ขนมปังหวานชิ้นบางเนื้อแน่นของคนเยอรมัน ด้านล่างเป็นขนมปังเนย ท็อปด้วยเนยสดและอัลมอนด์สไลซ์ นิยมกินกับกาแฟ หาซื้อได้ทั่วไปในเยอรมัน   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 375 กรัม ผงยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ 1 ฟอง เนยละลาย 75 กรัม นม 250 มิลลิลิตร เกลือทะเลเล็กน้อย ส่วนผสมหน้าเนยสด เนย 100 กรัม | นํ้าตาลทราย 100 กรัม | อัลมอนด์สไลซ์ 40 กรัม | น้ำตาลทรายสำหรับโรยหน้า   วิธีทำ อุ่นนมพออุ่นๆ เตรียมไว้ ผสมนมกับแป้งขนมปัง ผงยีสต์ ไข่ เนยละลาย และเกลือ 1/2 ช้อนชาในเครื่องผสม ใช้หัวตะกร้อตีให้เข้ากัน คลุมผ้าปิดไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงให้แป้งขึ้นฟู คลึงแป้งโดใส่ถาดอบ ใช้ส้อมจิ้มให้เป็นรูทั่วแป้ง ทาเนยผสมน้ำตาลทรายบนหน้า โรยอัลมอนด์สไลซ์และน้ำตาลทราย นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส นาน 20-25 นาทีจนสีเหลืองสวย

เสน่ห์ของทอฟฟี่เค้กอยู่ที่กลิ่นหอมและรสมอคคาเข้มข้นของเค้กเนื้อนุ่ม ที่มาพร้อมกับหน้าทอฟฟี่รสหวานมัน กรุบกรอบด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อยากหั่นเป็นชิ้นเล็กหรือใหญ่ เลือกตัดได้ตามความต้องการ รับประทานกับน้ำชาหรือกาแฟเข้ากันได้อย่างดี ส่วนผสม เค้กมอคคา นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ ผงกาแฟ 1 ช้อนโต๊ะ ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 2 ฟอง น้ำตาลทราย (1) 30 กรัม กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา แป้งเค้ก 50 กรัม ผงฟู 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา เนย (ละลาย) 35 กรัม ไข่ขาว 2 ฟอง น้ำตาลทราย (2) 50 กรัม ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/8 ช้อนชา หน้าทอฟฟี่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 150 กรัม ผงกาแฟ 1 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 110 กรัม นมข้นจืด (1) 65 มิลลิลิตร กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา เนยจืด 50 กรัม แป้งเค้ก 1 ช้อนโต๊ะ นมข้นจืด (2) 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ เตรียมเม็ดมะม่วงหิมพานต์โดยอบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที พักให้เย็นลง ทำเค้กโดยอุ่นนมข้นจืดในไมโครเวฟ ใส่ผงกาแฟ และผงโกโก้ลงไปละลาย พักไว้ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทราย (1) และกลิ่นวานิลลาในชามผสมให้เข้ากันดี ใส่ส่วนผสมนมข้นจืดที่เตรียมไว้ ผสมให้เข้ากัน ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู และเกลือลงไปผสมให้เข้ากัน ใส่เนยละลาย ตีให้เข้ากันดี ผสมน้ำตาลทราย (2) กับครีมออฟทาร์ทาร์ ตีไข่ขาวให้พอขึ้นฟู ใส่ส่วนผสมน้ำตาลลงไปทีละน้อยจนหมด ตีให้ได้เมอแรงก์ที่เนื้อแน่นดี ตักเมอแรงก์ประมาณ 1/2 ถ้วยใส่ส่วนผสมหลัก ใช้พายยางคนให้ส่วนผสมพอคลายความหนืดแล้วใส่เมอแรงก์ส่วนที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากัน ตัดกระดาษไขรองก้นพิมพ์ขนาด 8×8 นิ้ว เทส่วนผสมลงไป กรอกถาดไปมาให้ส่วนผสมกระจายทั่วดี นำเข้าเตาอบ 18 นาที ทำหน้าทอฟฟี่โดยนำผงกาแฟ น้ำตาลทราย เกลือ กลิ่นวานิลลา นมข้นจืด (1) และเนย ใส่หม้อตั้งไฟ ใช้ช้อนหรือพายยางคนให้ละลาย ผสมแป้งเค้กกับนมข้นจืด (2) ใส่ตามลงไป คนให้เข้ากัน พอเดือดลดไฟเคี่ยวให้ข้นขึ้นเล็กน้อยประมาณ 2 นาที ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากัน เมื่อครบเวลานำเค้กออกจากเตาอบ ราดหน้าทอฟฟี่อุ่นๆ ลงไป เกลี่ยให้เม็ดมะม่วงคลุมหน้าเค้กทั่วๆ  นำเข้าเตาอบต่ออีก 18 นาที นำเค้กที่สุกดีแล้วออกมาพักให้เย็นสนิทแล้วนำเข้าแช่เย็นอีก 2-3 ชั่วโมง ใช้มีดแซะเค้กออกจากขอบ คว่ำหน้าลงบนเขียง ลอกกระดาษไขออก ตัดเค้กตามขนาดที่ต้องการในลักษณะคว่ำหน้าทอฟฟี่ลงบนเขียง

Kyiv หรือ Kiev Cake เป็นขนมคลาสสิกของประเทศยูเครน แพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา มีขายตามร้านขนมและเสิร์ฟตามร้านกาแฟ   เค้กนี้ไม่ใช่เค้กเก่าแก่แพร่หลายในยุค 1950 เป็นเค้กทรงสูงที่ประกอบกันหลายชั้น จะประกอบไปด้วยเนื้อเค้กที่อาจเป็นเค้กสปันจ์ เค้กชิฟฟอน หรือเค้กเจนัว ชั้นต่อมาเป็นเมอแรงก์ และบัตเตอร์ครีม เมอแรงก์จะมีส่วนผสมของเฮเซลนัต เพราะถั่วชนิดนี้มีมากในยุโรปและคนจะแพ้กันน้อย ส่วนบัตเตอร์ครีมเป็นรสวานิลลา ช็อกโกแลต หรือกาแฟ   Kyiv Cake นี้คล้าย Markiza Cake ซึ่งแพร่หลายมากในยูเครนเช่นกัน และคล้าย Spanische Windtorte ของออสเตรีย เค้กนี้เมื่อประกอบเสร็จต้องแช่เย็นค้างคืนไว้ก่อนทานจึงจะตัดได้และได้รสที่ละมุน   Kyiv Cake แม้จะมีหลายขั้นตอนแต่ไม่ต้องทำทุกอย่างภายในวันเดียวกัน วันแรกเริ่มต้นทำเมอแรงก์ก่อน รุ่งขึ้นทำเค้กและครีม เมื่อทำเสร็จนำมาประกอบขึ้นรูปและนำเข้าตู้เย็นค้างคืนไว้ วันต่อมาจึงเสิร์ฟ   แม้จะใช้เวลามากหน่อยแต่ก็ไม่ได้เป็นเค้กที่ทำยาก อร่อยและน่าทำ   Kyiv Cake ส่วนผสมเมอแรงก์ (Meringue) ไข่ขาว 6 ฟอง | น้ำตาลทราย 50 กรัม | เฮเซลนัตสับ 180 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 25 กรัม | แป้งข้าวโพด 25 กรัม | ผงน้ำตาล (น้ำตาลทรายบดละเอียด) 200 กรัม | ผงวานิลลา 1/2 ช้อนชา | เกลือ 1/2 ช้อนชา   อุปกรณ์ พิมพ์ขนาด 9 นิ้ว 2 พิมพ์   วิธีทำ ตีไข่ขาวจนเป็นฟอง ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด พักไว้ ผสมเฮเซลนัตสับ แป้งสาลี แป้งข้าวโพด ผงน้ำตาล ผงวานิลลา และเกลือให้เข้ากัน ตะล่อมใส่ลงไปในไข่ขาวทีละน้อยจนหมด ใส่ในพิมพ์ที่เตรียมไว้ 2 พิมพ์ที่รองด้วยกระดาษไขและทาเนยไว้ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง 30 นาทีหรือจนแข็งตัว นำออกจากเตาอบ พักไว้ให้เย็น ลอกกระดาษไขออก พักไว้ ส่วนผสมเค้ก (Sponge Cake) ไข่เบอร์ 0 3 ฟอง | น้ำตาลทราย 100 กรัม | เกลือ 1/4 ช้อนชา | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม | ผงฟู 1/4 ช้อนชา   วิธีทำ ร่อนแป้งกับผงฟูและเกลือ พักไว้ ตีไข่กับน้ำตาลทรายจนฟูขาว (ประมาณ 10 นาที) ร่อนส่วนผสมแป้งลงในไข่ แบ่งใส่ 3 ครั้ง ตะล่อมเบาๆ ให้เข้ากันทั่ว ใส่พิมพ์ขนาด 9 นิ้วที่ปูกระดาษไขและทาเนยไว้ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 23-25 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ 5 นาที เอาออกจากพิมพ์ พักให้คลายร้อนแล้วตัดแบ่งเป็น 2 ชิ้น ส่วนผสมและวิธีทำบัตเตอร์ครีม (1) เนย 170 กรัม | นมข้นหวาน 150 กรัม ตีเนยจนขึ้นฟูเบา ค่อยๆ ใส่นมข้นหวาน ตีจนเข้ากันดี พักไว้ ส่วนผสมบัตเตอร์ครีม (2)                          นมสด 500 กรัม | แป้งสาลีอเนกประสงค์ 50 กรัม | ไข่เบอร์ 0 2 ฟอง | ไข่แดง 2 ฟอง | วานิลลา 1 ช้อนชา | น้ำตาลทราย 70 กรัม | ช็อกโกแลต 90 กรัม | ครีมชีสพักให้นุ่ม 200 กรัม | เนยพักให้นุ่ม 200 กรัม   วิธีทำ ใส่นมสด แป้ง ไข่ ไข่แดง วานิลลา และน้ำตาลทรายลงในหม้อ ตั้งไฟปานกลางคนจนข้น ใส่ช็อกโกแลต คนจนทุกอย่างเข้ากัน ใส่ชาม พักให้คลายร้อน ตีผสมกับบัตเตอร์ครีม (1) ตีครีมชีสจนเนียนเนื้อฟู เติมเนยและตีต่อไปจนเข้ากัน ใส่ช็อกโกแลต ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน วิธีประกอบเค้ก วางเค้กลงบนจาน ราดเหล้ารัมให้ทั่วตามชอบ ทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่วชิ้น วางเมอแรงก์ทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่วหน้า วางเค้กอีกชิ้น ราดเหล้ารัมให้ทั่วตามชอบ ทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่ว วางเมอแรงก์อีกชิ้นแล้วทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่วเค้กทั้งชิ้น โรยเฮเซลนัตสับตามชอบ หรือตกแต่งตามชอบ

เคยมีคนถามป้าเจี๊ยบว่าทำไมต้องมีเครื่องอบวัฟเฟิล 2 เครื่อง แบบสี่เหลี่ยมและแบบวงกลม รสชาติมันต่างกันรึไง เอิ่ม...ถ้าใช้แป้งสูตรเดียวกันมันก็รสชาติเดียวกันนะคะ มันมาต่างกันตอนฟีลเวลาที่กิน...ฮา   ป้าเจี๊ยบชอบกินวัฟเฟิลเป็นอาหารคาวมากกว่าของหวาน อย่างวัฟเฟิลกับไก่ทอด วัฟเฟิลแฮมเบอร์เกอร์ วัฟเฟิลแซนด์วิช ป้าเจี๊ยบจึงต้องใช้วัฟเฟิลแผ่นกลมบ้างแผ่นเหลี่ยมบ้าง อย่างไรก็ตามสมาชิกครอบครัวทุกคนมาสายหวานกันหมด เวลากินวัฟเฟิลทุกคนจะรอกินตอนทำเสร็จออกมาใหม่ๆ เท่านั้น แล้วแต่งหน้าที่เตรียมไว้ให้หลากหลายหรูหราถูกใจผู้กิน อิอิ   วัฟเฟิลจึงเหมือนแพนเค้กตรงที่ป้าเจี๊ยบต้องทำไปเสิร์ฟไป ป้าเจี๊ยบอยากทำวัฟเฟิลไว้ล่วงหน้าบ้าง แบบที่ทุกคนจะยอมกิน คิดว่าถ้าเป็นวัฟเฟิลสไตล์คุกกี้น่าจะดี คิดแล้วลงมือทำเลยค่ะ     เริ่มด้วยเตรียมชามแห้งมีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 110 กรัม แป้งข้าวโพด 5 กรัม อบเชยป่น 1/4 ช้อนชา ผงฟู 1/4 ช้อนชา และเกลือ 1/4 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี   ต่อด้วยชามเปียกใช้ตะกร้อมือตีเนยแท้ (อุณหภูมิห้อง) 75 กรัม กับน้ำตาลทรายแดง (ร่อนผ่านกระชอนเพื่อกำจัดน้ำตาลที่จับตัวเป็นก้อนแข็ง) 60 กรัม เมื่อน้ำตาลละลายเข้ากันดีกับเนยแล้วจึงใส่ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง ลงไปและตีต่อให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเทชามแห้งลงไป ใช้พายซิลิโคนตะล่อมแค่พอให้เข้ากันแล้ววางพักไว้     เสียบปลั๊กเครื่องอบวัฟเฟิลหมุนปุ่มความร้อนไปจนสุดที่ Max พอไฟสีเขียวติดก็เปิดฝาเครื่องใช้ช้อนโต๊ะตักแป้งโดหยอดลงไปเท่าๆ กัน 4 กอง ปิดฝารอประมาณ 3-4 นาที หอมฉุย สุกเรียบร้อย แซะออกมาวางบนตะแกรง ทำไปจนแป้งโดหมด ได้คุกกี้วัฟเฟิลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว 13 ชิ้น ชิมไปชิ้นหนึ่งตอนออกมาใหม่ๆ รสดีใช้ได้ เนื้อสัมผัสกึ่งๆ ซอฟต์คุกกี้   ป้าเจี๊ยบพักไว้จนเย็นสนิท บรรจุลงถุงซิปล็อกนำเข้าตู้เย็นไว้หนึ่งคืน ทำเช่นนี้เพื่อทดลองว่าวัฟเฟิลที่ทำล่วงหน้ารสชาติและเนื้อสัมผัสจะเป็นอย่างไร   วันรุ่งขึ้นหยิบมาชิมชิ้นหนึ่งเนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป ไม่ชอบนัก เลยนำออกมาเรียงในถาดอบ เอาเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อน 150 องศาเซลเซียส หรือ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 10 นาที พอได้ยินเสียงติ๊งก็นำออกมาวางพักไว้ ชิมอีกครั้ง ได้เนื้อคุกกี้แบบกรอบอร่อยแต่หน้าตาไม่ดึงดูดใจ หุหุ   ป้าเจี๊ยบคิดว่าถ้าเคลือบช็อกโกแลตสักหน่อย โรยเกลือหิมาลัยสักนิด น่าจะเรียกความสนใจได้ดีและเพิ่มรสชาติขึ้นอีก จึงละลายดาร์กช็อกโกแลต 70% 50 กรัมในไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที แล้วคนด้วยพายซิลิโคนจนเนียน   จุ่มคุกกี้วัฟเฟิลลงไปเคลือบช็อกโกแลตแค่ครึ่งชิ้น วางพักบนตะแกรง ทำจนครบทุกชิ้นแล้วโรยเกลือหิมาลัยนิดหน่อย ก่อนจะยกตะแกรงไปแช่ตู้เย็น เพื่อให้ช็อกโกแลตแข็งตัว ป้าอี๊ดคิวซีประจำบ้านเดินถือถ้วยกาแฟและจานขนมเข้ามาในครัว ป้าเจี๊ยบเลยใส่จานให้ไป 5 ชิ้น กะว่าเดี๋ยวจะตามไปร่วมวงด้วย      ป้าอี๊ดกินกาแฟสำเร็จรูป ส่วนป้าเจี๊ยบกินกาแฟแบบเฉพาะตัว ต้องบด ต้องต้ม ต้องกรอง พอได้กาแฟแล้วก็ถือถ้วยเดินไปหา ปรากฏว่าจานที่ใส่คุกกี้ให้ป้าอี๊ด...ว่างเปล่า!

 “สคอนกับบิสกิตเหมือนกันมั้ยคะ”   น้องแพรโทรมาถาม ป้าเจี๊ยบตอบกลับไปว่า “สคอนเป็นอังกฤษ บิสกิตเป็นอเมริกัน”   แล้วถามกลับไปว่า “มีอะไรเหรอคะ?” น้องแพรบอกว่าแพทริกผู้เป็นน้องชายฝากเพื่อนซื้อสคอนมาจากอังกฤษ มันเหมือนบิสกิตที่ป้าเจี๊ยบเคยทำให้กิน แต่กินแล้วทุกคนบอกว่ามันไม่อร่อยเลย   สคอน (Scone) เป็นชื่อเรียกขนมยอดฮิตของคนอังกฤษที่นิยมกินกับน้ำชา แต่ถือกำเนิดที่สกอตแลนด์โน่น เป็นฝาแฝดกับขนมที่คนอเมริกันเรียกบิสกิต (Biscuit) โดยทั่วไปจะต่างกันตรงที่สคอนใส่ไข่ แต่สคอนของป้าเจี๊ยบใส่บ้างไม่ใส่บ้างแล้วแต่อารมณ์ ความที่เป็นนักเรียนเก่าอเมริกา ป้าเจี๊ยบจะเรียกติดปากว่าบิสกิต น้องแพรเลยสับสน     จบการพูดคุยด้วยข้อสรุปว่า น้องแพรอยากให้ป้าเจี๊ยบทำสคอนอร่อยๆ ให้น้องชาย!   ป้าเจี๊ยบจัดให้สิคะ เพราะสคอนเป็นอะไรที่ทำง่ายและเร็ว วัตถุดิบไม่แพง ป้าเจี๊ยบยังแปลกใจว่าทำไมตามร้านขายแพงจัง    พอทำเสร็จน้องแพรรีบโทรบอกน้องชายมารับ ระหว่างรอก็ชิมไปก่อนหนึ่งชิ้นตอนยังอุ่นๆ ทำหน้าฟินมาก แพทริกแวะมารับยังไม่ได้กินทันทีเพราะมีนัดต้องไปที่อื่น หายไปพักใหญ่ กลับมาหาและกอดป้าเจี๊ยบบอกว่า “แพทกินเปล่าๆ หมดชิ้นเลย อร่อยมากครับ” ป้าเจี๊ยบจุ๊บหลานชายไปหนึ่งที บอกว่า “อยากกินอะไรให้บอกป้าเอง ไม่ต้องผ่านพี่แพรนะ” หุหุ   วันถัดมาป้าเจี๊ยบทำให้น้องแพรบ้างเพราะได้กินไปชิ้นเดียว รอบนี้พิเศษกว่าตรงที่ใส่ชีสของโปรดน้องแพรด้วย น้องแพรบอกว่าสคอนของป้าเจี๊ยบกินเปล่าๆ ก็อร่อยโดยไม่ต้องพึ่งแยมหรือครีม อิอิ   วิธีทำง่ายๆ เลยค่ะ ป้าเจี๊ยบตวงแป้งสาลีอเนกประสงค์ 110 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายละเอียด 1 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชาใส่ลงไปในชามแล้วใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน    จากนั้นป้าเจี๊ยบใส่เนยสดเย็นจัด 45 กรัมที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณครึ่งลูกบาศก์เซนติเมตรลงในชามแป้ง แล้วใช้ส้อมบี้เนยให้เข้ากับแป้งจนมีลักษณะเป็นเม็ดหยาบๆ แบบที่เรียกว่าครัมบ์ (Crumb) แล้วใส่เชดดาร์ชีสขูดฝอย 50 กรัมตามลงไป ใช้ส้อมเกลี่ยเบาๆ ให้เข้ากัน   ถัดมาก็ทำบ่อตรงกลางชาม เทนมข้นจืดเย็นจัด 45 กรัมลงไป ใช้ส้อมเกลี่ยไปมาเบาๆ ให้แป้งในชามผสมกับนมแค่พอเข้ากัน ได้แป้งโดเนื้อขรุขระ   ป้าเจี๊ยบเทแป้งโดลงบนผิวหน้าเคาน์เตอร์หินแกรนิตที่โรยแป้งสาลีอเนกประสงค์ไว้บางๆ ใช้สแครปเปอร์พลาสติกตะล่อมแป้งโดเบาๆ ให้เป็นวงกลม หนาประมาณ 1 นิ้ว แล้วตัดแบ่งเป็น 6 ชิ้น วางเรียงในถาดอบให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว   ใส่ถาดในหม้ออบลมร้อนค่ะ ของขวัญวันเกิดจากลุงจั่น-จามร มกรมณี น้องชายของป้าเจี๊ยบ ดีตรงลดขั้นตอนการวอร์มเตาและเวลาอบได้ เพียงกดปุ่มตั้งอุณหภูมิที่ 200 องศาเซลเซียส ปุ่มตั้งเวลาที่ 10 นาที กดปุ่มสตาร์ทหม้อก็ทำงานทันที ผ่านไป 5 นาทีป้าเจี๊ยบนำสคอนออกมาพลิกเอาด้านล่างขึ้นแล้วอบต่อจนครบเวลาให้ผิวเป็นสีน้ำตาลทั่วกัน เบ็ดเสร็จใช้เวลาทำประมาณครึ่งชั่วโมง   น้องแพรจ่ายค่าสคอนเป็นกอดและจุ๊บป้าเจี๊ยบนะคะ...อิอิ 

กลิ่นหอมของคาโมมายล์กับรสชาติสดชื่นของผิวส้ม มาในรูปแบบสคอนที่เสิร์ฟมาพร้อมกับวิปบัตเตอร์หอมมันเนื้อเบานุ่ม รับประทานกับแยมผิวส้มเข้ากันได้อย่างดี ส่วนผสม ชาคาโมมายล์ 1/2 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 280 กรัม น้ำตาลทราย 70 กรัม ผงฟู 2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา ผิวส้ม 2 ช้อนชา เนยจืด 120 กรัม ไข่ไก่ 1 + 1 ฟอง วิปปิงครีม 120 มิลลิลิตร น้ำตาลทรายสำหรับโรยหน้า แยมผิวส้มสำหรับเสิร์ฟ ส่วนผสมวิปบัตเตอร์ เนยจืด 75 กรัม ครีมชีส 25 กรัม นมข้นหวาน 30 กรัม วิปปิงครีม 80 กรัม วิธีทำ ตั้งเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส โปรแกรมไฟล่างไฟบน ตีไข่ไก่ 1 ฟอง กับวิปปิงครีม พักไว้ นำชา แป้งสาลี น้ำตาลทราย ผงฟู เกลือ และผิวส้มใส่เครื่องบดสับ เดินเครื่องให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่เนยลงไป เดินเครื่องต่อจนส่วนผสมจับตัวเป็นเม็ดเล็กๆ เทส่วนผสมใส่ชามผสม ใส่ส่วนผสมครีมลงไป เคล้าให้จับตัวกันเป็นก้อน แบ่งส่วนผสมเป็น 8 ส่วนเท่าๆ กัน ปั้นเป็นก้อนกลม จับวางบนถาด ตีไข่ไก่ที่เหลือ ทาบางๆ ให้ทั่ว โรยด้วยน้ำตาลทราย นำเข้าเตาอบ 12-15 นาที พักให้เย็นลงบนถาด ตีเนยกับครีมชีสให้เข้ากัน ใส่นมข้นหวาน ตีต่อให้เข้ากันดี ใส่ครีมลงไปทีละครึ่ง ตีให้เข้ากัน นำใส่ถุงบีบ บีบวิปบัตเตอร์ลงบนหน้าสคอน หยอดแยมส้มลงตรงกลาง พร้อมรับประทาน

คาราเมลมีทั้งแบบ Wet และ Dry โดยส่วนตัวแล้วชอบแบบ Dry คือไม่ผสมน้ำมากกว่าค่ะ ทำไว้กินกับไอศกรีม หรือกรีกโยเกิร์ตและอื่นๆ   ส่วนผสม น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม วิปปิงครีม 200 กรัม เนยจืด 90 กรัม เกลือชมพู 1/2 ช้อนชา อุปกรณ์ที่สำคัญคือหม้อสเตนเลสแบบหนาหน่อย และตะกร้อมือ (Whisk)   วิธีทำ หั่นเนยเป็นก้อนเต๋าใส่ภาชนะทนไฟ เช่น ถ้วยสเตนเลส อุ่นวิปปิงครีมให้ร้อนมีฟองอากาศเกาะรอบหม้อ ระหว่างอุ่นให้คนตลอดเวลา ผสมน้ำตาลทั้งสองอย่างและเกลือในหม้อที่มีด้ามจับ ตั้งไฟอ่อนสุด คนตลอดเวลาด้วยพายไม้ (เอาเนยวางไว้ใกล้ๆ เนยจะได้หายเย็น) คนจนน้ำตาลละลายทั้งหมด ถ้ากลัวไหม้ก็ยกออกมาคนนอกเตาสักอึดใจแล้วกลับไปตั้งไฟใหม่ได้ เมื่อน้ำตาลละลายหมดแล้ว เปลี่ยนที่คนเป็นตะกร้อ ใส่เนยที่ร้อนลงไป คนให้ทั่ว ครู่เดียวเนยจะละลายหมด ค่อยๆ ใส่วิปปิงครีมอุ่นจัดๆ (ถ้าเย็นจะกระจายและน้ำตาลจะรวมตัว) ลงไป ใช้ตะกร้อคนให้เข้ากัน กวนพอให้เป็นเนื้อคาราเมลเนียนๆ อร่อยๆ ป.ล. เคยทดลองใช้ไม้พายอย่างเดียว พอใส่ครีมเกิดอาการกวนไม่ทัน น้ำตาลจับเป็นก้อน ต้องเอาก้อนน้ำตาลไปใส่อีกหม้อหนึ่ง ต้มน้ำร้อนใส่ลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ กู้ชีพขึ้นมาได้ เอาไปผสมในหม้อเดิม กวนให้เข้ากัน แต่มันเสียใจไม่ได้เป็น Dry Caramel

เป็นกระแสอยู่ช่วงนึงถึงเวลามาแจกสูตรอร่อยแถมน่ารักของ ขนมปังรูปมันฝรั่งกัน สูตรนี้มันฝรั่งแน่นไม่กลวง รสชาติเค็มนิดหวานหน่อยอร่อยลงตัวสุดๆ   ส่วนผสมไส้ขนมปัง มันฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก 3 หัวขนาดกลาง แฮมหั่นชิ้นเล็ก 1/4 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา เนยสดเค็มหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมแป้งขนมปัง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย ผงยีสต์ 3 กรัม น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นมสดรสจืด 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 2 1/2 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 1 ฟอง      ส่วนผสมสำหรับคลุกผิวขนมปัง แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ นมผง 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ต้มมันฝรั่งให้สุกนุ่ม ตักใส่ชามผสม ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และพริกไทย บดให้เข้ากัน ใส่แฮม ผสมให้เข้ากัน (ปรุงรสเพิ่มด้วยเนยสด หรือมายองเนสตามชอบ) ผสมแป้งสาลี ผงยีสต์ และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน ใส่นมสด ไข่แดง นวดให้พอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดต่อให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 10 นาที นำส่วนผสมมันฝรั่งมาแบ่งเป็น 8 ส่วน ปั้นเป็นก้อนกลม นำแป้งโดขนมปังมาตักแป้งเป็น 8 ก้อน คลึงให้เป็นก้อนกลม พักไว้ รีดแป้งแต่ละก้อนให้เป็นแผ่น ใส่ไส้มันฝรั่ง หุ้มให้มิด คลึงเบาๆ ให้เป็นลูกรีเล็กน้อย ผสมแป้งข้าวเหนียว ผงโกโก้ และนมผงเข้าด้วยกัน นำแป้งที่ใส่ไส้แล้วมาคลุกให้ทั่ว ใช้ตะเกียบจิ้มที่แป้งให้เป็นหลุมเบาๆ เรียงขนมปังใส่ถาด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 20 นาทีจนสุก

มัฟฟินเนื้อนุ่มแสนอร่อยในรสชาติมะม่วงน้ำดอกไม้ สอดแทรกด้วยมะพร้าวอบ หอมกลิ่นน้ำตาลโตนด รับประทานเป็นมื้อเช้า ของว่าง หรือของหวานก็อร่อยได้ทุกเวลา ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 315 กรัม เบกกิงโซดา 1 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 70 กรัม น้ำตาลโตนด 70 กรัม น้ำมันมะพร้าว 80 มิลลิลิตร ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้บด 260 กรัม มะพร้าวอบแห้ง 45 กรัม เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ (หั่นเต๋า) 360 กรัม น้ำตาลทรายเกล็ดใหญ่ 2 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ ตั้งเตาอบที่อุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส เตรียมถาดอบมัฟฟินหรือเค้กชิ้นเล็กขนาด 12 หลุม รองกระดาษหรือฉีดสเปรย์น้ำมันเตรียมไว้ ร่อนแป้งสาลี เบกกิงโซดา และเกลือใส่ชามผสม ใส่น้ำตาลทรายและน้ำตาลโตนดตามลงไป คนให้กระจายดี พักไว้ ผสมน้ำมันมะพร้าว ไข่ไก่ น้ำมะนาว และมะม่วงบดให้เข้ากัน ใส่ลงในส่วนผสมของแห้ง คนด้วยพายยางให้เข้ากันดี ใส่มะพร้าวอบและมะม่วงหั่นชิ้นลงไป คนให้กระจายดี แบ่งส่วนผสมลงในพิมพ์ชิ้นละ 100-105 กรัม โรยหน้าบางๆ ด้วยน้ำตาลทรายเกล็ดใหญ่ นำเข้าเตาอบเป็นเวลา 18 นาที หรือจนสุกดี พักให้เย็นลง พร้อมรับประทาน

เค้กประเภท Upside-Down ทำกันมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนคิดหรือเริ่มทำกันเมื่อไหร่ สมัยก่อนใช้ผลไม้ เช่น แอปเปิล พลัม แอปริคอตวางก้นพิมพ์ เติมน้ำผึ้ง และเนื้อเค้กชนิดใดชนิดหนึ่ง พอสุกก็คว่ำหน้าลงบนจาน หน้าขนมจะเยิ้มนิดๆ ไม่ต้องใส่หน้าอะไรเพิ่มอีก Tarte Tatin ของฝรั่งเศส และขนมราชปะแตนก็อยู่ในเค้กประเภทนี้   ในอเมริกาเค้ก Upside-Down นิยมทำกันในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 ส่วนมากจะมีสับปะรดวางก้นพิมพ์ มีขายทั่วไป ในอเมริกาใต้ก็มีเค้กแบบนี้ใช้ Dulce de Leche (นมคาราเมล วิธีทำง่ายๆ คือ นำนมข้นหวานทั้งกระป๋องตุ๋นในน้ำร้อนประมาณ 3-4 ชั่วโมง) ซึ่งมีกันทุกบ้านใส่ก้นพิมพ์ สุกแล้วคว่ำบนจานก็จะมีหน้าในตัว เนื้อของเค้กประเภทนี้จะเป็นเค้กเนยธรรมดา เพราะถ้าเป็นเค้กสปันจ์เนื้อจะเบาไป รับน้ำหนักของหน้าไม่ได้   เมื่อผู้เขียนเป็นเด็กได้ทานเค้ก Upside-Down ที่คาราเมลทำด้วยน้ำตาลปี๊บและกะทิ บางทีก็มีเนื้อมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยใส่ลงไปด้วย เนื้อเค้กเป็นเค้กเนยที่หอมมากเพราะใช้เนยถังทอง (เนยสดแท้)   ฉบับนี้เราจะทำ Upside-Down Cake แบบสมัยก่อน ปรับปรุงสูตรเล็กน้อยสำหรับเตาอบไฟฟ้า เป็นเค้กที่ทำง่าย แม้แต่คนเพิ่งหัดทำเค้กก็ทำได้อย่างไม่พลาด   Caramel Upside-Down Cake ส่วนผสมคาราเมล (Caramel) เนยจืด 150 กรัม น้ำเชื่อมข้าวโพด 55 กรัม น้ำตาลโตนด 120 กรัม เม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ 120 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา วิธีทำ ใส่เนย น้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำตาลโตนด เกลือ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์รวมกันในหม้อ ต้มไฟปานกลาง คนตลอดจนทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่ถาดที่จะอบ พักไว้ให้เย็น และใส่ตู้เย็นไว้ 20 นาที Note ใช้แบะแซแทนน้ำเชื่อมข้าวโพดได้ หรือจะไม่ใส่ก็ได้ ส่วนผสมเค้กเนย (Butter Cake) เนยพักไว้ให้นุ่ม 200 กรัม น้ำตาลทราย 200 กรัม ไข่ เบอร์ 0 4 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 300 กรัม ผงฟู 1 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา ผงวานิลลา 1 1/2 ช้อนชา กะทิ 250 กรัม วิธีทำ ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ และวานิลลารวมกัน พักไว้ ตีเนยกับน้ำตาลทรายจนฟู ใส่ไข่ทีละฟองแล้วตีพอเข้ากัน ใส่กะทิครึ่งหนึ่ง ตีพอเข้ากัน เติมส่วนผสมแป้งครึ่งหนึ่ง ตีพอเข้ากัน ตามด้วยกะทิที่เหลือ และจบด้วยแป้ง Note การใช้กะทิแทนนมเนื้อเค้กจะฉ่ำนุ่ม กะทิต้องใช้หัวกะทิและหางกะทิรวมกัน ถ้าใช้เฉพาะหัวกะทิจะมันเกินไป เนื้อเค้กจะแยก วิธีประกอบเค้ก นำพิมพ์ที่ใส่คาราเมลไว้ออกจากตู้เย็น ตักส่วนผสมเค้กใส่ เกลี่ยให้หน้าเสมอกัน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบนาน 40-45 นาที นำออกจากเตาอบ พักบนตะแกรง 5-6 นาที คว่ำลงบนจาน

มังกี้เบรด (Monkey Bread) เป็นขนมปังหวานชนิดหนึ่งที่ทานกันมากในอเมริกา ไม่มีใครรู้ว่าชื่อนี้มาจากไหน แต่อาจจะเป็นเพราะขนมปังนี้เป็นก้อนเล็กๆ ประกอบเข้าด้วยกัน เวลาจะทานก็ดึงออกมาทีละก้อนเหมือนลิงดึงอาหารจึงเรียกว่า Monkey Bread   ขนมปังนี้ตามจริงเป็นขนมปังของฮังการี ชาวฮังกาเรียนที่อพยพมาอเมริกานำขนมนี้ไปทำ แต่เดิมปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ชุบเนยและเรียงใส่พิมพ์ ต่อมาก็ชุบเนย น้ำตาล และอบเชยเพิ่มขึ้น ทานเป็นอาหารเช้า ปัจจุบันมังกี้เบรดมีทั้งหวานและเค็ม แบบเค็มชุบเนย กระเทียม และพาร์สลีย์ ทานกับอาหารคาว   ฉบับนี้เราทำมังกี้เบรดแบบหวานกัน   Monkey Bread ส่วนผสมแป้งโด น้ำอุ่น 40 กรัม นมอุ่น 250 กรัม ยีสต์ผง 10 กรัม น้ำตาลทราย 50 กรัม เนยละลาย 55 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 300 กรัม แป้งเค้ก 170 กรัม เกลือ 15 กรัม วานิลลา 1 ช้อนชา ไข่เบอร์ 0 1 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง อุปกรณ์ : พิมพ์ Bundt   วิธีทำ ผสมน้ำ นม ยีสต์ น้ำตาล และเนยให้เข้ากัน พักไว้ให้ยีสต์ขึ้น ผสมแป้งทั้ง 2 ชนิดกับเกลือในอ่างผสม ใส่ส่วนผสมนม ไข่ และวานิลลา ใช้หัวตีหัวขอตีด้วยความเร็วปานกลางจนเหนียวและแป้งเริ่มไม่ติดข้างอ่าง ถ้าแป้งติดข้างอ่างให้ค่อยๆ ใส่แป้งทีละช้อน แป้งจะต้องเหนียวและติดมือเล็กน้อย พักแป้งให้ขึ้น 2 เท่า โรยน้ำตาลลงบนกระดานเล็กน้อย เทแป้งลงทับน้ำตาล ตีลมให้ออกเท่าที่จะทำได้ คลึงแป้งให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยม 9 × 9 นิ้ว โรยน้ำตาลเคลือบลงบนแป้งโดให้ทั่ว ตัดออกเป็นชิ้นเล็ก 64 ชิ้น ทาเนยบนพิมพ์ Bundt ให้ทั่ว เอาแป้งแต่ละก้อนชุบน้ำตาลเคลือบใส่ลงในพิมพ์จนหมด พักแป้งให้ขึ้น 2 เท่า นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที เอาออกจากเตาอบ พัก 5 นาที คว่ำขนมปังลงบนจาน ราดด้วยน้ำตาลราดให้ทั่ว ส่วนผสมและวิธีทำน้ำตาลเคลือบ น้ำตาลทรายแดง 220 กรัม | อบเชยป่น 2-3 ช้อนชา | เนยละลาย 113 กรัม ผสมส่วนผสมรวมกัน ส่วนผสมและวิธีทำน้ำตาลราด น้ำตาลทรายแดง 120 กรัม | วิปปิงครีม 120 กรัม | เนย 55 กรัม | เหล้ารัมตามชอบ ละลายน้ำตาลทรายแดงในหม้อก้นหนาจนเป็นสีเข้ม เติมวิปปิงครีม เนย และเหล้ารัม คนให้เข้ากัน   

คุกกี้ทูโทนชิ้นเล็กขนาดพอดีคำ ที่มาพร้อมความอร่อยให้เลือกกันถึง 2 รสชาติ ทั้งวานิลลาและช็อกโกแลต เมนูสุดเด็ดที่บอกเลยว่าทำแจกก็ดี นำขายก็ได้กำไร   ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 400 กรัม เนยสดเค็ม 300 กรัม น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 300 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 1 ฟอง ผงฟู 1/2 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา ผงโกโก้ 3 ช้อนโต๊ะ ช็อกโกแลตชิป 160 กรัม      วิธีทำ คนเนยสดกับน้ำตาลทรายและเกลือเข้าด้วยกัน ใส่ไข่ไก่ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งและผงฟู คนให้เข้ากัน แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใส่กลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตชิปครึ่งหนึ่ง ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ส่วนที่ 2 ใส่ผงโกโก้ ผสมให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตชิปที่เหลือ ผสมให้เข้ากัน พักไว้ เตรียมถาดอบ ปั้นแป้งคุกกี้วานิลลาเป็นก้อนกลมเล็ก เรียงใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียล เวลา 15 นาทีจนสุก ปั้นแป้งคุกกี้ช็อกโกแลตเป็นก้อนกลมเล็ก เรียงใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 17 นาทีจนสุก

...ตกตึกไม่ใช่ขายตึก!...   ป้าเจี๊ยบแน่ใจว่ามะม่วงที่คุณแป๋วเพื่อนบ้านให้มาเป็นพันธุ์ตกตึกแน่นอน เพราะตอนที่เธอส่งมะม่วงให้ 2 ถุง เธอบอกว่ามีน้ำดอกไม้กับตกตึกให้อย่างละถุง ป้าเจี๊ยบบอกทันทีว่าเคยกินแต่ขายตึกนะ คุณแป๋วตอบว่าน่าจะเหมือนกัน เรียกตามเจ้าของสวนที่ซื้อมา เอ๊ะ! ยังไง? ว้าวุ่นเลยป้าเจี๊ยบ อิอิ   มนุษย์ช่างสงสัยอย่างป้าเจี๊ยบก็สืบค้นข้อมูลสิคะ แล้วได้ผลสรุปที่ยืนยันว่า 2 ชนิดนี้ไม่เหมือนกันจริงๆ รูปร่างคล้ายกัน นิยมกินดิบเหมือนกัน แต่ขายตึกมีผิวสีเหลืองตอนที่เป็นมะม่วงดิบ ถุงมะม่วงผิวสีเหลืองที่ได้มาเป็นน้ำดอกไม้สุก ฉะนั้นอีกถุงที่มะม่วงผิวสีเขียวย่อมเป็นตกตึกแน่นอน กินดิบวางไว้ข้างนอก กินสุกส่งเข้าตู้เย็นไป   หลังจากกินน้ำดอกไม้อย่างเดียวติดๆ กัน 3 วัน ขณะเดินผ่านถุงมะม่วงดิบที่วางไว้ พลันได้กลิ่นหอมหวานๆ แบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน หยิบมะม่วงตกตึกที่ผิวยังเขียวแต่บริเวณขั้วแซมเหลืองนิดๆ ขึ้นมาดม กลิ่นหอมเด่นมากจนต้องปอกเปลือกดู อ้าว...สุกแล้วนี่นา เนื้อเหลืองจัด แน่นแต่นุ่ม และหวานมาก   กินไม่ทันแน่นอนเพราะน้ำดอกไม้ยังไม่หมด และป้าเจี๊ยบชอบรสสัมผัสของน้ำดอกไม้สุกมากกว่าตกตึกสุก มิน่า...ข้อมูลถึงบอกว่าตกตึกเป็นมะม่วงที่นิยมกินดิบ ซึ่งป้าเจี๊ยบเสียโอกาสได้ชิมไปซะแล้ว เฮ้อ!   จะมีอะไรดีไปกว่าทำเค้ก เพราะมะม่วงตกตึกมีเนื้อแน่น รสหวาน แถมกลิ่นหอมมาก   ป้าเจี๊ยบปอกมะม่วงเอาส่วนเนื้อมาปั่นให้ละเอียด แล้วใส่เนื้อมะม่วงตกตึกละเอียด 1/2 ถ้วยตวงลงในชาม เติมเกลือป่น 1/2 ช้อนชาลงไป คนให้เกลือละลาย วางพักไว้ จากนั้นนำนมรสจืด 1/3 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้ววางพักไว้   ลงมือเตรียมชามแห้ง มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 140 กรัม ผงฟู 3/4 ช้อนชา โซดาไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี แล้ววอร์มเตาอบไว้ที่ปุ่มความร้อน 170 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟล่าง   เริ่มทำชามเปียกด้วยการตีไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง กับน้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวงด้วยตะกร้อไฟฟ้า ใช้ความเร็วปานกลางจนกระทั่งน้ำตาลละลาย แล้วค่อยๆ รินน้ำมันคาโนล่า 1/3 ถ้วยตวงลงไปทีละนิดในขณะที่ตี จนกระทั่งส่วนผสมมีลักษณะเป็นเนื้อครีม   นำชามมะม่วงตกตึก ชามนม และชามแห้งมาเทลงในชามเปียก เปลี่ยนความเร็วของตะกร้อไฟฟ้าเป็นระดับต่ำ ตีให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที แล้วเทใส่พิมพ์โลฟขนาด 3 × 7 นิ้ว ซึ่งปูกระดาษรองอบไว้แล้ว ยกพิมพ์กระแทกกับเคาน์เตอร์เพื่อไล่ฟองอากาศ วางเรียงเนื้อมะม่วงหนาประมาณ 1/4 นิ้ว จำนวน 5 ชิ้นไว้ด้านบน นำพิมพ์เข้าเตาอบ หมุนปุ่มเวลาไปที่ 30 นาที เมื่อผ่านไป 10 นาที ป้าเจี๊ยบปรับปุ่มไฟเป็นบน-ล่าง พอได้ยินเสียงติ๊ง ก็ยกพิมพ์ออกจากเตามาวางพักไว้ประมาณ 5 นาที ก่อนที่จะนำออกจากพิมพ์   อยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหนต้องทำกินเองนะคะ ป้าเจี๊ยบชิมแล้วก็รีบลงมือทำอีก 1 โลฟ สำหรับคุณแป๋วเพื่อขอบคุณที่ทำให้รู้จักมะม่วงตกตึก จะแบ่งโลฟแรกให้ก็เหลือน้อยเกิ้นนนน ขืนให้เท่าที่เหลือ ป้าเจี๊ยบเขินตัวเอง อิอิ   อ้อ! ป้าเจี๊ยบทำแบบคัปเค้กฝากให้ป้าแจงไปตักบาตรที่กลางดง...อนุโมทนาด้วยกันนะคะ

ส่วนผสมครีมคัสตาร์ดชีสเชดดาร์ ไข่แดง 4 ฟอง | น้ำตาลทราย 1 ถ้วย | แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ | นมรสจืด 500 มิลลิลิตร | ชีสเชดดาร์ 1 ถ้วย | ชีสเกาด้า 1/4 ถ้วย | เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา   วิธีทำ ต้มนมกับกลิ่นวานิลลาให้พอร้อน เตรียมไว้ ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดแล้วคนส่วนผสมให้พอเข้ากัน ใส่นมที่ต้มไว้ลงในส่วนผสมไข่ กรองแล้วเทกลับลงหม้อใบเดิม ต้มส่วนผสมให้ข้นเป็นเนื้อคัสตาร์ด ใส่ชีส คนผสมให้เข้ากัน ปิดไฟแล้วยกออกจากเตา ใส่เนย คนให้ละลายเข้ากันดี เทใส่ชามผสม ปิดด้วยพลาสติกแร็ปให้แนบหน้า พักไว้ในตู้เย็นนาน 3 ชั่วโมงจนเซ็ตตัว (นำมาตีเล็กน้อยก่อนนำไปใช้)   ส่วนผสมโทสต์ (สำหรับ 2 ที่) เนยจืด (นุ่ม) 1 ถ้วย น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1/4 ช้อนชา โทสต์ขนมปังฮอกไกโด 1 ชิ้น ของตกแต่ง น้ำตาลกรอบ | เคปกูสเบอร์รี | ถั่วเคลือบคาราเมล | ป๊อปคอร์นคาราเมล | แผ่นชีสเชดดาร์ | คลอตเต็ดครีม | กล้วยหอมบรูเล   วิธีทำ ผสมเนยจืดกับน้ำตาลทรายแดง และกลิ่นวานิลลาให้พอเข้ากัน ปาดเนยให้รอบขนมปัง นำลงย่างบนกระทะให้สุกเหลืองทั่วชิ้น พักไว้บนตะแกรงให้หายร้อน บีบครีมคัสตาร์ดลงบนขนมปัง ตกแต่งหน้าด้วยน้ำตาลกรอบ เคปกูสเบอร์รี ถั่วเคลือบคาราเมล ป๊อปคอร์นคาราเมล แผ่นชีส คลอตเต็ดครีม และกล้วยหอมบรูเลให้สวยงาม

คุกกี้ดอกไม้อีกแล้ว รอบนี้เป็นคุกกี้ดอกไม้ทานตะวัน กินหอมๆ วานิลลา และช็อกโกแลต จะทำเป็นของแจก หรือใส่ขวดไว้กินกับกาแฟก็อร่อย   ส่วนผสม เนยสดรสเค็ม 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 300 กรัม น้ำตาลไอซิง 100 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1/2 ฟอง ผงโกโก้ 1-2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ คนเนยสดกับน้ำตาลไอซิงและเกลือเข้าด้วยกันจนขึ้นฟู ใส่ไข่ คนให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลี ผสมให้เข้ากัน     แบ่งส่วนผสมแป้งโดเป็น 3 ส่วน รีดให้เป็นแผ่นหนา 0.4-0.5 เซนติเมตร นำไปแช่เย็นไว้ประมาณ 30 นาที ใช้พิมพ์กดรูปดอกไม้กดแป้งโดเป็นดอกวางเรียงใส่ถาดอบ นำแป้งโด 2 ชิ้นวางซ้อนให้กลีบดอกสับหว่างกัน ใช้หัวบีบกดเนื้อแป้งตรงกลางออกมาผสมกับผงโกโก้ คนให้เข้ากัน รีดเป็นแผ่น กดเป็นวงกลม ติดกลับตรงกลางดอกไม้ ใช้ไม้จิ้มให้เป็นจุดคล้ายเกสรดอกไม้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 12-15 นาที จนสุกเหลือง

ขนมปังถาดไซส์มินิหยิบกินง่าย ที่อัดแน่นมาทั้งเนยน้ำตาลบนแป้งขนมปังนุ่มๆ ทำกินง่ายแถมอร่อยกันได้หลายคน จดสูตรไว้ทำตามด่วน!   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 3 ถ้วย นมผง 30 กรัม เกลือป่น 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย ผงยีสต์ 2 1/2 ถ้วย ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1 ฟอง นมสดอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 1/4 ถ้วย เนยสดเค็มหั่นชิ้นละ 3 กรัม แช่เย็น            วิธีทำ เตรียมแป้งโดโดยผสมแป้งขนมปัง นมผง เกลือ น้ำตาลทราย และผงยีสต์ คนให้เข้ากัน ใส่นมสดอุ่นและไข่ไก่ คนให้พอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดจนแป้งเนียนนุ่ม พักไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 1 ชั่วโมง ตัดแป้งเป็นก้อนน้ำหนัก 10-15 กรัม คลึงเป็นก้อนกลมแล้วแผ่ออก ใส่เนยสดก้อนเล็กห่อให้มิด เรียงใส่ถาดสำหรับอบ พักแป้งไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า ทาหน้าขนมปังด้วยนมสดให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 25 นาทีจนสุกเหลือง ยกออกจากเตา ทาเนยสดให้ทั่ว พักไว้จนเย็นแล้วทาเนยนุ่มอีกครั้งให้ทั่ว โรยน้ำตาลทรายเล็กน้อย   

ไอศกรีมที่ไม่ดับร้อนแต่คอนเฟิร์มว่ากินเพลินจนหยุดไม่อยู่ อร่อยได้แบบไม่ต้องกลัวละลาย   ส่วนผสม เนยสดรสเค็ม 225 กรัม แป้งเค้ก 2 1/2 ถ้วย ผลไม้แห้งรวมหั่นชิ้นเล็ก 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลไอซิง 3/4 ถ้วย ไข่ไก่ตีพอเข้ากัน 1/2 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 1/2    ช้อนชา วิธีทำ คนเนยสดกับน้ำตาลไอซิง และเกลือให้เข้ากันจนเป็นครีม ใส่ไข่และกลิ่นวานิลลา คนต่อให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก และผลไม้แห้ง ผสมให้เข้ากัน ใช้ที่ตักไอศกรีมตักแป้งคุกกี้กดใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาที จนคุกกี้สุก

ส่วนผสมเกาลัดสปันจ์เค้ก เกาลัดบดละเอียด 427 กรัม | น้ำมันเมล็ดองุ่น 100 กรัม | แป้งข้าวโพด 30 กรัม | ไข่ 210 กรัม | ไข่ขาว  120 กรัม | น้ำตาลทรายขาว 60 กรัม | เนื้อเกาลัดเชื่อม (หั่นเต๋าขนาด 2 มิลลิเมตร) 200 กรัม   วิธีทำ ผสมเนื้อเกาลัดบด น้ำมันเมล็ดองุ่น แป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย และไข่ไก่ในเครื่องผสมให้เข้ากัน ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย 120 กรัม ให้ตั้งยอดอ่อน จากนั้นผสมกับเนื้อเกาลัดให้เข้ากัน เทส่วนผสมลงบนพิมพ์ซิลิโคนขนาด 53 × 32 เซนติเมตร โรยเกาลัดเชื่อมหั่นเต๋า นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 14 นาทีจนสุก ส่วนผสมแยมแบล็กเคอร์เรนต์ แบล็กเคอร์เรนต์บดละเอียด 320 กรัม | บลูเบอร์รีบดละเอียด 146 กรัม | น้ำตาลทรายขาว 43 กรัม | น้ำตาลเด็กซ์โทรส 20 กรัม | เพกติน NH 7 กรัม | เจลาตินแมส 33 กรัม   วิธีทำ ผสมน้ำตาลเด็กซ์โทรส น้ำตาลทราย และเพกตินเข้าด้วยกันในหม้อ ใส่แบล็กเคอร์เรนต์และบลูเบอร์รีบด ต้มให้เดือดประมาณ 1 นาที ใส่เจลาตินแมส พักให้ส่วนผสมเย็นตัวลงสักครู่ เทลงบนเกาลัดสปันจ์เค้ก นำไปแช่ในตู้แช่แข็ง ส่วนผสม Chestnut Base นมรสจืด 120 กรัม | ไข่แดง 60 กรัม | น้ำตาลทรายขาว 10 กรัม | เจลาตินแมส 38 กรัม | เนื้อเกาลัดบดละเอียด 320 กรัม | ฝักวานิลลา 5 กรัม   วิธีทำ ต้มนมและวานิลลาจนเดือด เตรียมไว้ ในชามผสมอีกใบตีไข่แดงและน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ค่อยๆ เทนมที่ต้มจนเดือดลงในส่วนผสมไข่ทีละเล็กน้อย (คนต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ไข่สุก) เทส่วนผสมกลับลงหม้อแล้วต้มต่อจนอุณหภูมิถึง 85 องศาเซลเซียส เทส่วนผสมที่ต้มไว้ (Crème Anglaise) ลงในเนื้อเกาลัดบดและเจลาติน คนผสมให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว ส่วนผสมมูสเกาลัด วิปครีม 200 กรัม | Chestnut Base 300 กรัม | เหล้ารัม 20 กรัม   วิธีทำ นำ Chestnut Base ที่แช่เย็นไว้ออกมา ใส่เหล้ารัม ตีส่วนผสมให้เข้ากันจนเนียน ค่อยๆ ตะล่อมกับวิปครีม นำเกาลัดสปันจ์เค้กออกมาปาดส่วนผสมลงบนหน้าแยมแบล็กเคอร์เรนต์ แช่เค้กในตู้แช่แข็งประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เซ็ตตัว ส่วนผสมครีมแบล็กเคอร์เรนต์ แบล็กเคอร์เรนต์บดละเอียด 250 กรัม | น้ำตาลทรายขาว 50 กรัม | น้ำตาลเด็กซ์โทรส 75 กรัม | เพกติน NH 7 กรัม | แป้งข้าวโพด 5 กรัม | แป้งมันสำปะหลัง 5 กรัม | เนย 25 กรัม | เจลาตินแมส 55 กรัม | โกโก้บัตเตอร์ 25 กรัม   วิธีทำ ผสมน้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาลเด็กซ์โทรส และเพกตินให้เข้ากัน เตรียมไว้ ในหม้อใบเล็กต้มแบล็กเคอร์เรนต์บดกับส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้จนเดือด ประมาณ 1 นาที จากนั้นใส่เนย เจลาตินแมส และโกโก้บัตเตอร์ ปั่นผสมให้เข้ากันด้วยเครื่องปั่นมือถือ ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบปากแบน เตรียมไว้ วิธีประกอบเค้ก ตัดเค้กตามแนวยาวให้ได้ขนาดเท่าๆ กัน 3 ชิ้น ค่อยๆ ใช้ปืนพ่นไฟพ่นด้านบนของเค้กทั้ง 2 ชิ้น แล้วนำมาวางทับกันเป็นชั้นๆ ปาดหน้าเค้กให้เรียบเนียน นำกลับแช่ในตู้แช่สักครู่ นำเค้กออกมาแล้วตัดเป็นทรงลูกเต๋าขนาดชิ้นละ 5 เซนติเมตร จากนั้นค่อยๆ บีบครีมแบล็กเคอร์เรนต์ลงบนหน้าเค้ก และตกแต่งให้สวยงาม

ส่วนผสมเมอแรงก์ฝรั่งเศส  ไข่ขาว 100 กรัม | น้ำตาลทราย 100 กรัม | น้ำตาลไอซิง 100 กรัม     วิธีทำ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายด้วยหัวตะกร้อ ค่อยๆ แบ่งน้ำตาลทรายใส่ทีละน้อย แล้วตีจนตั้งยอดอ่อน ตะล่อมน้ำตาลไอซิงที่ร่อนแล้วกับเมอแรงก์ พักให้เมอแรงก์เซ็ตตัวสักครู่ ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบเบอร์ 8 บีบครีมให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 เซนติเมตร 2 วง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนผสมเมอแรงก์ซูเซ่ น้ำตาลทราย 70 กรัม | ไข่ขาว 80 กรัม | นมรสจืด 10 กรัม | ผง TPT (Tant Pour Tant) 80 กรัม   วิธีทำ ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย เตรียมไว้ ชามผสมอีกใบใส่ผง TPT จากนั้นค่อยๆ ใส่ไข่ขาวที่ตีไว้ปริมาณ 1/3 ถ้วยไปผสม จากนั้นใส่ที่เหลือลงไป และผสมให้เข้ากัน ใส่นม ตักใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบเบอร์ 8 บีบให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 เซนติเมตร นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง นำออกจากเตาอบ วางบนตะแกรงให้เย็นลงแล้วเก็บในที่แห้ง ส่วนผสมมูสช็อกโกแลต ไข่ขาว 225 กรัม | น้ำตาลทราย 75 กรัม | ช็อกโกแลต 50% 280 กรัม | ไข่แดง 75 กรัม | เนย 140 กรัม   วิธีทำ ละลายช็อกโกแลตกับเนย ใส่ไข่แดง เตรียมไว้ ในชามผสมอีกใบตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย วัดอุณหภูมิช็อกโกแลตให้ได้ 35 องศาเซลเซียส ใส่ส่วนผสมไข่ขาว 1/4 ส่วน ลงในช็อกโกแลตที่เตรียมไว้ ตะล่อมไข่ขาวที่เหลือลงในส่วนผสมให้เข้ากันดี ส่วนผสมช็อกโกแลตรูปใบพัด ช็อกโกแลต 70% 250 กรัม   วิธีทำ เทช็อกโกแลตละลายที่อุณหภูมิ 45-50 องศาเซลเซียส ลงบนถาดที่อุ่น (อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส) ค่อยๆ ใช้ลูกกลิ้งฟองน้ำทำลวดลาย พักไว้ในตู้เย็นนาน 6 ชั่วโมง คลุมด้วยพลาสติกห่ออาหาร (เพื่อป้องกันความชื้น) นำถาดช็อกโกแลตออกจากตู้เย็น พักไว้ในอุณหภูมิห้อง 15 นาทีก่อนนำมาใช้ ทดสอบความนุ่มโดยใช้นิ้วสัมผัส จากนั้นใช้มีดแล่ค่อยๆ ตัดช็อกโกแลตเป็นรูปใบพัดให้สวยงาม เตรียมไว้ ส่วนผสม Chablonnage ช็อกโกแลต 64% 60 กรัม | น้ำมันเมล็ดองุ่น 8 กรัม   วิธีทำ ละลายช็อกโกแลตและน้ำมันเมล็ดองุ่น เตรียมไว้ ทาช็อกโกแลตบนเมอแรงก์ทั้ง 2 ด้าน เตรียมไว้ การประกอบและการตกแต่ง วางเมอแรงก์สลับกับมูสช็อกโกแลตให้ได้ 3 ชั้น จากนั้นวางแผ่นช็อกโกแลตให้รอบเค้ก ตกแต่งบนหน้าเค้กด้วยแผ่นช็อกโกแลตรูปใบพัดให้สวยงามและโรยด้วยน้ำตาลไอซิง

ขนมที่เรียกกันว่า ซอง รีวาล (Sans Rival) หรือแปลตรงๆ ว่า ไม่มีคู่แข่ง เป็นเค้กที่แพร่หลายมากในประเทศฟิลิปปินส์ เค้กนี้ประกอบด้วยเมอแรงก์หลายชั้นประกบด้วยครีมเนยหรือที่เรียกกันว่า French Buttercream ไม่มีใครรู้แน่ว่าขนมนี้มีต้นตอมาจากไหน บางคนบอกว่าชาวฟิลิปปินส์เอามาจากยุโรปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกฝรั่งเศสก็บอกว่าเอามาจาก Dacquoise หรือ Succès ของเขาแล้วเอาไปดัดแปลง เพราะขนมทั้ง 2 ชนิด มีส่วนประกอบหลักคือเมอแรงก์และครีม แต่แทนที่จะใช้ถั่วอัลมอนด์หรือเฮเซลนัตก็ใช้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่หาได้ง่ายในแถบประเทศเขตร้อนแทน   ไม่ว่าซองรีวาลจะเกิดจากที่ไหนก็เป็นขนมที่ทำง่าย แต่ต้องใช้เวลานานในการอบเมอแรงก์และรอให้เย็นจึงจะประกอบได้ ทำล่วงหน้าและเก็บในตู้เย็นได้   ส่วนถั่วถ้าใครชอบถั่วอะไรก็ใช้แทนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้   Gȃteau Sans Rival ส่วนผสมเมอแรงก์ (Meringue) เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 350 กรัม น้ำตาลไอซิง 220 กรัม ไข่ขาวเบอร์ 0 8 ฟอง น้ำตาลทราย 220 กรัม วิธีทำ ปั่นเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับน้ำตาลไอซิงใน Food Processor จนเป็นทรายหยาบ พักไว้ ตีไข่ขาวด้วยหัวตีตะกร้อจนเป็นฟองหยาบๆ ค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายทีละน้อยจนหมด ตีจนตั้งยอดแข็งและมันวาว ตะล่อมส่วนผสมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในไข่ขาวด้วยพาย ขีดวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ลงบนกระดาษไขจำนวน 5 วง บีบเมอแรงก์ลงบนกระดาษไขโดยเริ่มจากตรงกลางไปจนถึงขอบ ทำจนครบ 5 วง นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 90-120 นาที หรือจนกว่าเมอแรงก์จะแข็งทั่วทั้งแผ่น นำออกจากเตาอบ พักให้เย็นจึงลอกกระดาษไขออก ส่วนผสมครีมเนย (French Buttercream) ไข่เบอร์  2 3 ฟอง ไข่แดงเบอร์ 0 7 ฟอง น้ำตาลทราย 250 กรัม น้ำเปล่า 60 กรัม เนยอุณหภูมิห้อง 340 กรัม วานิลลา 2 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา วิธีทำ ตีไข่ทั้งหมดด้วยหัวตีตะกร้อจนฟูและเป็นสีนวล ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าจนเหนียว วัดอุณหภูมิได้ 115 องศาเซลเซียส ค่อยๆ เทน้ำตาลที่เดือดลงในไข่ขณะที่ยังตีด้วยความเร็วปานกลาง หลังจากใส่น้ำตาลหมดแล้วตีต่อไปจนส่วนผสมคลายความร้อนจนอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส ใส่วานิลลาและเกลือ เปลี่ยนหัวตีเป็นหัวใบพายและตีด้วยความเร็วปานกลาง ค่อยๆ ใส่เนยลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนส่วนผสมเนียน Note : ถ้าส่วนผสมแยกตัวนำไปแช่ตู้เย็นไว้แล้วนำกลับมาตีใหม่   วิธีประกอบเค้ก เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 150 กรัม สับหยาบๆ เตรียมไว้ วางแผ่นเมอแรงก์ 1 แผ่นบนถาด ทาส่วนผสมครีมให้ทั่ว วางเมอแรงก์อีกแผ่นประกบ ทำต่อไปเช่นนี้จนครบ 5 แผ่น ทาครีมที่เหลือให้ทั่วเค้ก โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับให้ทั่วเค้ก นำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนตัด เมื่อจะทานนำออกจากตู้เย็นพักไว้ 20 นาทีก่อนตัด ถ้าทานในอุณหภูมิห้องเนื้อขนมจะหนึบๆ ถ้าชอบให้เมอแรงก์กรอบก็ทานทันทีที่ออกจากตู้เย็น Note : ขนมนี้ถ้าไม่หวานจะไม่อยู่ตัวเพราะฉะนั้นจึงห้ามลดน้ำตาล