เมื่อศตวรรษที่ 18 ในภูมิภาค Basque ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสติดกับสเปน มีร้านขนมร้านหนึ่งทำขนมโดยใช้ Pâte Sablée ใส่ไส้ Crème Pâtissière ขนมนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปจนทำกันตามบ้าน   เริ่มแรกขนมนี้จะมีไส้ชั้นหนึ่งเป็นเชอร์รีดำกวน เพราะเมือง Itxassou ซึ่งอยู่ในแคว้นนี้ปลูกและมีชื่อเสียงมากเรื่องเชอร์รีดำ ปัจจุบันขนมนี้มีไส้ต่างๆ เช่น แอปริคอตกวน ช็อกโกแลต ขนมนี้ทำไม่ยากแต่อาจจะมีหลายขั้นตอนสักหน่อย   Gâteau Basque มีขายทั่วไปตามร้านขนมและร้านขายของฝาก ฉบับนี้เราจะทำตามสูตรดั้งเดิมที่ใส่ไส้เชอร์รีดำ   Gâteau Basque ส่วนผสม Pâte Sablée เนยพักให้นุ่ม 120 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม ไข่แดง 1 ฟอง ไข่เบอร์ 0 1/2 ฟอง ผงอัลมอนด์ 100 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 310 กรัม ผิวเลมอน 1/2 ผล เกลือ 1/2 ช้อนชา วิธีทำ ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถผสม ใช้หัวตีใบพายตีด้วยความเร็วต่ำจนแป้งรวมกันเป็นก้อน คลึงแป้งเป็นแผ่นหนา 6 มิลลิเมตร แช่ตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง คลึงแป้งให้หนา 4-5 มิลลิเมตร ตัดเป็นวงกลม 2 วง วงหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 เซนติเมตร สำหรับกรุพิมพ์ กรุแป้งลงในพิมพ์ให้ถึงขอบ เวลากรุต้องไม่ให้มีช่องโหว่เลย และขอบแป้งพอดีกับพิมพ์ อีกวงตัดให้เท่ากับพิมพ์สำหรับเป็นฝา นำเข้าตู้เย็นไว้จนกว่าจะใส่ไส้ ส่วนผสมไส้เชอร์รีดำ เชอร์รีกรีดเม็ดออก 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม เพกติน ชนิด NH 10 กรัม วิธีทำ ใส่เชอร์รีและน้ำตาลทราย 50 กรัมในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลาง คนจนเดือด ปิดไฟ ใช้เครื่องปั่นมือถือปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำตาลทราย 50 กรัม กับเพกตินให้เข้ากัน ใส่ลงในเชอร์รี ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง คนตลอดเวลาประมาณ 2-3 นาที เทใส่ถาด ปิดด้วยฟิล์มพลาสติกใส พักไว้ให้เย็นลงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น ส่วนผสม Crème Pâtissière นม 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ไข่แดง 2 ฟอง ผงคัสตาร์ด 50 กรัม ผงวานิลลา 5 กรัม (ใช้ชนิดผงเพื่อไม่ให้เนื้อครีมสีขุ่น) เนย 50 กรัม เหล้ารัม 1-2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ใส่นมและน้ำตาลทราย 50 กรัมลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด คนตลอดเวลา ผสมน้ำตาลทราย 50 กรัม กับไข่แดง ผงคัสตาร์ด และวานิลลา ค่อยๆ เทนมเดือดลงในส่วนผสมไข่ คนให้เนียน กรองด้วยกระชอน ตั้งไฟอีกครั้ง คนตลอดเวลาจนข้นและแป้งสุก เนื้อจะเหลวขึ้น ยกลงจากเตา ใส่เนย และเหล้ารัม ปิดด้วยพลาสติกใสให้แนบครีม พักไว้ในอุณหภูมิห้อง วิธีประกอบขนม นำพิมพ์ที่กรุแป้งไว้ออกจากตู้เย็น ใส่ไส้เชอร์รีที่ก้นพิมพ์ให้หนา 6-8 มิลลิเมตร เกลี่ยหน้าให้เสมอกัน ใส่ไส้ครีมให้หนากว่าเชอร์รีจนเต็มพิมพ์ เอาน้ำทาขอบพิมพ์ ปิดด้วยแป้งอีกแผ่น กดให้ปิดสนิทไม่มีลมระหว่างคัสตาร์ดและแป้ง ทาหน้าด้วยไข่แดงผสมนมหรือครีมเล็กน้อย พักให้เย็นแล้วทาอีกรอบ ตัดแป้งให้เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นบาสก์วางลงตรงกลาง หรือใช้ส้อมขีดเป็นลายก็ได้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 40-45 นาที นำออกจากเตา พักให้เย็น นำออกจากพิมพ์แล้วจึงตัดเสิร์ฟ

“ปีนี้กินทุเรียนพอแล้ว หยุดได้!”   ป้าเจี๊ยบประกาศให้ทุกคนได้ยิน หลังกลับจากทริปทุเรียน 3 วัน   เพื่อนวิศวะ สมบูรณ์ ยั่งเจริญ ชื่อเล่นเจี๊ยบเหมือนกัน พา สว. ชาวจุฬาฯ 21 คนไประยอง โดยมีเป้าหมายที่การกินทุเรียน!     กินกันจริงจังมากค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่เช็กอินเข้าแม่พิมพ์รีสอร์ตตอนช่วงเช้า เจ้าของโรงแรม สุธีร์ จินตนานฤมิตร ซึ่งเป็นรุ่นพี่ถาปัดจัด Welcome Drink เป็นน้ำมะพร้าวอ่อน พร้อมทุเรียนถาดใหญ่และมังคุด จากนั้นพักที่นี่ 2 คืน พี่ก็จัดทุเรียนไว้ให้กินก่อนอาหารเย็นทุกครั้ง!   ไฮไลต์ของทริปคือกินทุเรียนแบบไม่อั้นที่สวนคุณประยูร กินหลากหลายพันธุ์จนป้าเจี๊ยบเมาทุเรียนไปเลย ฮา!   ขากลับเพื่อนๆ ยังซื้อทุเรียนกลับบ้านกันอีก ป้าเจี๊ยบอุดหนุนเฉพาะทุเรียนทอดสำหรับเป็นของฝากน้องแพรสาวกทุเรียนตัวแม่ อิอิ   ผ่านไปเกือบเดือนโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับทุเรียน จนกระทั่งวันที่ออกไปหาอาหารปิ้งๆ ย่างๆ กินกับป้าอี๊ด สหายร่วมชายคา พอกลับมาบ้านได้พักใหญ่ป้าอี๊ดก็เปรยลอยๆ มาว่า “น่ามีของหวานกินนิ?”   เอิ่ม…อยากกินขนมเหมือนกัน ทำอะไรที่เร็วๆ กินดีกว่า   ป้าเจี๊ยบกวาดสายตาดูวัตถุดิบที่มี เห็นซองผงทุเรียนหมอนทอง 100 เปอร์เซ็นต์รวมอยู่กับสารพัดซองผงโน่นนี่นั่นในตะกร้า ไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาคือคุกกี้สไตล์บราซิลที่เรียกว่า Sequilhos ซึ่งใช้เวลาทำไม่เกิน 20 นาทีก็ได้กิน!   ลงมือทำทันทีสิคะ   เริ่มด้วยการเปิดเตาอบไว้ที่ปุ่มความร้อนอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง หยิบถาดอบขนาด 8×11 นิ้วมาปูด้วยกระดาษรองอบ ชั่ง แป้งข้าวโพด (Cornstarch) 50 กรัม ใส่ถ้วยวางพักไว้   จากนั้นหยิบชามผสมมาวางบนเครื่องชั่ง ใส่ เนยสดรสเค็ม (อุณหภูมิห้อง) 30 กรัม นมข้นหวาน 30 กรัม ผงทุเรียนหมอนทอง 10 กรัม แล้วยกชามออกมาใช้พายซิลิโคนคนจนส่วนผสมเนียนเข้ากันดี เท แป้งข้าวโพด ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในชาม คนส่วนผสมให้เข้ากันแค่พอหมดฝุ่นแป้ง เป็นอันได้คุกกี้โดเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว   ป้าเจี๊ยบใช้ที่ตักไอศกรีมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ตักคุกกี้โดวางบนถาดอบให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ได้คุกกี้รูปครึ่งวงกลม 12 ชิ้น! ยกถาดเข้าเตาอบ ตั้งปุ่มเวลาไปที่ 12 นาที   ก่อนเสียงติ๊ง! กลิ่นทุเรียนฟุ้งตลบอบอวลล่วงหน้ามาเลยค่ะ   ตามปกติคุกกี้แบบนี้ควรรอให้เย็นสนิทก่อนเสิร์ฟด้วยการโรยไอซิงเล็กน้อย เพราะทำจากแป้งข้าวโพด เนื้อคุกกี้จึงมีความกรอบและละลายในปาก   แต่กลิ่นทุเรียนกระตุ้นต่อมอยากของสองป้า หยิบกินกันทั้งที่ยังร้อนๆ อยู่เล้ยยยย...อิอิ

ขนมปังยอดฮิต นุ่มฟูหวานๆ มันๆ กินเพลินจนหยุดไม่อยู่   ส่วนผสม แป้งขนมปัง 2 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วย น้ำตาลเบเกอรี่ 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ยีสต์ผง 3 1/2 ช้อนชา นมสดอุ่น 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 1/4 ถ้วย ไส้กรอก น้ำสลัดครีม วิธีทำ ผสมแป้งขนมปัง แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ และยีสต์ คนให้เข้ากัน ใส่นมสดอุ่น คนให้พอเข้ากัน ใส่เนยสด นวดให้เข้ากันจนเนียน พักแป้งไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า นำแป้งขนมปังมานวดไล่อากาศ แบ่งเป็นก้อนละ 10 กรัม คลึงเป็นก้อนกลม รีดแป้งให้เป็นแผ่น วางไส้กรอกให้ปลายด้านหนึ่งยื่นออกมาจากแป้ง ม้วนแล้วเก็บริมให้เรียบร้อย วางในถาดอบ พักแป้งไว้จนขึ้นเป็น 2 เท่า ทาหน้าขนมปังด้วยนมข้นจืด นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 165 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาทีจนสุก ทาหน้าด้วยเนยสด พักไว้จนเย็น บีบน้ำสลัดครีมใส่ตรงกลาง จัดเสิร์ฟ

ของฝากสุดโปรดของใครหลายคน สูตรนี้ไม่ต้องใช้เตาอบ ทำไม่ยากอร่อยนุ่มฟูแน่นอน   ส่วนผสม ฝอยทอง 200 กรัม แป้งเค้ก 1/2 ถ้วย ไข่แดงเบอร์ 1 2 ฟอง น้ำตาลเบเกอรี่ (1) 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา นมสดรสจืด 1/4 ถ้วย น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา  ผงฟู 1/4 ช้อนชา ไข่ขาวเบอร์ 1 3 ฟอง ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา น้ำตาลเบเกอรี่ (2) 1/4 ถ้วย พิมพ์ขันข้าวขนาด 8 เซนติเมตร วิธีทำ ใส่ฝอยทองลงในพิมพ์แล้วกดให้แน่น ผสมไข่แดง น้ำตาลเบเกอรี่ (1) และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่นมสด และน้ำมันพืช คนให้เข้ากัน ใส่กลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก และผงฟู คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวพอเป็นฟองหยาบๆ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ ตีต่อจนเป็นฟองละเอียด ค่อยๆ ใส่น้ำตาลเบเกอรี่ (2) ตีต่อจนตั้งยอด ตักไข่ขาวครึ่งหนึ่งใส่ลงในชามไข่แดง ตะล่อมให้เข้ากันแล้วเทกลับใส่ชามไข่ขาว ตะล่อมให้เข้ากัน ตักใส่พิมพ์ฝอยทอง นำไปนึ่งในน้ำเดือด เวลา 15 นาทีจนสุก พักไว้ นำขนมออกจากพิมพ์ 

คัสตาร์ดเค้กเนื้อนุ่มละมุน หอมกรุ่นด้วยกล้วยหอม ด้านบนโรยธัญพืชให้เคี้ยวกรุบๆ กินอร่อยในยามบ่าย   ส่วนผสม ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/8 ช้อนชา แป้งเค้ก 1/4 ถ้วย ผงฟู 1/4 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา นมสด 1/2 ถ้วย กล้วยหอม 2 ผล ธัญพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์สไลซ์ วิธีทำ ผสมไข่ไก่ น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่นมสด คนให้เข้ากัน หั่นกล้วยใส่พิมพ์ ตักส่วนผสมแป้งใส่พอท่วมกล้วย โรยธัญพืช เรียงถ้วยขนมในหม้อทอดไร้น้ำมัน อบโดยใช้อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส เวลา 10-15 นาทีจนสุก จัดเสิร์ฟ

คนที่อยากจะเป็นวีแกนซึ่งไม่บริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ทั้งคาวและหวานดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้น คนที่กำลังตัดสินใจก็ไม่ลังเล เพราะชาววีแกนได้สร้างสรรค์เมนูของตนเองให้อร่อยได้อย่างไม่มีอะไรมาปิดกั้น โดยเฉพาะของหวานที่มีส่วนผสมของนม เนย ไข่ ก็สามารถใช้น้ำมันพืช กะทิมาทดแทน กลายเป็นเค้กอร่อยและสุขภาพดีไปด้วย Pistachio Cake with Lemon & Cardamon เค้กที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์เลย หลายคนอาจจะบอกว่าเนื้อเค้กน่าจะไม่ละมุน แต่การใช้น้ำมันพืช กะทิ และนมจากถั่วหรือธัญพืชจะมีเนื้อเค้กที่ต่างไปบ้าง แต่ก็สามารถใส่ส่วนผสมอื่นให้อร่อยขึ้น   เมนูนี้ใส่ถั่วพิสตาชิโอ ถั่วที่มีเนื้อมันอร่อย ไขมันสูงและเป็นไขมันชนิดดี เช่นเดียวกับถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ เช่น อัลมอนด์ วอลนัต พีแคน พิสตาชิโอมีต้นกำเนิดที่อิหร่านแต่ปัจจุบันนิยมกินกันทั่วไป ถั่วนี้เปลือกมีสีน้ำตาล เนื้อในเป็นสีเขียว อาจจะมีพันธุ์ที่มีสีน้ำตาลแต่สีเขียวอร่อยสุดและเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะใส่ในอะไรก็ชวนกิน   คุณค่าทางโภชนาการในถั่วพิสตาชิโอ 1 กำมือ (28 กรัม หรือประมาณ 49 เม็ด) ให้พลังงานประมาณ 159 แคลอรี โปรตีน 5.72 กรัม คาร์โบไฮเดรต 7.7 กรัม ไขมัน 12.8 กรัม และใยอาหาร 3 กรัม ส่วนประโยชน์นั้นเหมือนถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ เช่น ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคเบาหวาน และมีสารต้านอนุมูลอิสระ   เค้กนี้ใส่น้ำเลมอนให้มีรสเปรี้ยว ใส่ผิวเลมอนขูดละเอียดเพื่อให้มีกลิ่นสดชื่นขึ้น และยังใส่กระวาน หรือ Cardamon เครื่องเทศของอินเดียซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายการบูรลงไปอีก กระวานเม็ดสีเขียวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะนิยมใช้ทำทั้งอาหารคาวและหวาน และยังนิยมใช้แต่งกลิ่นเหล้าด้วย สรรพคุณที่โดดเด่นนอกจากกลิ่นหอมแล้วยังช่วยขับลมด้วย   ความอร่อยชวนกินและกินอร่อยจึงมาจากส่วนผสมต่างๆ เมื่ออบเสร็จแล้วยังราดหรือ Glaze ด้วยน้ำตาลไอซิงผสมน้ำเลมอนให้มีรสหวาน เปรี้ยว กลิ่นหอม เป็นสีขาวเคลือบอยู่บนหน้าเค้ก และโรยถั่วพิสตาชิโอสับหยาบสีเขียวให้น่ากินยิ่งขึ้นไปอีก   เค้กนี้จึงไม่เพียงเป็นเค้กอร่อยและชวนกินของชาววีแกนเท่านั้น แต่น่าจะถูกใจคนรักเค้กและรักสุขภาพด้วย Pistachio Cake with Lemon and Cardamon ส่วนผสม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม น้ำตาลทราย 180 กรัม เบกกิงโซดา 2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา ลูกกระวานป่น 1/2 ช้อนชา พิสตาชิโอสับหยาบ 100 กรัม นมอัลมอนด์ 150 กรัม น้ำเลมอน 2-3 ช้อนชา ผิวเลมอน 2 ช้อนชา น้ำมันพืช 130 มิลลิลิตร โยเกิร์ตมะพร้าว 120 มิลลิลิตร น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะ            พิสตาชิโอสับหยาบ สำหรับโรยหน้าเค้ก ส่วนผสมและวิธีทำหน้าเค้ก (Glaze)    น้ำตาลไอซิง 1-1 1/2  ถ้วย น้ำเลมอน  2  ช้อนโต๊ะ  ตีผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ชิมรส และให้ข้นตามชอบ   วิธีทำ ทำชามแห้งโดยใส่แป้ง น้ำตาลทราย เบกกิงโซดา เกลือ ลูกกระวานป่น และพิสตาชิโอสับหยาบ คนให้ผสมกัน ทำชามเปียกโดยผสมนมอัลมอนด์กับน้ำเลมอน ผิวเลมอน น้ำมันพืช โยเกิร์ต และน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ คนให้เข้ากันดี ค่อยๆ ใส่ส่วนผสมชามแห้งทีละน้อย คนให้เข้ากันดีและเนื้อเนียน ตักใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม (Loaf) ที่รองกระดาษไข ทาเนย และโรยแป้งเตรียมไว้ นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 35-40 นาที เมื่อสุกนำออกจากเตาอบ พักไว้สักครู่ เอาเค้กออกจากพิมพ์ ราดไอซิงที่เตรียมไว้ โรยพิสตาชิโอสับหยาบตามชอบให้สวยงาม พักไว้ให้เค้กเย็นประมาณ 45 นาที ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ

ส่วนผสม (สำหรับ 1 ชิ้น) เนยจืด (นุ่ม) 110 กรัม น้ำตาลไอซิง 85 กรัม เกลือ 1/4 ช้อนชา ไข่แดง 2 ฟอง กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา แป้งสาลีอเนกประสงค์ 190 กรัม แป้งข้าวโพด 15 กรัม ส่วนผสมและวิธีทำไอซิงสำหรับตกแต่ง น้ำตาลไอซิง 200 กรัม | ไข่ขาว 1 ฟอง | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | สีผสมอาหารตามชอบ ตีไข่ขาวให้พอขึ้นฟู ค่อยๆ ใส่น้ำตาลไอซิง ตีจนส่วนผสมเป็นเนื้อเนียนและข้น ใส่กลิ่นวานิลลา แล้วนำไปผสมสีตามชอบ ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำครีมวานิลลา ไข่แดง 6 ฟอง | นมสดรสจืด 500 มิลลิลิตร | น้ำตาลทราย 80 กรัม | แป้งข้าวโพด 30 กรัม | กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา | แผ่นเจลาติน (แช่น้ำเย็น) 3 แผ่น ตีไข่แดง น้ำตาลทราย กลิ่นวานิลลา และแป้งข้าวโพดให้เข้ากัน จากนั้นต้มนมให้พออุ่น ค่อยๆ เทลงในไข่ที่ตีไว้ เทส่วนผสมกลับลงหม้อ ต้มด้วยไฟอ่อนจนส่วนผสมข้นขึ้น กรองด้วยกระชอนจนเนื้อเนียน ใส่เจลาติน คนให้เข้ากัน คลุมด้วยพลาสติกแร็ปแนบหน้า พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนส่วนผสมเซ็ตตัว วิธีทำ ตีเนยจืด น้ำตาลไอซิง เกลือ และกลิ่นวานิลลาจนส่วนผสมเข้ากัน ใส่ไข่แดงแล้วตีต่อสักครู่ ใส่แป้งสาลีและแป้งข้าวโพด ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนื้อเนียน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงให้แป้งเซ็ตตัว รีดแป้งให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร กดด้วยพิมพ์วงกลมขนาด 6 นิ้ว และขนาด 2.5 นิ้วให้เป็นทรงโดนัทใส่ถาดอบไว้ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที หรือจนสีคุกกี้เหลืองสวย พักไว้บนตะแกรงให้เย็น ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิงให้สวยงาม เตรียมไว้ บีบครีมวานิลลาลงบนคุกกี้ (ฐาน) แล้ววางคุกกี้อีกชิ้น บีบครีมวานิลลาเป็นชั้นที่ 2 จากนั้นปิดชั้นสุดท้ายด้วยคุกกี้ที่ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิง

ขนม Paris-Brest โดยปกติจะเป็นรูปกลมเหมือนวงล้อ เพราะทำขึ้นเพื่อฉลองการแข่งขันจักรยานในประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเพื่อการตลาดขนมดั้งเดิมรูปแบบเปลี่ยนไป แต่ส่วนประกอบเหมือนเดิมไม่ได้คิดค้นขึ้นใหม่ แต่เอาของเก่ามาดัดแปลงให้สวยขึ้น ทันสมัยขึ้นไปเรื่อยๆ   ฉบับนี้เรามาทำขนม Paris-Brest ในรูปทรงยาวที่ทานง่ายขึ้น แต่ยังคงส่วนประกอบดั้งเดิม   Paris-Brest ส่วนผสม Choux Pastry นม 125 กรัม น้ำ 125 กรัม เนย 100 กรัม น้ำตาลทราย 15 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 160 กรัม เกลือ 1/8 ช้อนชา ไข่ 250 กรัม (ประมาณ 4 ฟอง) วิธีทำ นำนม น้ำ เนย น้ำตาลทราย และเกลือใส่ลงในหม้อ ต้มจนเดือด ยกลงจากเตา เติมแป้งทันที คนจนเป็นก้อน ตั้งไฟอีกครั้งจนก้อนแป้งแห้งดี ตามด้วยไข่ ใส่ทีละฟอง คนจนเข้าเนื้อดีจึงใส่ฟองต่อไป ตักหยอดบนกระดาษไขด้วยหัวบีบ 1 นิ้ว ให้เป็นก้อนกลมขนาด 3 เซนติเมตร เรียงทั้ง 3 ก้อนให้แตะกัน วางแผ่น Craquelin บนแต่ละก้อน นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 35-40 นาที นำออกจากเตาอบ พักไว้ให้เย็น ส่วนผสม Craquelin เนยพักไว้ให้นุ่ม 100 กรัม น้ำตาลทราย 125 กรัม (ใช้น้ำตาลทรายแดงก็ได้) แป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม วิธีทำ ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยตีด้วยหัวตีรูปใบพาย นำแป้งมาคลึงโดยมีกระดาษไข 2 แผ่นประกบ รีดแป้งให้หนา 2.5 มิลลิเมตร นำเข้าแช่ตู้เย็นจนแข็ง ตัดเป็นวงกลมขนาด 2.5 เซนติเมตร วางบนแป้งชูซ์ก่อนนำไปอบ ส่วนผสม Pastry Cream นม 500 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม ไข่แดง 100 กรัม ผงคัสตาร์ด 50 กรัม เนย 100 กรัม วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายกับผงคัสตาร์ด และไข่แดงให้เข้ากันดี ต้มนมจนเดือด ค่อยๆ ตักใส่ในส่วนผสมน้ำตาล คนให้เข้ากัน แล้วจึงเททั้งหมดรวมกัน ตั้งไฟปานกลาง คนจนข้น ปิดไฟ ใส่เนย คนทั้งหมดให้เข้ากันดี เทใส่ถาดแบน เกลี่ยให้ทั่ว ปิดด้วยพลาสติกคลุมอาหารให้แนบหน้าครีม พักให้เย็น เติมผง Praline มากน้อยตามชอบ ส่วนผสม Praline ถั่วพิสตาชิโอ 150 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 150 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม ดอกเกลือหยิบมือ วิธีทำ อบถั่วที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที ใส่น้ำตาลทรายในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลางจนน้ำตาลละลายเป็นสีทอง ใส่ถั่ว และเกลือคนให้ทั่ว เทบนแผ่นกระดาษไขหรือซิลิโคน รอจนเย็น นำไปปั่นให้เป็นผง 

ในกรุงเทพฯ เมืองแห่งความคับคั่งมีร้านอาหารพร้อมกับบรรดาเชฟที่จะคอยสร้างความสนุกและตื่นเต้นให้กับเหล่านักชิมอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ เชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส (Riley Sanders) ผู้ที่นำเสนออาหารกึ่งงานศิลปะได้อย่างเฉพาะตัวและโดดเด่น โดยการนำศิลปะแบบนามธรรม (Abstract) มาร่วมกับการทำอาหารเหมือนกับห้องจัดแสดงภาพวาดภายในร้าน Canvas ร้านไฟน์ไดนิงมิชลินสตาร์ 1 ดาวที่นำเสนอวัตถุดิบไทยแนวผสมผสาน วาดลวดลายลงบนจานอาหารราวกับวาดบนผืนผ้า “แคนวาส” จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน เชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส (Riley Sanders) เชฟหนุ่มผมทองจากเทกซัส สหรัฐอเมริกา อยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 7 ปี จนเอ่ยปากว่า “ผมตกหลุมรักเมืองไทย” เชฟชื่นชอบและสนใจการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานในที่ต่างๆ เช่น บนเรือยอชต์ ไพรเวตเชฟส์เทเบิล แม้กระทั่งร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อตระเวนหาแนวทางของตัวเองและสะสมประสบการณ์จนกลายมาเป็นเชฟในจุดนี้   “ผมรักเมืองไทยและชื่นชอบวัตถุดิบที่นี่ซึ่งหาได้ง่าย เพราะส่วนตัวผมชอบไปเดินตลาดสดอยู่บ่อยๆ ได้รู้จักวัตถุดิบแปลกใหม่ ซึ่งบางอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอยากนำมาทำเมนูที่ทุกคนคาดไม่ถึงด้วยการนำไปผสมผสานกับเทคนิคอื่นๆ จนเกิดรสชาติที่ลงตัว ให้ลูกค้าของผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ในทุกจานเมื่อได้ชิม”   อะไรคือจุดเด่นในการทำอาหารของเชฟ? “ผมพยายามคิดนอกกรอบ พยายามสร้างสรรค์เพื่อให้แขกคนสำคัญที่ก้าวเข้ามาในร้านรู้สึกเซอร์ไพรส์ ผมศึกษารสชาติของวัตถุดิบ ทดลองเมนูกับทีมกว่าหลายสิบครั้ง ซึ่งบางจานอาจทดลองมากถึง 100 ครั้งจนเป็นจานที่สมบูรณ์แบบ ผมสอดแทรกทั้งความรู้สึกและเรื่องราวให้กับแต่ละจาน ร้อยเรียงเข้ากับทุกเมนูใน 20 คอร์สให้มีความสนุก ตื่นเต้น และเป็นมากกว่าอาหารที่ทุกคนคาดไม่ถึง”   เมนูของเชฟแต่ละจานมีองค์ประกอบและสีสันอันโดดเด่นราวกับชิ้นงานศิลปะ บ่งบองถึงความเป็นลวดลายบนผืนผ้าใบ ฉบับนี้เชฟนำเสนอ Venn Bread แป้งขนมปังเนื้อนุ่มหนึบที่ดัดแปลงมาจากแป้งชูซ์คลาสสิก เพิ่มความหอมด้วยชีสนมวัวโฮมเมดจากเชียงราย (Tomme de Chiang Rai) ท็อปด้วยเมล็ดแตงโมดูเก๋แบบมีสไตล์ เสิร์ฟมาในถ้วยเซรามิกพร้อมเนยสมุนไพร 2 สีที่รสชาติต่างกันแต่ให้ความลงตัว เนยสีเขียวให้ความสดชื่นได้อย่างดี ส่วนอีกด้านเป็นเนยสีแดงที่ทำจากน้ำหมากเม่าผสมกับพริกเสฉวนได้ความเผ็ดอ่อนๆ จะจิ้มกินแยกกัน หรือจิ้มผสมรวมๆ กันก็อร่อยได้หลากหลายแบบ   ปิดท้ายเชฟได้อวยพรสุขสันต์วันเกิดก้าวเข้าสู่ปีที่ 24 ให้กับทางนิตยสารฯ ของเราอีกด้วย Venn Bread ส่วนผสม แป้งมันสำปะหลัง 300 กรัม ผงพริกชี้ฟ้าแดง 30 กรัม ผงพริกหยวก 35 กรัม ผงยีสต์อบ 50 กรัม นมสดรสจืด 260 กรัม เนยจืด 110 กรัม น้ำปลากวน (Caramelized Fish Sauce) 15 กรัม ชีส Tomme de Chiang Rai 100 กรัม ไข่ไก่ 2 ฟอง ไข่สำหรับทาหน้าเล็กน้อย เมล็ดแตงโมอบสำหรับตกแต่งเล็กน้อย วิธีทำ ทำชามแห้งโดยผสมแป้ง ผงพริกชี้ฟ้า ผงพริกหยวก และผงยีสต์อบให้เข้ากัน เตรียมไว้ ใส่นม เนยจืด และน้ำปลากวนลงในหม้อใบเล็ก ตั้งไฟให้เนยพอละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมชามแห้ง คนให้เข้ากันจนเป็นแป้งโด ปิดไฟ คนส่วนผสมให้คลายร้อนเล็กน้อย ค่อยๆ ใส่ไข่ไก่ (ระวังอย่าให้ไข่สุก) คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียน ใส่ชีสบดพอหยาบ คนต่อให้เข้ากัน พักแป้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วปั้นให้เป็นทรงเกอแนล (ทรงลูกรักบี้) ให้ได้ก้อนละ 30 กรัม วางบนแผ่นซิลิโคนสำหรับอบขนม ทาไข่บนหน้า ท็อปด้วยเมล็ดแตงโม นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 25 นาที พักไว้ในเตาอบโดยเปิดฝาเตาอบเล็กน้อย ประมาณ 5 นาที จัดเสิร์ฟคู่กับเนยสีเขียวและสีแดง ส่วนผสมและวิธีทำเนยสีเขียว (Green Butter) เนยพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 70 กรัม | ผงบัตเตอร์มิลก์ 35 กรัม | ผงเมล็ดเทียนข้าวเปลือก 5 กรัม | ผงใบเตย 5 กรัม | พริกไทยดำ 5 กรัม | ผงมะนาว 3 กรัม | น้ำมันผักชีลาว 10 กรัม | น้ำมันสะระแหน่ 10 กรัม | สมุนไพรสับเล็กน้อย เช่น ผักชี ใบสะระแหน่ และออริกาโน | เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน คนจนเป็นเนื้อเนียน ชิมและปรุงรสตามชอบ พักไว้ในตู้เย็น ตกแต่งด้วยดอกขิงเบิร์น เตรียมไว้ ส่วนผสมและวิธีทำเนยสีแดง (Mao Berry Butter) เนยพักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 70 กรัม | ผงพริกเสฉวน 5 กรัม | น้ำหมากเม่า 30 กรัม | น้ำมันผักชีลาว 40 กรัม | น้ำมันใบสะระแหน่ 40 กรัม | ผงแก้วมังกร 40 กรัม | ผงบีตรูต 30 กรัม | กระเทียมบดเล็กน้อย | น้ำกระเทียมดำเล็กน้อย | เกลือทะเลสำหรับปรุงรสเล็กน้อย | ใบโบราจอินเดีย (Indian Borage) สำหรับตกแต่ง ผสมทั้งหมดแล้วบดให้เข้ากันในครกหิน ชิมและปรุงรสตามชอบ ตกแต่งด้วยใบโบราจอินเดียแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เตรียมไว้

เมนูสุดนุ่มนวลหอมมันจากนมและชีส ที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ง้อเตาอบ  จดสูตรแล้วลองนำไปทำตามกันได้เลย   ส่วนผสม ไข่แดง 4 ฟอง น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา แป้งข้าวโพด 3/4 ถ้วย นมสด 1 1/4 ถ้วย กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา วิปปิงครีม 1/4 ถ้วย ชีสเชดดาร์ชนิดแผ่น 10 แผ่น ผงเจลาตินแช่น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ (ผงเจลาติน 2 ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ) ชีสพาร์เมซานขูดตามชอบ วิธีทำ ผสมไข่แดงกับน้ำตาลทราย ใส่เกลือ คนให้เข้ากันจนเป็นครีมเล็กน้อย ใส่แป้งข้าวโพด คนต่อให้เข้ากัน ใส่นมสดและวิปปิงครีม คนให้เข้ากัน  ใส่กลิ่นวานิลลา คนให้ทั่ว ยกขึ้นตั้งบนหม้อน้ำร้อน คนให้ส่วนผสมร้อนและเริ่มข้น ใส่ชีสเชดดาร์ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่เจลาตินแช่น้ำ คนให้เข้ากันจนเจลาตินละลายหมด  เทใส่ภาชนะ แช่ตู้เย็นไว้ข้ามคืนจนอยู่ตัว นำเค้กออกจากพิมพ์ โรยชีสพาร์เมซานขูด ตัดเค้กเป็นชิ้น จัดเสิร์ฟ

ส่วนผสมแป้งชูซ์ น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร เนยจืด 200 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 18 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 310 กรัม ไข่ไก่ 6 ฟอง ส่วนผสมสำหรับตกแต่ง วิปครีม | แยมราสป์เบอร์รี | น้ำตาลไอซิงสีต่างๆ ตามชอบ   วิธีทำ ใส่น้ำเปล่า เนยจืด เกลือ และน้ำตาลทรายลงในหม้อ ต้มให้เดือด คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน ใส่แป้งสาลี คนต่อประมาณ 5 นาทีจนแป้งสุก (สังเกตได้จากไม่มีคราบแป้งติดก้นหม้อแสดงว่าใช้ได้) ตักใส่เครื่องตี ใช้หัวใบไม้ตีด้วยความเร็วปานกลางให้แป้งคลายร้อน ใส่ไข่ทีละฟอง ตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี ตักใส่ถุงบีบ เตรียมไว้ รองถาดด้วยกระดาษไข บีบแป้งให้เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ (ฐาน) นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 25-35 นาที นำออกมาพักบนตะแกรง อบแป้งที่เหลือทีละชั้นจนครบ 5 ชั้น พักให้เย็นเตรียมไว้ เจาะรูใต้แป้งชูซ์แล้วบีบวิปครีมและแยมราสป์เบอร์รีใส่ในแป้ง ราดด้วยน้ำตาลไอซิงแต่ละสี แล้วนำมาเรียงเป็นชั้นให้สวยงาม

ส่วนผสมเค้ก (ขนาด 3 ปอนด์) แป้งเค้ก 90 กรัม แป้งข้าวโพด 35 กรัม ไข่ไก่ 5 ฟอง น้ำตาลทราย 110 กรัม น้ำผึ้ง 30 กรัม กลิ่นวานิลลา 1 1/2 ช้อนชา เนยจืดละลาย 20 กรัม นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นำพิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ 3 ชิ้น รองด้วยกระดาษไขและทาเนยเล็กน้อย เตรียมไว้ ตีไข่ไก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และกลิ่นวานิลลาบนหม้อน้ำอุ่นจนละลายเข้ากันดี ยกออกแล้วตีต่อด้วยความเร็วสูงจนส่วนผสมขึ้นฟู เนื้อเนียน ร่อนแป้งเค้กกับแป้งข้าวโพดใส่แล้วค่อยๆ คนด้วยพายยางจนส่วนผสมเข้ากัน ผสมนมกับเนยละลาย เตรียมไว้ แบ่งแป้งออกมาใส่แล้วคนเล็กน้อย จากนั้นเทกลับไปผสมกับแป้งทั้งหมดจนเข้ากันดี เทใส่พิมพ์เค้ก นำเข้าเตาอบประมาณ 15-20 นาที พักไว้บนตะแกรงจนเนื้อเค้กเย็น ส่วนผสมครีมชองตีลลี (Chantilly Cream) วิปปิงครีม 450 มิลลิลิตร น้ำตาลไอซิง 50 กรัม กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำครีมชองตีลลี (Chantilly Cream) ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถ ใช้หัวตะกร้อตีด้วยความเร็วสูงประมาณ 2-3 นาทีให้ตั้งยอดปานกลาง พักไว้ ส่วนผสมสำหรับแต่งเค้ก สตรอว์เบอร์รีสดหั่นสไลซ์สำหรับตกแต่ง 15-20 ผล น้ำเชื่อมสำหรับทาเค้ก 1 ถ้วย วิปครีมสีดำ วิธีทำ สไลซ์หน้าเค้กออกเล็กน้อยให้สวยงาม พรมด้วยน้ำเชื่อมให้ทั่วเนื้อเค้ก จากนั้นปาดครีมชองตีลลีให้ทั่ว ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี ทำซ้ำกันให้ได้ 2 ชั้น บีบครีมรอบๆ เค้กแล้วปาดด้วยสปาตูลาให้เนียน ตกแต่งเค้กด้วยครีม วิปครีมสีดำ และสตรอว์เบอร์รีให้สวยงาม

พุทราจีนแห้งลูกโต 2 ถุงใหญ่!   ต้อ-ปรียานุช พัฒนกำจร เพื่อนวัฒนาวิทยาลัยของป้าเจี๊ยบเอามาฝาก เก็บไว้ในตู้แช่แข็งนานมาก เพราะยังมีพุทราจีนแห้งแบบลูกเล็กไร้เมล็ดที่เปิดถุงใช้แล้วเหลืออยู่ ป้าเจี๊ยบใช้ใส่ในต้มจับฉ่ายสูตรของตัวเองที่ทำแจกเป็นของชำร่วยให้เพื่อนๆ เวลามากินข้าวกันที่บ้านซึ่งเพื่อนๆ ชอบมาก และคาดหวังว่ามาเมื่อไหร่ต้องได้ติดมือกลับไป...ฮา!   ป้าเจี๊ยบเคยทำเค้กสารพัดจากผักและผลไม้ แต่ไม่เคยเอาพุทราจีนมาทำเค้กเลย มีพุทราจีนแห้งเยอะอย่างนี้ต้องหาเรื่องแปรรูปเป็นอย่างอื่นบ้าง เพราะอ่านพบว่าพุทราจีนมีประโยชน์เกิน 20 ประการเลยนิ   สิ่งแรกที่ต้องทำคือนำพุทรามาจัดการเอาเมล็ดออก โดยใช้หลอดดูดแบบพลาสติกดันตรงขั้วให้เมล็ดทะลุออกไปได้ พุทราที่มีรูกลวงโบ๋ 400 กรัม ล้างน้ำทำความสะอาด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน   ส่วนแรกทำพุทราจีนเชื่อม เพื่อจะได้เนื้อสัมผัสแบบมะตูมเชื่อมไงคะ โดยแช่พุทราจีนในน้ำเดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงให้เนื้อฟู แล้วเชื่อมโดยใส่ น้ำตาลทราย 120 กรัม และใส่น้ำเปล่าแค่พอท่วมพุทรา ตั้งไฟให้เดือด แล้วลดลงเป็นไฟอ่อน หมั่นตักน้ำเชื่อมราดพุทรา ต้มไปจนเข้าเนื้อดี ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พักไว้ให้เย็น แล้วแบ่งมา 6 ลูก ผ่าพุทราตามยาวเป็น 4 ส่วน วางเตรียมไว้   ส่วนที่สองทำเนื้อพุทราบด โดยนำไปต้มในน้ำเปล่าจนนุ่มเปื่อย แล้วตักเอาแต่พุทรามาขยี้ผ่านกระชอนได้เนื้อพุทราเนียนละเอียด วางพักไว้   พร้อมทำเค้กแล้วค่ะ เตรียมพิมพ์แบบโลฟขนาด 8×4 นิ้ว โดยการทาเนยจนทั่ว โรยแป้งสาลีอเนกประสงค์ให้เคลือบผิวด้านในพิมพ์ เคาะแป้งส่วนเกินออก แล้ววอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์   เริ่มเตรียมชามแห้ง มี แป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม เกลือป่น 1/4 ช้อนชา โซดาไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1/4 ช้อนชา อบเชยป่น 1/2 ช้อนชา ลูกจันทน์ป่น 1/2 ช้อนชา ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมทั้งหมดให้กลมกลืนกันดี   ถึงเวลาทำชามเปียกค่ะ ป้าเจี๊ยบใช้ตะกร้อมือตี เนยแท้รสจืด (อุณหภูมิห้อง) 75 กรัม กับ น้ำตาลทรายแดง (ร่อนก่อน) 100 กรัม จนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด ใส่ ไข่ไก่เบอร์สาม 1 ฟอง และ น้ำมันคาโนล่า 1 ช้อนโต๊ะ ลงไปตีต่อให้เข้ากัน จากนั้นใส่ เนื้อพุทราบด 150 กรัม แล้วคนต่อจนเนียนเป็นครีม   เทชามแห้งลงไปในชามเปียก ใช้พายซิลิโคนตะล่อมๆ แค่พอให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน เทใส่พิมพ์ โดยใส่สลับกับ เนื้อพุทราเชื่อม ที่หั่นไว้แล้วเกลี่ยหน้าให้เสมอกัน กระแทกพิมพ์ 3-4 ครั้งกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศ    นำเข้าเตาอบที่ตั้งปุ่มความร้อนไว้ที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส หรือ 325 องศาฟาเรนไฮต์ ปุ่มไฟบน-ล่าง ปุ่มเวลา 45 นาที พอได้ยินเสียงติ๊ง นำพิมพ์ออกมาวางพักไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนนำเค้กออกจากพิมพ์   ระหว่างพักเค้กป้าเจี๊ยบทำซอสพุทราโดยใส่ พุทราบด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วยตวง เนยแท้รสเค็ม 2 ช้อนโต๊ะ และ นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ ลงในหม้อเคลือบ ยกไปตั้งไฟกลาง คนอย่างต่อเนื่องให้ส่วนผสมเข้ากันดี พอซอสเดือดก็ปิดไฟ   ชิมค่ะ ป้าเจี๊ยบชงกาแฟดำมาวางบนโต๊ะ ตัดเค้กหนึ่งชิ้นใส่จาน ราดซอส แล้วแต่งหน้าด้วยพุทราเชื่อม 1 ลูก อืม...เนื้อเค้กหอมกลิ่นพุทราจีนชัดเจน มีความชุ่มฉ่ำ และรสหวานพอดีๆ หมดชิ้นสิคะ!   เค้กที่เหลือนำมาแต่งหน้าด้วยพุทราจีนเชื่อม เก็บไปบ่มไว้ในตู้เย็น ตั้งใจจะทยอยกินวันละชิ้น...ฮา!   อ้อ! ไม่ลืมแบ่งใส่กล่องไว้ให้เจ้าของพุทราจีนนะคะ...อิอิ

อยากกินทั้งบราวนี่และคอร์นเฟลกซ์ เมนูนี้จับคู่ได้ลงตัว บราวนี่รสเข้มข้นจากดาร์กช็อกโกแลตและผงโกโก้ ท็อปหน้าด้วยคอร์นเฟลกซ์คาราเมล หอมเนย หวานกลมกล่อม     ส่วนผสมบราวนี่ เนยสดรสเค็มละลาย 200 กรัม น้ำตาลทราย 180 กรัม ไข่ไก่เบอร์สาม 3 ฟอง ดาร์กช็อกโกแลตละลาย 200 กรัม แป้งสาลีอเนกประสงค์ 125 กรัม ผงโกโก้ 35 กรัม ส่วนผสมคอร์นเฟลกซ์คาราเมล คอร์นเฟลกซ์ 150 กรัม เนยสดรสเค็ม 50 กรัม น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย วิปปิงครีม 1/4 ถ้วย วิธีทำ ทำบราวนี่โดยคนเนยละลายกับน้ำตาลทรายให้เข้ากันจนข้น ใส่ไข่ไก่ คนต่อจนเข้ากัน ใส่ดาร์กช็อกโกแลตละลาย คนให้เข้ากัน ใส่แป้งสาลี และผงโกโก้ ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาทีจนสุก พักไว้ ทำคาราเมลโดยเคี่ยวน้ำตาลทรายแดงกับเนยสดให้ละลายหมด ใส่วิปปิงครีม คนให้เข้ากันจนข้น ใส่คอร์นเฟลกซ์ ตะล่อมให้เข้ากัน ราดบนบราวนี่ เกลี่ยให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอีก 10 นาที พักไว้จนเย็น ตัดเป็นชิ้น จัดเสิร์ฟ

วูปปี้พาย ของหวานประจำรัฐ Maine ในสหรัฐอเมริกา รูปแบบดั้งเดิมตัววูปปี้พายจะเป็นรสช็อกโกแลต และมีเนื้อสัมผัสกึ่งเค้กกึ่งคุกกี้ สอดไส้ด้วยครีมสีขาวรสหวานคล้ายมาร์ชแมลโลว์ สำหรับสูตรที่นำมาฝาก เพิ่มกลิ่นอายของกาแฟให้เป็นรสมอคคา สอดไส้ด้วยครีมมาสคาร์โปเน หอมกลิ่นวานิลลา ตกแต่งด้วยช็อกโกแลตเพิร์ล   ส่วนผสมวูปปี้พาย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 210 กรัม ผงโกโก้ 25 กรัม ผงฟู 1/2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา นมสด 85 กรัม ผงกาแฟ 1 ช้อนโต๊ะ วานิลลา 1/2 ช้อนชา เนยจืด 90 กรัม น้ำตาลทราย 100 กรัม น้ำตาลทรายแดง 60 กรัม ไข่ไก่ 1 ฟอง ดาร์กช็อกโกแลตสำหรับตกแต่ง ช็อกโกแลตเพิร์ลสำหรับตกแต่ง ส่วนผสมไส้มาสคาร์โปเนชีส มาสคาร์โปเน 160 กรัม น้ำตาลไอซิง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ วานิลลา 1 ช้อนชา วิปปิงครีม 160 กรัม วิธีทำ เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส โปรแกรมไฟล่างไฟบน เตรียมถาดอบรองกระดาษไข ร่อนแป้ง ผงโกโก้ ผงฟู เบกกิงโซดา และเกลือ พักไว้ ผสมนมสด ผงกาแฟ และวานิลลา พักไว้ ตีเนย น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายให้เข้ากันดี ใส่ไข่ไก่ ตีต่อให้เข้ากันดี ใส่ส่วนผสมชามแห้งครึ่งหนึ่ง ตีให้เข้ากัน ตามด้วยส่วนผสมนม ตีให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมชามแห้งที่เหลือ ตีให้เข้ากัน ใช้ที่ตักคุกกี้เบอร์ 30 ตักส่วนผสมลงบนถาดอบ (ได้ 18 ชิ้น) เว้นระยะห่างระหว่างชิ้น นำเข้าเตาอบ 12 นาที พักให้เย็นลง ละลายดาร์กช็อกโกแลต นำใส่ถุงบีบ ตกแต่งบนฝาวูปปี้พาย พร้อมด้วยช็อกโกแลตเพิร์ล พักให้เซ็ตตัว ตีมาสคาร์โปเน น้ำตาลไอซิง และวานิลลาให้เข้ากัน ใส่วิปปิงครีม ตีต่อจนเนื้อแน่นดี บีบลงระหว่างวูปปี้พาย พร้อมรับประทาน

เค้กโยเกิร์ต หอมเนย และมีกลิ่นโยเกิร์ตอ่อนๆ แต่งหน้าครีมเนยสดหอมๆ และผลไม้อย่างสตรอว์เบอร์รี หรือจะผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้ตามชอบ   ส่วนผสมเค้กโยเกิร์ต เนยสดรสเค็ม 250 กรัม น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 5 ฟอง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 3/4 ถ้วย แป้งเค้ก 250 กรัม ผงฟู 2 ช้อนชา เบกกิงโซดา 1/2 ช้อนชา ส่วนผสมครีมเนยสด เนยสดรสเค็ม 200 กรัม เนยขาว 150 กรัม นมข้นหวาน 1/2 ถ้วย สตรอว์เบอร์รี พิสตาชิโอสับ   วิธีทำ เตรียมเค้กโดยตีเนยสดกับน้ำตาลทราย และเกลือจนขึ้นฟู ใส่ไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน ใส่โยเกิร์ต ตีจนส่วนผสมเข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู เบกกิงโซดา ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ถาด นำเค้กไปอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส เวลา 40-45 นาที หรือจนสุก พักไว้ให้เย็น ทำครีมเนยสดโดยตีเนยสดกับเนยขาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่นมข้นหวาน ตีต่อให้เข้ากัน ผ่าครึ่งเค้กตามขวาง ปาดครีมเนยสดบนเค้กให้เรียบ วางเค้กอีกชิ้น ปาดครีมแล้วปาดให้เป็นรอย โรยพิสตาชิโอสับ บีบครีม วางสตรอว์เบอร์รี 

กาแฟได้ถูกนำเข้ามาในยุโรปในศตวรรษที่ 17 ว่ากันว่าที่เมือง Dresden ในประเทศเยอรมนี และเริ่มมีการทำขนมเค้กรสกาแฟทานกับชาและกาแฟ ต่อมาชาวเดนมาร์กก็ทำขนมสำหรับทานกับกาแฟที่ใส่กาแฟและอื่นๆ เพราะฉะนั้น คอฟฟี่เค้ก ที่รู้จักกันในปัจจุบันจึงเกิดมาจากวัฒนธรรมของหลายประเทศ   ปีนี้ในสหรัฐอเมริกาเป็นปีของคอฟฟี่เค้ก (Year of Coffee Cake) ชาวยุโรปที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในอเมริกาได้นำเอาวัฒนธรรมของตนติดตัวไปด้วย คอฟฟี่เค้กจึงเป็นที่นิยมมากในอเมริกา เค้กนี้มีทั้งธรรมดาและไม่ธรรมดา ส่วนมากจะเป็นเค้กชั้นเดียวและมีหน้าที่อบในตัว นานๆ ทีจึงจะพบรสกาแฟ แต่ละครอบครัวก็จะมีตำราเด็ดของตน ตำราลับที่ไม่บอกใคร   คอฟฟี่เค้กส่วนใหญ่จะมีส่วนที่โรยหน้า ตัดเป็นชิ้น เสิร์ฟตามงานต่างๆ เช่น งานประชุม มีขายทั่วไปตามร้านกาแฟ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตามบ้านก็ทำทานกันแทบทุกบ้าน เป็นขนมที่ทำง่าย ทานง่าย  คอฟฟี่เค้กมีหลายพันชนิดแล้วแต่แต่ละคนจะคิดประดิษฐ์   ฉบับนี้เรามาทำคอฟฟี่เค้กรสเลมอนกัน เป็นตำราของยายเพื่อนผู้เขียนที่บอกว่าได้มาจากโฆษณาที่ทำแจกกัน   ส่วนประกอบหน้า (Crumb) ผิวส้มสะดือขูด (Navel Sunkist) 1 ช้อนโต๊ะ ผิวเลมอนขูด 1 ช้อนโต๊ะ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม น้ำตาลทราย 130 กรัม ดอกเกลือ 1/2 ช้อนชา เนยเย็นจัด (หั่นเป็นก้อนเล็ก) 112 กรัม วิธีทำ ใส่แป้ง น้ำตาลทราย ผิวเลมอน ผิวส้ม และเกลือลงใน Food Processor ปั่นจนเข้ากัน ใส่เนยปั่นให้เป็นทรายหยาบๆ พักไว้ ส่วนผสมเนื้อเค้ก เนยพักให้นุ่ม 112 กรัม น้ำตาลทราย (1) 200 กรัม ไข่แดง 3 ฟอง แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม เบกกิงโซดา 1/4 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา ผิวเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ กรีกโยเกิร์ต 100 มิลลิลิตร ไข่ขาว 190 กรัม (3 ฟอง) น้ำตาลทราย (2) 50 กรัม อุปกรณ์ ถาดอบสี่เหลี่ยมขนาด 9 × 9  นิ้ว   วิธีทำ ผสมแป้ง เบกกิงโซดา และเกลือในอ่างผสม พักไว้ ตีเนยกับน้ำตาลทราย (1) จนฟูเบา ใส่ไข่แดงทีละฟอง ตีให้เข้ากันดี ใส่แป้งลงในส่วนผสมเนย สลับกับกรีกโยเกิร์ต ใส่ผิวเลมอน ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (2) จนตั้งยอดอ่อน ตะล่อมไข่ขาวลงในส่วนผสมไข่แดงจนเข้ากันดี เทส่วนผสมครึ่งหนึ่งลงในถาดอบ ตักเลมอนเคิร์ดใส่ลงให้ทั่วหน้า ใส่ส่วนผสมแป้งที่เหลือ เกลี่ยหน้าให้เรียบ โรยหน้าด้วย Crumb ที่ทำไว้ให้ทั่ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส นาน 60 นาที ส่วนผสม Lemon Curd น้ำเลมอน 150 มิลลิลิตร ผิวเลมอน 1 ผล น้ำตาลทราย 150 กรัม ไข่เบอร์ 0 3 ฟอง เนย 113 กรัม      วิธีทำ  ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อก้นหนา ตั้งไฟปานกลาง คนตลอดจนเริ่มมีฟองปุดๆ (ใช้เวลาประมาณ 6 นาที) ปิดไฟ เทใส่ภาชนะ ปิดหน้าด้วยฟิล์มใสสำหรับทำอาหาร พักให้เย็น

ของหวานสำหรับคนรักสุขภาพอย่างวัฟเฟิลที่มีโปรตีนมากถึง 60 กรัม ได้จากเวย์โปรตีนและไข่ขาว เนื้อสัมผัสนุ่มฟู หอมกลิ่นอบเชย เสิร์ฟคู่กับซอสเบอร์รีสูตรโฮมเมด รสเปรี้ยว หวานนิดๆ ถูกใจสายเฮลท์ตี้   ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) ผงเวย์โปรตีน 50 กรัม กรีกโยเกิร์ต 4 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง ไข่ขาว 2 ฟอง ผงฟู 1 ช้อนชา ผงอบเชย 1 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา วิปครีมกะทิตามชอบ เนยสำหรับทาเครื่องทำวัฟเฟิลเล็กน้อย วิธีทำ ทำชามแห้งโดยผสมผงเวย์โปรตีน แป้งข้าวโอ๊ต ผงฟู และผงอบเชยให้เข้ากัน ทำชามเปียกโดยผสมไข่ไก่ ไข่ขาว กลิ่นวานิลลา และกรีกโยเกิร์ตให้เข้ากัน ใส่ชามแห้งที่เตรียมไว้ คนผสมจนเนื้อเนียน อุ่นเตาวัฟเฟิลให้ร้อน ทาเนยเล็กน้อย ตักแป้งใส่เครื่อง ปิดฝาอบประมาณ 3 นาทีจนแป้งสุกสีเหลืองสวยงาม ตักขึ้น พักให้เย็น ส่วนผสมซอสเบอร์รี เบอร์รีรวมแช่แข็ง 1 1/2 ถ้วย น้ำตาลไอซิง 3 ช้อนโต๊ะ ผิวเลมอน 2 ช้อนชา น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำซอสเบอร์รี ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ คลุกให้เข้ากัน ต้มโดยใช้ไฟปานกลาง 5 นาที ให้ส่วนผสมข้นขึ้นเล็กน้อย ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น จัดจานโดยวางวัฟเฟิล ท็อปด้วยวิปครีมกะทิแล้วราดซอสเบอร์รีเล็กน้อย ตกแต่งด้วยเชอร์รีและเบอร์รีให้สวยงาม

ผลไม้หน้าร้อนยอดฮิตคงจะหนีไม่พ้น “ทุเรียน” ราชาผลไม้ของไทย กินสดหรือทำขนมก็อร่อย มาทำเค้กโรลทุเรียนกัน       ส่วนผสม ไข่แดงเบอร์หนึ่ง 3 ฟอง น้ำตาลทราย (1) 1/3 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา แป้งเค้ก 1 1/4 ถ้วย นมสด 1/3 ถ้วย ผงฟู 1 ช้อนชา ผงวานิลา 1 ช้อนชา น้ำมันรำข้าว 1/4 ถ้วย   ไข่ขาวเบอร์หนึ่ง 3 ฟอง น้ำตาลทราย (2) 1/3 ถ้วย ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา ถาดขนาด 11×15 นิ้ว ครีมทุเรียนและครีมเนยสด วิปครีมสด 2 ถ้วย เนื้อทุเรียนบด 1/2 ถ้วย เนยสดเค็ม 150 กรัม เนยขาว 100 กรัม น้ำตาลไอซิง 1/2 ถ้วย นมข้นหวาน 1/4 ถ้วย สีผสมอาหารสีเขียวแก่ 2-3 ช้อนชา เนื้อทุเรียน วิธีทำ เตรียมเค้กโดยผสมไข่แดงกับน้ำตาลทราย(1) เกลือ คนให้เข้ากันจนฟูเล็กน้อยและเป็นครีม ใส่น้ำมันรำข้าว นมสด คนต่อให้เข้ากัน ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และผงวานิลา ตะล่อมให้เข้ากัน คนให้เข้ากันอีกครั้ง พักไว้ ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ให้เป็นฟองละเอียด ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทราย(2) ตีต่อจนไข่ขาวฟูอยู่ตัว ตักใส่ส่วนผสมไข่แดงครึ่งหนึ่ง ตะล่อมให้เข้ากันแล้วใส่ส่วนผสมไข่ขาวที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันทั่ว เทส่วนผสมใส่ถาดอบที่รองด้วยกระดาษรองอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เวลา 25 นาทีจนสุก พักไว้สักครู่ คว่ำขนมออกจากถาดแล้วม้วนเค้กพักไว้ ทำครีมทุเรียนโดยผสมวิปครีมกับเนื้อทุเรียนบด คนให้เข้ากัน นำไปปาดบนเค้กที่ม้วนไว้ ใส่เนื้อทุเรียนตรงกลาง แล้วม้วนให้แน่น แช่เย็นไว้ ทำครีมเนยสดโดยตีเนยสดกับเนยขาวและน้ำตาลไอซิงให้พอเข้ากัน ใส่นมข้นหวาน ตีต่อให้เข้ากัน ใส่สีผสมอาหาร คนให้เข้ากัน ใส่ถุงบีบ นำเค้กโรลออกจากตู้เย็น ปาดครีมลงบนเค้กโรลให้ทั่ว แล้วเป็นรูปหนามคล้ายเปลือกทุเรียน แช่เย็นไว้ก่อนเสิร์ฟ

คนที่สนใจและอยากจะลองเป็นชาววีแกนที่ไม่กินอาหารจากเนื้อสัตว์ อาจจะพะว้าพะวังและตัดสินใจไม่ถูกเมื่อต้องให้ตัดใจเรื่องเบเกอรี่ เพราะเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นเนยนมไข่ ยั่วยวนใจทุกครั้งเมื่อได้กลิ่น แม้ว่าปัจจุบันจะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายมาทดแทน เช่น ใช้กะทิแทนเนย วิปปิงครีม โยเกิร์ต ใช้อัลมอนด์บัตเตอร์แทนเนย ข้อสำคัญคือไม่ควรแต่คิด แต่ลองลงมือทำหรือลองชิม ซึ่งปัจจุบันมีร้านเบเกอรี่วีแกนอยู่หลายร้าน ชาววีแกนผู้มีประสบการณ์แนะนำว่าให้เริ่มต้นทำของหวานหรือเค้กจากการใช้รสหวานจากผลไม้ก่อน เช่น เครปไส้มะม่วงและวิปครีมจากกะทิ เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมที่ไม่มีส่วนผสมของนมก็ยังได้อีก หรือพายผลไม้และพายจากถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ   แต่ถ้าใครเป็นคนรักเค้กช็อกโกแลตและชอบกินบราวนี่ แนะนำให้ลองทำ บราวนี่วีแกน สูตรนี้ดู ส่วนผสมไม่มีเนย นม ไข่เหมือนทั่วไป ใช้น้ำมันพืชเป็นไขมันแทนเนย ใช้ผงโกโก้เป็นส่วนผสมหลัก และเสริมให้เนื้อขนมนุ่มและรสนุ่มขึ้นด้วยซอสแอปเปิล หรือเมล็ดแฟลกซ์บดให้ละเอียดแล้วแช่น้ำจนอิ่มตัว   ที่น่าสนใจมากคือ “น้ำตาล” สามารถใช้น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนดมาละลายน้ำแทนน้ำตาลทรายได้ ขนมจะยิ่งหอม เนื้อหนึบ และหน้าขนมยังเป็นฟิล์มเงา   จนอาจจะลืมไปเลยว่าเป็นบราวนี่ของชาววีแกน ส่วนผสม น้ำตาลมะพร้าว 1 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย เมล็ดแฟลกซ์บด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะ หรือซอสแอปเปิล 5 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย วานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ ผงช็อกโกแลต 3/4 ถ้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 1/2 ถ้วย เกลือ 1/2 ช้อนชา ช็อกโกแลตชิป 1/2 ถ้วย วิธีทำ ใส่น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะในเมล็ดแฟลกซ์บด แช่ไว้ให้ดูดน้ำจนนุ่ม ถ้าใช้ซอสแอปเปิลไม่ต้องใช้เมล็ดแฟลกซ์ ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาล ตั้งไฟปานกลาง คนเป็นครั้งคราวจนน้ำตาลละลายหมด ประมาณ 5 นาที พักไว้สักครู่ ถ้าน้ำตาลมีฟองอากาศให้ตักทิ้ง ในชามผสมใบใหญ่ใส่แป้ง ผงช็อกโกแลต และเกลือ ใส่น้ำเชื่อมที่ทำไว้ (คนก่อนเท) ลงในแป้ง คนให้เข้ากัน ใส่น้ำมันพืช เมล็ดแฟลกซ์ หรือแอปเปิลซอส และวานิลลา คนให้เข้ากัน ใส่ช็อกโกแลตชิป คนให้พอเข้ากัน เทใส่ถาดสี่เหลี่ยมขนาด 8×8 นิ้วที่รองด้วยกระดาษไข นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 40-50 นาที ก่อนนำออกจากเตาอบประมาณ 5 นาที โรยช็อกโกแลตชิปให้ทั่วหน้า (เช็กเค้กสุกโดยใช้ไม้จิ้มกลางชิ้น ถ้าไม่มีเนื้อเค้กติดมาแสดงว่าใช้ได้แล้ว)