นาที ก่อนตัดเสิร์ฟ

Blue by Alain Ducasse ห้องอาหารสัญชาติฝรั่งเศสมิชลินสตาร์ 1 ดาว ของเชฟอลัง ดูคาส (Alain Ducasse) ที่ตั้งอยู่ในไอคอนสยาม ศูนย์การค้าชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รังสรรค์ Bespoke Afternoon Tea มานำเสนอเป็นครั้งแรกของร้าน จากฝีมือเชฟคนใหม่ของครอบครัวบลู เชฟคริสตอฟ กรีโล (Chef Christophe Grilo) ผู้อยู่เบื้องหลังชุดน้ำชารสเลิศและขนมซิกเนเจอร์ ปาเนตโตเน (Panettone) แสนอร่อย เชฟคริสตอฟ กรีโล (Chef Christophe Grilo) เชฟชาวฝรั่งเศสผู้มีสีหน้าดูเข้มและดุดัน แต่แฝงด้วยอารมณ์ขันเมื่อได้พูดคุย เชฟเติบโตและเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศสก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวและทำงานหลากหลายที่ในตำแหน่ง Executive Pastry Chef เช่น l'Orangerie Relais et Chateaux Los Angeles จนกระทั่งเปิดร้านเบเกอรี่ชื่อ Canelé Pâtisserie Chocolaterie ที่สิงคโปร์กว่า 10 ปี จึงได้มาทำงานที่ไทย   เมื่อพูดถึงคอนเซ็ปต์อาฟเตอร์นูนที เชฟบอกว่า “ผมต้องการทำสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากอาฟเตอร์นูนทีให้มากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าเรามีอะมุสบุช (Amuse-bouche) ทั้งของคาวและหวานที่ทำใหม่ทุกครั้งเมื่อจะเสิร์ฟ นอกจากเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีแล้วจะมีโทรลลีย์ขนมหวานหลากหลาย เช่น Rum Baba, Lemon Tarte, Strawberry Short Cake French Style และขนมอื่นๆ ผมอยากให้คนได้มาชิมแล้วมีความสุขและอบอุ่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศในทุกช่วงเวลาที่เข้ามาในที่แห่งนี้”   แล้วเซ็ตอาฟเตอร์นูนทีควรจะเป็นเช่นไร? เชฟบอกว่าโดยทั่วไปต้องมีเชิงหรือชั้นสำหรับใส่ของคาวและของหวานอย่างละครึ่งๆ ของหวานก็ยังแบ่งเป็นของหวานกึ่งคาว (Savory Sweet) และของหวาน (Sweet-Sweet) แล้วแต่ว่าบ้านไหนอยากจะเสิร์ฟอะไร ถ้าเป็นร้านอาหารอย่างที่นี่จะมาพร้อมรถเข็น (Trolly) ที่มีขนมหรือของว่างเพิ่มเติม โดยเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และจะต้องจับคู่กับชาชั้นดีเพื่อเพิ่มความสุนทรี สำหรับ “Panettone” แปลว่า “ขนมปังก้อนใหญ่” เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟคริสตอฟ รสชาติเข้มข้น ได้กลิ่นหวานหอมจากเปลือกส้มและลูกเกด จัดว่าเป็นขนมปังที่ทำยากเมนูหนึ่ง เชฟเริ่มทำเมื่อ 15 ปีก่อน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 โดยมีเชื้อหมักซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของขนมปังชนิดนี้ที่เรียกว่า “Pasta Madre” หรือ “Levain” ยีสต์ตั้งต้นหมักแบบธรรมชาติที่เชฟเลี้ยงด้วยแป้งและน้ำในทุกๆ เช้า   ขั้นตอนการทำก็ต้องใช้เวลากว่า 40 ชั่วโมง หรือประมาณ 3 วัน เริ่มตั้งแต่หมักแป้ง พักแป้ง อบ และพักให้เย็น ต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอน และใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก ความพิเศษยังอยู่ที่หลังอบเสร็จจะต้องเสียบไม้ที่ฐานแล้วแขวนคว่ำหน้าขนมปังลงประมาณ 12 ชั่วโมง จะทำให้เนื้อขนมปังเป็นโพรงสวย เพราะความเข้มข้นของไข่และเนยจะทำให้ยุบตัวเมื่อเย็นลง   แค่ฟังรายละเอียดก็เชื้อเชิญให้ไปชิมอาฟเตอร์นูนทีที่น่าประทับใจนี้ Panettone ปาเนตโตเน ส่วนผสมแป้งโดที่ 1 (สำหรับ 1 ชิ้น นำหนักประมาณ​ 500 กรัม) แป้งขนมปัง 140 กรัม ยีสต์ตั้งต้น (Pasta Madre) 30 กรัม น้ำเปล่า 40 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง เนยจืด (อุณหภูมิห้อง) 80 กรัม วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องผสม (ยกเว้นเนย) ใช้หัวตีตะขอ (Dough Hook) นวดให้เนื้อเนียนสักพัก เมื่อแป้งเริ่มไม่ติดโถผสมให้ใส่เนย แล้วนวดต่อให้พอเข้ากัน นวดด้วยความเร็วระดับ 1 ประมาณ 12 นาที และต่อด้วยความเร็วระดับ 2 ประมาณ 8 นาที จนเนยกับแป้งเข้ากันและเนื้อเนียน พักแป้งไว้ในกล่องพลาสติกที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส นาน 16 ชั่วโมง ส่วนผสมแป้งโดที่ 2 แป้งโดที่ 1 แป้งขนมปัง 20 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ไข่แดง 50 กรัม เนื้อส้มบด 10 กรัม กลิ่นวานิลลา 5 กรัม น้ำผึ้ง 12 กรัม เกลือ 3 กรัม เนยจืด 80 กรัม ลูกเกดดำ 50 กรัม ผิวส้มเชื่อม 50 กรัม วิธีทำ ผสมแป้งโดที่ 1 กับแป้งขนมปัง น้ำตาลทราย เกลือ และไข่แดงในเครื่องผสมด้วยความเร็วระดับ 1 นาน 15 นาที ใส่เนย กลิ่นวานิลลา น้ำผึ้ง และเนื้อส้มบด ผสมต่ออีก 15 นาทีจนเนื้อเนียน ใส่ลูกเกดและผิวส้มเชื่อม ผสมต่อสักครู่ด้วยความเร็วระดับ 1 ประมาณ 2 นาที เทแป้งใส่ชาม พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วพับแป้งให้เป็นทรง นำไปใส่พิมพ์ปาเนตโตเน พักแป้งต่อในอุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส นาน 14 ชั่วโมง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 50 นาที เมื่ออบจนสุกให้นำไม้แหลมยาวๆ 2 ไม้เสียบที่ฐานแล้วนำไปแขวนคว่ำหน้าลง พักไว้ 12 ชั่วโมง

ขนมตาล...   ป้าเจี๊ยบชอบกินขนมตาลมากค่ะ สมัยก่อนเห็นที่ไหนเป็นต้องซื้อมากิน แต่กัดคำเดียวก็คายทิ้งทุกครั้ง เพราะไม่ได้กลิ่นตาล ลิ้นสัมผัสบอกว่าเหมือนกินแป้งใส่สีเหลือง ไม่ใช่ขนมตาลแบบที่เคยกิน ถอดใจหันหลังให้ขนมตาลมานับสิบปี ใครคะยั้นคะยอก็ไม่เปลี่ยนใจ   แต่แล้ววันหนึ่ง เห็นโฆษณาออนไลน์ขายเนื้อลูกตาลสุก ยีสดๆ บรรจุขวด รีบสั่งขนาด 500 กรัมมา 1 ขวดทันที จัดการทำขนมตาลโบราณที่หอมกลิ่นตาลและเจือรสเปรี้ยวนิดๆ ติดปลายลิ้น กินจนจุใจ หายอยาก เนื้อตาลยีเหลือประมาณ 1/3 ขวด เก็บแช่แข็งไว้ อยากกินเมื่อไรค่อยทำอีก   แช่แข็งไว้นาน...จนกระทั่งเพื่อนชาวคณะเรื่อยเปื่อยเปรยว่าอยากกินปู ป้าเจี๊ยบจึงจัดทัวร์ 3 วัน ขับรถพาเพื่อนๆ ไปคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ แวะเที่ยวกันไปเรื่อยๆ ทั้งถ้ำเขาหลวง วนอุทยานปราณบุรี บึงบัวสามร้อยยอด ถ้ำพระยานคร พอถึงคลองวาฬได้กินปูสดๆ หวานๆ เต็มอิ่ม จัดให้โดยเจ้าถิ่น ศรีสุลักษณ์ เจียมเจิม    ในระหว่างเที่ยวพวกเราถือคติว่าต้องกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ละคนซื้อโน่นนี่ไปตามอัธยาศัย ป้าเจี๊ยบเจอจาวตาลเชื่อมสิคะ ปิ๊งๆๆ ไอเดียเค้กจาวตาลใส่เนื้อลูกตาลยีขึ้นมาทันที...เย้!   ใครๆ ทำเค้กเนื้อลูกตาล พายลูกตาล ป้าเจี๊ยบจะทำเค้กจาวตาล ของหายาก สืบค้นสรรพคุณพบว่ามีฟอสฟอรัสสูง เสริมสร้างกระดูก คนโบราณใช้รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี ภาวะน้ำดีข้น อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อน   กลับถึงพระนคร พักผ่อนจนหายเมื่อยล้า ไม่รอช้าทำตามที่คิดไว้ทันที หยิบเนื้อลูกตาลยีแช่แข็งออกมาวางทิ้งไว้จนละลาย เตรียมถาดอบขนาด 8×8 นิ้ว ปูด้วยกระดาษรองอบ แล้ววอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์   เตรียมชามแห้ง มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมทั้งหมดให้กลมกลืนกันดี   ถึงเวลาทำชามเปียกค่ะ ป้าเจี๊ยบใช้ตะกร้อมือตีเนยแท้รสจืด (อุณหภูมิห้อง) 30 กรัม น้ำมันมะพร้าว 20 กรัม และน้ำตาลทรายแดง (ร่อนก่อน) 100 กรัม จนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด ใส่ไข่ไก่เบอร์สาม 1 ฟอง ตีต่อให้เข้ากัน จากนั้นใส่เนื้อลูกตาลยี 120 กรัม แล้วตีต่อจนเนียนเป็นครีม ใส่เนื้อจาวตาลเชื่อมหั่นเต๋า 1/3 ถ้วยตวงลงไป คนให้เข้ากัน     เทชามแห้งลงไปในชามเปียก ใช้พายซิลิโคนตะล่อมๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เทใส่ถาดแล้วเกลี่ยหน้าให้เสมอกัน กระแทกถาด 3-4 ครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศ วางเรียงเนื้อจาวตาลเชื่อมหั่นเส้นไว้ด้านบนเป็นแถวๆ   นำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 30 นาที กลิ่นตาลหอมฟุ้งมาก่อนเสียงติ๊งเลยค่ะ พอครบเวลาแล้วป้าเจี๊ยบยกถาดออกมาวางพักไว้ประมาณ 10 นาที จึงนำเค้กออกจากถาดมาผึ่งบนตะแกรง   ป้าอี๊ดแผนกคิวซีตามกลิ่นมานั่งรออยู่แล้ว ป้าเจี๊ยบตัดเค้กเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมได้ 16 ชิ้น เนื้อเค้กสีเหลืองลูกตาลสวยเลยค่ะ จัด 2 ชิ้นใส่จาน แต่งหน้าด้วยจาวตาลเชื่อมเพิ่มอีกหน่อย ชิมกันสิคะ   ป้าเจี๊ยบขอไปชงชาก่อน ตอนถือถ้วยชากลับมาได้ยินเสียงป้าอี๊ดถามว่า “กินอีกได้มั้ย?”   อ้าว! จานของป้าอี๊ดเกลี้ยงแล้วนิ...อิอิ ตามสบายเลยเพื่อน!

โปรตุเกสเป็นประเทศที่มีอาหารและขนมหลากหลาย ขนมส่วนใหญ่ทำด้วยไข่ เช่น Fio de Ovos (ขนมฝอยทองของเรา) Pastel de Nata (ทาร์ตไข่) Arroz Doce (พุดดิงข้าว) Rabanadas (ขนมปังชุบไข่) Dom Rodrigo (ฝอยทองจับเป็นรูปภูเขาโรยอบเชย) Pao de Deus (บันเนื้อบริออชโรยน้ำตาล) Ovos Moles (ไข่แดงกวนกับน้ำตาลห่อด้วยแป้งบางๆ) ขนมหลายชนิดทำด้วยไข่แดง บางชนิดขายในท้องถิ่นที่กำเนิด แต่มีขนมชนิดหนึ่งขายทั่วประเทศและแทบทุกร้านขนม คือ Bolos De Arroz (เค้กข้าวเจ้า) ทานกันเป็นอาหารเช้า ของว่าง ทานกับกาแฟ   ขนมข้าวเจ้านี้แต่เดิมทำด้วยแป้งข้าวเจ้าล้วนๆ แต่ในปัจจุบันหลายร้านผสมแป้งสาลีเพื่อให้เนื้อเบาขึ้น ขนมนี้ทำกันมานานหลายร้อยปีแล้ว และมีในประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสทุกประเทศ ผู้เขียนได้ทานครั้งแรกที่มาเก๊าเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว และก็ไม่พบอีกเลยจนเมื่อได้ไปเที่ยวโปรตุเกสเมื่อเร็วๆ นี้ ขนมนี้เป็นรูปทรงกระบอก อบในพิมพ์กลมสูง 3-4 นิ้ว   ทำไมขนมจากแป้งข้าวเจ้าจึงเป็นขนมยอดนิยมอย่างหนึ่ง คำตอบคือเมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าวเจ้าเป็นของหายากและมีราคาแพง ขนมทำด้วยแป้งข้าวเจ้าจึงเป็นของแปลก ปัจจุบันขนมนี้แม้จะมีขายในร้านขนมแทบทุกร้าน เนื้อขนมของแต่ละร้านก็ไม่เหมือนกัน บางร้านเนื้อแน่นหนัก บางร้านเนื้อร่วนแต่จะไม่เบา   เป็นขนมง่ายๆ ที่ทำได้ไม่ยาก   Bolos De Arroz ส่วนผสม แป้งข้าวเจ้า 240 กรัม ผงฟู 8 กรัม เบกกิงโซดา 1 กรัม เกลือ 2 กรัม เนย 85 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม นม 240 กรัม ไข่ เบอร์ 0 2 ฟอง (น้ำหนักรวมไม่เกิน 120 กรัม) ไข่แดง 1 ฟอง ผิวเลมอน 3 กรัม น้ำเลมอน 20 กรัม วานิลลา 5 กรัม น้ำตาลสำหรับโรยหน้า 110 กรัม มะพร้าวขูดแห้ง 150 กรัม อุปกรณ์ พิมพ์ทรงสูง 3 นิ้ว   วิธีทำ ผสมแป้งข้าวเจ้า ผงฟู เบกกิงโซดา และเกลือ พักไว้ ผสมน้ำตาลสำหรับโรยหน้ากับมะพร้าว เตรียมไว้โรยหน้าขนม ในอ่างผสมตีเนยกับน้ำตาลทรายจนฟูเบา ผสมไข่ ไข่แดง นม ผิวเลมอน น้ำเลมอน และวานิลลาลงในส่วนผสมเนย ผสมให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมแป้งทีละน้อยจนหมด ตีพอเข้ากัน หยอดลงครึ่งหนึ่งของพิมพ์ พักไว้ 20 นาที โรยหน้าขนมด้วยน้ำตาลและมะพร้าวครึ่งหนึ่ง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที (เวลาอบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของพิมพ์) นำออกจากเตาอบ โรยน้ำตาลและมะพร้าวที่เหลือ ทานร้อนๆ

ขนมปังมะพร้าว ขนมปังนุ่มๆ ไส้มะพร้าวผัดกับเนยหอมๆ รสหวานเล็กน้อย ทำไว้กินเป็นของว่าง กับน้ำชาหรือกาแฟก็อร่อย   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 2 ถ้วย ไข่ไก่เบอร์ 1 1 ฟอง น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ยีสต์ชนิดผง 2 ช้อนชา น้ำอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 3 ช้อนโต๊ะ            ส่วนผสมไส้ มะพร้าวอบแห้ง 1 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 1/2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ เตรียมขนมปังโดยผสมแป้งขนมปังกับน้ำตาลทราย และยีสต์เข้าด้วยกัน ใส่ไข่ นวดพอเข้ากัน ใส่น้ำอุ่น นวดให้เข้ากัน ใส่เนยสด นวดให้เข้ากันจนเนียน พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมงจนขึ้นเป็น 2 เท่า เตรียมไส้โดยผัดเนยกับน้ำตาลทรายพอเนยละลาย ใส่เกลือป่น มะพร้าวอบแห้ง ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่า ผัดพอแห้ง พักไว้ ตัดแป้งเป็นก้อนละ 30 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม พักไว้ แผ่แป้งออก ใส่ไส้มะพร้าว หุ้มให้มิด เรียงใส่ถาดอบ พักแป้งอีกครั้งประมาณ 15 นาที ทาหน้าขนมปังด้วยเนยละลาย นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 20-25 นาที จนขนมปังสุกเหลือง นำขนมปังออกจากเตาอบ ทาหน้าขนมปังด้วยเนยให้ทั่ว

ขนมไข่ฝรั่งเศสทำไม่ยากอย่างที่คิด แค่มีพิมพ์ก็ทำเองได้ที่บ้านง่ายๆ แถบได้ตกแต่งขนมให้ดูน่ารัก น่ากิน แถบเป็นของขวัญแจกให้เพื่อนๆได้ด้วย   ส่วนผสม แป้งเค้ก 200 กรัม ผงฟู 1 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์ 1 3 ฟอง น้ำตาลเบเกอรี่ 1 ถ้วย เนยสดเค็มละลาย 3/4 ถ้วย ผิวเลมอน 2 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดอกไม้กินได้ ไวต์ช็อกโกแลตละลาย วิธีทำ ผสมน้ำตาลเบเกอรี่ เกลือ และผิวเลมอน คนให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ คนให้เข้ากันจนข้น ใส่แป้งเค้ก และผงฟู คนต่อให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่เนยละลาย คนให้เข้ากัน พักในตู้เย็น 30 นาที นำแป้งขนมมาบีบใส่พิมพ์มาเดอลีน นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 15-17 นาที หรือจนสุก พักขนมไว้จนเย็น นำขนมออกจากพิมพ์ ใส่ดอกไม้ลงในพิมพ์มาเดอลีน ใส่ไวต์ช็อกโกแลตละลาย จากนั้นใส่ขนมลงในพิมพ์ รอจนช็อกโกแลตแข็งตัว นำขนมออกจากพิมพ์แล้วจัดเสิร์ฟ

คุกกี้กลิ่นหอมจากผิวเลมอน จุ่มกับดิปช็อกโกแลตเข้มข้นและเพิ่มความกรุบกรอบด้วยอัลมอนด์สับ กินเพลินเป็นที่สุด   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 3/4 ถ้วย เนยสดเค็ม 200 กรัม น้ำตาลเบเกอรี่ 3/4 ถ้วย เกลือป่น 1/8 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์ 1 1 ฟอง ผิวเลมอนขูด 3 ช้อนชา ดาร์กช็อกโกแลตละลาย 1 ถ้วย อัลมอนด์อบสับ 1/4 ถ้วย วิธีทำ ตีเนยสดกับน้ำตาลเบเกอรี่ และเกลือให้เข้ากัน ใส่ไข่ ตีให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลี และผิวเลมอน ผสมให้เข้ากัน ห่อด้วยพลาสติกใสแล้วรีดให้เรียบ แช่เย็นไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ตัดแป้งเป็นแท่งหนา 1 เซนติเมตร จากนั้นตัดเป็นแท่งกว้าง 1 เซนติเมตร เรียงใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุก พักให้เย็น ผสมดาร์กช็อกโกแลตกับอัลมอนด์สับ คนให้เข้ากัน นำแท่งคุกกี้มาชุบช็อกโกแลตวางเรียงใส่ถาด รอจนช็อกโกแลตแข็งตัว จัดใส่ภาชนะ 

เมื่อศตวรรษที่ 18 ในภูมิภาค Basque ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสติดกับสเปน มีร้านขนมร้านหนึ่งทำขนมโดยใช้ Pâte Sablée ใส่ไส้ Crème Pâtissière ขนมนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปจนทำกันตามบ้าน   เริ่มแรกขนมนี้จะมีไส้ชั้นหนึ่งเป็นเชอร์รีดำกวน เพราะเมือง Itxassou ซึ่งอยู่ในแคว้นนี้ปลูกและมีชื่อเสียงมากเรื่องเชอร์รีดำ ปัจจุบันขนมนี้มีไส้ต่างๆ เช่น แอปริคอตกวน ช็อกโกแลต ขนมนี้ทำไม่ยากแต่อาจจะมีหลายขั้นตอนสักหน่อย   Gâteau Basque มีขายทั่วไปตามร้านขนมและร้านขายของฝาก ฉบับนี้เราจะทำตามสูตรดั้งเดิมที่ใส่ไส้เชอร์รีดำ   Gâteau Basque ส่วนผสม Pâte Sablée เนยพักให้นุ่ม 120 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง ไข่เบอร์ 0 1/2 ฟอง ผงอัลมอนด์ 100 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 310 กรัม ผิวเลมอน 1/2 ผล เกลือ 1/2 ช้อนชา วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถผสม ใช้หัวตีใบพายตีด้วยความเร็วต่ำจนแป้งรวมกันเป็นก้อน คลึงแป้งเป็นแผ่นหนา 6 มิลลิเมตร แช่ตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง คลึงแป้งให้หนา 4-5 มิลลิเมตร ตัดเป็นวงกลม 2 วง วงหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 เซนติเมตร สำหรับกรุพิมพ์ กรุแป้งลงในพิมพ์ให้ถึงขอบ เวลากรุต้องไม่ให้มีช่องโหว่เลย และขอบแป้งพอดีกับพิมพ์ อีกวงตัดให้เท่ากับพิมพ์สำหรับเป็นฝา นำเข้าตู้เย็นไว้จนกว่าจะใส่ไส้ ส่วนผสมไส้เชอร์รีดำ เชอร์รีกรีดเม็ดออก 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม เพกติน ชนิด NH 10 กรัม วิธีทำ ใส่เชอร์รีและน้ำตาลทราย 50 กรัมในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลาง คนจนเดือด ปิดไฟ ใช้เครื่องปั่นมือถือปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำตาลทราย 50 กรัม กับเพกตินให้เข้ากัน ใส่ลงในเชอร์รี ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง คนตลอดเวลาประมาณ 2-3 นาที เทใส่ถาด ปิดด้วยฟิล์มพลาสติกใส พักไว้ให้เย็นลงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น ส่วนผสม Crème Pâtissière นม 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ไข่แดง 2 ฟอง ผงคัสตาร์ด 50 กรัม ผงวานิลลา 5 กรัม (ใช้ชนิดผงเพื่อไม่ให้เนื้อครีมสีขุ่น) เนย 50 กรัม เหล้ารัม 1-2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ใส่นมและน้ำตาลทราย 50 กรัมลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด คนตลอดเวลา ผสมน้ำตาลทราย 50 กรัม กับไข่แดง ผงคัสตาร์ด และวานิลลา ค่อยๆ เทนมเดือดลงในส่วนผสมไข่ คนให้เนียน กรองด้วยกระชอน ตั้งไฟอีกครั้ง คนตลอดเวลาจนข้นและแป้งสุก เนื้อจะเหลวขึ้น ยกลงจากเตา ใส่เนย และเหล้ารัม ปิดด้วยพลาสติกใสให้แนบครีม พักไว้ในอุณหภูมิห้อง วิธีประกอบขนม นำพิมพ์ที่กรุแป้งไว้ออกจากตู้เย็น ใส่ไส้เชอร์รีที่ก้นพิมพ์ให้หนา 6-8 มิลลิเมตร เกลี่ยหน้าให้เสมอกัน ใส่ไส้ครีมให้หนากว่าเชอร์รีจนเต็มพิมพ์ เอาน้ำทาขอบพิมพ์ ปิดด้วยแป้งอีกแผ่น กดให้ปิดสนิทไม่มีลมระหว่างคัสตาร์ดและแป้ง ทาหน้าด้วยไข่แดงผสมนมหรือครีมเล็กน้อย พักให้เย็นแล้วทาอีกรอบ ตัดแป้งให้เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นบาสก์วางลงตรงกลาง หรือใช้ส้อมขีดเป็นลายก็ได้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 40-45 นาที นำออกจากเตา พักให้เย็น นำออกจากพิมพ์แล้วจึงตัดเสิร์ฟ

“ปีนี้กินทุเรียนพอแล้ว หยุดได้!”   ป้าเจี๊ยบประกาศให้ทุกคนได้ยิน หลังกลับจากทริปทุเรียน 3 วัน   เพื่อนวิศวะ สมบูรณ์ ยั่งเจริญ ชื่อเล่นเจี๊ยบเหมือนกัน พา สว. ชาวจุฬาฯ 21 คนไประยอง โดยมีเป้าหมายที่การกินทุเรียน!     กินกันจริงจังมากค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่เช็กอินเข้าแม่พิมพ์รีสอร์ตตอนช่วงเช้า เจ้าของโรงแรม สุธีร์ จินตนานฤมิตร ซึ่งเป็นรุ่นพี่ถาปัดจัด Welcome Drink เป็นน้ำมะพร้าวอ่อน พร้อมทุเรียนถาดใหญ่และมังคุด จากนั้นพักที่นี่ 2 คืน พี่ก็จัดทุเรียนไว้ให้กินก่อนอาหารเย็นทุกครั้ง!   ไฮไลต์ของทริปคือกินทุเรียนแบบไม่อั้นที่สวนคุณประยูร กินหลากหลายพันธุ์จนป้าเจี๊ยบเมาทุเรียนไปเลย ฮา!   ขากลับเพื่อนๆ ยังซื้อทุเรียนกลับบ้านกันอีก ป้าเจี๊ยบอุดหนุนเฉพาะทุเรียนทอดสำหรับเป็นของฝากน้องแพรสาวกทุเรียนตัวแม่ อิอิ   ผ่านไปเกือบเดือนโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับทุเรียน จนกระทั่งวันที่ออกไปหาอาหารปิ้งๆ ย่างๆ กินกับป้าอี๊ด สหายร่วมชายคา พอกลับมาบ้านได้พักใหญ่ป้าอี๊ดก็เปรยลอยๆ มาว่า “น่ามีของหวานกินนิ?”   เอิ่ม…อยากกินขนมเหมือนกัน ทำอะไรที่เร็วๆ กินดีกว่า   ป้าเจี๊ยบกวาดสายตาดูวัตถุดิบที่มี เห็นซองผงทุเรียนหมอนทอง 100 เปอร์เซ็นต์รวมอยู่กับสารพัดซองผงโน่นนี่นั่นในตะกร้า ไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาคือคุกกี้สไตล์บราซิลที่เรียกว่า Sequilhos ซึ่งใช้เวลาทำไม่เกิน 20 นาทีก็ได้กิน!   ลงมือทำทันทีสิคะ   เริ่มด้วยการเปิดเตาอบไว้ที่ปุ่มความร้อนอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง หยิบถาดอบขนาด 8×11 นิ้วมาปูด้วยกระดาษรองอบ ชั่ง แป้งข้าวโพด (Cornstarch) 50 กรัม ใส่ถ้วยวางพักไว้   จากนั้นหยิบชามผสมมาวางบนเครื่องชั่ง ใส่ เนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 30 กรัม นมข้นหวาน 30 กรัม ผงทุเรียนหมอนทอง 10 กรัม แล้วยกชามออกมาใช้พายซิลิโคนคนจนส่วนผสมเนียนเข้ากันดี เท แป้งข้าวโพด ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในชาม คนส่วนผสมให้เข้ากันแค่พอหมดฝุ่นแป้ง เป็นอันได้คุกกี้โดเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว   ป้าเจี๊ยบใช้ที่ตักไอศกรีมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ตักคุกกี้โดวางบนถาดอบให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ได้คุกกี้รูปครึ่งวงกลม 12 ชิ้น! ยกถาดเข้าเตาอบ ตั้งปุ่มเวลาไปที่ 12 นาที   ก่อนเสียงติ๊ง! กลิ่นทุเรียนฟุ้งตลบอบอวลล่วงหน้ามาเลยค่ะ   ตามปกติคุกกี้แบบนี้ควรรอให้เย็นสนิทก่อนเสิร์ฟด้วยการโรยไอซิงเล็กน้อย เพราะทำจากแป้งข้าวโพด เนื้อคุกกี้จึงมีความกรอบและละลายในปาก   แต่กลิ่นทุเรียนกระตุ้นต่อมอยากของสองป้า หยิบกินกันทั้งที่ยังร้อนๆ อยู่เล้ยยยย...อิอิ

ขนมปังยอดฮิต นุ่มฟูหวานๆ มันๆ กินเพลินจนหยุดไม่อยู่   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 2 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วย น้ำตาลเบเกอรี่ 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ยีสต์ผง 3 1/2 ช้อนชา นมสดอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 1/4 ถ้วย ไส้กรอก น้ำสลัดครีม วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ และยีสต์ คนให้เข้ากัน ใส่นมสดอุ่น คนให้พอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดให้เข้ากันจนเนียน พักแป้งไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า นำแป้งขนมปังมานวดไล่อากาศ แบ่งเป็นก้อนละ 10 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม รีดแป้งให้เป็นแผ่น วางไส้กรอกให้ปลายด้านหนึ่งยื่นออกมาจากแป้ง ม้วนแล้วเก็บริมให้เรียบร้อย วางในถาดอบ พักแป้งไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า ทาหน้าขนมปังด้วยนมข้นจืด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุก ทาหน้าด้วยเนยสด พักไว้จนเย็น บีบน้ำสลัดครีมใส่ตรงกลาง จัดเสิร์ฟ

ของฝากสุดโปรดของใครหลายคน สูตรนี้ไม่ต้องใช้เตาอบ ทำไม่ยากอร่อยนุ่มฟูแน่นอน   ส่วนผสม ฝอยทอง 200 กรัม แป้งเค้ก 1/2 ถ้วย ไข่แดงเบอร์ 1 2 ฟอง น้ำตาลเบเกอรี่ (1) 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา นมสดรสจืด 1/4 ถ้วย น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา  ผงฟู 1/4 ช้อนชา ไข่ขาวเบอร์ 1 3 ฟอง ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา น้ำตาลเบเกอรี่ (2) 1/4 ถ้วย พิมพ์ขันข้าวขนาด 8 เซนติเมตร วิธีทำ ใส่ฝอยทองลงในพิมพ์แล้วกดให้แน่น ผสมไข่แดง น้ำตาลเบเกอรี่ (1) และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่นมสด และน้ำมันพืช คนให้เข้ากัน ใส่กลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก และผงฟู คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวพอเป็นฟองหยาบๆ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ ตีต่อจนเป็นฟองละเอียด ค่อยๆ ใส่น้ำตาลเบเกอรี่ (2) ตีต่อจนตั้งยอด ตักไข่ขาวครึ่งหนึ่งใส่ลงในชามไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากันแล้วเทกลับใส่ชามไข่ขาว ตะล่อมให้เข้ากัน ตักใส่พิมพ์ฝอยทอง นำไปนึ่งในน้ำเดือด เวลา 15 นาทีจนสุก พักไว้ นำขนมออกจากพิมพ์ 

คัสตาร์ดเค้กเนื้อนุ่มละมุน หอมกรุ่นด้วยกล้วยหอม ด้านบนโรยธัญพืชให้เคี้ยวกรุบๆ กินอร่อยในยามบ่าย   ส่วนผสม ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา แป้งเค้ก 1/4 ถ้วย ผงฟู 1/4 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา นมสด 1/2 ถ้วย กล้วยหอม 2 ผล ธัญพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์สไลซ์ วิธีทำ ผสมไข่ไก่ น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่นมสด คนให้เข้ากัน หั่นกล้วยใส่พิมพ์ ตักส่วนผสมแป้งใส่พอท่วมกล้วย โรยธัญพืช เรียงถ้วยขนมในหม้อทอดไร้น้ำมัน อบโดยใช้อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 10-15 นาทีจนสุก จัดเสิร์ฟ

คนที่อยากจะเป็นวีแกนซึ่งไม่บริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ทั้งคาวและหวานดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้น คนที่กำลังตัดสินใจก็ไม่ลังเล เพราะชาววีแกนได้สร้างสรรค์เมนูของตนเองให้อร่อยได้อย่างไม่มีอะไรมาปิดกั้น โดยเฉพาะของหวานที่มีส่วนผสมของนม เนย ไข่ ก็สามารถใช้น้ำมันพืช กะทิมาทดแทน กลายเป็นเค้กอร่อยและสุขภาพดีไปด้วย Pistachio Cake with Lemon & Cardamon เค้กที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์เลย หลายคนอาจจะบอกว่าเนื้อเค้กน่าจะไม่ละมุน แต่การใช้น้ำมันพืช กะทิ และนมจากถั่วหรือธัญพืชจะมีเนื้อเค้กที่ต่างไปบ้าง แต่ก็สามารถใส่ส่วนผสมอื่นให้อร่อยขึ้น   เมนูนี้ใส่ถั่วพิสตาชิโอ ถั่วที่มีเนื้อมันอร่อย ไขมันสูงและเป็นไขมันชนิดดี เช่นเดียวกับถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ เช่น อัลมอนด์ วอลนัต พีแคน พิสตาชิโอมีต้นกำเนิดที่อิหร่านแต่ปัจจุบันนิยมกินกันทั่วไป ถั่วนี้เปลือกมีสีน้ำตาล เนื้อในเป็นสีเขียว อาจจะมีพันธุ์ที่มีสีน้ำตาลแต่สีเขียวอร่อยสุดและเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะใส่ในอะไรก็ชวนกิน   คุณค่าทางโภชนาการในถั่วพิสตาชิโอ 1 กำมือ (28 กรัม หรือประมาณ 49 เม็ด) ให้พลังงานประมาณ 159 แคลอรี โปรตีน 5.72 กรัม คาร์โบไฮเดรต 7.7 กรัม ไขมัน 12.8 กรัม และใยอาหาร 3 กรัม ส่วนประโยชน์นั้นเหมือนถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ เช่น ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคเบาหวาน และมีสารต้านอนุมูลอิสระ   เค้กนี้ใส่น้ำเลมอนให้มีรสเปรี้ยว ใส่ผิวเลมอนขูดละเอียดเพื่อให้มีกลิ่นสดชื่นขึ้น และยังใส่กระวาน หรือ Cardamon เครื่องเทศของอินเดียซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายการบูรลงไปอีก กระวานเม็ดสีเขียวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะนิยมใช้ทำทั้งอาหารคาวและหวาน และยังนิยมใช้แต่งกลิ่นเหล้าด้วย สรรพคุณที่โดดเด่นนอกจากกลิ่นหอมแล้วยังช่วยขับลมด้วย   ความอร่อยชวนกินและกินอร่อยจึงมาจากส่วนผสมต่างๆ เมื่ออบเสร็จแล้วยังราดหรือ Glaze ด้วยน้ำตาลไอซิงผสมน้ำเลมอนให้มีรสหวาน เปรี้ยว กลิ่นหอม เป็นสีขาวเคลือบอยู่บนหน้าเค้ก และโรยถั่วพิสตาชิโอสับหยาบสีเขียวให้น่ากินยิ่งขึ้นไปอีก   เค้กนี้จึงไม่เพียงเป็นเค้กอร่อยและชวนกินของชาววีแกนเท่านั้น แต่น่าจะถูกใจคนรักเค้กและรักสุขภาพด้วย Pistachio Cake with Lemon and Cardamon ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม น้ำตาลทราย 180 กรัม เบกกิงโซดา 2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา ลูกกระวานป่น 1/2 ช้อนชา พิสตาชิโอสับหยาบ 100 กรัม นมอัลมอนด์ 150 กรัม น้ำเลมอน 2-3 ช้อนชา ผิวเลมอน 2 ช้อนชา น้ำมันพืช 130 มิลลิลิตร โยเกิร์ตมะพร้าว 120 มิลลิลิตร น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะ            พิสตาชิโอสับหยาบ สำหรับโรยหน้าเค้ก ส่วนผสมและวิธีทำหน้าเค้ก (Glaze)    น้ำตาลไอซิง 1-1 1/2  ถ้วย น้ำเลมอน  2  ช้อนโต๊ะ  ตีผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ชิมรส และให้ข้นตามชอบ   วิธีทำ ทำชามแห้งโดยใส่แป้ง น้ำตาลทราย เบกกิงโซดา เกลือ ลูกกระวานป่น และพิสตาชิโอสับหยาบ คนให้ผสมกัน ทำชามเปียกโดยผสมนมอัลมอนด์กับน้ำเลมอน ผิวเลมอน น้ำมันพืช โยเกิร์ต และน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ คนให้เข้ากันดี ค่อยๆ ใส่ส่วนผสมชามแห้งทีละน้อย คนให้เข้ากันดีและเนื้อเนียน ตักใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม (Loaf) ที่รองกระดาษไข ทาเนย และโรยแป้งเตรียมไว้ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 35-40 นาที เมื่อสุกนำออกจากเตาอบ พักไว้สักครู่ เอาเค้กออกจากพิมพ์ ราดไอซิงที่เตรียมไว้ โรยพิสตาชิโอสับหยาบตามชอบให้สวยงาม พักไว้ให้เค้กเย็นประมาณ 45 นาที ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ

ส่วนผสม (สำหรับ 1 ชิ้น) เนยจืด (นุ่ม) 110 กรัม น้ำตาลไอซิง 85 กรัม เกลือ 1/4 ช้อนชา ไข่แดง 2 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 190 กรัม แป้งข้าวโพด 15 กรัม ส่วนผสมและวิธีทำไอซิงสำหรับตกแต่ง น้ำตาลไอซิง 200 กรัม | ไข่ขาว 1 ฟอง | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | สีผสมอาหารตามชอบ ตีไข่ขาวให้พอขึ้นฟู ค่อยๆ ใส่น้ำตาลไอซิง ตีจนส่วนผสมเป็นเนื้อเนียนและข้น ใส่กลิ่นวานิลลา แล้วนำไปผสมสีตามชอบ ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำครีมวานิลลา ไข่แดง 6 ฟอง | นมสดรสจืด 500 มิลลิลิตร | น้ำตาลทราย 80 กรัม | แป้งข้าวโพด 30 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | แผ่นเจลาติน (แช่น้ำเย็น) 3 แผ่น ตีไข่แดง น้ำตาลทราย กลิ่นวานิลลา และแป้งข้าวโพดให้เข้ากัน จากนั้นต้มนมให้พออุ่น ค่อยๆ เทลงในไข่ที่ตีไว้ เทส่วนผสมกลับลงหม้อ ต้มด้วยไฟอ่อนจนส่วนผสมข้นขึ้น กรองด้วยกระชอนจนเนื้อเนียน ใส่เจลาติน คนให้เข้ากัน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปแนบหน้า พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนส่วนผสมเซ็ตตัว วิธีทำ ตีเนยจืด น้ำตาลไอซิง เกลือ และกลิ่นวานิลลาจนส่วนผสมเข้ากัน ใส่ไข่แดงแล้วตีต่อสักครู่ ใส่แป้งสาลีและแป้งข้าวโพด ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนื้อเนียน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงให้แป้งเซ็ตตัว รีดแป้งให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร กดด้วยพิมพ์วงกลมขนาด 6 นิ้ว และขนาด 2.5 นิ้วให้เป็นทรงโดนัทใส่ถาดอบไว้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที หรือจนสีคุกกี้เหลืองสวย พักไว้บนตะแกรงให้เย็น ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิงให้สวยงาม เตรียมไว้ บีบครีมวานิลลาลงบนคุกกี้ (ฐาน) แล้ววางคุกกี้อีกชิ้น บีบครีมวานิลลาเป็นชั้นที่ 2 จากนั้นปิดชั้นสุดท้ายด้วยคุกกี้ที่ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิง

ขนม Paris-Brest โดยปกติจะเป็นรูปกลมเหมือนวงล้อ เพราะทำขึ้นเพื่อฉลองการแข่งขันจักรยานในประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเพื่อการตลาดขนมดั้งเดิมรูปแบบเปลี่ยนไป แต่ส่วนประกอบเหมือนเดิมไม่ได้คิดค้นขึ้นใหม่ แต่เอาของเก่ามาดัดแปลงให้สวยขึ้น ทันสมัยขึ้นไปเรื่อยๆ   ฉบับนี้เรามาทำขนม Paris-Brest ในรูปทรงยาวที่ทานง่ายขึ้น แต่ยังคงส่วนประกอบดั้งเดิม   Paris-Brest ส่วนผสม Choux Pastry นม 125 กรัม น้ำ 125 กรัม เนย 100 กรัม น้ำตาลทราย 15 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 160 กรัม เกลือ 1/8 ช้อนชา ไข่ 250 กรัม (ประมาณ 4 ฟอง) วิธีทำ นำนม น้ำ เนย น้ำตาลทราย และเกลือใส่ลงในหม้อ ต้มจนเดือด ยกลงจากเตา เติมแป้งทันที คนจนเป็นก้อน ตั้งไฟอีกครั้งจนก้อนแป้งแห้งดี ตามด้วยไข่ ใส่ทีละฟอง คนจนเข้าเนื้อดีจึงใส่ฟองต่อไป ตักหยอดบนกระดาษไขด้วยหัวบีบ 1 นิ้ว ให้เป็นก้อนกลมขนาด 3 เซนติเมตร เรียงทั้ง 3 ก้อนให้แตะกัน วางแผ่น Craquelin บนแต่ละก้อน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ให้เย็น ส่วนผสม Craquelin เนยพักไว้ให้นุ่ม 100 กรัม น้ำตาลทราย 125 กรัม (ใช้น้ำตาลทรายแดงก็ได้) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม วิธีทำ ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยตีด้วยหัวตีรูปใบพาย นำแป้งมาคลึงโดยมีกระดาษไข 2 แผ่นประกบ รีดแป้งให้หนา 2.5 มิลลิเมตร นำเข้าแช่ตู้เย็นจนแข็ง ตัดเป็นวงกลมขนาด 2.5 เซนติเมตร วางบนแป้งชูซ์ก่อนนำไปอบ ส่วนผสม Pastry Cream นม 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ไข่แดง 100 กรัม ผงคัสตาร์ด 50 กรัม เนย 100 กรัม วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายกับผงคัสตาร์ด และไข่แดงให้เข้ากันดี ต้มนมจนเดือด ค่อยๆ ตักใส่ในส่วนผสมน้ำตาล คนให้เข้ากัน แล้วจึงเททั้งหมดรวมกัน ตั้งไฟปานกลาง คนจนข้น ปิดไฟ ใส่เนย คนทั้งหมดให้เข้ากันดี เทใส่ถาดแบน เกลี่ยให้ทั่ว ปิดด้วยพลาสติกคลุมอาหารให้แนบหน้าครีม พักให้เย็น เติมผง Praline มากน้อยตามชอบ ส่วนผสม Praline ถั่วพิสตาชิโอ 150 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 150 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม ดอกเกลือหยิบมือ วิธีทำ อบถั่วที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที ใส่น้ำตาลทรายในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลางจนน้ำตาลละลายเป็นสีทอง ใส่ถั่ว และเกลือคนให้ทั่ว เทบนแผ่นกระดาษไขหรือซิลิโคน รอจนเย็น นำไปปั่นให้เป็นผง 

ในกรุงเทพฯ เมืองแห่งความคับคั่งมีร้านอาหารพร้อมกับบรรดาเชฟที่จะคอยสร้างความสนุกและตื่นเต้นให้กับเหล่านักชิมอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ เชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส (Riley Sanders) ผู้ที่นำเสนออาหารกึ่งงานศิลปะได้อย่างเฉพาะตัวและโดดเด่น โดยการนำศิลปะแบบนามธรรม (Abstract) มาร่วมกับการทำอาหารเหมือนกับห้องจัดแสดงภาพวาดภายในร้าน Canvas ร้านไฟน์ไดนิงมิชลินสตาร์ 1 ดาวที่นำเสนอวัตถุดิบไทยแนวผสมผสาน วาดลวดลายลงบนจานอาหารราวกับวาดบนผืนผ้า “แคนวาส” จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน เชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส (Riley Sanders) เชฟหนุ่มผมทองจากเทกซัส สหรัฐอเมริกา อยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 7 ปี จนเอ่ยปากว่า “ผมตกหลุมรักเมืองไทย” เชฟชื่นชอบและสนใจการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานในที่ต่างๆ เช่น บนเรือยอชต์ ไพรเวตเชฟส์เทเบิล แม้กระทั่งร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อตระเวนหาแนวทางของตัวเองและสะสมประสบการณ์จนกลายมาเป็นเชฟในจุดนี้   “ผมรักเมืองไทยและชื่นชอบวัตถุดิบที่นี่ซึ่งหาได้ง่าย เพราะส่วนตัวผมชอบไปเดินตลาดสดอยู่บ่อยๆ ได้รู้จักวัตถุดิบแปลกใหม่ ซึ่งบางอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอยากนำมาทำเมนูที่ทุกคนคาดไม่ถึงด้วยการนำไปผสมผสานกับเทคนิคอื่นๆ จนเกิดรสชาติที่ลงตัว ให้ลูกค้าของผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ในทุกจานเมื่อได้ชิม”   อะไรคือจุดเด่นในการทำอาหารของเชฟ? “ผมพยายามคิดนอกกรอบ พยายามสร้างสรรค์เพื่อให้แขกคนสำคัญที่ก้าวเข้ามาในร้านรู้สึกเซอร์ไพรส์ ผมศึกษารสชาติของวัตถุดิบ ทดลองเมนูกับทีมกว่าหลายสิบครั้ง ซึ่งบางจานอาจทดลองมากถึง 100 ครั้งจนเป็นจานที่สมบูรณ์แบบ ผมสอดแทรกทั้งความรู้สึกและเรื่องราวให้กับแต่ละจาน ร้อยเรียงเข้ากับทุกเมนูใน 20 คอร์สให้มีความสนุก ตื่นเต้น และเป็นมากกว่าอาหารที่ทุกคนคาดไม่ถึง”   เมนูของเชฟแต่ละจานมีองค์ประกอบและสีสันอันโดดเด่นราวกับชิ้นงานศิลปะ บ่งบองถึงความเป็นลวดลายบนผืนผ้าใบ ฉบับนี้เชฟนำเสนอ Venn Bread แป้งขนมปังเนื้อนุ่มหนึบที่ดัดแปลงมาจากแป้งชูซ์คลาสสิก เพิ่มความหอมด้วยชีสนมวัวโฮมเมดจากเชียงราย (Tomme de Chiang Rai) ท็อปด้วยเมล็ดแตงโมดูเก๋แบบมีสไตล์ เสิร์ฟมาในถ้วยเซรามิกพร้อมเนยสมุนไพร 2 สีที่รสชาติต่างกันแต่ให้ความลงตัว เนยสีเขียวให้ความสดชื่นได้อย่างดี ส่วนอีกด้านเป็นเนยสีแดงที่ทำจากน้ำหมากเม่าผสมกับพริกเสฉวนได้ความเผ็ดอ่อนๆ จะจิ้มกินแยกกัน หรือจิ้มผสมรวมๆ กันก็อร่อยได้หลากหลายแบบ   ปิดท้ายเชฟได้อวยพรสุขสันต์วันเกิดก้าวเข้าสู่ปีที่ 24 ให้กับทางนิตยสารฯ ของเราอีกด้วย Venn Bread ส่วนผสม แป้งมันสำปะหลัง 300 กรัม ผงพริกชี้ฟ้าแดง 30 กรัม ผงพริกหยวก 35 กรัม ผงยีสต์อบ 50 กรัม นมสดรสจืด 260 กรัม เนยจืด 110 กรัม น้ำปลากวน (Caramelized Fish Sauce) 15 กรัม ชีส Tomme de Chiang Rai 100 กรัม ไข่ไก่ 2 ฟอง ไข่สำหรับทาหน้าเล็กน้อย เมล็ดแตงโมอบสำหรับตกแต่งเล็กน้อย วิธีทำ ทำชามแห้งโดยผสมแป้ง ผงพริกชี้ฟ้า ผงพริกหยวก และผงยีสต์อบให้เข้ากัน เตรียมไว้ ใส่นม เนยจืด และน้ำปลากวนลงในหม้อใบเล็ก ตั้งไฟให้เนยพอละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมชามแห้ง คนให้เข้ากันจนเป็นแป้งโด ปิดไฟ คนส่วนผสมให้คลายร้อนเล็กน้อย ค่อยๆ ใส่ไข่ไก่ (ระวังอย่าให้ไข่สุก) คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียน ใส่ชีสบดพอหยาบ คนต่อให้เข้ากัน พักแป้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วปั้นให้เป็นทรงเกอแนล (ทรงลูกรักบี้) ให้ได้ก้อนละ 30 กรัม วางบนแผ่นซิลิโคนสำหรับอบขนม ทาไข่บนหน้า ท็อปด้วยเมล็ดแตงโม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 25 นาที พักไว้ในเตาอบโดยเปิดฝาเตาอบเล็กน้อย ประมาณ 5 นาที จัดเสิร์ฟคู่กับเนยสีเขียวและสีแดง ส่วนผสมและวิธีทำเนยสีเขียว (Green Butter) เนยพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 70 กรัม | ผงบัตเตอร์มิลก์ 35 กรัม | ผงเมล็ดเทียนข้าวเปลือก 5 กรัม | ผงใบเตย 5 กรัม | พริกไทยดำ 5 กรัม | ผงมะนาว 3 กรัม | น้ำมันผักชีลาว 10 กรัม | น้ำมันสะระแหน่ 10 กรัม | สมุนไพรสับเล็กน้อย เช่น ผักชี ใบสะระแหน่ และออริกาโน | เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน คนจนเป็นเนื้อเนียน ชิมและปรุงรสตามชอบ พักไว้ในตู้เย็น ตกแต่งด้วยดอกขิงเบิร์น เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำเนยสีแดง (Mao Berry Butter) เนยพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 70 กรัม | ผงพริกเสฉวน 5 กรัม | น้ำหมากเม่า 30 กรัม | น้ำมันผักชีลาว 40 กรัม | น้ำมันใบสะระแหน่ 40 กรัม | ผงแก้วมังกร 40 กรัม | ผงบีตรูต 30 กรัม | กระเทียมบดเล็กน้อย | น้ำกระเทียมดำเล็กน้อย | เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย | ใบโบราจอินเดีย (Indian Borage) สำหรับตกแต่ง ผสมทั้งหมดแล้วบดให้เข้ากันในครกหิน ชิมและปรุงรสตามชอบ ตกแต่งด้วยใบโบราจอินเดียแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เตรียมไว้